เมื่อยึดอำนาจได้แล้วคณะรัฐประหารไม่ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลเสียเอง แต่มอบหมายให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลรับหน้าไปก่อน ต่อเมื่อรัฐประหารได้รู้จุดอ่อนของผู้นำพลเรือน คือ การแตกแยกกันเอง ทั้งๆ ที่เคยร่วมงานกันมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และรัฐบาลพลเรือนขาดพลังนอกสภาสนับสนุนค้ำจุน คณะรัฐประหารจึงได้เข้าไปเป็นรัฐบาลเสียเอง โดยการบีบบังคับให้รัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ลาออกไปได้โดยง่าย
การหาเสียงของนายควง อภัยวงศ์ ในปี พ.ศ. 2489
ว่ากันว่าตอนนั้นนายควง มีนายวิลาศ โอสถานนท์ เป็นคู่แข่งคนสำคัญ
นายควงได้ทิ้งคำขวัญหาเสียง ไว้ให้คนยุคเก่าได้ฮือฮาว่า “เหล็กวิลาศหรือจะสู้ตะปูควง”
ที่มา : pinterest
คณะรัฐประหารมิได้มีโครงการปกครองประเทศที่แน่นอนแต่อย่างใด เพราะจุดมุ่งหมายเบื้องต้นแค่เปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น ประกอบกับโครงสร้างภายในคณะรัฐประหารแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะการรวมตัวซึ่งทำให้จอมพล แปลก พิบูลสงครามหาได้มีอำนาจอย่างแท้จริงเหมือนเมื่อก่อนไม่ อำนาจได้กระจายไปยังผู้คุมกำลังฝ่ายต่างๆ การดำเนินการปกครองประเทศของคณะรัฐประหารจึงเป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจในคณะรัฐประหาร ซึ่งส่งผลสะท้อนต่อพฤติกรรมการปกครองประเทศของคณะรัฐประหารในเวลาต่อมา
ช่วงเวลาหลังจากคณะรัฐประหารเข้ามามีอำนาจปกครองประเทศ นับเป็นช่วงที่เกิดกบฏจราจลมากที่สุด ครั้งที่สำคัญๆ 3 ครั้ง ได้แก่ กบฏเสนาธิการ กบฏวังหลวง และกบฏแมนฮัตตัน สภาวะการเมืองในขณนั้นจึงอยู่ในสภาพหวาดระแวงต่อการใช้กำลังอาวุธต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทางการเมือง เมื่อเกิดการต่อต้านขึ้นบ่อยครั้ง คณะรัฐประหารจึงได้ใช้อำนาจรัฐ “เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย” อยู่เหนือสิทธิเสรีภาพของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพของรัฐตำรวจจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนั้นคณะรัฐประหารยังต้องประสบกับความยุ่งยากในการบริหารประเทศตามแนวทางที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ 2492 ทั้งจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเองที่พยายามจะแยกทหารออกจากการเมือง และจากบทบาทวุฒิสภาที่ใช้อำนาจตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่นับตั้งแต่การตั้งกระทู้ยับยั้งร่างกฎหมาย ตลอดจนเปิดอภิปรายทั่วไป
ประการสำคัญคือ รัฐบาลของคณะรัฐประหารต้องคอยเอาอกเอาใจบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งได้รวมกันเป็นสหพรรคเพื่อสนับสนุนรัฐบาล และเสียงข้างมากที่สนับสนุนรัฐบาลอาจผันแปรไปได้หากสมาชิกสภาผู้แทนเห็นว่ารัฐบาลตอบแทนไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงอยู่ในฐานะไม่มั่นคง ในที่สุดคณะรัฐประหารจึงได้ทำรัฐประหารเงียบในปี 2494 เลิกล้มรัฐธรรมนูญ 2492 นำรัฐธรรมนูญ 2475 กลับมาใช้ ซึ่งคณะราษฎรเคยใช้รักษาอำนาจมาแล้วกว่า 10 ปี ทั้งใช้ประกาศห้ามชุมนุมทางการเมืองซึ่งเท่ากันเป็นการยุบเลิกพรรคการเมือง อำนาจปกครองประเทศจึงตกอยู่แก่คณะรัฐประหารอย่างเด็ดขาดตั้งแต่นั้นมา
ผลสะท้อนทางการเมืองของรัฐประหาร 2490 นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนมือผู้ถือครองอำนาจจากคณะราษฎรมาสู่คณะรัฐประหารแล้ว ยังผลให้วิวัฒนาการทาง การเมืองซึ่งมีทีท่าจะดำเนินไปสู่ระบอบประชาธิปไตยต้องสะดุดหยุดชะงัก โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของคณะรัฐประหารที่ขัดต่อหลักเกณฑ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
ประการแรก : หลักที่ว่าด้วยความยินยอมของผู้อยู่ใต้ปกครอง คณะรัฐประหารได้บีบบังคับให้รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ลาออกไปหลังจากได้รับเลือกตั้งเพียง 2 เดือนเศษ แสดงถึงว่าคณะรัฐประหารไม่คำนึงถึงเสียงของประชาชน
ประการที่สอง : หลักที่ว่าด้วยการเปลี่ยนผู้ปกครองได้เป็นครั้งคราว คณะรัฐประหารเงียบนำรัฐธรรมนูญ 2475 ซึ่งคณะราษฎรได้รักษาอำนาจมาแล้ว มาใช้แทนที่รัฐธรรมนุญ 2492 ที่เป็นประชาธิปไตยเท่ากับคณะรัฐประหารต้องการเป็นรัฐบาลตราบนานเท่านั้น
ประการที่สาม : หลักที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐาน คณะรัฐประหารไม่นำพาต่อสิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐานของประชาชน “ยุคอัศวินผยอง” สร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ดังเช่น ยิงทิ้งอดีตสี่รัฐมนตรี เป็นต้น
ผลจากรัฐประหารจึงกระทบกระเทือนโดยตรงต่อวิถีทางการเมืองที่จะไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ การเกิดผลทางอ้อมซึ่งเป็นปัญหาที่การเมืองไทยกำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ ได้แก่ การขาดผู้นำทางการเมืองที่เป็นพลเรือน อันเนื่องมาจากการครองอำนาจอันยาวนานของคณะรัฐประหาร โดยที่พรรคฝ่ายค้านไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาล ขาดการพัฒนาผู้นำทางการเมือง ทำให้การเมืองไทยไม่สามารถผลิตผู้นำที่เป็นนักการเมืองเข้าแทนที่เมื่อทหารหมดอำนาจลง จึงมีแต่ผู้นำที่เป็นข้าราชการเท่านั้น
รัฐประหาร 2490 เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ตราบใดที่การแข่งขันทางการเมืองยังมิได้ขยายฐานแห่งอำนาจไปสู่ประชาชน อำนาจยังคงอยู่ในวงราชการ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยการใช้กำลังย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นหากฝ่ายนิยมประชาธิปไตย ยังไม่สามารถทำให้สถาบันทางการเมือง กลุ่มการเมืองต่างๆ ตลอดจนความสำนึกทางการเมืองของประชาชนกลายเป็นพลังที่รองรับค้ำจุนระบอบประชาธิปไตย ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอาจเกิดขึ้นได้
ที่มา: ตัดตอนและแก้ไขเล็กน้อย สุชิน ตันติกุล, “ผลสะท้อนการเมืองของรัฐประหาร พ.ศ.2490”, (วิทยานิพนธ์ปริญญารัฐศาสตร์มหาบัณฑิต แผนกวิชาการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2517, 168-170, สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2564.
หมายเหตุ : เอื้อเฟื้อภาพถ่ายในการจัดทำแบนเนอร์จากเพจ ชมรมอนุรักษ์ฟิลม์เก่า ฟิล์มกระจก ภาพถ่ายขาวดำ
- รัฐประหาร 2490
- สุชิน ตันติกุล
- คณะราษฎร
- การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
- รัฐประหาร
- ควง อภัยวงศ์
- พรรคประชาธิปัตย์
- สงครามโลกครั้งที่ 2
- แปลก พิบูลสงคราม
- สฤษดิ์ ธนรัชต์
- เผ่า ศรียานนท์
- ฟื้น ฤทธาคนี
- กบฏเสนาธิการ
- กบฏแมนฮัตตัน
- รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2492
- รัฐประหาร 2494
- ยุคอัศวินผยอง
- สี่รัฐมนตรี
- ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
- ถวิล อุดล
- จำลอง ดาวเรือง
- ทองเปลว ชลภูมิ์