Focus
- ในวาระ 147 ปีชาตกาลครูบาศรีวิชัย ทางจังหวัดลำพูนและหลายหน่วยงานกำลังผลักดันเสนอชื่อท่านเป็น "บุคคลสำคัญของโลก" กับคณะกรรมการองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ผู้เขียนจึงนำเสนอแง่มุมของ ธรรมยาตรา หรือการเดินทางธุดงค์ ที่เผยให้เห็นพลังศรัทธาของประชาชนและพระสงฆ์
- บทความของเพ็ญสุภา สุขคตะ มุ่งเสนอให้เห็นภาพของ “ธรรมยาตรา” ของครูบาศรีวิชัยในฐานะการจาริกเพื่อสืบทอดและขยายพุทธศาสนา ทั้งการสร้างและบูรณะวัดวาอาราม การปลุกจิตศรัทธาในชาวบ้าน โดยมีการดำรงอยู่ในจารีตสงฆ์แบบล้านนาอย่างเคร่งครัด เพ็ญสุภาชี้ให้เห็นว่าครูบาศรีวิชัยมีแรงบันดาลใจจาก "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" และดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ ด้วยเจตจำนงแน่วแน่ในการเป็นเนื้อนาบุญแก่สาธุชน จึงปรากฏเป็นขบวนธรรมยาตราที่มีพลังทั้งเชิงศาสนาและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นคุณูปการสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาในล้านนา

ครูบาศรีวิชัยถือพัดขนนกยูง ยืนกำกับการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ถ่ายหน้าวัดศรีโสดาปี 2477
วันที่ 11 มิถุนายน 2421 หรือ 147 ปีที่แล้ว เป็นวันชาตกาลของ “ครูบาศรีวิชัย” ผู้เป็นนักบุญหรือ “ตนบุญ” (ภาษาเหนือออกเสียงเป็นต๋นบุญ) แห่งล้านนา
ตลอดช่วงที่ครูบาศรีวิชัยมีชีวิต ท่านได้เดินจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ทำให้เกิดกระบวนการ “ธรรมยาตรา” ขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ภาพที่ชาวล้านนาจดจำ ก็คือไม่ว่าครูบาศรีวิชัยจะเดินไปแห่งหนตำบลไหน ทั้งระหว่างเมืองสู่เมือง ไม่เว้นแม้ป่าเขาลำเนาไพร มักมีศิษยานุศิษย์ทั้งเพศบรรพชิตและฆราวาสจำนวนมหาศาลเดินตามท่านไปด้วยนับพันคน ประหนึ่งเป็น “กองทัพธรรม”
ตั้งแต่ปี 2557 จวบจนปัจจุบัน ดิฉันได้ศึกษาเรื่องเส้นทางการเดินจาริกของครูบาศรีวิชัย เพื่อไปช่วยก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามทั่วดินแดนล้านนา พบว่ามีทั้งการเดินในลักษณะที่เรียกว่า “ตามรอยตำนานพระเจ้าเลียบโลก” และมีทั้ง การเดินทางไปยังสถานที่ที่มีผู้นิมนต์ให้ท่านช่วยไปเป็นประธาน “นั่งหนัก” เพื่อก่อสร้างเสนาสังฆิกะ
การที่ครูบาศรีวิชัยมีแนวคิดตามรอย “พระเจ้าเลียบโลก” ย่อมสะท้อนถึงการที่ท่านพยายามเดินตามรอยพระพุทธองค์นั่นเอง จึงขอเริ่มจากคำถามที่ว่า แล้วองค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเล่า “ธรรมยาตราเพื่อสิ่งใด”
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร การเคลื่อนกงล้อแห่งธรรม
เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ดิฉันเป็นแม่งานหลัก ในการเปิดเวทีเสวนาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่งาน “จอบแรกครูบา” ซึ่งเทศบาลตำบลสุเทพเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น หัวข้อ “ธรรมยาตราบารมี ครูบาศรีวิชัย” อันเป็นชื่อหัวเรื่องเดียวกันกับบทความชิ้นนี้
ครั้งนั้นดิฉันได้เชิญ รศ.ดร.วิโรจน์ อินทนนท์ แห่งภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่อง “ธรรมยาตราของครูบาศรีวิชัย” โดยเปรียบเทียบกับการเดินเทศน์โปรดสัตว์โลกของพระพุทธเจ้า ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันประการใดบ้าง
รศ.ดร.วิโรจน์ อินทนนท์ ได้อธิบายว่า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ท่านจำเป็นต้องประกอบกิจ “ธรรมยาตรา” ด้วยความมุ่งมั่น มิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ มิเช่นนั้นแล้ว “พระสัทธรรม” ที่ทรงค้นพบก็จักไม่เป็นที่รับรู้ของมหาชนในวงกว้าง
อย่าลืมว่า การออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะถือเป็นเรื่องผิดวิสัยของคนอินเดียทั่วไป โดยปกติแล้วคนที่จักละเคหาสน์ หรือละทิ้งเพศคฤหัสถ์ออกไปเป็นสมณเพศได้ มีเพียงแค่คนสองประเภทเท่านั้น 1. คนแก่ 2. คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตรอก ดังนั้นการออกบวชของเจ้าชายหนุ่มวัย 29 ผู้รุ่มรวยทรัพย์ศฤงคารจึงถือว่าเป็นเรื่อง “ประหลาด” ซ้ำถูกสังคมประมาณว่าเป็น “คนบ้า”
ครั้นผ่านไป 6 ปี พระองค์ได้ตรัสรู้ธรรม ถามว่าทรงอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ได้หรือไม่ คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะหากอยู่เฉยๆ ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า 6 ปีที่ผ่านมานั้น พระองค์คือคนบ้าอย่างแท้จริงตามคำที่คนเขาร่ำลือกัน
การออกไปแสดงธรรมของพระพุทธองค์ก็เพื่อต้องการประกาศว่า “ท่านไม่ได้บ้า สิ่งที่ท่านตรัสรู้นั้นมีอยู่จริง” ทันที่ที่พระองค์เทศน์ธัมมจักกัปปวัตนสูตรให้กับลูกศิษย์คนแรกคือ “โกญฑัญญะ” จบ โกญฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม พุทธองค์ทรงเปล่งคำอุทาน 3 ครั้งว่า “โกญฑัญญะรู้แล้ว ๆ ๆ”
อีกนัยหนึ่ง อาจแปลได้ว่า “ถ้าเราบ้า โกญฑัญญะผู้นี้ก็ต้องบ้าด้วย” อย่างน้อยก็เริ่มมีพยานมารับรู้การตรัสรู้ธรรมเพิ่มอีก 1 คนแล้ว ครั้นเวลาผ่านไปอีกไม่นาน ก็มีคนรับรู้พระสัทธรรมมาเพิ่มอีก 4 คนคือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ กลายเป็น “ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5”
หลังจากนั้น พระพุทธองค์ยังได้ไปพบกับ “ยสกุมาร” (หรือ “ยสกุลบุตร” อ่าน ยสสะ/ยะสะ) ผู้แสวงหาสัจธรรมของชีวิตอีก 1 คน เมื่อเทศนาสั่งสอนจนยสกุมารบรรลุพระอรหันต์แล้ว เขาก็ไปชวนเพื่อนฝูงลูกบ้านตามมาบวชอีก 54 ชีวิต เมื่อรวมทีมของยสกุมาร+ ลูกบ้าน+ปัญจวัคคีย์ จึงเท่ากับว่า ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีประจักษ์พยานแห่งการรับรู้ว่าพระสัทธรรมมีจริงเพิ่มขึ้นอีกถึง 60 องค์
พระพุทธองค์จึงตรัสแก่อรหันต์ 60 รูปในชุดแรกว่า “ภิกษุทั้งหลาย จงจาริกไปประกาศศาสนาเถิด เพื่อประโยชน์ของมวลมหาชน และการอนุเคราะห์สัตว์โลก” โดยมีคำพูดพ่วงต่อท้ายอีกด้วยว่า
“จงอย่าไปทางเดียวกันหลายคน ให้แยกย้ายกันไป” ทั้งนี้ก็เพื่อต้องช่วยกันทำงานแข่งกับเวลา การประกาศพระศาสนาต้องกระทำอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว จึงต้องกระจายกันไปคนละทิศละทาง
คำว่า “สัทธรรม” แปลว่า “สิ่งที่มีอยู่จริง” จากสังคมของ “ความไม่รู้” ซ้ำยังเข้าใจว่านักพรตหรือสมณะเหล่านี้เป็นคนบ้า ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า แท้จริงแล้วท่านเหล่านี้เป็นคนดี และเลิศกว่าคนดีทั่วไปด้วยซ้ำ ซึ่งเรียกกันว่า อริยบุคคล
ดังนั้น ตอลดพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะ 20 พรรษาแรก ต้องระหกระเหินจาริกไปโปรดสัตว์โลกแบบไม่หยุดไม่หย่อน เปลี่ยนที่จำวัดแทบทุกสัปดาห์ ไปเพื่อเร่งประกาศให้ชาวบ้านได้รับรสพระสัทธรรมด้วยตัวเอง การเทศนาจึงมีทุกอิริยาบถ คือทั้งนั่งเทศน์ ยืนเทศน์ เดินเทศน์ และนอนเทศน์
พระองค์เดินแรมรอนจาริกไปในทุกพื้นที่เพื่อสอนสาธุชนนานกว่าครึ่งชีวิต กว่าจะหยุดอยู่กับอารามที่ใดที่หนึ่ง ก็ล่วงพ้นครึ่งหลังของอายุขัยแล้ว 25 ปีสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน สถานที่สองแห่งที่พระพุทธองค์ประทับในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพได้แก่ วัดเชตวันของท่าน อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ประทับอยู่ 19 ปี และวัดบุพพารามของ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ที่สร้างถวายอีก 6 ปี
เห็นได้ว่า คนใกล้ตัวคือครอบครัวของพระพุทธองค์ อาทิ พระราชบิดา พระเจ้าสุทโธทนะนั้น ยังไม่ใช่บุคคลกลุ่มแรกๆ ที่พระพุทธองค์ทรงเลือกที่จะตรัสสอน ซ้ำยิ่งหลังจากที่คนทั่วแว่นแคว้นได้ทราบถึงกิตติศัพท์ของศาสนาพุทธแล้ว จนพระเจ้าสุทโธทนะอดรนทนไม่ไหว ได้ส่งคนไปนิมนต์พระพุทธเจ้าถึง 7-8 ครั้ง ด้วยอยากทราบว่า พระราชโอรสของตนค้นพบอะไร พระพุทธองค์ยังนิ่งเฉยไม่ยอมรับนิมนต์ ทั้งนี้มิใช่ว่าใจจืดใจดำ หรือน้อยใจอะไรต่อครอบครัว
ในทางกลับกัน พระพุทธเจ้าต้องการให้เกิดการยอมรับในคำสอนของพระองค์จากกลุ่มคนภายนอกทั้งหลายเสียก่อน เพราะมิเช่นนั้น หากครอบครัวตระกูลศากยวงศ์เป็นกลุ่มคนแรกที่มายืนยันในพระสัทธรรมว่ามีอยู่จริง ก็อาจถูกติฉินนินทาได้ว่า คงเข้าข้างกันเอง ยกยอเอออวยกันเองกระมัง เพราะเป็นญาติกัน
ดังนั้น เพื่อป้องกันคำครหานินทา พระองค์จึงมุ่งหน้าไปเทศนาโปรดบุคคลที่ไม่ใช่ญาติเป็นลำดับแรกๆ ก่อน
แล้วการ “ธรรมยาตรา” ของครูบาศรีวิชัยเล่า ท่านกระทำไปเพื่อสิ่งใด การจาริกแรมรอนไปทั่วล้านนาของท่านภายในระยะเวลาอันจำกัด (มรณภาพเมื่ออายุเพียง 60 ปี) เป็นไปเพื่อเร่งโปรดสัตว์โลก ตามรอยมหาบุรุษสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเช่นไร

ขอปรารถนาพระนิพพานและพระโพธิญาณ
อุดมการณ์ในการเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรของครูบาศรีวิชัย เห็นได้จากการที่ตั้งสัจจาธิษฐานไว้ว่า “ต้องการบรรลุสัมโพธิญาณ” ดังที่ปรากฏหลักฐานเป็นลายมือเขียนด้วยอักษรธัมม์ล้านนา (ตั๋วเมือง) อยู่ในท้ายใบลานทุกผูกของคัมภีร์ที่ท่านได้จารขึ้น เช่นที่ท้ายชาดกเรื่อง “อุสสาบารส” บนไม้ประกับคัมภีร์ ความว่า
“ข้าพระเจ้ามีสัทธา พร้อมด้วยสิกข์ยมชู่ตนชู่องค์ (ศิษย์โยมทุกผู้ทุกองค์) หนภายนอกหมายมี พ่อแม่พี่น้อง อุปสกะ อุปาสิกา สัทธาทั้งหลาย ชู่ผู้ชู่คน ก็ได้รจนาแต้มเขียนยังธัมม์มัดนี้ไว้ค้ำชู โชตกะสาสนา 5,000 วัสสา ตามอายุทานเทอะ ข้าพระเจ้าอยู่ปฏิบัติวัดศรีซายมูลบุญเรือง บ้านปาง วันนั้นแล ข้าเจ้าสร้างวัดบ้านปางเมื่ออยู่ปฏิบัติวัดพระสิงห์หลวงนพบุรีเชียงใหม่ วันนั้นแล ปรารถนาขอหื้อข้าได้ตรัสรู้ประยาสัพพัญญู โพธิญาณเจ้าจิ่มเทอะฯ (ด้วยเทอญ)”
หรือข้อความ ที่พบค่อนข้างบ่อยในใบลานที่ครูบาศรีวิชัยจารว่า “ตั้งผาถะนา (ปรารถนา) ขอหื้อได้ถึงธรรมะ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานสิ่งเดียว...”
ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต ต้องอาศัยการบำเพ็ญเพียรบารมีให้ครบ 30 ประการ อย่างมั่นคง ใช้เวลานานนับอสงไขยกัป ดังนั้น ครูบาศรีวิชัยได้ตั้งจิตอธิษฐานในการปฏิบัติ “บารมี 30 ทัศ” หนึ่งในนั้น คือความวิริยะอุตสาหะต่อการมุ่งมั่นสร้างวัดวาอาราม ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างบารมี เพราะวัดคือสถานที่บำเพ็ญบุญระหว่างพระสงฆ์และฆราวาส ยิ่งจำนวนการสร้างวัดทวีคูณมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งเท่ากับว่าครูบาศรีวิชัยได้ช่วยสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้กระจายสู่มหาชนวงกว้างมากขึ้นเท่านั้น
อุดมการณ์ในการปฏิสังขรณ์สังฆิกเสนาสนะของครูบาศรีวิชัย ทำไปเพื่อประโยชน์ 4 ด้านหลักๆ คือ
1. เพื่อสืบทอดอายุพุทธศาสนา
2. เพื่อสั่งสมบารมีแห่งความเป็น “ตนบุญ” ในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปให้ครบ 30 ทัศ ในฐานะผู้นำทางพุทธศาสนา
3. เพื่อยกระดับ พัฒนาความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ศาสนทายาทผู้อยู่ห่างไกลความเจริญ
4. เพื่อใช้เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนธรรมะให้แก่พุทธศาสนิกชนที่อยู่ตามพื้นที่ต่างๆ
การซ่อมและสร้างศาสนสถานของครูบาศรีวิชัย มีทั้งการที่ท่านเป็นประธานในการดำเนินงาน เรียก “นั่งหนัก” คือการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม คล้ายกับการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาร่วมสมทบทำบุญเป็นค่าวัสดุสิ่งก่อสร้าง และค่าอาหารเลี้ยงคนช่วยก่อสร้าง
กับอีกประเภทคือ ท่านมาเป็นประธานในครั้งแรก คล้ายกับการประกาศให้ผู้คนมารวมจิตรวมใจ ร่วมบริจาควัสดุก่อสร้าง จากนั้นก็มอบหมายให้ศิษยานุศิษย์เป็นผู้ควบคุมงาน หรือมอบเงิน ปัจจัยให้วัดจัดการบูรณะเอง โดยอาศัยบารมีของท่าน และเมื่อสร้างแล้วเสร็จ ให้แจ้งท่านเพื่อกลับมาทำการยกช่อฟ้า ยกยอดฉัตร หรือทำบุญฉลองเสนาสนะ
วัดวาอารามที่ครูบาศรีวิชัยสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์มีจำนวนมากกว่า 300 แห่ง ทั่วทั้งลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ตาก และสุโขทัย
การเดินหน้ามุ่งมั่นสร้างวัดจำนวนมหาศาลเช่นนี้ ทำให้ตลอดชีวิตนักบวชของครูบาศรีวิชัยต้องเดินทางในลักษณะ “ธรรมยาตรา” แบบมิอาจหยุดนิ่ง มิเคยได้สถิตพำนัก ณ ที่แห่งใดนานเกิน 1 สัปดาห์เลย
โดยมีนัยแฝงอยู่ด้วยว่า การเผยแผ่พระศาสนาอย่างเร่งด่วนนั้น จักให้อยู่นิ่งเฉยที่วัดบ้านปางของท่านเพียงวัดเดียวไม่ได้ เฉกเดียวกับพระพุทธองค์ที่ต้องจาริกแรมรอนไปโปรดสัตว์โลก แบบมิได้หยุดหย่อน
หลักเกณฑ์ในการเลือกรับ หรือปฏิเสธในการซ่อม-สร้าง วัดของครูบาศรีวิชัย
การเลือกบูรณะวัดวาอารามของครูบาศรีวิชัยท่านมีเกณฑ์อยู่ 4 เกณฑ์ ได้แก่
1. เลือกวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับ “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก”
2. ใคร่ครวญใน “นิมนต์” กับ “นิมิต” อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสองอย่างประกอบกัน หมายความว่าต้องมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมา “นิมนต์” ส่วนการจะรับนิมนต์หรือไม่นั้น ท่านต้องนั่งดู “นิมิต” หรืออธิษฐานจิตเสียก่อนด้วย ตัวอย่างเช่นช่วงที่ท่านกำลังจะสร้างวัดบ้านปาง (พ.ศ.2446-2447) ท่านได้เห็นนิมิตเป็นลางดี คือเห็นพระจันทร์ส่องสว่าง ทำนายว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จอย่างแน่นอน เพราะมีบุญสมภารแก่กล้าแล้ว
3. การปฏิเสธที่จะไม่รับนิมนต์ไปช่วยบูรณะวัดบางแห่ง ก็มีไม่น้อย มิใช่ว่าท่านไปช่วยหมดทุกวัดที่ประสานมา วัดที่ถูกปฏิเสธมักเป็นกรณีล่อแหลม ท่านต้องหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับสงฆ์ฝ่ายอาณาจักร เช่นวัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ เป็นวัดฝ่ายธรรมยุติ (สายเจ้านาย) เป็นวัดที่ถูกจับตาโดยคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด หรือแม้แต่ทางอยุธยาเมื่อได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์ของท่าน ก็ได้นิมนต์ให้เปฺ็นประธานในการบูรณะวัดมงคลบพิตร ซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากร
สองวัดหลวงที่ถูกจับตามองโดยบุคคลสำคัญระดับชาติ เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงดาราชานุภาพ และสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เช่นนี้ ครูบาศรีวิชัยรู้โดยสัญชาติญาณ ว่าหากรับนิมนต์ไป ก็รังแต่จะมีความขัดแย้งไม่สบายใจกันทุกฝ่าย ท่านจึงปฏิเสธไป
4. การแบ่งปันเนื้อนาบุญให้ศิษยานุศิษย์รูปอื่นได้เป็นเจ้าภาพบ้าง ด้วยคำกล่าวว่า “ที่แห่งนี้เขามีเจ้าของรออยู่แล้ว” ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ครูบาศรีวิชัยเลือกที่จะปฏิเสธไม่ไปซ่อม-สร้างให้ แม้สถานที่นั้นๆ ไม่ได้มีข้อขัดแย้งใดๆ ต่อภาครัฐหรือคณะสงฆ์ อาทิ รอยพระพุทธบาทร้างอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ล้วนเป็นที่สัปปายะสถาน อีกทั้งคนที่มานิมนต์ก็ล้วนแล้วแต่คนใกล้ชิดสนิทกัน และแน่นอนว่าสถานที่นั้นๆ หาได้เกินกำลังความสามารถที่ท่านจะซ่อม-สร้างให้สำเร็จได้
ท่านกลับไม่รับนิมนต์ ด้วยต้องการ “กระจายหน้าบุญ” ปล่อยให้ครูบารูปอื่นๆ เข้ามามีบทบาทบ้าง อย่างเช่น กรณีพระพุทธบาทห้วยต้ม ครูบาศรีวิชัยได้รับนิมนต์ให้มาช่วยบูรณะก่อนแล้ว ท่านไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่จักกล่าวประโยคที่ว่า “วัดแห่งนี้เขามีเจ้าของรออยู่แล้ว” เป็นการประนีประนอมกับผู้มานิมนต์
ต่อมาท่านมอบให้ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงค์) มารับเป็นเจ้าภาพในการบูรณะแทน
ครูบาศรีวิชัยกับตำนานพระเจ้าเลียบโลก
ในบทความนี้เราจักกล่าวย้ำจำเพาะถึง แนวคิดของครูบาศรีวิชัยในการตามรอย “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” เพราะว่าวัดสำคัญเหล่านี้ ล้วนเป็น “เจตจำนงอันแรงกล้า” ของครูบาศรีวิชัย
ที่ต้องดั้นด้นเดินทางไปบูรณปฏิสังขรณ์ให้จงได้ จน(เกือบ)ครบทุกแห่ง เพราะถือว่าเป็นการเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้านั่นเอง
คำว่า “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” หมายถึง คัมภีร์ที่รจนาขึ้นโดยพระภิกษุชาวล้านนา (เชื่อว่าเป็นชาวลำพูนเชื้อสายมอญ) ราว 500-600 ปีก่อน ฉายาว่า “ธมฺมรโส” หรือพระธรรมรส ได้เดินทางไปศึกษาพระศาสนาที่ประเทศลังกา เมื่อกลับมาได้ผูกร้อยคัมภีร์จำนวน 11 ผูก
เนื้อหาระบุถึงการที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วดินแดนล้านนา รัฐฉานในพม่า และสิบสองปันนาในจีนตอนใต้ (หมายเหตุในอดีต ยุคเมื่อ 600 ปีก่อนยังไม่แบ่งแยกประเทศเป็นจีน พม่า ไทย รัฐแถบนั้นเป็นส่วนหนึ่งของล้านนาทั้งหมด) ดินแดนใดที่ผู้คนยังห่างไกลความเจริญ จะทรงประทับรอยพระบาทไว้ตามป่าเขา ก้อนหิน ริมลำธาร รอผู้มีบุญมาค้นพบ บางครั้งเป็นรอยเท้าทั้งสองข้าง บางครั้งรอยเท้าข้างเดียว เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ชาวล้านนาเรียกรอยพระบาททั้งหมดนี้ว่า “ฮอยปะต๊ะ”
ส่วนหมู่บ้านตำบลใดที่พอจะมีวี่แววว่าความเจริญจักเข้าถึงก่อน พระพุทธองค์มักเสด็จไปประทับนั่งเทศนาสัตว์โลก รับบาตร บ้างจากนายพราน บ้างจากพ่อค้า บ้างจากคนทุกข์ยากไร้ ที่นำอาหารมาถวาย เมื่อฉันเสร็จทรงเด็ดพระเกศาใส่กระบอกไม้ไผ่มอบให้คนพื้นเมืองผู้นั้น (ส่วนใหญ่เป็นชาวลัวะ ชาวเม็ง) ฝากให้ช่วยรักษาดูแล และทรงตรัสพยากรณ์ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป หลังจากเส้นเกศาถูกกลบฝังไว้ใต้ดิน ตัวคนที่ถวายภัตตาหารผู้นั้นจักได้มาเกิดชาติใหม่ เป็นท้าวพระญามหากษัตริย์ จะเป็นผู้มาค้นพบพระเกศาธาตุพร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุองค์อื่นๆ ที่ต่อมาจะมีสมณทูตในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชได้นำมาสมทบเพิ่มเติม เมื่อขุดขึ้นมาแล้ว จะมีการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ครอบไว้
เรื่องราวเหล่านี้ ชาวล้านนาเรียกว่า “ตำนานพระธาตุ-พระบาท”

วิหารวัดปงสนุก อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ปัจจุบันอยู่บนอุทยานดอยหลวง ใกล้ดอยม่อนเคียะ หนึ่งในเส้นทางธรรมยาตราจากลำพูนสู่พะเยาของครูบาศรีวิชัย
ครูบาศรีวิชัยได้ศึกษา “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” หรือ “ตำนานพระธาตุ-พระบาท” สมัยที่ท่านถูกต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 3-4 ถูกนำตัวมาจองจำกักบริเวณไว้ที่ศาลาบาตรคณะอัฏฐารส (ปัจจุบันคือมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ วัดพระธาตุหริภุญชัย) โดยผู้ที่มอบคัมภีร์พระธาตุ-พระบาท และสอนความรู้ต่างๆ ให้ครูบาศรีวิชัยขณะต้องอธิกรณ์มีชื่อว่า “ครูบาคันธา” ผู้เป็นเจ้าคณะอัฏฐารส สอนทั้งด้านการช่าง การก่อสร้าง และสอนทั้งด้านการเขียนตั๋วเมือง (อักษรธัมม์ล้านนา)

การจำลองรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย เมื่อครั้งต้องอธิกรณ์ ณ ศาลาบาตรมุมคณะอัฏฐารส
เมื่อครูบาศรีวิชัยได้อ่านเรื่องราวของตำนานพระธาตุ-พระบาท จนครบ 11 ผูก ทำให้ท่านมีแรงบันดาลใจที่จักเดินจาริกยาตราไปในทุกๆ แห่งหนที่อดีตพระพุทธเจ้าหลายๆ พระองค์เคยเสด็จมา ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล ในเถื่อนถ้ำทุรกันดาร บนภูเขาสูง ร้างไร้ผู้คนก็ตาม
เกี่ยวกับประเด็นคำถามที่ว่า “เหตุไฉน รอยพระพุทธบาทจึงมีมากมายเหลือเกินในดินแดนล้านนา สรุปแล้วเป็นรอยเท้าของใครกันแน่? และจริงหรือที่ว่าพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนี (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) จะเสด็จออกมาโปรดเวไนยสัตว์นอกชมพูทวีป ก็แม้แต่ในประเทศอินเดียเอง เขตตอนใต้เทือกเขาวินธัยลงไป พระองค์ยังแทบไม่ได้เสด็จยาตราไปเลย มิใช่หรือ?”
รศ.ดร.วิโรจน์ อินทนนท์ ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างน่ารับฟังว่า
“พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกนี้ ไม่ได้มีอยู่แค่เพียงพระองค์เดียว นับเฉพาะในภัทรกัปเราก็มีมากถึง 5 พระองค์แล้ว ไหนจะอดีตพุทธเจ้าอีก 28 พระองค์ในกัปก่อนๆ ที่ผ่านมาอีกเล่า ไหนจะ “พระปัจเจกพุทธเจ้า” อีกจำนวนมหาศาล หมายถึงพระอรหันต์ที่ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง แต่ไม่มีวิชาอนุสาส์น ไม่ได้เทศน์สั่งสอนใคร ยิ่งในคัมภีร์สายมหายานยิ่งกล่าวว่าพระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์มากเข้าไปอีก ดังนั้น การที่เราพบรอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากระจายอยู่ทั่วไป จำนวนมากหลายร้อยรอยนั้น จึงควรพึงรำลึกในเชิงบวกไว้ก่อนว่า น่าจะเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ จริง และมีความเป็นไปได้สูง ด้วยโบราณาจารย์ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องมาเขียนตำนานโกหกหลอกลวงคนรุ่นหลัง”
ตัวอย่างกลุ่มวัดที่ปรากฏในตำนานพระเจ้าเลียบโลก (ตำนานพระธาตุ-พระบาท) หรือการเสด็จมาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไม่พระองค์ใดก็พระองค์หนึ่ง) ที่ครูบาศรีวิชัยได้จาริกธรรมยาตราไปช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ ได้แก่ พระธาตุหริภุญไชย พระพุทธบาทตากผ้า พระธาตุดอยม่อนช้าง จังหวัดลำพูน, พระธาตุช่อแฮ พระธาตุพระกัป พระธาตุขวยปู พระธาตุปูตั๊บ จังหวัดแพร่, พระธาตุดอยตุง พระธาตุจอมแว่ พระธาตุจอมแจ้ง จังหวัดเชียงราย, พระธาตุดอยสุเทพ พระพุทธบาทสี่รอย จังหวัดเชียงใหม่, พระธาตุมหิยังคะ พระธาตุปูคำน้อย พระพุทธบาท จังหวัดลำปาง เป็นต้น
ครูบาศรีวิชัย กับธรรมยาตราช่วงต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 5

รูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งครูบาศรีวิชัย จัดทำที่โรงหล่อพุทธมณฑล ตั้งอยู่บนพิพิธภัฑ์อัฐบริขารครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน
ภาพคลื่นขบวนพระหนุ่มเณรน้อยรวมทั้งฆราวาสนับพันชีวิตที่เดินติดสอยห้อยตามครูบาศรีวิชัย หนึ่งในหลายๆ ภาพ ที่ปรากฏเด่นชัดที่สุด อยู่ในความทรงจำของผู้คน ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารร่วมสมัยกับครั้งที่ครูบาศรีวิชัยมีชีวิตอยู่ นั่นคือฉากที่ครูบาศรีวิชัยเดินเท้าไปมอบตัวต่อเจ้าคณะจังหวัดลำพูน ด้วยข้อหาอธิกรณ์ต่างๆ นานา อันถือว่าเป็นการไปรับอธิกรณ์เป็นครั้งที่ 5
เป็นความจริงล่ะหรือ สำหรับพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์รูปนี้ ถูกคดีต้องอธิกรณ์ถึง 6 ครั้ง ?
คำว่า “อธิกรณ์” หมายถึง โทษ คดี เรื่องราวปัญหา ความยุ่งยาก กิจกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ ที่คณะสงฆ์ต้องจัดการสะสาง ดำเนินการทำให้สงบหรือเป็นไปด้วยดี
การต้องอธิกรณ์ หมายถึง การถูกกล่าวโทษ จึงต้องนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยคณะสงฆ์ผู้มีอำนาจ การต้องอธิอรณ์ของครูบาศรีวิชัย มีทั้งหมด 6 ครั้ง โดยมากมักสืบเนื่องมาจากการเป็นพระอุปัชฌาย์ กระทำการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าคณะแขวงลี้บ้าง หรือการขัดคำสั่งต่อเจ้าคณะแขวงลี้และเจ้าคณะจังหวัดลำพูนบ้าง โดยไม่ให้ความร่วมมือในสิ่งต่างๆ บ้าง ซึ่งปัญหาทั้งหมดมาจากการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2445 (ร.ศ.121) ที่มีการปรับโครงสร้างพระราชาคณะให้ขึ้นต่อส่วนกลาง ทำให้เกิดช่องว่างต่อพระที่เป็นหัวหมวดในท้องถิ่นชนบท ซึ่งยังเคร่งครัดต่อจารีตเดิมของล้านนา ยังไม่มีความเข้าใจต่อกฎระเบียบใหม่
ข้อกล่าวหาทำนองนี้มีมาเป็นระยะๆ กระทั่งหนที่รุนแรงกว่าครั้งใดคือระหว่างปี 2462-2463 เรียกว่าต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 5 และระหว่าง 2478-2479 เรียกว่าต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 6
เฉพาะการต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 5 ครั้งนี้เองที่มีการพรรณนาภาพธรรมยาตราของครูบาศรีวิชัยจำนวน 5 วัน 4 คืน กับการแวะวัดต่างๆ ตามเบี้ยบ้ายรายทางจำนวนมากกว่า 8 วัด ด้วยฉากที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสะเทือนใจ
ช่วงนั้น ระหว่างวันที่ 12 มกราคม ถึง 21 กรกฎาคม 2463 ครูบาศรีวิชัยมีอายุ 42 ปี ถูกคณะสงฆ์ลำพูนกล่าวหาว่าเป็น “กบฏผีบุญ” เนื่องจากมีคำร่ำลือ (ใส่ร้าย) ว่าท่านมีคาถาเวทมนต์ ครอบครองดาบวิเศษจากพระอินทร์ (ดาบสะหลีกัญไชย ภาษาไทยกลางคือ พระขรรค์ไชยศรี) ท่านจึงถูกขับไล่ (ปัพพาชนียกรรม) ให้ออกนอกเขตจังหวัดลำพูนภายใน 15 วัน ทว่าครูบาศรีวิชัยไม่ปฏิบัติตาม เจ้าคณะจังหวัดลำพูน (พระญาณมงคล วัดมหาวัน) และเจ้าเมืองลำพูน (พลตรี เจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์) จึงสั่งให้ครูบาศรีวิชัยมารายงานตัวพร้อมภิกษุและสามณรผู้เป็นศิษย์ ก่อนจะส่งไปลงโทษที่เชียงใหม่ และวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ที่กรุงเทพฯ ตามลำดับ
ภาพกระบวนธรรมยาตราได้ฉายชัด ณ ฉากนั้น ฉากที่ครูบาศรีวิชัยเรียกประชุมพระภิกษุสามเณรเพื่อชี้แจงเหตุแห่งการต้องอธิกรณ์ครั้งนั้นว่า
“บัดนี้เจ้าคณะจังหวัดลำพูน พร้อมด้วยเจ้าผู้ครองนครลำพูน มีหนังสือมาว่าหื้อ(ให้)เราได้พาท่านทั้งหลาย เซิ่ง(ซึ่ง)ปฏิบัติถูกต้องกันกับเรา หื้อพากันตามเราไปในเมืองลำพูน ว่าฉันนี้ การครั้งนี้เป็นการใหญ่โตอยู่ เพราะเราได้ขัดขืนต่อข้อบังคับเจ้าคณะแขวงหลายอย่าง
ถ้าเข้าไปหาพระครูเจ้าคณะจังหวัดเมืองลำพูนแล้ว จักร้ายดีประการใดก็บ่แจ้ง ส่วนเราหากจักเป็นจักตายด้วยอำนาจที่บ่เป็นธรรม ข้อหนึ่งข้อใด เราก็บ่มีความวิตก ถือเอาคุณพระธรรมกรรมฐาน คุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จักยอมตายในฝ่ายพุทธจักรอย่างเดียว
เมื่อท่านทั้งหลายจักถือมั่นอย่างเรา จักตามเราเข้าไป เราก็บ่ห้าม ถ้าท่านทั้งหลายกลัวยังราชภัย เอาตัวหลบหลีก ไปแอบแฝงอยู่แห่งหนตำบลใด หรือจักเข้าไปหาเจ้าคณะแขวง ยอมปฏิบัติตามระเบียบการปกครองที่จัดขึ้นใหม่ ตามสมัยของราชการ เราก็บ่ห้าม”
ปรากฏว่าบรรดาศิษยานุศิษย์หลายร้อยรูปที่มาประชุมกัน ยินดีที่จะติดตามครูบาศรีวิชัยไปพบเจ้าคณะจังหวัดลำพูนด้วยกันทุกรูป
ตำนานร่วมสมัยกับครูบาศรีวิชัยหลายเล่ม ระบุว่า มีพระสงฆ์ร่วมเดินทางมากถึง 500 รูป สามเณร 500 รูป คฤหัสถ์ 500 คน รวมกันแล้วประมาณ 1,500 รูป/คน จึงเป็นขบวน “กองทัพธรรม” ที่ใหญ่โตมาก เต็มท้องถนน ตลอดเส้นทางที่ครูบาศรีวิชัยเดินผ่านไป ก็ยังมีศิษย์โยมผู้เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเข้าร่วมสมทบเติมขึ้นอีกเรื่อยๆ
“เป็นดังมดและปลวก พาบริวารไหลออกจากรังและรู”
ให้ทุกท่านจินตนาการถึงภาพ คลื่นพระสงฆ์สามเณรล้วนแต่งกายแบบเดียวกัน คือมีผ้ามัดอก คล้องประคำแขวนคอ ถือพัดใบตาล และถือไม้เท้า บรรดาศรัทธาทั้งหลาย (ส่วนมากเป็นชาวกะเหรี่ยง) ก็บรรเลงเครื่องดนตรีนานาชนิด บ้างถือระฆัง กังสดาล บัณเฑาะว์ (กลองสองหน้า) หอยสังข์ ฆ้อง กลอง เป่าปี่แน และเป่ากอย (เขนง/เขาควาย) ประหนึ่งมีงานเฉลิมฉลองกัน ทั้งๆ ที่กำลังเดินไปมอบตัว

ภาพวาดรุ่นเก่าครูบาศรีวิชัย เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์วัดบ้านโฮ่งหลวง วัดนี้ครูบาศรีวิชัยอุปสมบท

จากวัดบ้านปาง วัดบ้านเกิดของท่าน ซึ่งในอดีตตั้งอยู่ที่ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ปัจจุบันแยกออกมาเป็นตำบลศรีวิชัย มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือแวะพักนอนคืนแรกที่ พระพุทธบาทสามยอด (อดีตชื่อ ดอยพระธาตุยอดทาน) ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง คืนที่สองพักที่วัดบ้านโฮ่งหลวง วัดที่ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุ วันที่ 3 แวะนอนที่วัดป่าตาล อำเภอป่าซาง (อดีตเรียกแขวงปากบ่อง) วัดของสหธัมมิกของท่าน วันที่ 4 แวะนอนที่วัดต้นโชค ตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน จากนั้นเดินทางไปวัดสันต้นธง และจบลงที่วัดเจดีย์หลวงลำพูน หมายถึงวัดพระธาตุหริภุญชัย

วิหารเปื๋อย (เปิดเปลือย ไม่มีผนัง) บนพระพุทธบาทสามยอด ต.ป่าพลู อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ผลงานการก่อสร้างของครูบาศรีวิชัย และครูบาอภิชัยขาวปี
เมื่อขบวนแห่แหนครูบาศรีวิชัยมาถึงวัดพระธาตุหริภุญชัย ครูบาศรีวิชัยและคณะศิษยานุศิษย์ได้ตระเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเครื่องไทยทานเข้าไปเดินประทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุ แต่พวกเจ้านายข้าราชการได้เห็นฝูงชนที่กรูติดตามครูบาศรีวิชัยจำนวนมหาศาล บ้างก็ถืออาวุธมีดโกน ดาบ และพร้ามัดสะเอวมา (อันที่จริงพกติดมาเพื่อเป็นเครื่องมือปลงผม เครื่องถากถางต้นไม้ระหว่างเดินทาง และเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับประกอบอาหาร) ก็จัดการเอาตำรวจมาสกัดกั้น ริบเอามีดสั้นมีดยาวอาวุธต่างๆ ในขบวนไปเก็บรวบรวมไว้ โดยเข้าใจว่าพวกที่ติดตามมานั้นจะก่อกบฏแย่งชิงตัวครูบาศรีวิชัยไป
มีเพียงครูบาศรีวิชัยและภิกษุสงฆ์จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในวัดได้ มีตำรวจอยู่ยามรักษาประตูวัดทั้ง 4 ด้าน ไม่ให้ใครเข้าออก กระทั่งรุ่งเช้ามีผู้คนตั้งใจจะไปทำบุญใส่บาตรให้แก่ครูบาศรีวิชัยและพระสงฆ์แต่ถูกขัดขวางไว้ ทำให้วันนั้นท่านไม่ได้ฉันภัตตาหาร
เหตุการณ์ต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 5 ของครูบาศรีวิชัยครั้งนี้ ถือเป็นความสับสนอลหม่าน หลังจากที่ครูบาศรีวิชัยถูกกักตัวไว้ที่ศาลาบาตร วัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นเวลา 1 คืน ก็ถูกย้ายไปที่วัดศรีดอนไชย ช้างคลาน วัดรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นถูกส่งตัวไปสอบสวนที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งของเจ้าคณะมณฑลพายัพ ที่ต้องดูแลวัดในสายภาคเหนือ เป็นเวลาอีกกว่า 3 เดือน
ซึ่งในที่นี้มิขอลงรายละเอียดคดีอธิกรณ์ของครูบาศรีวิชัยได้ครบทุกมิติ อยากจะเน้นย้ำเพียงให้ผู้อ่านได้เห็นภาพของขบวน “ธรรมยาตรา” ที่ครูบาศรีวิชัยเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งยามปกติ หรือในยามสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ก็มีผู้ติดตามท่านไปทั่วทุกหนแห่ง
ครูบาศรีวิชัย กับธรรมยาตราเพื่อไปบูรณะวัดพระเจ้าตนหลวง
จากลำพูน เปิดประตูสู่เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำปาง
ภาพแห่งความทรงจำ ที่เสมือนฉากอันตระการอีกฉากหนึ่งก็คือ การเคลื่อนขบวนธรรมยาตราของครูบาศรีวิชัยและศิษยานุศิษย์นับ 1,500 ชีวิต (ตลอดเส้นทางมีผู้มาร่วมสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) คราวนี้เป็นการข้ามเมืองสู่หลายๆ เมือง คือจากลำพูนสู่เมืองพะเยาในปี 2465 โดยต้องผ่านหลายต่อหลายอำเภอในเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง
การเดินทางไปครั้งนี้ เนื่องมาจากหลังพ้นคดีอธิกรณ์ครั้งที่ 5 แล้ว ครูบาศรีวิชัยเดินทางกลับลำพูนอย่างผู้บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ชื่อเสียงขจรขจาย แม้แต่เจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าเมืองลำพูน ยังต้องมานิมนต์ครูบาศรีวิชัยไปเป็นแม่กองหลักในการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะมากกว่า 10 หลังในวัดพระธาตุหริภุญชัย
กิตติศัพท์ของพระลำพูนรูปนี้ รู้ไปถึงเจ้าคณะแขวงพะเยา (อดีตพะเยามีสถานะเป็นแขวงหนึ่งของลำปาง และบางส่วนคืออำเภอแม่ใจแยกไปขึ้นกับเชียงราย) คือ พระครูศรีวิราชวชิรปัญญา พระนักเขียน นักการศึกษา แห่งวัดราชคฤห์ มีความประสงค์จะขออาราธนาครูบาศรีวิชัยให้มาเป็นแม่กองในการบูรณปฏิสังขรณ์ “พระเจ้าตนหลวง” ริมกว๊านพะเยา ที่ชำรุดทรุดโทรม (ปัจจุบันมีชื่อว่าวัดศรีโคมคำ ตั้งใหม่ให้โดยครูบาศรีวิชัย) ซึ่งปล่อยทิ้งเรื้อนานแล้ว ด้วยหาคนมาช่วยบูรณะให้ไม่ได้
เมื่อครูบาศรีวิชัยตัดสินใจรับเป็นประธาน (หลังจากที่ปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง) ท่านได้รวบรวมช่างฝีมือ ที่เป็นทั้งพระภิกษุสามเณรและฆราวาส เตรียมเสบียงออกเดินทางไกลในลักษณะ “ธรรมยาตราบารมี” อีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งสำคัญยิ่ง เพราะการเดินทางครั้งนี้ยาวนานถึง 48 วัน หรือ 7 สัปดาห์ ครูบาศรีวิชัยออกเดินทางในวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 เหนือปี 2465 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2465 และเดินทางถึงวัดพระเจ้าตนหลวงเมื่อเย็นวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 เหนือ ปี 2465 ตรงกับวันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2465
รายละเอียดทั้งหมดปรากฏอยู่ในคร่าวซอของพระภิกษุท้าวสุนทรพจนกิจ และในตำนานพระเจ้าตนหลวง ว่าครูบาศรีวิชัยพาศิษยานุศิษย์จาก 300 ชีวิต เดินไปเดินมามีผู้เข้าร่วมสมทบมากกว่า 1,500 ชีวิต ออกเดินทางตั้งต้นที่วัดเชียงยัน (ปัจจุบันเป็นคณะเชียงยัน/เชียงยืน วัดพระธาตุหริภุญชัย) มีทั้งพระภิกษุ สามเณร ฆราวาส โยมอุปัฏฐาก สล่า นายช่างก่อสร้าง ชาวเขาเผ่าต่างๆ แต่ละคนต้องแบกขนเอาวัสดุก่อสร้างประเภทเครื่องรัก ชาด หาง แผ่นทองคำเปลว กระจกจืน (หรือกระจกที่ดาดตะกั่ว) อุปกรณ์เครื่องมือในการแกะสลักไม้ พวกขวาน เลื่อย ค้อน ตะปู ฯลฯ
การเดินทางเป็นการเดินเท้า บางครั้งชาวบ้านช่วยกันหามแคร่หรือเสลี่ยงให้ครูบาศรีวิชัยนั่ง มิได้ใช้พาหนะใดๆ นานๆ ครั้งจึงจะมีพ่อค้าวัวต่างโคจรมาร่วมสมทบ นำเกวียนมาให้ครูบาศรีวิชัยนั่งบ้างบางช่วงสั้นๆ
เส้นทางธรรมยาตราของครูบาศรีวิชัยครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ท่านได้สร้างบารมีอันยิ่งใหญ่ ตลอดทั่วทุกหมู่บ้านตำบลที่ท่านยาตราผ่าน สรุปเส้นทางได้ดังนี้
- วันที่ 9 พฤศจิกายน 2465 ออกจากวัดเชียงยัน จังหวัดลำพูน ถึงวัดประตูป่า จังหวัดลำพูน เวลาบ่ายสองโมง นำทองคำเปลว 2,000 อับ (ห่อ) มอบให้ครูบาธรรมไชย ใช้ติดหน้าบันที่หอธรรมของวัด จากนั้นครูบาปัญญามารับนิมนต์ไปจำวัดที่วัดเดื่องก 1 คืน
- วันที่ 10 พฤศจิกายน 2465 ครูบาปัญญาจัดเรือให้ครูบาศรีวิชัยพาคณะข้ามแม่น้ำปิง จากลำพูนสู่เชียงใหม่ ผ่านบ้านช่างคำน้อย ศรัทธาบ้านท้าวผายู นิมนต์จำวัด 1 คืน
- วันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2465 ไปวัดท้าวคำวัง นิมนต์จำวัด 2 คืน
- วันที่ 13 พฤศจิกายน 2465 ครูบาอริยะ นิมนต์ไปวัดท้าวบุญเรือง จำวัด 1 คืน
- วันที่ 14 พฤศจิกายน 2465 ออกเดินทางไปวัดดอนปิน ชาวบ้านกำลังก่อสร้างศาลา ขอให้ครูบาศรีวิชัยเป็นประธานกำหนดรูปแบบการบูรณะวิหาร รอมเงิน 50 รูเปีย จำวัด 1 คืน
- วันที่ 15-19 พฤศจิกายน 2465 ครูบาแก้ววัดป่าแดงนิมนต์สร้างหอธรรม 1 หลัง จำวัด 5 คืน
- วันที่ 20 พฤศจิกายน 2465 ครูบาเมธาวีแห่งวัดดอกเอื้องเอารถ (เรียกรถมอเตอร์) มานิมนต์รับครูบาศรีวิชัยที่วัดป่าแดง แต่ท่านไม่นั่งไปด้วย เพราะต้องการแวะวัดฝายหิน เพื่อสักการะกู่อัฐิพระอไภยสารทะ สังฆปาโมกข์ อดีตเจ้าคณะเชียงใหม่ ลัดเลาะเลียบเชิงดอยสุเทพไปถึงร่องห้า แวะวัดสวนดอกผ่านศาลากลาง (ปัจจุบันถือเป็นศาลากลางหลังเก่า) จึงไปพบครูบาเมธาวีที่วัดดอกเอื้อง (ตั้งอยู่ในคูเมืองสี่เหลี่ยมใกล้ประตูท่าแพ) ครูบาเมธาวีเกิดปีติร้องห่มร้องไห้ดีใจยามสนทนากับครูบาศรีวิชัย รอมเงินทำบุญ 10 รูเปีย คณะครูบาศรีวิชัยรับนิมนต์ไปจำวัดที่วัดล่ามช้าง 1 คืน
- วันที่ 21 พฤศจิกายน 2465 รุ่งเช้าครูบาเมธาวี ยังคงติดตามไปส่งคณะครูบาศรีวิชัยเดินทางมุ่งหน้าขึ้นทิศเหนือ ผ่านโรงเลื่อยไม้ คณะจำวัดที่วัดป่าตัน 1 คืน
- วันที่ 22 พฤศจิกายน 2465 คณะมุ่งหน้าไปวัดลังกา (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) จำวัด 1 คืน
- วันที่ 23 พฤศจิกายน 2465 เจ้าอธิการ “พะยากสำนัก” (นิกายเงี้ยวจากเมืองพยาก รัฐฉานในพม่า) มารับครูบาศรีวิชัยไปสำนัก จากนั้นมุ่งหน้าไปท่าน้ำเล็กๆ ชื่อขี้เหล็ก ชาวดอยสะเก็ดมารับหามขึ้นจนถึงพระธาตุดอยสะเก็ด จำวัด 4 คืน ระหว่าง 24-27 พฤศจิกายน ช่วยสร้างพระอุโบสถ 200 รูเปีย
- วันที่ 28 พฤศจิกายน 2465 ขาลงจากดอย รถลาก-คานหามหัก แวะวัดหนองบัว วัดแม่ดอกแดง สวนอ้อย ม่อนหน้าผาชาม ปางสัก พักที่กลางป่าปางชมพู 1 คืน
- วันที่ 29 พฤศจิกายน 2465 ขึ้นเขาลงห้วยต่อถึงกาดผี โป่งดินแดง มีพ่อค้าวัวต่างชาวไทใหญ่ 3 คน เอาเกวียนให้ครูบาศรีวิชัยนั่ง ผ่านดงดอยทุรกันดาร ใกล้ถึงดงพยัคโฆ พ่อค้าเงี้ยวกลัวเสือ ขอแยกตัวไปทางอื่น คณะยาตราบารมีจำวัดกลางห้างนาที่แม่หวาน 1 คืน
- วันที่ 30 พฤศจิกายน 2465 พระอาทิตย์ขึ้นเดินทางต่อ ขนานลำน้ำกวง บุกป่าฝ่าเหว ผ่านพงป่าอ้อ ปางแฟน พักปางไม้แดง ผ่านปางนาน้อย ปางเพา ยางขุนควง (กะเหรี่ยงทำป่าเหมี้ยง) ราว 100 คนมานิมนต์ให้จำวัดในหมู่บ้าน 1 คืน

รูปปั้นครูบาศรีวิชัย หล่อด้วยสำริดรมดำ ผลงานการออกแบบของ ศาสตรเมธีนนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ที่หมู่บ้านทางเข้าวัดแม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย
- วันที่ 1 ธันวาคม 2465 ข้ามดอยนางแก้ว ผีปันน้ำ ปางสัน พ้นเขตเชียงใหม่สู่เขตเชียงราย ผ่านแม่โถ ปางงิ้วเถ้า โป่งน้ำร้อน บ้านจำบอน บ้านชุมพู บ้านบวกขอน มียางและเงี้ยวมาต้อนรับ 3,000 คน จำวัดที่วัดแม่เจดีย์ แขวงป่าเป้า 1 คืน
- วันที่ 2 ธันวาคม 2465 ไปวัดสันกู่แก้ว รอมเงินสร้างวิหาร 50 รูเปีย ที่นี่มีคนมาล้มตัวลงนอนให้ครูบาศรีวิชัยเหยียบหลัง เหมือนดั่งที่พระพุทธเจ้าทีปังกรเหยียบกายสุเมธดาบส ไปวัดป่าสา รอมเงินสร้างศาลา 20 รูเปีย ไปวัดแม่ขะจาน ร่วมสร้างธรรมาสน์ 100 รูเปีย บรรพชาสามเณร 37 รูป อุปสมบทพระภิกษุ 2 รูป จำวัดแม่ขะจาน 1 คืน
- วันที่ 3 ธันวาคม 2465 ผ่านบงน้อย ขนานแม่กวง ไปวัดป่างิ้วงาม (ปัจจุบันคือวัดป่างิ้ว) ชาวบ้านนับพันเอาผ้าโพกหัวให้ท่านเหยียบ และนอนให้เหยียบหลัง ครูบาศรีวิชัยรอมเงินสร้างวิหาร 100 รูเปีย บรรพชาสามเณร 44 รูป อุปสมบทพระภิกษุ 5 รูป คืนนั้นตรงกับขึ้น 15 ค่ำ จำวัดวัดป่างิ้วงาม 3 คืน
- วันที่ 6 ธันวาคม 2465 แรม 3 ค่ำ ไปถึงวัดสรีค้ำ (ศรีคำเวียง) จำวัดที่วัดป่าเป้า (ปัจจุบันคือวัดป่าม่วง) 4 คืน ระหว่าง 6-9 ธันวาคม รอมเงินสร้างวิหาร 50 รูเปีย บรรพชาสามเณร 26 รูป อุปสมบทพระภิกษุ 6 รูป
- วันที่ 10 ธันวาคม 2465 ไปวัดศรีสุทธาวาส รอมเงินสร้างวิหาร 200 รูเปีย จำวัด 2 คืน
- วันที่ 12-13 ธันวาคม 2465 ผ่านนาไลย บ้านป่าข่า ห้วยหมากจอม โป่งเหม็น ดงชา ห้วยไร่ทรายขาว ท่าค้อ มีคนมาเบียดแย่งกันนอนให้เหยียบหลัง พักวัดแม่ต๋ำ 2 คืน รอมเงินสร้างกุฏิ 100 รูเปีย

วัดเจดีย์หลวง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย อีกหนึ่งผลงานของครูบาศรีวิชัยที่สร้างขึ้นในระหว่างเดินธรรมยาตราจากลำพูนไปพะเยา
- วันที่ 14 ธันวาคม 2465 ผ่านห้วยดินดำ “นางบัวผัน” เอามันเผือกส้มมาถวาย ผ่านไปห้วยบง ห้วยหมอเถ้า จำวัดเจดีย์หลวง 1 คืน รอมเงินสร้างวิหาร 100 รูเปีย
- วันที่ 15 ธันวาคม 2465 ผ่านห้วยส้ม ห้วยตอง ห้วยลึก ป่าทึง มีพ่อค้าวัวต่างที่ค้าขายระหว่างเชียงใหม่-เชียงตุง ชื่อ “ขุนชื่นนายร้อย” นิมนต์ขึ้นบนบ้าน จากนั้นไปจำวัดวัดจุมปา (ปัจจุบันคือวัดสันจำปา) 1 คืน
- วันที่ 16 ธันวาคม 2465 “นายคำอ้าย” มานิมนต์ให้ขึ้นไปป่าเหมี้ยงขุนพริก เส้นทางลัดจากแม่สรวยไปเมืองพาน (ปัจจุบันคือเส้นปางป่าเขาอุทยานดอยหลวง) ผ่าน(วัดคีรี)ท่าสุด ปางแม่พริก ปางซาง ผ่านขุนเขาลำเนาไพรป่าชัฏ จำวัดแม่พริกใต้ 1 คืน
- วันที่ 17 ธันวาคม 2465 ขึ้นป่าเหมี้ยงปางเหนือ ไต่เขาอันตรายสูงชัน ดงสิงห์สาราสัตว์ จำวัด 1 คืน บริเวณดอนห้วยหาด สร้างวัดแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันคือวัดปงสนุก) สำหรับให้พระภิกษุจำวัดได้ 50 รูป
- วันที่ 18-19 ธันวาคม 2465 มีชาวม้งและมูเซอมาใส่บาตรกลางดอย เข้าป่าปีนผาสูงเรียกม่อนเคียะ (ไม้สนเกี๊ยะ) ผ่านดอยตายโหง ถ้ำโคหา ลงสู่ฟากแขวงเมืองพาน (สิ้นสุดเส้นทางหฤโหดของเขตอุทยานดอยหลวง) “ขุนบำรุงกิจการ” (บ้างเรียกขุนสวัสดิ์บำรุง) พ่อเมืองพานมารอรับ นิมนต์ไปวัดป่าผาง (ทุ่งมะฝาง) รอมเงินสร้างวิหาร 50 รูเปีย บรรพชาสามเณร 18 รูป อุปสมบทพระภิกษุ 2 รูป ชาวเมืองพานแห่มาต้อนรับ 3,000 คน ต่อมาวัดป่าเปา (วัดพื้นเมือง) นิมนต์ไปจำวัดที่นั่น 2 คืน บรรพชาสามเณร 31 รูป อุปสมบทพระภิกษุ 2 รูป
- วันที่ 20 ธันวาคม 2465 วัดบ้านกาดใจจงนิมนต์ไปรับทาน ข้ามทุ่งหลวง ข้ามทุ่งน้อย สู่บ้านป่าบง คนมาแห่รับ 5,000 เศษ คนเบียดเข้าพบครูบาศรีวิชัย จนกุฏิไม้หักพัง จำวัด 1 คืน รอมเงินสร้างกุฏิวัดป่าบงหลังใหม่ 100 รูเปีย บรรพชาสามเณร 39 รูป
- วันที่ 21-22 ธันวาคม 2465 ไปบ้านป่ากวาว บ้านม่วงคำ เด่นหนองเขียว ถึงวัดสันกอง จำวัด 2 คืน รอมเงิน 100 รูเปียสร้างเจดีย์ บรรพชาสามเณร 7 รูป อุปสมบทพระภิกษุ 2 รูป
- วันที่ 23-24 ธันวาคม 2465 ไปวัดสันปูแกงเหนือ วัดป่าสักใต้ บ้านแม่เย็น ทุ่งน้อย ป่าแฝก บ้านคอกหมู รอมบุญ 30 รูเปียสร้างวิหารวัดป่าแฝกเหนือ ไปบ้านแม่ไชย (แม่ใจ) จำวัดที่บ้านแม่ไชยปงสนุก (วัดศรีสุพรรณ) 2 คืน ทำบุญให้วัด 20 รูเปีย
- วันที่ 25 ธันวาคม 2465 ไปวัดสันขี้เหล็ก บ้านแม่พืม (แม่ปืม) บรรพชาสามเณร 1 รูป ต่อไปยังวัดดอนตัน (วัดศรีดอนตัน อำเภอแม่ใจ) รอมเงินสร้างวิหาร 50 รูเปีย จำวัดที่วัดรางซาย (วัดสันทราย) 1 คืน พร้อมรอมเงิน 20 รูเปียทำบุญให้วัด
- วันที่ 26 ธันวาคม 2465 ผ่านป่าตุ้ม ร้องงัวแดง ต้นเผิ้ง โป่งเกลือเหนือ โป่งเกลือใต้ พระสิทธิวงส์ วัดสันหมื่นแก้วนิมนต์รับผ้าป่า ผ่านห้วยบง ปงขาม ห้วยเคียน ร่องห้า ผามวัว

พระเจ้าตนหลวง สร้างตั้งแต่สมัยพระเมืองแก้ว ในยุคล้านนา มีความหมายถึงตัวแทนพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัป คือพระกกุสันโธ
- ถึงวัดศรีโคมคำ (พระเจ้าตนหลวง) ริมกว๊านพะเยา วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2465 สิ้นสุดเส้นทางยาตราบารมี 48 วัน
ต่อมา หลังจากที่บูรณะวัดพระเจ้าตนหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว ครูบาศรีวิชัยยังได้เดินทางไปบูรณะเสนาสนะในจังหวัดลำปางตอนเหนือ แถบอำเภอวังเหนือ แจ้ห่ม เมืองปาน งาว อีกหลายครั้ง ในลักษณะขึ้นๆ ล่องๆ ระหว่างเส้นทางพะเยา-ลำปาง บางครั้งจากลำปางท่านยังได้ลงไปถึงลำพูน แล้วกลับมาลำปางขึ้นพะเยาอีกหลายระลอก ในระหว่างนั้น คือ พ.ศ. 2465-2469 พบว่าเป็นห้วงเวลาที่ครูบาศรีวิชัยได้รับนิมนต์ให้ไปเป็นประธานสร้างวัดทั่วล้านนาจำนวนมากที่สุดช่วงหนึ่ง

เห็นได้ว่า อานิสงส์จากการเดินธรรมยาตราของครูบาศรีวิชัย นอกจากได้ประกาศศาสนธรรม และได้ช่วยสร้างวัดวาอารามให้พุทธศาสนิกชนแล้ว ยังได้ทำการอุปสมบทพระภิกษุสามเณรอีกด้วย เส้นทางจากลำพูน-พะเยา ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ครูบาศรีวิชัยได้บรรพชาสามเณรจำนวนมากถึง 203 รูป และอุปสมบทพระภิกษุ 19 รูป (ตัวเลขนี้นับเฉพาะจากเนื้อความที่ปรากฏในคร่าวของพระภิกษุสุนทรพจนกิจเท่านั้น) ต่อมาสามเณรนับ 200 กว่ารูปได้เติบโตขึ้นกลายเป็นพระภิกษุ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขออุปสมบทเป็นพระภิกษุให้ครูบาศรีวิชัยเป็นพระอุปัชฌาย์ให้อีกครั้ง
กล่าวถึงเรื่องศิษยานุศิษย์ ทั้งพระภิกษุและสามเณรพบหลักฐานว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 2,000 รูปที่ครูบาศรีวิชัยเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ การที่ทราบตัวเลขนั้น เพราะเราได้เห็นเลขทะเบียนจากใบสุทธิบางฉบับเขียนลำดับที่ 2,000 กว่าแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีพระภิกษุสามเณรอีกจำนวนมาก ที่ครองเพศบรรพชิตมาก่อนแล้ว โดยบวชกับพระอุปัชฌาย์รูปอื่น บ้างก็มาฝากตัวขอเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัย ขอติดสอยห้อยตามไปในทุกที่ที่ท่านยาตรา บ้างก็ยอมสึกแล้วขอบวชใหม่กับครูบาศรีวิชัยด้วยตระหนักดีว่า การได้บวชกับบุคคลผู้ถือศีลเคร่งครัดบริสุทธิ์ ผู้เป็นศิษย์ย่อมได้รับกระแสบุญจากพระอาจารย์รูปนั้นตามไปด้วย
หมายเหตุ :
- คงอักขรและการสะกดตามหลักฐานชั้นต้น และต้นฉบับของนักเขียน