Focus
- บทความชิ้นนี้ของทองเปลว ชลภูมิ์ เสนอว่าหากรัฐบาลมีทุนสำรองมากและนำไปออกธนบัตรเพิ่ม จะทำให้เงินเฟ้อและราคาสินค้าแพงขึ้นหากรัฐบาลลงทุนทำธุรกิจเอง อาจ แย่งพื้นที่ของภาคเอกชน ทำให้กลไกตลาดเสียสมดุลรายได้ของรัฐบาลมาจากภาษีของประชาชน ดังนั้นการสะสมทุนของรัฐมากเกินไปอาจหมายถึงการ รีดภาษีประชาชนมากเกินความจำเป็น ความร่ำรวยที่แท้จริงของชาติ คือความร่ำรวยของประชาชนเศรษฐกิจที่ดีคือเศรษฐกิจที่ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
- นอกจากนี้ได้วิเคราะห์ว่า งบประมาณของรัฐบาลมักมีรายได้เกินรายจ่าย ทำให้มีเงินคงคลังสูง แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความมั่งคั่งของประชาชน วิธีการตั้งงบประมาณที่ถูกต้อง ควรตั้งจากรายจ่ายก่อนแล้วจึงกำหนดรายได้ เพื่อให้การเก็บภาษีสอดคล้องกับความจำเป็นของรัฐ ไม่ใช่เพื่อสะสมเงินคงคลัง แต่เพื่อความความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน กล่าวคือ ประชาชนต้องร่ำรวยก่อน รัฐจึงร่ำรวยตาม ไม่ใช่ในทางกลับกัน

หนังสือรวมความเรียงเรื่องเศรษฐศาสตร์ของนายทองเปลว ชลภูมิ์
ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ปรารถนากันในหมู่มนุษย์ทุกคน การกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ในโลกนี้อันเกี่ยวด้วยการทำมาหากิน จะโดยทางใดก็ดีย่อมมุ่งหมายอยู่ในจุดสำคัญก็คือในความร่ำรวย เพราะเหตุว่าความร่ำรวยเป็นบ่อเกิดและเป็นอำนาจที่จะกระทำให้มนุษย์ได้รับความสุข ได้รับสิ่งที่ตนปรารถนาต่าง ๆ มนุษย์เราเกิดมาถ้าหากว่ายังไม่มีความเจริญ มนุษย์ก็ย่อมยังไม่รู้จักถึงคุณค่าของความร่ำรวย แต่มนุษย์ยิ่งมีอารยธรรมมากขึ้นเพียงใด รู้จักคุณค่าของความเจริญมากขึ้นเพียงใด มนุษย์ก็ย่อมปรารถนาถึงความร่ำรวยขึ้นมากเพียงนั้น
แต่เดิม เมื่อการปกครองยังมิได้มีระเบียบจัดเป็นองค์การณ์มีรัฐบาล เราก็ถือกันว่าทุก ๆ คนที่เป็นหน่วยหนึ่งเข้ามารวมกันเป็นสังคมนั้นย่อมมีอำนาจในการจัดการเกี่ยวด้วยกิจการการปกครอง และกิจการทางทรัพย์สินของเขาเป็นส่วนตัว ความร่ำรวยของแต่ละคนก็หมายถึงความร่ำรวยเป็นส่วนบุคคลไป แต่ต่อมาภายหลังเมื่อเกิดมีหัวหน้าสังคม เริ่มตั้งแต่ขั้นพ่อบ้านต่อมาก็พระมหากษัตริย์และในขั้นสุดท้าย แบบประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการงานในทางบริหารความคิดในเรื่องความร่ํารวย ก็ย่อมวิวัฒนาการแบ่งออกมาเป็น ๒ ชะนิดด้วยกัน คือ ๑. ความร่ำรวยของรัฐ หรืออีกนัยหนึ่งอันอาจกล่าวได้ว่า ความร่ำรวยของรัฐบาล และ ๒. ความร่ำรวยของเอกชนที่มาประกอบกันเป็นหน่วยหนึ่งของชาติ
ปัญหาเรื่องความร่ำรวยของทั้งสองประเภทนี้ เป็นปัญหาที่ขัดแย้งกันในวงการวิชาเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่ต้น กล่าวคือตั้งแต่ลัทธินิยมการค้าหรือเรียกว่า เมอร์คันติลิสต์ (Mercantilist) จนกระทั่งบัดนี้ อันมีคตินิยมแปลกไป และคตินิยมนั้นมีวิธีการอันกล่าวถึงการร่ำรวยต่างหากไปจากพวกนิยมการค้า

Mercantilist Follies, Then and Now
ที่มา: https://lawliberty.org/mercantilist-follies-then-and-now/
แต่เดิมลัทธินิยมการค้าย่อมถือเอาคตินิยมที่ว่า รัฐทั้งหลายที่จะถึงซึ่งความเจริญเดินหน้ารัฐอื่นนั้น รัฐนั้นจะต้องเป็นรัฐที่มีความร่ำรวย กล่าวคือเช่นรัฐซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ต้องพยายามหาทางที่จะกอบโกยทรัพย์สินเงินทองเอาเข้ามาไว้ในท้องพระคลังหลวงให้ได้มากที่สุดที่จะมากได้ และการที่จะกอบโกยทรัพย์สินเงินทองเอาเข้ามาไว้ในท้องพระคลังหลวงให้ได้มากที่สุดที่จะมากได้นั้น รัฐหรือรัฐบาลไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความร่ำรวยของประชาชาติหรือของเอกชนแต่ละหน่วย ถ้ารัฐหรือรัฐบาลมีความร่ำรวยมากขึ้นเพียงใดแล้ว เอกชนซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของชาติจะยากจนสักเพียงใด รัฐก็ไม่คำนึงถึง ทั้งนี้เพราะรัฐถือหลักที่ว่า ถ้าหากว่ารัฐร่ำรวยแล้ว ผลกะท้อนหรือที่เรียกว่าปฏิกิริยา ก็ย่อมก่อให้เกิดความร่ำรวยของรัฐนั้นตกไปอยู่กับราษฎรที่เข้ามารวมกันเป็นชาติด้วยโดยทางอ้อม กล่าวคือ การประดิษฐ์กรรมต่าง ๆ ภายในประเทศก็ย่อมเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากรัฐต้องการสินค้าส่งไปขายนอกประเทศ และเมื่อการประดิษฐกรรมเกิดขึ้นมากแล้ว
เอกชนแต่ละคนซึ่งจะเป็นกรรมกรก็ดี กสิกรก็ดี หรือธนบดีก็ดี ก็ย่อมได้รับผลในทางอ้อมของความร่ำรวยจากรัฐนั้น คตินิยมในการค้านี้ได้เป็นที่แพร่หลายอยู่ชั่วเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งมามีลัทธินิยมอย่างอื่น คตินิยมนี้ก็ได้เสื่อมคลายไป ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่ารัฐร่ำรวยนั้นไม่ใช่เป็นผลที่จะก่อให้เกิดความร่ำรวยแก่เอกชนที่เป็นหน่วยหนึ่งของชาติเสมอไป ภายหลังได้มีผู้คิดกันว่าผลร่ำรวยของรัฐนั้นไม่ใช่ผลดีเสมอไป เท่ากับผลร่ำรวยของประชาชาติที่มารวมกันเป็นหน่วยหนึ่งของชาติ
โดยฉะเพาะเมื่อมาคำนึงถึงว่า ในทางหลักการคลัง และหลักเรื่องความหมุนเวียนภายในประเทศของเงินตราด้วยแล้ว ความร่ำรวยของรัฐหรือของรัฐบาลไม่ใช่เป็นผลดีเสมอไป กล่าวคือว่า ถ้าเมื่อใดรัฐบาลร่ำรวยมาก มีทุนสำรองมาก รัฐบาลก็ย่อมหาทางที่จะออกธนบัตรให้มากขึ้น ในขณะนั้นเอง เมื่อธนบัตรออกมากขึ้น ราคาสินค้าก็ย่อมแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยฉะเพาะความร่ำรวยของรัฐบาลนั้น เป็นไปในทางคล้ายประหนึ่งว่าเป็นความร่ำรวยของเอกชนคนเดียว ที่ไม่ใช้ความร่ำรวยก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างใด คล้ายเศรษฐีบางคนในเมืองไทยเวลานี้ ทั้งนี้เพราะเหตุว่า เมื่อรัฐบาลร่ำรวยก็ไม่ใช่เป็นการแน่นอนเสมอไปว่า ความร่ำรวยของรัฐบาลนั้นจะก่อให้เกิดผลประโยชน์นอกเหนือขึ้นแก่ประเทศชาติ เนื่องจากว่ารัฐบาลร่ำรวย รัฐบาลก็จะเอาเงินทุนสำรองมาลงทุนทำกิจการค้าอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ถ้าหากว่ารัฐบาลเอาทุนสำรองมาทำกิจการค้าอย่างใดแล้ว ก็เท่ากับว่ารัฐบาลได้มาแย่งเอากิจการประกอบการของเอกชนไปเสีย เป็นการเหลื่อมล้ำหน้าที่ของรัฐบาล

Government investment (การลงทุนของรัฐบาล)
ที่มา: https://www.prosperityadvisers.com.au/insights/government-initiatives-to-further-boost-inward-investment
ในทางหลักการคลัง เราย่อมถือว่ารายได้ของประเทศหรือความร่ำรวยของรัฐบาลนั้นต้องมีกฎหมายคุ้มครอง รัฐบาลได้รายได้ไปก็เท่ากับเอารายได้ไปจากราษฎร จริงอยู่ ถึงแม้รัฐบาลจะเป็นผู้อำนวยความสุขให้ความประกันหรือให้ความสุขสมบูรณ์แก่ราษฎร แต่เราก็ต้องถือว่ารัฐบาลไม่ใช่เป็นหน่วยอิสสระต่างหากจากเอกชน รัฐบาลคือการรวมกันของประชาชาติ เป็นองค์การณ์นามธรรมที่จะก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ในอันที่จะปกครองประชาชาติทั้งหลาย ฉะนั้นรัฐบาลเขาจึงถือว่าไม่ควรจะมีหลักทรัพย์ ไม่ควรจะมีเงินนอกเหนือไปจากความจำเป็นเกี่ยวด้วยการจัดการบำรุงประเทศ ทรัพย์สินของรัฐบาลทั้งหลาย จะเป็นเงินทองก็ดี หรือจะเป็นหลักทรัพย์ประเภทอื่นก็ดี ย่อมถือว่าเป็นทรัพย์ส่วนรวมของประชาชาติ ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เราจะเห็นก็คือว่า ในการใช้จ่ายของแผ่นดิน รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณรายได้และรายจ่าย ซึ่งงบประมาณรายจ่ายนั้นก็ย่อมถือเอาจากงบประมาณรายได้ที่จะเก็บเอามาจากราษฎร และรายจ่ายนั้นก็เท่ากับว่าภาษีอากรต่าง ๆ หรือเงินกู้ยืมของราษฎรต่าง ๆ นั่นเอง ที่เป็นสิ่งก่อให้มีค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ถ้าหากว่ารัฐบาลมีทุนเป็นของตัว กล่าวคือมีหลักทรัพย์เป็นทุนสำรองเป็นส่วนตัวมาลงทุนเสียเองเช่นนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะเป็นผลดี กล่าวคือจะทำให้ภาษีอากรลดน้อยลงไปก็หาไม่ เพราะเหตุว่าในเรื่องหลักของการคลัง ย่อมถือว่าการใช้จ่ายต่าง ๆ ย่อมมาจากราษฎร การลงทุนของรัฐบาลในกิจการการประกอบการต่าง ๆ นั้น จริงอยู่ รัฐบาลอาจจะเอาทองคำสำรองหรือทุนสำรองมาลงทุนประกอบกิจการได้ แต่ก็ไม่เป็นการแน่นอนเสมอไปว่าจะถูกต้องตามหลักวิชา เพราะเหตุว่าถ้ารัฐบาลมีทองคำสำรองมาก เอามาลงทุนมาก ก็ทำให้การหมุนเวียนเงินคงคลังลดน้อยลงไป และในขณะเดียวกันก็ทำให้การออกธนบัตรเพิ่มมากขึ้น ก็เท่ากับว่าจะทำให้เกิดผลร้าย กล่าวคือว่าแทนที่จะประกอบการนั้น ๆ ให้ได้ผลดีตามความปรารถนา
การประกอบการของเอกชนที่เป็นผู้แข่งขันให้ภาษีรายได้แก่รัฐบาลก็ต้องเลิกล้างไป และราคาสินค้าต่าง ๆ ก็ย่อมแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว ปัญหาในเรื่องนี้ได้เป็นที่ขบกันมามากแล้ว โดยฉะเพาะเราจะเห็นได้ว่าในบางประเทศ เช่นประเทศอเมริกาหรือประเทศฝรั่งเศส ซึ่งรัฐบาลมีทองคำสำรองนับตั้งพันล้านกว่าบาท แต่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะได้เอาทองคำนั้นมาลงทุนหรือใช้สอยโดยไม่เก็บภาษีอากรจากราษฎรก็หาไม่ ตรงกันข้าม ทองคำสำรองนั้นก็ย่อมเก็บเอาไว้เป็นเงินตายตัว กล่าวคือรัฐบาลยิ่งร่ำรวยขึ้นเท่าไร ก็หมายความว่าเลือดของราษฎรหรือรายได้ต่าง ๆ ของราษฎรเข้าไปอยู่ในมือของรัฐบาล ความร่ํารวยต่าง ๆ เหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าจะนำออกมาใช้จ่ายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรก็หาไม่ โดยฉะเพาะรัฐบาลกลับจะเก็บเอาความร่ำรวยนั้นไว้เพื่อใช้จ่ายในเหตุฉุกเฉิน หรือในขณะที่มีการสงครามเช่นนี้เป็นต้น

เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ความร่ำรวยของชาติย่อมถือกันเป็นหลักว่า ชาติใดจะร่ำรวยนั้นไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาลร่ำรวย ประชาชาติที่ประกอบกันเป็นชาตินั้นต่างหาก นี่เป็นหลักสำคัญของความร่ำรวย กล่าวคือ ถ้าประเทศใด รัฐใด ประชาชาติแต่ละหน่วยแต่ละคนมีความร่ำรวยมากขึ้นแล้ว ก็เท่ากับว่าชาตินั้น รัฐนั้นมีความร่ำรวย สามารถจะทำอะไรก็ได้ สมมติว่า ถ้ารัฐบาลต้องการเงินจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับงบประมาณการป้องกันประเทศ หรือเกี่ยวกับงบประมาณการลงทุนใด ๆ เมื่อประชาชนภายในประเทศมีความร่ำรวยขึ้นแล้ว ก็ย่อมเป็นการแน่นอนว่า รัฐบาลย่อมจะเก็บภาษีรายได้หรืออาจจะขึ้นภาษีต่าง ๆ เช่นภาษีทางตรงภาษีทางอ้อมได้ และรายได้นั้นก็เข้าไปเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาลที่จะนำมาลงทุนต่าง ๆ ได้
เพราะฉะนั้นผลดีของประชาชาติที่มีความร่ำรวยนั้น เขาจึงถือเป็นหลักว่า ถ้าจะดูว่าชาติใด ประเทศใดร่ำรวยแล้ว เขาให้ดูว่าเมื่อคิดส่วนเฉลี่ยของประชาชาติที่มารวมกันเป็นรัฐนั้นมีความร่ำรวยเป็นจำนวนเพียงใด ไม่ใช่ว่าราษฎรมีฐานะความเป็นอยู่อย่างคับแค้นยากจน แต่รัฐบาลมีทุนสำรองหรือมีความร่ำรวยเป็นอย่างมากแล้ว ชาตินั้น เขาจะถือว่าเป็นชาติที่ร่ำรวยก็หาไม่
หลักนี้ในทางวิทยาศาสตร์การคลัง เราจะเห็นได้ว่า ในบางประเทศได้พยายามที่จะหลบหลีก กล่าวคือ ถ้าหากว่าในเหตุการณ์ปกติธรรมดาแล้ว เขาย่อมไม่หาทางที่จะเก็บภาษีอากรกับราษฎรให้มากขึ้น ตรงกันข้าม กลับพยายามที่จะหาทางระบายทุนสำรองของรัฐบาลออกมาเพื่อให้มาตรฐานเงินตราหรือมาตรฐานของราคาสินค้าคงที่ หรือได้เป็นประโยชน์แก่ราษฎรเอง ความร่ำรวยที่เข้าไปสู่ธนาคารชาติก็ดี เข้าไปสู่ท้องพระคลังหลวงก็ดี ย่อมก่อให้เกิดความยากลำบากความปั่นป่วนภายในประเทศเสมอไป โดยเหตุนี้แหละในทางเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ โดยปกติตามหลักเรื่องวิชาการคลังแล้ว เขาจึงบอกว่าความยากเข็ญต่าง ๆ ที่จะเกิดภายในประเทศนั้น ย่อมอยู่ด้วยการแบ่งสันปันส่วน ของ ทองคํา ไม่เป็นไปโดย สม่ําเสมอ กล่าวคือประชาชาติที่เป็นหน่วยของประเทศต้องมีทองคำอยู่ในกะเป๋า ตามส่วนเฉลี่ยของความมั่งคั่งส่วนบุคคล ไม่ใช่ว่าประชาชาติจะจน แล้วทองคำของประชาชาติเข้าไปอยู่ในกะเป๋าของรัฐบาล

การอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475
ประเทศไทยตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยแล้ว เราจะเห็นว่า ทุนสำรองของรัฐบาลมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี ซึ่งบัดนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเทียบกับทุนสำรองของรัฐบาลเมื่อก่อนหน้าเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ทุนสำรองของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าครึ่ง อย่างนี้เป็นต้น แต่เราจะคิดละหรือว่า การที่รัฐบาลมีทุนสำรองเป็นเท่าครึ่งนั้น ประชาชาติไทยจะมีความร่ำรวยตามไปกับรัฐบาลทุนสำรองที่ประเทศไทยได้รับนั้น ถ้าเราจะพิเคราะห์ตามงบประมาณรายได้ของประเทศแล้ว ผลก็เนื่องมาจากที่ว่าวิธีการตั้งงบประมาณ กล่าวคือรัฐบาลกะงบประมาณรายจ่ายไว้อย่างหนึ่ง แต่รายได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณรายจ่ายซึ่งควรจะไปลงทุนก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ประชาชาติตามส่วนกับงบประมาณรายได้แล้ว ผลกลับปรากฏว่างบประมาณรายได้สูงกว่างบประมาณรายจ่ายอยู่เสมอซึ่งงบประมาณรายได้สูงกว่ารายจ่ายนี่เองก่อให้เกิดเงินเหลือคงคลังเป็นจำนวนมาก
ดังที่เราจะเห็นได้จากรายงานที่ปรึกษากระทรวงการคลัง ที่กล่าวชมเชยฐานะการคลังของประเทศไทย ดังนี้เราจะสมมติเอาได้แหละหรือว่า วิธีการงบประมาณของรัฐบาลในสมัยก่อน ๆ นั้นจะเป็นไปถูกต้องตามหลักวิชา โดยถือว่างบประมาณรายได้และรายจ่ายของประเทศที่เรา จะเก็บเอามาจากภาษีอากรของราษฎรนั้น ตามหลักแล้วรัฐบาลได้จ่ายให้คุ้มค่ากับที่เขาได้เสียมาละหรือ โดยฉะเพาะ ถ้าเราจะพิจารณาดูหลักของการงบประมาณแล้ว ฉะเพาะในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี ๒๔๗๕ นี้เท่านั้น ที่เราเห็นว่าวิธีการตั้งงบ ประมาณได้เป็นไปอย่างถูกหลักวิชา
กล่าวคือในงบประมาณที่เสนอต่อสภา ฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ได้ ตั้งจากรายจ่ายก่อนแล้วจึงตั้งรายได้ วิธีการนี้เป็นวิธีที่ดี คือถ้าหากว่าจ่ายเท่าไรก็ควรจะเก็บภาษีจากราษฎรเท่านั้น ไม่ใช่ตั้งจากรายได้แล้วจึงตั้งเป็นรายจ่าย เพราะเหตุว่าวิธีการตั้งจากรายได้มาทำเป็นรายจ่ายนั้น เป็นวิธีที่หาเงินเข้าคลัง ทั้งนี้เพราะแต่เดิมถือหลักกันว่า ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแสดงความสามารถว่าเมื่อสิ้นปีแล้วรายได้ที่จะจ่ายนั้นจ่ายไม่ถึง และมีรายได้ก่อให้เกิดเงินคงคลังขึ้นแล้ว เราย่อมถือว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้นสามารถ โดยเหตุเช่นนี้เอง เราจึงเห็นว่าเงินคงคลังของประเทศจึงเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี แต่จะแน่นอนเสมอไปหรือที่ว่า ผลที่เกิดจากงบประมาณคงคลังเพิ่มขึ้นนี้ จะมิก่อให้เกิดสินค้าแพงขึ้น และทำลายความมั่งคั่งของประชาชาติละหรือ ย่อมเป็นการแน่นอนว่า ถ้าหากความร่ำรวยต่าง ๆ ที่ราษฎรได้เสียไปให้แก่รัฐบาล ก็ไปเก็บเป็นเงินคงคลังเสียแล้ว ก็เท่ากับว่าส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของราษฎรจะต้องไปถูกเก็บอยู่ในท้องพระคลังเมื่อความมั่งคั่งของราษฎรต้องเอาถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังเช่นนี้แล้ว ทุนก้อนนั้นก็ไม่สามารถที่จะเอามาหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยก่อให้เกิดดอกผลประการอื่นได้ เข้าหลักที่ว่ารัฐบาลร่ำรวย แต่ราษฎรยากจนและเป็นวิธีที่เอาเปรียบราษฎร โดยรัฐบาลพยายามแต่ที่จะหาทางเก็บเงินเข้าไปไว้เพื่อแสดงความสามารถของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น
ดังที่ได้กล่าวมานี้แหละ จึงทำให้เห็นว่าเงินคงคลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้น จริงอยู่ถึงจะแสดงฐานะความมั่นคงของรัฐบาล แสดงฐานะการใช้จ่ายของประเทศแสดงฐานะความสามารถของกระทรวงการคลัง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ไม่ได้แสดงถึงฐานะความมั่นคงแห่งความร่ํารวยของประชาชาติได้เลย โดยฉะเพาะ ถ้าหากว่าจะได้มีการคำนึงถึงว่ารัฐพยายามอย่างใดที่จะทำให้ราษฎรร่ำรวยได้แล้ว เมื่อถึงคราวจำเป็น รัฐบาลก็จะหาทางขึ้นภาษีอากร เพื่อเอาเงินนั้นมาป้องกันประเทศชาติ หรือบำรุงความสุขสมบูรณ์ ความ มั่งคั่งของราษฎรก็น่าจะถูกหลักกว่า
หลักการคลังของรัฐบาลกับของเอกชนย่อมผิดกันรัฐจ่ายจากรายได้ของราษฎร แต่ราษฎรจ่ายจากรายได้ของราษฎร ราษฎรประหยัดการใช้จ่ายเพื่อความร่ำรวยของราษฎร แต่รัฐบาลประหยัดการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้ราษฎรต้องเสียภาษีมาก รัฐบาลใช้จ่าย น้อยโดยเก็บภาษีมาก และเก็บเป็นเงินคงคลังไว้มากชักเมื่อราษฎรไปเป็นเงินคงคลัง น่าจะยังไม่ถูกหลักวิชาละกะมัง ?
ลงในสุวรรณภูมิ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๔
หมายเหตุ:
- อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
เอกสารอ้างอิง:
- ทองเปลว ชลภูมิ์, “รัฐบาลร่ํารวยดีหรือไม่ ?” ใน รวมความเรียงเรื่อง เศรษฐศาสตร์ ของนายทองเปลว ชลภูมิ์ (กรุงเทพฯ: สำนักงานนายเมตตา, 2484), น. 233-247.