กรกฎาคมและสิงหาคมเป็นเดือนเกิดของบุคคลแห่งตระกูล “วรดิลก” ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวข้องกับ นายปรีดี พนมยงค์ อย่างแนบแน่น โดยเฉพาะสองพี่น้องอย่าง สุวัฒน์ วรดิลก และ ทวีป วรดิลก ที่ถือเป็นลูกศิษย์และแรงสนับสนุนของ นายปรีดี
สุวัฒน์ ลืมตายลโลกครั้งแรกสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2466
ส่วน ทวีป ลืมตายลโลกครั้งแรกสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2471
ทั้งสองเป็นบุตรชายของ พระทวีปธุรประศาสน์ (วร วรดิลก) ข้าราชการนักปกครองคนสำคัญของประเทศ โดยมีมารดาคือ นางจำรัส
เหตุที่ สุวัฒน์ และ ทวีป ได้มามีความสัมพันธ์กับ นายปรีดี ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เนื่องจากผู้เป็นบิดาคือ พระทวีปฯ เองก็รู้จักคุ้นเคยกับ นายปรีดี มาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ถึงแม้ภายหลังในสมัยรัฐบาลคณะราษฎร พระทวีปฯ จะต้องออกจากราชการ เพราะพิษการเมืองเล่นงาน ด้วยถูกเพ่งเล็งว่ามีความเกี่ยวข้องฝ่ายกบฏบวรเดชที่ต่อต้านคณะราษฎร และถึงแม้ พระทวีปฯ จะมิได้เห็นพ้องหรือมีความนิยมชมชอบต่อรัฐบาลคณะราษฎรสักเท่าใด หากก็ยังศรัทธาและยกย่องต่อมันสมองของคณะราษฎรเยี่ยง นายปรีดี อย่างจริงใจเรื่อยมา
จากซ้ายคือ สุวัฒน์ วรดิลก พระทวีปธุรประศาสน์ และทวีป วรดิลก
ผมเคยเขียนถึงเรื่องราวของผู้เป็นบุตรชายคือ สุวัฒน์ และ ทวีป ไปแล้วดังใน “100 ปีชาตกาล สุวัฒน์ วรดิลก และความสัมพันธ์กับนายปรีดี พนมยงค์” https://pridi.or.th/th/content/2023/07/1610 และ “ทวีปและกานดา วรดิลก กับปรีดี พนมยงค์” https://pridi.or.th/th/content/2024/08/2103
ในคราวนี้ ผมจึงจะเขียนบอกเล่าเรื่องราวของ พระทวีปธุรประศาสน์ ซึ่งดูเหมือนยังมิค่อยจะได้รับการเอ่ยถึงมากนัก
พระทวีปฯ เป็นคนใต้โดยกำเนิด ลืมตายลโลกหนแรกสุดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2441 (น่าจะเทียบเป็นศักราชปัจจุบันแล้ว) ณ บ้านที่ตำบลวังตะกอ จังหวัดหลังสวน มณฑลชุมพร มีชื่อแรกเกิดว่า วร เป็นบุตรของ นายเจิม และ นางอบ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ได้แก่
- นางหีด ทองสุก
- พระทวีปธุรประศาสน์
- นายเชื่อง พรหมบุตร
- นายชวน วรดิลก
- นายผาด พรหมบุตร
เดิมที พระทวีปฯ นั้น ใช้ชื่อ-สกุลว่า วร พรหมบุตร อีกทั้งตอนที่ พระทวีปฯ เป็นเด็ก มณฑลชุมพรเพิ่งจะได้รับการจัดตั้งขึ้นได้ไม่นาน (ตั้ง พ.ศ. 2439) ความที่หลังสวนเป็นเมืองเก่าแก่มาแต่ครั้งโบราณ จึงถูกยกขึ้นเป็นจังหวัดหลังสวน
ตำบลวังตะกออันเป็นภูมิลำเนาของ พระทวีปฯ หรือ วร ตั้งอยู่ในอำเภอขันเงินซึ่งเป็นอำเภอหลักของจังหวัดหลังสวนยุคนั้น (ต่อมาภายหลัง จังหวัดหลังสวนได้กลายเป็นอำเภอหลังสวนในจังหวัดชุมพร) ช่วงวัยเยาว์เขาจึงเริ่มเรียนหนังสือที่วัดขันเงิน ก่อนจะไปเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนอุดมวิทยากร พออายุได้สิบหกปี ก็เดินทางมายังกรุงเทพมหานคร เข้ารับราชการตำแหน่งเสมียนฝึกหัดในกรมพระนครบาล กระทรวงพระนครบาล ได้รับเงินเดือน 18 บาท ขณะเป็นเสมียนเขายังได้ไปสมัครเรียนวิชาการปกครองที่ทางกรมพระนครบาลเปิดสอนให้ข้าราชการของกรม ณ วังสราญรมย์ ครั้นสำเร็จหลักสูตรเลยได้รับบรรจุตำแหน่งเสมียนสามัญ ประจำกองทะเบียน กรมพระนครบาลเมื่อวันที่ 1 มิถนายน พ.ศ. 2461 รับเงินเดือน 30 บาท พอปลายปีเดียวกันก็ได้เงินเดือนเพิ่มเป็น 40 บาท
ในปี พ.ศ. 2462 วร ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นปลัดอำเภอประจำกรมพระนครบาล กินเงินเดือน 50 บาท และปีต่อมาก็เลื่อนขึ้นมหาดเล็กรายงานพร้อมได้รับพระราทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนวรกิจอักษร กินเงินเดือน 80 บาท
ช่วงนี้เอง วร ได้แต่งงานกับ จำรัส ชีวกานนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2463 และได้มีบุตรสาวคนแรกชื่อ ดรุณ
กระทั่งปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2464 ได้รับพระราชทานยศเป็นรองอำมาตย์ตรีและเลื่อนตำแหน่งเป็นนายเวรกรมพระนครบาล กินเงินเดือน 100 บาท
ช่วงต้นทศวรรษ 2460 วร ยังขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเพื่อไปศึกษาวิชากฎหมายที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม ซึ่งตามหลักสูตรต้องใช้เวลาเรียนสองปี แต่พอ วร สอบไล่ผ่านปีแรก เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอเมืองนนทบุรี จึงต้องหยุดชะงักการเรียนกฎหมายไว้ก่อนเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า กระทั่งได้ย้ายกลับมาเป็นนายอำเภอพระนครกลาง พร้อมเลื่อนยศเป็นรองอำมาตย์โท จึงกลับมาเรียนวิชากฎหมายต่อและสอบได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม รุ่นปี พ.ศ. 2466
ในปีเดียวกัน วร มีบุตรชายคนแรกแต่เป็นบุตรคนที่สองคือ สุวัฒน์ ซึ่งเกิดที่บ้านริมคลองข้างวัดมกุฏกษัตริยาราม
พอปลายปี พ.ศ. 2467 ขุนวรกิจอักษร ได้รับแต่งตั้งเป็นนายอำเภอสามเสน ครั้นมีการปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมใหม่ โดยกระทรวงพระนครบาลถูกยุบมารวมเข้ากับกระทรวงมหาดไทย เขาถูกส่งไปดำรงตำแหน่งเลขานุการมณฑลโคราช (นครราชสีมา) สืบเนื่องจาก พระยาเพชรปาณี (ดั่น รักตะประจิตร) สมุหพระนครบาล ผู้บังคับบัญชาของเขาถูกย้ายไปเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลโคราช
ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 วร ได้รับแต่งตั้งเป็นนายอำเภอพิมายและอยู่ที่นั่นถึงสามปี เขาจึงมีภรรยาอีกคนคือ อู๋ อินทรวิเชียร และมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน
ในปี พ.ศ. 2471 วร ย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯมาดำรงตำแหน่งปลัดกองทะเบียนกรมพลัมภัง และต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นปลัดกรมพลัมภัง (ปัจจุบันคือกรมการปกครอง) ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงนิกรจำนง เลื่อนยศเป็นอำมาตย์ตรี กินเงินเดือน 250 บาท
ปีนี้เอง วร มีบุตรชายคนที่สองและเป็นบุตรคนที่สี่กับ จำรัส แต่ถือว่าเป็นบุตรชายคนที่สามของเขา นั่นคือ ทวีป ซึ่งเกิดที่บ้านแถวย่านบ้านหม้อ แต่ตอนนั้น ตั้งเพียงชื่อเล่นว่า หมึก ยังมิได้ตั้งชื่อจริง
ในปี พ.ศ. 2473 วร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการหรือที่ยุคนั้นเรียกว่า “ข้าหลวงประจำจังหวัด” โดยได้ดำรงตำแหน่งที่จังหวัดกระบี่ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระทวีปธุรประศาสน์ มียศเป็นอำมาตย์โท กินเงินเดือน 400 บาท
ช่วงนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต และพระชายาเสด็จประพาสกระบี่ พระทวีปฯ จึงขอพระราชทานนามให้ หมึก ลูกชายที่เกิดมาแล้วสองปี แต่ยังไม่มีชื่อจริง กรมพระนครสวรรค์ฯ จึงทรงรับสั่งว่า “เป็นลูกพระทวีปฯ ก็ชื่อ ‘ทวีป’ ก็แล้วกัน”
พระทวีปธุรประศาสน์ (วร วรดิลก) ในวัยหนุ่ม สวมชุดครุยเนติบัณฑิตสยาม
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้ว ต่อมา พระทวีปฯ ได้รับคำสั่งให้ย้ายสับเปลี่ยนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีแทน พระยาพิพิธอำพลวิมลภักดี (ประเดิม อังศุสิงห์) ซึ่งย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2476 แล้วให้ พระบรรหารวรพจน์ (บุนนาค คทาเดช) ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลเดิมมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่
กระทั่งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดชเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 พระทวีปฯ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมกับพวกกบฏ และได้รับคำสั่งให้ออกจากราชการโดยได้รับพระราชทานบำนาญเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 ขณะอายุเพียงแค่ 36 ปี ซึ่งถือว่ายังน้อย ถ้ารับราชการต่อคงจะก้าวหน้าไปได้อีกไกล เนื่องจากที่ผ่านมาก็ถือว่าได้เลื่อนยศและตำแหน่งอย่างรวดเร็ว อายุยังไม่ถึง 40 แต่ได้เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดหรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น “เจ้าเมือง” แล้ว
การยุติชีวิตราชการส่งผลให้ทางครอบครัวเผชิญปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาสภาพการเงิน อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนนามสกุลใหม่จาก “พรหมบุตร” มาเป็น “วรดิลก” พระทวีปฯ ตัดสินใจไปพำนักอยู่ที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร และยึดอาชีพเป็นทนายความ
พระทวีปธุรประศาสน์ (วร วรดิลก) ในชุดครุย ช่วงที่เป็นทนายความ
ถึงแม้ พระทวีปฯ จะถูกมองว่าเป็นฝ่ายกบฏ แต่ทางครอบครัววรดิลกกลับมีความสนิทแน่นแฟ้นกับครอบครัวพนมยงค์ นั่นเพราะ พระทวีปฯ รู้จักมักคุ้นและชอบพออัธยาศัยกับ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี มาตั้งแต่ครั้งเป็นนักเรียนโรงเรียนกฎหมาย
ฉะนั้น ในความรับรู้ของบุตรชายคนโตของ พระทวีปฯ เยี่ยง สุวัฒน์ ภาพของ นายปรีดี จึงเป็นไปในลักษณะเชิงบวก เมื่อ สุวัฒน์ จึงสมัครเข้าโรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หรือ ต.ม.ธ.ก. ในปี พ.ศ. 2483 ถัดมาอีกสองปีก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งทำให้เคยพบปะสนทนากับ นายปรีดี ในฐานะท่านผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย ดังที่ สุวัฒน์ เปิดเผยความในใจว่า
“ผมรู้จักอาจารย์ปรีดีฯ ใน ๒ สถาน ๆ หนึ่งท่านเคยรู้จักชอบพอกับพ่อ ซึ่งเป็น “เนติบัณฑิต” ก่อนอาจารย์ปรีดีฯ ๒ รุ่น อีกสถานหนึ่ง ท่านเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยฯ ที่ผมเข้าไปศึกษา แต่ไม่เคยสอนผมหรือพูดอีกที ผมเข้าเรียนไม่ทันยุคที่ท่านสอน แต่ก็ทันฟังโอวาท จากท่านบ่อย ๆ ตั้งแต่วันเปิดเรียนภาคแรกของ “ต.ม.ธ.ก. รุ่น ๓” เป็นต้นมา
พ่อยกย่องเสมอว่า อาจารย์ปรีดีฯ เป็นคนเดียวใน “คณะราษฎร” ที่กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้อาศัยสาเหตุอื่นมาเป็นพลังผลักดันเหมือนคนอื่น ๆ ซึ่งบางคนน้อยอกน้อยใจที่พลาดตำแหน่ง ๆ สำคัญของราชการ เพราะตกไปเป็นของพวกเจ้าเสียหมด บางคนก็เห่อเหิมทะเยอทะยานอยากได้ลาภได้ยศ บางคนก็เจ็บแค้นใจที่ได้รับการกดขี่ หรือความเหลื่อมล้ำต่ำสูง แต่อาจารย์ปรีดีฯ คิดและกระทำด้วยอุดมคติ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้รับระบบปกครองที่ให้ความเป็นธรรมแก่สังคมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้”
ผมเคยหลงเชื่อถ้อยความนี้ของ สุวัฒน์ โดยเฉพาะที่ว่าพระทวีปฯ สอบเป็นเนติบัณฑิตสยามได้ก่อนหน้านายปรีดีสองรุ่น อย่างไรก็ดี เมื่อผมศึกษาชีวประวัติของ พระทวีปฯ แล้ว ทำให้ผมคิดว่า สุวัฒน์ อาจจะจดจำคลาดเคลื่อน กล่าวคือ พระทวีปฯ อายุแก่กว่า นายปรีดี สองปีก็จริง แต่ช่วงที่เรียนโรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรมเป็นช่วงเวลาเดียวกันคือต้นทศวรรษ 2460 ส่วนที่ระบุว่า พระทวีปฯ สอบเป็นเนติบัณฑิตสยามได้ก่อนหน้า นายปรีดี สองรุ่นนั้น ไม่เป็นความจริงเลย เพราะ นายปรีดี เข้าสอบเป็นเนติบัณฑิตสยามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2462 และสอบผ่านในวัยเพียง 19 ปี แต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงยังประกาศให้เป็นเนติบัณฑิตสยามไม่ได้ ต้องรอให้อายุครบแล้วได้รับการประกาศให้เป็นเนติบัณฑิตสยามเมื่อปี พ.ศ. 2463 ขณะที่ พระทวีปฯ สอบไล่ผ่านตามหลักสูตรโรงเรียนกฎหมายได้เพียงปีเดียว ก็ต้องไปเป็นนายอำเภอเมืองนนท์ จึงหยุดเรียนไปหลายปี ก่อนจะมาสอบเป็นเนติบัณฑิตสยามได้ในปี พ.ศ. 2466 หลังจาก นายปรีดี เป็นเนติบัณฑิตสยามแล้วถึงสามปี
ช่วงที่ พระทวีปฯ ไปเป็นทนายความอยู่ที่หลังสวน ก็ยังมีภรรยาอีกหลายคน ได้แก่ ผิว จีระสมิต, ลา กลัดภาษี และ อวยพร บุนนาค การมีภรรยาเยอะ ก็ทำให้เขามีบุตรธิดาเยอะไปด้วย
ดังที่ พระทวีปฯ มีลูกกับ จำรัส ภรรยาคนแรกสุดทั้งหมด 9 คน มีลูกกับ อู๋ 1 คน กับ ผิว 5 คน กับ ลา 2 คน และกับ อวยพร 6 คน รวมมีลูกทั้งสิ้น 23 คน
หลังสวนเป็นดินแดนที่ผลไม้ดกดื่น เมื่อ พระทวีปฯ นึกถึง นายปรีดี จึงได้ฝากผลไม้จากหลังสวนไปให้ มอบหมายบุตรชายคนโตอย่าง สุวัฒน์ ซึ่งเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์เป็นผู้นำไปมอบ ดังเสียงเล่าของ สุวัฒน์ ที่ว่า
“ผมไม่มีโอกาสพบอาจารย์ปรีดีฯ อีกเลย จากการพบในเมืองไทยครั้งหลังสุด เมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งขณะนั้น ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการ พ่อฝากผลไม้จากหลังสวนมา ๒ ชะลอมใหญ่ ผมนำไปให้ท่าน และสนทนากับท่าน และ “ท่านผู้หญิง” ที่ศาลาริมน้ำในทำเนียบท่าช้างได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ผมได้พบท่านอีกเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๐๐ ที่หอวัฒนธรรมนครกวางตุ้ง (จีนแดง)”
ทางด้านบุตรชายอีกคนอย่าง ทวีป มีชีวิตวัยเยาว์อยู่กับบิดาที่อำเภอหลังสวน ต่อมาก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพมหานครจนสำเร็จชั้นมัธยม แล้วเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หรือ ต.ม.ธ.ก. ในปี พ.ศ. 2486 ถือเป็นรุ่นที่ 6 ครั้นสำเร็จตามหลักสูตรก็เข้าเรียนด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
สุวัฒน์ และ ทวีป เป็นผู้มีบทบาทแข็งขันในการเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองและด้านวรรณกรรมเพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ จนต้องถูกภัยการเมืองเล่นงานถึงขั้นถูกจับกุมไปคุมขังไว้ในคุก หากบุตรชายทั้งสองคนนี้ของ พระทวีปฯ ก็ยังมีจิตใจมั่นคงต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย รวมถึงมีความศรัทธาต่อ นายปรีดี อยู่เสมอ
บุตรสาวคนสุดท้องของ พระทวีปฯ กับ จำรัส คือ จีรวรรณ ยังได้สมรสกับบุตรชายของ นายปรีดี คือ ศุขปรีดา อีกด้วย
ในความห้วงลึกแห่งจิตใจของ พระทวีปฯ อาจรู้สึกบ้างว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรมจากการต้องถูกให้ออกจากราชการ ทั้ง ๆ ที่ตนก็ปฏิบัติหน้าที่มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเต็มความสามารถ เพราะตอนนั้น รัฐบาลคณะราษฎรเกิดความไม่ไว้วางใจต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทย เกรงว่าจะยังมีความภักดีต่อระบอบเก่า ดังนั้น จึงไม่คิดที่จะไม่หวนกลับไปรับราชการอีกเลย ทั้งยังมีความคิดอีกว่า อุดมคติ นโยบายของคณะผู้ก่อการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนหาได้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะมีเจตนาดีที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่ผู้ก่อการบางกลุ่มได้กลายมาเป็นเผด็จการเสียเอง กระนั้น สำหรับ นายปรีดี แล้ว พระทวีปฯ ก็ยังคงยกย่องว่าเป็นคนเดียวเลยในคณะราษฎรที่ “กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้อาศัยสาเหตุอื่นมาเป็นพลังผลักดันเหมือนคนอื่น ๆ ” รวมถึง “คิดและกระทำด้วยอุดมคติ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้รับระบบปกครองที่ให้ความเป็นธรรมแก่สังคมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้”
พระทวีปธุรประศาสน์ (วร วรดิลก) ในวัยชรา
ในช่วงวัยชรา พระทวีปฯ หันมาสนใจศึกษาด้านพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องพุทธปรัชญา ชื่นชอบแนวคิดของ พุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลารามเป็นพิเศษ จนถึงกับเขียนจดหมายไปหาเพื่อสนทนาธรรมและแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา
นอกจากนี้ พระทวีปฯ ยังนับถือ พระราชญาณกวี (บุญชวน เขมาภิรโต) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันติดปากว่า “ท่านเจ้าคุณปกาสิต” เนื่องจากนามของท่านสมัยยังจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดดอนทรายแก้วคือ พระปกาสิตพุทธศาสน์ เล่ากันว่า ในช่วงทศวรรษ 2480 และทศวรรษ 2490 เมื่อ พุทธทาส เดินทางจากอำเภอไชยามากรุงเทพฯ ก็จะนั่งรถไฟมาแวะที่ชุมพรก่อน โดยมักจะไปพักที่วัดดังกล่าว เพราะเป็นสหายธรรมกับ พระปกาสิต ซึ่งเป็นชาวอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและเคยจำพรรษาที่สวนโมกข์ด้วยกัน
ช่วงปลายทศวรรษ 2500 พระปกาสิต ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดขันเงินและเป็น เจ้าคณะจังหวัดชุมพร ก่อนที่ต่อมาจะได้รับสมณศักดิ์คือ พระราชญาณกวี
พระราชญาณกวี (บุญชวน เขมาภิรโต)
ในปี พ.ศ. 2522 พระราชญาณกวี ได้บันทึกความรู้สึกถึง พระทวีปฯ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของอดีตนักปกครองผู้วายชนม์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ความว่า
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้รับโอกาสเขียนแสดงความรู้สึกซึ่งข้าพเจ้ามีต่อคุณพระทวีปฯ ผู้ถึงแก่กรรมไปแล้ว และจะได้รับการพรพระราชทานเพลิงศพในเวลาไม่ช้านี้
อันชื่อเสียงและเกียรติคุณงามความดีของคุณพระทั้งในด้านความรู้หลัก นักปราชญ์และการปฏิบัติงานอันเป็นหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนเองที่เรียกว่า อัตตหิตประโยชน์ และเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เรียกว่าปรหิตปฏิบัตินั้น เป็นที่ทราบและยอมรับกันทั้งในวงราชการและประชาชนชั้นวิญญูชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง ก่อนที่ข้าพเจ้าได้พบปะสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว ณ บ้านคุณพระบุรพทิศอาทร ที่จังหวัดระนอง เมื่อราว พ.ศ. 2481 เสียอีก เราได้พบปะสนทนากันไม่นาน แต่เข้าใจว่านับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เรามีความเห็นตรงกันในจุดหมายและหลักคำสอนที่สำคัญอันเป็นคุณประโยชน์ยิ่งของพุทธศาสนา เราไม่มีข้อโต้แย้งกันแล้ว
เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับคุณพระคราวนั้น ข้าพเจ้ายังเป็นพระหนุ่มอายุราวสามสิบปีเศษ แต่มีความทะเยอทะยานในการเผยแพร่พุทธศาสนาในทางที่จะให้เกิดคุณประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมยิ่งไปกว่าวิธีการดั้งเดิมที่สอนให้คนทำบุญให้ทานด้วยจินตนาการเพื่อขึ้นสวรรค์อย่างมืด ๆ ด้วยความงมงายอย่างที่เคยนับถือและปฏิบัติสืบ ๆ กันมา จึงได้ตั้งหน้าศึกษาค้นคว้าหาความรู้ทางพุทธศาสนา ทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติเท่าที่เครื่องมือ โอกาสและความสามมารถจะอำนวยให้
การศึกษาค้นคว้า พิจารณาใคร่ครวญหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ทำให้เกิดความเห็นและมั่นใจในแนวเดียวกันกับความเห็นของคุณพระทวีปฯว่า คำสอนของพระพุทธองค์ทรงมุ่งประโยชน์สุขเพื่อมหาชนหรือพหูชน คือชาวโลก ความจริงข้อนี้จะเห็นได้จากพระพุทธดำรัสคราวส่งพระอรหันตสาวกไปประกาศพระศาสนาในครั้งแรก ซึ่งมีใจความว่า "ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ เธอจงจาริกไปประกาศพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์สุขของพหูชน เพื่อเอ็นดูโลกฯ” เป็นต้น
ในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อบรรลุผลดังกล่าว พระองค์ทรงสอนหลักธรรมทั้งฝ่ายปรมัตถ์ หรือปรัชญา อันเป็นหลักปฏิบัติเพื่อขจัดความชั่วหรือกิเลส โดยเฉพาะความเห็นแก่ตัว หรือ อัตตานุทิฏฐิ และฝ่ายจริยธรรมอันเป็นหลักปฏิบัติ เพื่อสร้างสันติสุขในสังคมมนุษย์
ในบรรดาคำสอนต่าง ๆ อันมีอยู่มากมายตามความจำเป็นและเหมาะสมของคนซึ่งมีหลายชั้นหลายระดับแห่งภูมิปัญญา พระองค์ทรงสอนหลักความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องระหว่างสิ่ง สัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งในส่วนสุข ทุกข์ การเป็นอยู่และเปลี่ยนแปลงทั้งมวล สรุปแล้ว ทรงสอนให้เห็นธรรม หรือธรรมชาติหรือสิ่งทั้งหลาย ในลักษณะที่เป็นจริงว่าเป็นอนัตตาหรือสุญญตา คือไม่มีตัวตนที่เป็นประธานในสรรพสิ่งทั้งหลายอันเป็นปรากฏการณ์ทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนามซึ่งอาจเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเปลี่ยนแปรไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง
ฉะนั้นชีวิตของคนแต่ละคน เมื่อพิจารณาแยกจากสังคมส่วนรวม จึงไม่มีความหมายมากนัก เพราะมันเป็นดุจฟองน้ำซึ่งเกิดดับ ๆ ในกระแสธารอันไหลเชื่ยว อันชีวิตของสังคมมนุษย์ อาจเกิดและดำเนินไปได้นาน ๆ ตามเหตุแล้วแต่ชีวิตของแต่ละคนในกระแสธารชีวิตแห่งสังคมตั้งขึ้นและสลายไปภายในระยะกาลนิดเดียวเท่านั้น
การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม จึงมีผลในระยะยาวกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้
การได้พบปะทสนทนากับชนชั้นนักปราชญ์ เช่น คุณพระทวีปฯ ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์และกำลังใจในการบำเพ็ญศาสนกิจของข้าพเจ้าเป็นอย่างมากซึ่งข้าพเจ้าขอบันทึกความสำนึกบุญคุณของท่านไว้ในโอกาสนี้ ที่นี่ด้วย
หากคุณพระทวีปฯ ได้อุบัติ ณ ตอนใดในกระแสธารแห่งชีวิตในสังสารวัฏอีก ขอจงรับทราบและอนุโมทนากุศลเจตนาของข้าพเจ้า เพื่อความสุขในสัมปรายภพยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด
แม้จะออกจากราชการมานานหลายปี แต่บทบาทโดดเด่นและกิตติศัพท์ในฐานะนักปกครองของ พระทวีปฯ ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ดังที่ช่วงปลายปี พ.ศ. 2501 ทางกระทรวงมหาดไทยมีดำริจะจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวง 1 เมษายน พ.ศ. 2502 พระทวีปฯ จึงได้รับหนังสือติดต่อจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคือ พลโท ประภาส จารุเสถียร (ยศขณะนั้น) ให้เขียนความคิดเห็นถึงกระทรวง ซึ่ง พระทวีปฯ เสนอข้อเขียนเรื่อง “ศัตรูของสถาบันการปกครอง” มีเนื้อความว่า
หลังจากต้องถูกปลดออกจากราชการแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ไปใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ อยู่ในชนบทห่างไกลพระนครหลายร้อยกิโลเมตรมาเป็นเวลา ๒๐ ปีเศษ ไม่ได้เอาใจใส่กับงานราชการอีก นอกจากปฏิบัติตนอย่างราษฎรสามัญคนหนึ่งเท่านั้น เหตุฉะนั้น เมื่อได้รับหนังสือท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอให้เขียนบทความหรือแสดงความคิดเห็นมาลงในหนังสือที่ระลึกวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย จึงรู้สึกสงสัยตัวเองว่าจะสามารถสนองความต้องการของท่านได้หรือไม่ เพราะเท่ากับเอาเป็ดมาขัน แต่เมื่อไม่มีทางหลีกเลี่ยง ความเรียงเรื่องนี้จึงได้มาปรากฏในสายตาของท่านผู้อ่านตามสติปัญญาอันจำกัดของข้าพเจ้า
กระทรวงมหาดไทย เป็นสถาบันการปกครองส่วนกลางมีหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชาองค์การปกครองส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ คำว่า "การปกครอง" นี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า "คุ้มครอง รักษาดูแล ควบคุม" ตามนี้จะเห็นได้ว่าในการปกครองนั้น ย่อมต้องประกอบด้วยบุคคลสองฝ่าย คือผู้ถืออำนาจปกครองฝ่ายหนึ่ง กับผู้ถูกปกครองอีกฝ่ายหนึ่ง ความมุ่งหมายของการปกครองก็คือ ให้ความร่มเย็นผาสุกแก่ชีวิตทุกชีวิต ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่ได้มีมาพร้อมกับกำเนิดของมนุษย์นั้นแล้ว เว้นแต่สถาบันและทฤษฎีที่ใช้เป็นหลักในทางปฏิบัติเท่านั้น ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งได้พัฒนาเจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดจากปัญญาของมนุษย์ที่รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือการผลิตสิ่งอุปโภคและบริโภค ถ้าจะนับตั้งแต่ยุคหินตอนต้นที่มนุษย์รู้จักประดิษฐ์ขวานหินขึ้นใช้เป็นเครื่องมือทำการผลิตผ่านมาถึงยุคที่รู้จักเลี้ยงสัตว์ ทำการเพาะปลูก ทำการหัตถกรรม รู้จักทำการแลกเปลี่ยนผลิตผลที่เหลือกินเหลือใช้ระหว่างกัน จนขยายตัวมาเป็นการค้าหรือพาณิชยกรรม ปราชญ์ทางโบราณคดีคำนวณว่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าหมื่นปี รูปแบบของสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง และการพาณิชยกรรมนี่เองที่ได้เป็นสื่อให้มนุษย์ชาติเชื่อมความสัมพันธ์กันทั่วโลก ทั้งได้เบิกทางให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในยุโรป ในคริสตศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งนำทั้งผลดีและผลร้ายมาสู่มวลมนุษย์อย่างไพศาล ในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันการปกครองก็เพิ่มความยุ่งยากและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
มนุษย์เราที่เกิดมาในโลกนี้ แม้ว่าจะต่างกันด้วยผิว เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม แต่มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ชีวิตทุกชีวิตต้องการปัจจัยสี่หรือที่เรียกว่าชีวิตวัตถุของสังคม อันได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ในสังคมระบอบใดก็ตามถ้ามีสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตดังกล่าว พอที่จะสนองความต้องการแก่ชีวิตทุกชีวิตได้ตามสมควรแก่อัตภาพแล้ว เราจะเรียกว่าการอยู่ดีกินดีหรืออะไรก็ตาม ความสงบเรียบร้อยก็จะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ ความชั่วที่เกิดจากกิเลสอย่างอื่น หากว่าจะมีบ้างก็คงจะน้อยมาก จริงอยู่มนุษย์เรายังต้องการสิ่งสนองความสะดวกสบายทั้งทางกายและทางใจยิ่งกว่านั้นอีก เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้สูงขึ้น แต่ที่สำคัญก็คือปัจจัยสี่ อันเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตขั้นมูลฐาน ในทางตรงกันข้ามถ้ามนุษย์ในสังคมเกิดขาดแคลนด้วยสิ่งจำเป็นเหล่านี้ ความเดือดร้อนย่อมต้องเกิดขึ้นและความชั่วร้ายต่าง ๆ จะติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เกิดอาชญากร โสเภณี ขอทาน เป็นต้น และถ้าเกิดขึ้นแก่ชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในสังคม อาจถึงเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ขึ้นด้วยก็ได้ การปฏิวัติในประเทศอังกฤษในกลางคริสตศตวรรษที่ ๑๗ และในฝรั่งเศสในคริสตศตวรรษที่ ๑๘ ก็มีเหตุมาจากความอดอยากยากจนนี้เอง ปรากฏจากรายงานทางราชการของฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. ๑๗๗๗ ว่า ทั่วฝรั่งเศสมีคนขอทานถึง ๑,๑๐๐,๐๐๐ คน คอร์รัปชั่นในวงราชการก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง แต่ที่น่าสนใจมากคือ ประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เรารู้กันอยู่แล้วว่าเดิมสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ประเทศอังกฤษได้มีการปฏิวัติทางอุตลาหกรรมก่อนประเทศอื่นในยุโรป จึงมีนโยบายกีดกันมิให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเมืองขึ้นประกอบการอุตสาหกรรม ให้ทำแต่การผลิตวัตถุดิบทางเกษตรกรรมเท่านั้น แล้วเอามาป้อนโรงงานในอังกฤษ ทำการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งไปขายในสหรัฐอเมริกาอีกทีหนึ่ง พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ อังกฤษต้องการให้อเมริกาเป็นแต่แหล่งวัตถุดิบ และตลาดระบายสินค้าที่เป็นผลิตผลอุตสาหกรรมของอังกฤษ ใช่แต่เท่านั้น แม้แต่วัตถุดิบที่เกินความต้องการใช้ในอังกฤษแล้ว อังกฤษก็ยังใช้อำนาจผูกขาดเอาไปขายให้ประเทศอื่นเอากำไรเสียเองอีก สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ประชาชนในสหรัฐอเมริกาย่อมต้องพบกับชะตากรรมแห่งความอดอยากยากจนเป็นธรรมดา เมื่อเหลือทนจึงได้ทำการกบฏต่ออังกฤษซึ่งเป็นเมืองแม่ ในปี ค.ศ.๑๗๗๖ ทำสงครามขับเคี่ยวกันอยู่หลายปี ในที่สุดรบชนะอังกฤษ จึงได้มีโอกาสสร้างการอุตสาหกรรมและได้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ทว่าการสร้างงานอุตสาหกรรมใหม่นั้น ไม่ใช่ว่าจะดำเนินไปได้โดยราบรื่น ยังต้องต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการ ที่สำคัญก็คือ เมื่ออังกฤษได้ประกาศรับรองเอกราชของอเมริกาในปี ค.ศ. ๑๗๘๓ แล้ว ก็ได้ส่งสินค้าเข้าไปดั๊มตลาดจนการอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาแทบทรงตัวไม่อยู่ ยังต้องทำการต่อสู้อย่างทรหด แต่จะเป็นการเกินความจำเป็นที่จะนำมากล่าวให้ละเอียดในที่นี้ สิ่งที่น่าคิดเป็นพิเศษก็คือว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในเวลานั้นก็คือคนอังกฤษนั่นเอง และถ้าหากว่าสหรัฐอเมริกายังคงเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษต่อมาอีกอย่างอินเดียและพม่า สหรัฐอเมริกายังจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งสมบูรณ์ที่สุดในโลกดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้หรือไม่
ตามที่กล่าวมาแล้วชี้ให้เห็นว่า ความอดอยากยากจนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะติดตามมา นับแต่การลักเล็กขโมยน้อยจนถึงปล้นสะดม ฯลฯ การที่จะคิดแก้ด้วยวิธีตรากฎหมายลงโทษอย่างรุนแรง เพิ่มกำลังการปราบปราม ขยายคุกตะรางไม่มีวันที่จะสำเร็จได้ ท่านศรีเนรูห์ ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลกได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังเป็นใจความว่า "ชนชั้นปกครองอาจจะไม่ฉลาดนักที่คิดว่า กำลังทหารและอาวุธที่เข้มแข็งสามารถที่จะปราบคลื่นแห่งความหิวของประชาชนไว้ได้ คนที่ขลาดที่สุด เมื่อเกิดความหิวเข้าแล้ว อาจจะกลายเป็นคนกล้าหาญที่สุดก็ได้" นี่แหละข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความหิวของมนุษย์เป็นศัตรูที่ร้ายกาจของสถาบันการปกครอง
จากข้อเท็จจริงแห่งประวัติศาสตร์ดังกล่าว ยังชี้ให้เห็นอีกว่า บรรดาระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมนานาชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นสังคมนั้น เศรษฐกิจนับว่ามีอิทธิพลมากที่สุดเหนือชีวิตของประชาชน เป็นพื้นฐานของสังคมไม่ว่าการปกครองในระบบใด กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม เป็นแต่เพียงโครงสร้างอยู่ข้างบน หากว่าเศรษฐกิจอันเป็นพื้นฐานไม่มั่นคงแล้ว กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม ซึ่งเบ็นแต่เพียงโครงสร้างก็จะโยกคลอนหมด หมายความว่าไม่ยังผลให้เกิดขึ้นเท่าที่ควรเลย
ว่าโดยเฉพาะประเทศไทยเราเคยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์มาในยุคหนึ่ง สมกับคำพังเพยที่ว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ในเวลานั้นคือเมื่อประมาณ ๕๐ ปี ที่ล่วงมาแล้ว การอุตสาหกรรมภายในครอบครัวของเราเจริญก้าวหน้ามาก เกือบทุกใต้ถุนเรือนมีหูกทอผ้า สตรีที่เสร็จจากงานนอกบ้านแล้ว ได้ใช้เวลาว่างปั่นด้ายและทอผ้าใช้ในครอบครัว จนถึงได้กลายเป็นสินค้าสำคัญได้ซื้อขายกันภายในประเทศ ผ้าด้ายจันทบูร ไชยา ผ้าไหมโคราช มีชื่อเสียงโด่งดังที่เรายังจำกันได้ นอกจากนี้ยังมีช่างฝีมือทำการผลิตสิ่งจำเป็นแก่การครองชีพอย่างอื่น ๆ สารพัดอย่าง เช่น มีด ขวาน จอบ เสียม ประจำอยู่ตามตำบล หมู่บ้านทั่วประเทศ ผู้ที่เกิดในยุคนั้นและที่ยังมีชีวิตอยู่เวลานี้คงจะยังจำกันได้ บ้านเมืองได้รับความร่มเย็นเป็นสุข แต่ต่อมาการอุตสาหกรรมภายในครอบครัวของเราได้ถูกทำลายลงเรื่อย ๆ ๆ ด้วยสินค้าต่างประเทศที่ทำการผลิตด้วยเครื่องจักรและเทคนิคที่ทันสมัย ต้นทุนถูกกว่า แม้แต่เชือกล่ามโค กระบือ ที่เราเคยใช้หวายและป่านปอที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในประเทศทำเป็นเส้นเชือกขึ้นใช้ ก็ได้หันไปนิยมใช้สายโซ่ที่ทำมาจากต่างประเทศไปเสียแล้ว เวลานี้อุตสาหกรรมภายในครอบครัวของเรา ถ้าจะยังมีเศษเดนเหลืออยู่บ้างก็เฉพาะในภากอีสานและภาคเหนือบางจังหวัดเท่านั้น แต่นับวันก็จะสาบสูญไปหมดเบ็นแน่
เราไม่เพียงแต่ถูกทำลายอุตสาหกรรมภายในครอบครัวดังกล่าวแล้วเท่านั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี้ ต่างประเทศยังได้ทุ่มสินค้าจำพวกสนองความสะดวกสบายนานาชนิด เช่น รถยนต์, ตู้เย็น, วิทยุ, ฯลฯ เข้ามาอย่างมหาศาล เมื่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเราขึ้นอยู่ที่ชาวนา และการทำนาก็ยังใช้เครื่องมือแบบโบราณ แม้แต่น้ำซึ่งจำเป็นแก่การเพาะปลูกก็สุดแล้วแต่ดินฟ้าอากาศจะอำนวย จึงไม่เป็นการแปลกประหลาดที่ดุลย์การค้าระหว่างประเท่ศจะต้องเสียเปรียบติดต่อกันมาหลายปี ความอดอยากยากจนจึงปกคลุมอยู่ทั่วไป ผลสะท้อนที่ติดตามมาก็คือการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ขอทาน โสเกณี ได้ระบาดไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาแต่กาลก่อน
เมื่อมีเหตุก่อกวนความสงบหรือความชั่วร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้น ผู้มีอำนาจมักจะมองเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไปในทางบกพร่องต่อหน้าที่ ที่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นคล้าย ๆ กับว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไปนั่งอยู่ในจิตใจคนทุกคน และถ้าไม่ได้ตัวผู้ผิดมาลงโทษก็เห็นเป็นเรื่องหย่อนความสามารถ ถ้าได้ตัวมาลงโทษแล้วก็เป็นเสร็จเรื่องกัน แต่ไหนแต่ไรมาเราไม่ได้สนใจถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ และคิดแก้ที่ตัวเหตุมักจะไปคิดกันเสียว่าการได้ตัวผู้ผิดมาลงโทษแล้วนั้น จะช่วยให้การทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งความจริงวิธีปฏิบัติเช่นนี้เป็นเรื่องแก้ผลไม่ใช่แก้เหตุ จึงไม่เป็นทางที่จะสำเร็จได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า สิ่งทั้งหลายย่อมมีเหตุเป็นแดนเกิด การแก้จะต้องแก้ที่เหตุจึงจะพบกับความสำเร็จ การติดตามแก้ที่ผลนั้นไม่มีวันสำเร็จได้ เหมือนกับคนปวดท้อง เอายาแก้ปวดท้องมากินอาจจะหายปวดได้ชั่วครั้งคราว เพราะยาแก้ปวดทำให้ประสาทลำไส้ชา แต่เมื่อหมดดฤทธิ์ยาแล้วก็จะกลับปวดอีก ทางแก้ที่จะให้ได้ผลเด็ดขาด จะต้องถ่ายรุของเสียออกเสียเลยอันเบ็นการกำจัดต้นเหตุ
เพราะเหตุที่เรามุ่งแต่ที่จะคิดปราบปรามเป็นสำคัญ งบประมาณด้านการปราบปรามจึงมีแต่สูงขึ้นทุกทีดังที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ แต่เหตุแห่งความชั่วร้ายต่าง ๆ ของสังคมแทนที่จะลดลง กลับเพิ่มทับทวีและร้ายแรงยิ่งขึ้น เช่น ปล้นกลางพระนครในเวลากลางวันแสก ๆ ยกพวกเข้าปล้นคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งตลาด ซึ่งไม่เคยปรากฏในกาลก่อน ความจริงสาเหตุแห่งความชั่วร้ายเหล่านี้ เป็นผลมาจากความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจโดยแท้ ถ้าเราจะคิดแก้ให้ได้ผลจะต้องปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจ ให้ชีวิตทุกชีวิตได้มีกินมีใช้ตามควรแต่อัตภาพ ความชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะหมดไปเอง เพราะตามธรรมดาคนเราทุกคนไม่มีใครอยากทำความชั่วด้วยกันทั้งนั้น
แต่บัดนี้เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่คณะปฏิวัติได้ถือปัญหาเศรษฐกิจเป็นนโยบายสำคัญที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างรีบด่วน และได้ประกาศปณิธานออกมาแล้วว่า จะพยายามทำให้ได้ผลอย่างแน่วแน่กล่าวคือ จะดำเนินการเป็นสามระยะ คือระยะแรกจะจัดการช่วยเหลือแก่ผู้ที่อดอยากเสียก่อน แล้วววางโครงการเศรษฐกิจระยะสั้น กับระยะยาวเป็นหลักการปฏิบัติควบคู่กันไป พร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งท่านผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นดำเนินการแล้ว ซึ่งเราจะต้องรอดูผลกันต่อไป หากว่าความพยายามนี้ได้บรรลุผลสำเร็จ ข้าพเจ้าขอยืนยันในที่นี้อีกครั้งหนึ่งว่า การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และความชั่วร้ายอย่างอื่นจะหมดไปเอง ความร่มเย็นผาสุกจะเข้ามาแทนที่ งบประมาณด้านการปราบปรามและราชทัณฑ์จะลดลงได้อีกเป็นอันมาก
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีความประสงค์ให้เขียนบทความหรือแนวคิดเฉพาะงานที่อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เพื่อการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าแม้เราจะวาดภาพโครงสร้างองค์การปกครองให้สวยหรูหราปานใดก็ไม่อาจยังความร่มเย็นผาสุกให้เกิดแก่ประชาชนได้ ถ้าไม่แก้เศรษฐกิจอันเป็นพื้นฐานของสังคมให้ดีเสียก่อน จริงอยู่งานด้านเศรษฐกิจของชาติไม่ใช่เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยโดยตรง แต่กระทรวงมหาดไทยก็เป็นตัวจักรสำคัญที่จะแยกตัวออกจากงานด้านนี้ไม่ได้เหมือนกัน หรืออย่างน้อยก็มีหน้าที่ผลักดันให้งานด้านนี้ได้ดำเนินไปอย่างได้ผล ข้าพเจ้าจึงได้เขียนบทความนี้ขึ้นด้วยความหวังต่อผล คือ ความร่มเย็นผาสุกของประชาชน อันเป็นผลงานในหน้าที่กระทรวงมหาดไทย ที่จะต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง.--
หลังสวน
พฤศจิกายน ๒๕๐๑
พิจารณาจากข้อเขียนข้างต้นย่อมจะเห็นว่า พระทวีปฯ ถือเป็นนักปกครองที่มีความคิดก้าวหน้าไม่ใช่น้อย กล่าวคือมิได้มุ่งเน้นการปกครองโดยการปราบปรามหรือแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเสียอย่างเดียว แต่สนับสนุนให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งปัญหาหลักของสังคมก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจนั่นเอง
นับแต่สิ้นสุดชีวิตราชการในวัยหนุ่ม พระทวีปฯ ก็พำนักอยูที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรเรื่อยมาจวบจนแก่เฒ่า ในวัย 73 ปี เมื่อ พ.ศ. 2514 อดีตนักปกครองล้มป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง โดยก้อนเนื้องอกได้กดทับประสาทการทรงตัว จึงจำเป็นต้องผ่าตัด แม้สังขารจะชรา แต่กำลังใจดีเลยผ่านพ้นอาการป่วยมาได้ ทว่าพอปี พ.ศ. 2522 ก็ล้มป่วยอีกหนด้วยอาการปอดบวม พอเข้ารักษาอาการนี้จนหายดี ก็มีโรคอื่น ๆ มาแทรกซ้อน ทั้งกระเพาะอาหารไม่ทำงาน ระบบขับถ่ายไม่ปกติ กระทั่งในที่สุด พระทวีปฯ ก็อำลาโลกไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2522 มีพิธีสวดพระอภิธรรมที่หลังสวน ก่อนที่ต่อมาจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 กันยายนปีเดียวกัน
นี่คือเรื่องราวของ พระทวีปธุรประศาสน์ (วร วรดิลก) อดีตข้าราชการนักปกครองผู้มีชีวิตรุ่งโรจน์ แต่กลับต้องมาพ้นจากชีวิตราชการในสมัยรัฐบาลคณะราษฎร ทว่าเขาก็ยังนึกชื่นชมและยกย่องนักกฎหมายหนุ่มรุ่นน้องผู้เป็นมันสมองของคณะราษฎรเยี่ยง นายปรีดี พนมยงค์
เอกสารอ้างอิง
- “แจ้งความเรื่องย้ายสับเปลี่ยนผู้ว่าราชการจังหวัด” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 (25 เมษายน 2476). หน้า 327.
- พระราชญาณกวี (บ.ช.เขมาภิรัต) วัดขันเงิน หลังสวน จังหวัดชุมพร. ม.ป.ท.: ม.ป.พ., 2550.
- สุวัฒน์ วรดิลก. ชีวิตในความทรงจำ. กรุงเทพฯ: กลุ่มวรรณกรรมเพื่อชีวิต, 2517
- อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระทวีปธุรศาสน์ (วร วรดิลก) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2522, ม.ป.ท.: บริษัทบพิธการพิมพ์ จำกัด, 2522.