อ. ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์
สุดท้ายค่ะ อาจารย์ชลิดาภรณ์ เมื่อสักครู่เราเริ่มต้นที่อาจารย์มารค เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเกลียดชังในใจของมนุษย์ ซึ่งจริง ๆ เป็นความตั้งใจที่เราอยากจะให้ทุกคนทดไว้ในใจว่าเรื่องสงครามนั้นมาจากเรื่องของมนุษย์ทั้งสิ้น และความเกลียดชังซึ่งไม่ได้มีในสัตว์ประเภทอื่นเลย หลังจากนั้นให้ผู้ชมได้ไปดูมิติต่าง ๆ ที่อาจข้องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก และสุดท้ายเราวนกลับมาเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์และสังคมอยู่ดี อาจารย์มีอะไรจะเสริมหรือเปล่าคะ
ศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์
เราฟัง “The Wise Men” ทั้ง 4 ท่านมาก่อนแล้ว ตอนนี้ฟัง “A Wicked Women” เช่นดิฉันบ้าง
ตอนที่ต้องเตรียมประเด็นเรื่องนี้ ดิฉันมีประเด็นเรื่องที่อยากจะเอามาแบ่งปันอยู่แล้ว คือเป็นงานที่เพิ่งเขียนเสร็จ ชื่อ “Mobility of Hatred and Fear” แล้วก็ส่งงานช้าเพราะเพิ่มส่วนที่เป็นความขัดแย้ง (Conflict) และความตึงเครียด (Tension) ระหว่างไทย-กัมพูชาเข้าไป ส่งไปเมื่อวันที่ 23 วันรุ่งขึ้นวันที่ 24 กรกฎาคม ก็ฟาดฟันกันด้วยอาวุธอย่างที่พวกเราเห็น จึงอยากจะลองนำสิ่งที่เขียนมาคุยให้ทุก ๆ ท่านในวันนี้ได้ฟัง
แล้วด้วยความบังเอิญ จริง ๆ ไม่บังเอิญ คือมันจะต่อกับอาจารย์มารคว่าเป็นเรื่อง ความเกลียดชัง แต่ว่าดิฉันจะขอเริ่มแบบนี้ เพื่อจะเป็นการสรุปสิ่งที่ได้ฟังผู้ร่วมเสวนาทั้ง 4 ท่านแล้วว่าตัวเองได้ยินอะไรมาบ้าง
วิธีที่หลาย ๆ ท่านมองระเบียบโลกใหม่ที่ว่านั้น ดิฉันก็สงสัยว่าเราเห็นว่าอะไรอย่างไร มันจะมีศัพท์สำคัญที่หลาย ๆ ท่านใช้ เช่น เรื่องของ “Interconnectedness” หรือการเชื่อมโยงเข้าหากันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จริง ๆ แล้ว คนที่สอนหนังสือและเรียนหนังสือเรื่องโลกาภิวัตน์ (Globalization) ก็จะใช้คำนี้ เพื่อจะบอกว่าโลกาภิวัตน์นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรมาโดยตลอด
โลกาภิวัตน์นั้นอยู่กับเรามานาน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 มีคนคาดว่า การเชื่อมโยงเข้าหากันและกันแบบนี้จะนำไปสู่โลกไร้พรมแดน (Borderless world) เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์ที่เราเห็นอยู่ ณ เวลานี้เป็นเรื่องแปลก แปลกอย่างไร แปลกตรงที่ความคิดและมโนทัศน์ (Concept) หลาย ๆ อย่าง ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นของที่นำเข้ามา ดังเช่นมโนทัศน์ว่าด้วยเรื่องรัฐสมัยใหม่ในฐานะผู้ถือครองอธิปไตย มันดูศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ ในการทำความเข้าใจความขัดแย้งในภูมิภาคเรา ณ เวลานี้ ดิฉันจะพยายามไม่เอ่ยชื่อประเทศ จะได้ไม่ต้องรู้สึกอะไร เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง
วิธีที่เรามองกันและกัน และอะไรที่ “ศักดิ์สิทธิ์” (Sacred) ในอาณาบริเวณนี้เป็นของที่นำเข้า รัฐในฐานะผู้ถือครองอธิปไตย และการมองเรื่องความชัดเจนของพรมแดน เพื่อจะได้รู้ว่าอำนาจอธิปไตยของรัฐไหนหยุดอยู่ที่ตรงไหน และการมองเรื่อง Ownership หรือใครเป็นเจ้าของสถานที่ ผืนดิน ผู้คน รวมไปถึงวัฒนธรรม กิจกรรมหรือพฤติกรรมทางวัฒนธรรม (Cultural practices) และอีกหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมันเป็นฐานะที่มันจะออกแปลก ๆ ถ้าเราจะมองว่าโลกาภิวัตน์น่าจะพาผู้คนและหน่วยทางการเมืองไปสู่โลกไร้พรมแดนอย่างที่ว่า ก็แสดงว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น ย้ำอีกครั้ง อะไรที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ นี้เป็นของนำเข้าทั้งสิ้น แต่มันศักดิ์สิทธิ์มากในแถว ๆ นี้
ในช่วงต้นศวรรษที่ 21 พวกเราที่สนใจโลกาภิวัตน์ก็จะได้เห็นว่ามีการพูดถึง โลกาภิวัตน์เป็นคลื่น แล้วตอนนี้เราอยู่ในช่วงคลื่นลูกที่ 4 ของโลกาภิวัตน์ หรือ “Globalization 4.0” ถ้าใช้คำของ World Economic Forum (เวทีเศรษฐกิจโลก) แต่ว่าที่น่าสนใจก็คือ World economic forum ได้เตือนเช่นเดียวกันว่า Globalization 4.0 นั้นมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ เรื่องหนึ่งในนั้นคือความเหลื่อมล้ำ (Inequality) ด้วยความที่มีผู้คนมากมายในที่ต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้นจากการเคลื่อนที่ของสินค้าและบริการ จากโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ (Economic Globalization) ที่บางท่านได้พูดถึงไปก่อนหน้าดิฉันแล้ว ยังมีคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมากมาย และการถูกทิ้งไว้ข้างหลังเช่นนั้น คนที่เราบอกว่าเป็น “ผู้แพ้” (Loser) ในโลกาภิวัตน์เหล่านั้น ในที่สุดแล้วก็ไม่ใช่แค่ลำบากเล็กน้อย แต่มันหมายถึงการมีชีวิตรอด (Survival) ของเขา แล้วมันทำให้สิ้นหวัง เมื่อสิ้นหวังแล้วก็เป็นเรื่องของความโกรธ มีงานสำคัญชิ้นหนึ่งชื่อ “Globalization of Rage” ขณะนี้ความโกรธเกรี้ยวนั้นเคลื่อนไปด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ณ จุดนี้คือดิฉันอยากจะขอเชิญชวนพวกเราให้มองโลกาภิวัตน์เป็นเรื่องของการเคลื่อนที่ ซึ่งเดิมเรามักจะมองว่าโลกาภิวัตน์นั้นเป็นการเคลื่อนที่ของสินค้าและบริการ (International trade) เป็นการเคลื่อนที่ของทุน แต่เราไม่ควรจะลืมว่าสิ่งที่เคลื่อนอยู่ด้วยคือคน รวมทั้งแนวคิด (Ideas) และข้อมูล (Information)
งานของดิฉันจะอยู่ที่สองอย่างหลัง การเคลื่อนที่ของแนวคิดและของคน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการในเชิงนวัตกรรม (Technology) ทำให้การเคลื่อนที่ที่ว่านี้เป็นอะไรที่พวกเราคุ้นเคย แล้วการเคลื่อนของคนอาจจะเป็นสิ่งที่พวกเราเข้าใจได้ แต่อย่างหนึ่งของการเคลื่อนที่ (Mobility) ซึ่งหลาย ๆ ท่านได้พูดแล้ว เพียงแต่อยากชี้ให้เห็น ก็คือการเคลื่อนที่ของแนวคิดและทัศนะ (Opinions) ผ่านพื้นที่ออนไลน์ที่เราใช้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลาย แต่เราไม่ใช้มันเพื่อจะทำความรู้จัก อาจจะมีคนถกเถียงดิฉันว่ามันมีแอปหาคู่ (Dating App) ใช่ แต่ว่าแอปหาคู่ก็เป็นอะไรที่เป็นอีกชุดหนึ่ง แต่วันนี้ไม่มีเวลาพอที่จะเล่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ผู้คนใช้มันกลับกลายเป็นพื้นที่ของการฟาดกันด้วยความเกลียดชังที่รุนแรง
ดิฉันเป็นคนดูฟุตบอล (Soccer) แล้วก็ดูการแข่งขันในระดับภูมิภาคเรา แล้วมันก็เห็นการต่อสู้ คือการแย่งกันเป็น “King of ASEAN” ซึ่งเป็นการแย่งกันอยู่ 3 ประเทศก็คือ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เพราะฉะนั้น เวลาที่แข็งเสร็จ ท่านทั้งหลายที่ใช้โซเชียลมีเดียก็จะเห็นการฟาดฟันที่รุนแรงมาก ความเกลียดชังที่รุนแรงมาก และความเกลียดชังแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด มันเกิดอยู่เช่นนี้มากนานมากแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามองอาเซียนจากมุมนี้ ถ้าเกลียดชังกันขนาดนี้ สิ่งที่เรียกว่า “อัตลักษณ์ร่วมอาเซียน” (ASEAN Collective identity) ที่ใหญ่ขึ้นกว่าการเชื่อมโยง (Indentify) ตัวเองกับรัฐสมาชิก มันเป็นไปได้ยาก จึงทำให้งานของดิฉันอยู่ที่ ความเป็นคู่แข่งในวงการกีฬา (Sport rivalry) และสิ่งที่ได้เห็นในภูมิภาคของเราก็คือชาตินิยม (Nationalism) ที่รุนแรงมาก ความคลั่งชาติมันนอกเหนือ (Beyond) ไปกว่าความรัก และการแข่งขันและเพื่อที่จะบอกว่าตัวฉัน “เหนือกว่า” (Superior) มันรุนแรงมาก
เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างรัฐสมาชิก ดิฉันก็ลงไปดูในช่วงเวลาที่ไทยกับกัมพูชาเริ่มที่จะขัดแย้งกัน ความตึงเครียดก็เริ่มสูง ปรากฏว่าเกิดการฟาดกันมั่วไปหมด อย่างเช่นในหลาย ๆ เพจใน Facebook ที่รายงานผลฟุตบอล ซึ่งไม่เกี่ยวกับไทยและไม่เกี่ยวกับกัมพูชา ปรากฏว่าคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น คนที่เข้าไปแลกเปลี่ยนกันมากที่สุดก็คือคนไทยและคนกัมพูชา คุณเข้าไปเถียงกันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรา จนกระทั่งมันจะมีคนจากบางประเทศ ดังเช่นฟิลิปปินส์ ก็ขอร้องให้หยุด เข้าใจว่ามันมีความตึงเครียดในเรื่องพรมแดนอยู่ แต่ว่าไม่ใช่ที่นี่ เราก็เถียงกันมากมาย ซึ่งการเถียงกันนั้นเองก็นำไปสู่คำที่ท่านทั้งหลายคุ้นเคย ดังเช่นคำว่า “Scambodia”, “Claimbodia” ที่เริ่มมาจากการเถียงกันเรื่องฟุตบอลมาก่อน ซึ่งตอนแรกดิฉันก็งงมากว่าแปลว่าอะไร คือเขาเถียงกันด้วยภาษาอังกฤษ แต่เป็นภาษาอังกฤษแบบใช้การแปลภาษา (Translate) ในแพลตฟอร์ม และมีคำหนึ่งที่ตอบโต้กันแล้วคนอื่นเขาก็งงมาก ก็คือคนไทยก็จะว่าคนกัมพูชาว่า “Don’t Khmer me” ฝั่งกัมพูชาก็โต้กลับว่า “Don’t Thai to me” หรือ “Uncle” (คำที่นายกแพทองธาร ชินวัตร เรียก ฮุน เซน) ก็ใช้
ตอนนี้ หลาย ๆ ท่านที่ใช้ AI ตอนนี้ AI สามารถบอกได้แล้วว่า “Don’t Khmer to me” หรือ “Don’t Thai to me” แปลว่า “Don’t lie to me” คือตอบโต้กันจน AI รู้ว่าแปลว่าอะไร เราก็ฟาดฟันกันอย่างรุนแรงมากเลยทีเดียว และอยากจะขอเรียนตรงนี้ว่าคนในอาเซียนเองก็มองเห็นว่านี่มันเป็น “War of Words” (สงครามคำพูด) ไม่ใช่ในเวลาที่ไทยกับกัมพูชามีความตึงเครียดต่อกันเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเริ่มใช้โซเชียลมีเดียกัน มันเป็นสงครามคำพูด และเรียกบรรดาคนที่ใช้โซเชียลมีเดียเหล่านี้ว่าเป็น “Keyboard warriors” (นักรบคีย์บอร์ด) โปรดสังเกตวิธีคำที่ใช้มันเป็น “War Analogy” (การเปรียบเทียบในบริบทของสงคราม) ทั้งหมด เป็นการมองจากมุมของสงครามทั้งหมด
สรุปอย่างรวดเร็วก็คือบริบท (Context) ที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน ทั้งในสังคมไทย และระหว่างคนไทยกับคนที่อื่น ๆ มันเปลี่ยนไปมาก สงครามและความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อมีการใช้อาวุธ แต่เราฟาดฟันกันอยู่ทุกเวลานาที เราทำร้ายกัน เราทิ่มแทงกันอยู่ทุกเวลานาทีผ่านแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การแสดงออกถึงความเกลียดและความกลัว ที่เราทำมันเป็นโจทย์ ที่ในที่สุดแล้ว คำถามของท่านอาจารย์มารคจึงสำคัญ หากมีเวลาจะเล่าเรื่องการแต่งงานข้ามรัฐ (Trans-border marriage) ตอนนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน
อ. ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์
ขอบคุณอาจารย์ชลิดาภรณ์มากค่ะ เราจะเห็นมุมมองของการทำสงครามที่ไม่ใช่แค่การทำสงครามแบบปกติ แบบการใช้อาวุธ แต่เป็นการใช้คำแทนในการทิ่มแทงฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็เป็นความท้าทายสำคัญของการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ถ้าสมาชิกของอาเซียนยังคงมีความเกลียดชังแบบนี้
ศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์
ขอแบ่งเป็น 2 ประเด็นใหญ่ ๆ รวมทั้งเป็นการรวบยอดสิ่งที่ตัวเองพูด แล้วก็มีเรื่องที่อยากจะขอเติมเรื่องแรก คืออยากจะเน้นเรื่อง “Mobility” หรือการเคลื่อนที่ของผู้คนในบริบทที่เราเน้น “Diffrencer” หรือเน้นความแตกต่าง เราเชื่อว่าคนที่สังกัดประเทศอื่น รัฐอื่น มีวัฒนธรรม และมีวิถีชีวิตซึ่ง “ต่าง” จากเรา คือเราเน้นความต่าง ในขณะนี้ผู้คนไม่ได้ต่างคนต่างอยู่แล้วมองกันจากที่ไกล ๆ แต่การเคลื่อนที่ของผู้คน โดยเฉพาะการเคลื่อนที่ด้วยเหตุผลในทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจไทยเราได้เห็นแรงงานที่เราเรียกว่า “แรงงานข้ามชาติ” ดังเช่นแรงงานที่มาจากกัมพูชากลับบ้านทีละ 3 แสนกว่าคน แทบตายกันไปข้างหนึ่ง อยากจะชี้ให้เห็นว่าถ้ามองในเชิงการอพยพของแรงงาน (Labor migration) แต่เพียงอย่างเดียว คนในสังคมไทยได้เห็น ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนจากที่อื่น ๆ ที่เราเชื่อว่าต่าง แล้วเราเน้น “ความต่าง” เห็นแต่ความต่าง ทีนี้พอเห็นแต่ความต่าง มันก็ทำให้หลาย ๆ คนกลัว เรามักจะกลัวสิ่งที่เราไม่รู้จัก เรามักจะกลัวสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย แล้วพอกลัวมาก ๆ มันก็เริ่มข้ามเส้นเป็นความเกลียดชัง นั่นคือสิ่งที่พวกเราเผชิญอยู่ใช่หรือไม่
การเคลื่อนที่ของผู้คนในอีกแง่มุมหนึ่งที่อยากจะขอเรียนท่านทั้งหลายไว้ให้ได้คิดต่อ ก็คือในขณะนี้เป็นคำศัพท์ที่เรียกว่า “Marriage migration” หรือการแต่งงานข้ามพรมแดนรัฐ ซึ่งมีจำนวนมาก และภูมิภาคส่งออกรายใหญ่คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเรา คนเพศสภาพหญิงจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่งงานข้ามพรมแดนไปอยู่ในที่ต่าง ๆ มีจำนวนมาก แล้วก็มีการแต่งงานกันเอง ข้ามพรมแดนกันเองอยู่ในอาเซียนด้วย การศึกษาที่ไล่ตามมา
พวกเรามีความรู้สึกว่า “แล้วอย่างไร?” “มันต่างจากการอพยพของแรงงานอย่างไร?” ต่างมาก เพราะแรงงานข้ามชาติเหล่านั้นที่เราเรียกเขาว่า “แรงงานข้ามชาติ” เขายังอยู่นอกบ้านเรา แต่การแต่งงานข้ามพรมแดนรัฐ เราพาคนที่เราบอกว่า “แตกต่างจากเรา” คนที่หลาย ๆ คนเรียกว่าเป็น “ต่างด้าว” (Aliens) เข้ามาอยู่ในบ้านเรา และมันตามมาด้วยการเจริญพันธุ์และอื่น ๆ ซึ่งมันเปลี่ยนลักษณะของประชากรของประเทศนั้น ๆ โชคร้ายคือเรายังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้ แต่ในบางประเทศในเอเชียตะวันออกได้ลองศึกษาเรื่องนี้แล้ว ปรากฏว่าการแต่งงานข้ามพรมแดนรัฐมันกลับเป็นการตอกย้ำอคติ (Bias) ที่มีต่อคนจากรัฐต่าง ๆ ดิฉันจะไม่ขอยกตัวอย่างเพื่อจะได้ไม่ต้องกระทบกระเทือนใจกัน เพราะฉะนั้น คนบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ยอมนับญาติกับพี่น้องหรือญาติตัวเองที่แต่งงานกับคนต่างชาติจากบางประเทศ และเมื่อลูกเกิดมาไม่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือญาติ คือมันยุ่งมากเรื่องนี้ ก็เลยอยากจะชี้ให้ท่านเห็นว่าการเน้นความแตกต่าง และความกลัวความแตกต่าง ความกลัวสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย ในที่สุดมันปีนข้ามมาเป็นความเกลียดชังได้อย่างไร และการเคลื่อนที่ของผู้คนมันกลับไม่ได้ลดทอนความกลัวและความเกลียดนั้น แต่มันยิ่งทำให้กลัวและเกลียดเพิ่มมากขึ้น
ดิฉันอยากจะขอสรุปอย่างนี้ว่า คือจริง ๆ สิ่งที่ท่านอาจารย์มารคพูดถึงคือการมองที่ ความเหมือน (Commonality) อะไรที่เรามีร่วมกัน ทำไมเราจึงมองเหมือนกับว่าคนที่มาจากวัฒนธรรมอื่น คนที่เราเชื่อว่า คนที่เราแยกว่า “ไม่ใช่พวกเรา” มันต่างจากเราแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีอะไรที่เหมือนหรือร่วมกัน จริง ๆ แล้วเรามีอะไรต่ออะไรร่วมกันมากมายหลายอย่าง ถ้าจะไปถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์มารคพูดถึงเลยคือ “ความเป็นมนุษย์ร่วมกัน” (Common humanity) อันนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จริง ๆ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันมีอะไรที่เรามีร่วมกันกันอยู่มาก
ดิฉันขอปิดท้ายด้วยกีฬาชนิดหนึ่งที่พวกเรารู้จัก และจริง ๆ แล้วเป็นแนวทาง (Approach) ที่น่าจะช่วยให้คนในอาเซียนได้คิดถึงอะไรที่เรามีร่วมกัน พวกท่านทั้งหลายรู้จักกีฬาที่ชื่อ “เซปักตระกร้อ” ใช่ไหมคะ ดิฉันเคยถามคณะที่มาจากมาเลเซีย เป็นอย่างที่คุณจักรภพพูด ก็คือว่าเป็นคณะที่ทางรัฐของมาเลเซียเลือกคนอายุน้อยจำนวนหนึ่งแล้วก็ให้เดินทางโดยรถไฟ แล้วก็ไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ คนกลุ่มนี้เข้ามาเยี่ยมธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ก็ส่งให้ดิฉันเป็นคนไปพูดกับเด็กพวกนี้ ดิฉันก็ถามว่า “เซปักตระกร้อเป็นกีฬาของใคร ?” อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงของดิฉันและท่าที ชาวมาเลเซียเหล่านี้รีบพูดว่าเป็นของไทย ซึ่งส่วนหนึ่งดิฉันคิดว่าเป็นเพราะความกลัวดิฉัน แล้วก็พูดอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลัวว่าถ้าตอบว่าเป็นของมาเลเซียคงได้ตบกันแน่
เซปักตระกร้อน่าสนใจตรงไหน ขอให้เปรียบเทียบ พวกเราคงจำได้ว่าเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว มันมีการแย่งชิงกันระหว่าง “กุนขแมร์” กับ “มวยไทย” ซึ่งน่าเวียนหัวมากว่ามันต่างกันตรงไหน อะไร อย่างไร ตอนที่ดิฉันไปนำเสนองาน “Mobility of Hatred” ตอนที่ยังเป็นร่างแรก อินโดนีเซียกับมาเลเซียเขาก็แย่งกัน เขาก็พูดกันว่าใครเป็นเจ้าของสะเต๊ะ สะเต๊ะเป็นของใคร พอกุนขแมร์กับมวยไทยขึ้น ก็เกิดสงครามสะเต๊ะ ซึ่งเมื่อคิดดูให้ดี ๆ แล้ว สะเต๊ะไม่ใช่เป็นของทั้งสองประเทศนั้นเลย จริง ๆ มาพร้อมกับพ่อค้าที่มาจากตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับเซปักตระกร้อ
ทำไมดิฉันยกตัวอย่างเซปักตะกร้อ เพราะดิฉันว่ามันเป็นแนวคิดที่น่ารัก เซปักตระกร้อมาจากคำ 2 คำ “เซปัก” เป็นภาษาภาษามาเลเซียแปลว่า “เตะ” และ “ตระกร้อ” ว่ากันว่าเป็นคำไทย แปลว่า “ลูกบอลสาน” กีฬาชนิดนี้เอาคำสองภาษามารวมกัน น่ารักดี มันเป็นของพวกเราที่เรามีร่วมกัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ลูกตระกร้อที่เตะกันอยู่นี้ก็มาจากจีนอีกเช่นเดียวกัน ลองคิดดูว่าสิ่งที่เรามีร่วมกันมันมีอะไรต่ออะไรมากมาย แล้วสิ่งที่เรามีร่วม ๆ กัน แล้วเราแบ่งปันกันนั้นมากกว่าความต่าง เวลาที่โกรธ เวลาที่เกลียด เวลาที่กำลังจะสาดใส่ความเกลียดชังนี้ผ่านโซเชียลมีเดีย ให้คิดถึง “เซปักตระกร้อ” ไว้ แล้วโลกนี้จะดีขึ้น ขอบพระคุณค่ะ
หมายเหตุ :
- ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/live/TuI2P3oYm4w
ที่มา :
- PRIDI Talks #32 : อนาคตไทย-อาเซียน: ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30-12.30 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์