ในขณะที่ สิริกาญจน์ บรรจงทัด Festival Director ของไทย กำลังแสดงงานร่วมกับนักแสดงละครหุ่น 80 คณะ นักสร้างสรรค์ นักวิจัย ผู้จัดการโปรแกรม นักข่าว และคนรักหุ่นจากทั่วโลกอยู่ที่เมือง ชาร์วิลล์-เมซิแยร์ ประเทศฝรั่งเศส มีความสุขกับเทศกาลหุ่นโลก ปีที่ 64 ของ “ Mondial des Théâtres de Marionnettes - FMTM 2025 ” (Charleville -Mézières ครั้งที่ 23) เมื่อ 19-28 กันยายน 2568 คนรักหุ่นกับละครใบ้ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ต่างได้รื่นรมย์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว กับการกลับมาของสองเทศกาลที่รอคอย “ Pantomime in Bangkok ครั้งที่ 17 ” ขนนักแสดงละครใบ้จากญี่ปุ่นมาเสริฟแบบจุใจหลังห่างหายไป 5 ปี / เทศกาลหุ่นกรุงเทพ ครั้งที่ 2 น้องใหม่ของเทศกาลหุ่นไทยในนาม “ Puppet Slam in Bangkok 2025 ” โดย PUPPET SIAM ได้รวมกลุ่มนักละครเวทีมีทักษะพิเศษมาร่วมงานกันหลายคณะหลากรุ่น แสดงละครหุ่นคัดสรร และโครงการเปิดบ้านหุ่นปัดฝุ่น “ โรงละครหุ่นสายเสมา ” ด้วย TOP 4 SHOWS และ PUPPET EDUCATION นับเป็นการกลับมาของ ‘ พี่ใหญ่ ’ กับโปรแกรมใหม่ที่น่าจับตาความเคลื่อนไหว PUPPET MARIONETTE PANTOMIME ล้วนศิลปะการแสดงร่วมสมัยที่มีลักษณะพิเศษ และคุณสมบัติวิเศษ ชวนผู้ชมค้นหาความหมายของตัวเองผ่านสัญลักษณ์และเรื่องเล่า เสมือนสามารถพาเราหลุดออกจากโลกจริงและโลกเสมือนจริงบนจอ โอบใจ พาโบกปีกบินไปสู่ดินแดนของความสุขในวัยเยาว์ที่เราปรารถนาได้…
ผู้บุกเบิกละครหุ่นร่วมสมัยไทย
ครูองุ่น มาลิก กับ หุ่นผ้าขี้ริ้ว คณะละครหุ่นครูองุ่น (photo : มูลนิธิไชยวนา)
หุ่นครูองุ่น มาลิก กับพื้นที่สำหรับเด็ก
นลธวัช มะชัย บันทึกประวัติ ครูองุ่น มาลิก[1] ไว้ในเว็บ Thai Theatre ว่า เมื่อปี 2475 ตอนครูองุ่น อายุ 15 ปี เรียนอยู่โรงเรียนสตรีโชติเวท คณะราษฎรได้ทำการอภิวัฒน์สยาม เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ สร้างความตื่นตัวทางความคิดเพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้ครูองุ่นเป็นอย่างมาก
ปี 2513 ครูองุ่น ได้ซื้อที่ดินซึ่งเป็นที่นาร้างจากคนใน ชุมชนป่าห้า ด้านทิศตะวันตกติดกับลำน้ำห้วยแก้ว สร้างบ้านริมน้ำข้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งชื่อว่า “สวนอัญญา” มาจาก “อัญญาโกณฑัญญะ” หนึ่งในปัญจวัคคีย์ที่พระพุทธเจ้าบวชให้ ครูองุ่นจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางความคิด ใช้บ้านสวนอัญญาให้นักศึกษาใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางสังคม
ปี 2516 ครูองุ่น ร่วมแสดงละครเวทีเรื่อง “ หกฉากจากชนบท ” กำกับการแสดงโดย คำรณ คุณะดิลก ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ละครเรื่องหกฉากจากชนบท ของชุมนุมศิลปะการละครมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดการแสดงขึ้น สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก จึงได้นำมาเปิดแสดงบนเวที หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 11 – 13 สิงหาคม 2516 ละครเรื่องนี้เน้นให้เห็นสภาพปัญหาต่างๆ ในชนบท จากประสบการณ์แท้จริงของนักแสดง ลักษณะพิเศษของละครเรื่องนี้คือ บทพูดเป็นคำพูดของผู้แสดงเขียนขึ้นเองเฉพาะตัว จึงเป็นความใหม่อีกลักษณะหนึ่งในยุคขณะนั้น
นับแต่ปี 2520 เป็นต้นมา ครูองุ่นทำหุ่นมือ ฝึกเชิดหุ่น และออกแสดงตามที่ต่างๆ ต่อเนื่อง หุ่นมือนับหมื่นได้กระจายออกไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศยากจน ผ่านทางองค์กรการกุศลที่ไม่มีอคติในเรื่องของชาติพันธุ์และผิวพรรณ
ครูองุ่นลงมือสร้างหุ่นขึ้นมาอย่างเร่งรีบทั้งวันทั้งคืน โดยมีลูกศิษย์คอยเป็นลูกมือ ครูคอยตรวจสอบและติดตามความสดใสของสีสันผ้าที่เลือกขึ้นมาประดิษฐ์เป็นตัวหุ่น การตกแต่งหน้าตาอารมณ์ของหุ่น การสร้างหุ่นรูปแบบใหม่ๆ อย่างเช่นควายที่มีเขาโง้งงดงามสำหรับให้ชาวนาขึ้นไปนั่งเป่าขลุ่ยยามเย็นลมโชย พอทำเสร็จครูก็จะนำขึ้นมาเชิดพลางร้องเพลง ทดลองเล่นกับหุ่น
ปี 2521 ครูองุ่นเกษียณราชการในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ เธอกลับมาอยู่บ้านซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เป็นการถาวร ผลิตหุ่นเชิดมือที่ใช้วัสดุจากผ้าขี้ริ้ว และสร้างนิทานสำหรับละครหุ่นมือเด็ก “ ตำนานพระจันทร์ แม่มด กับไข่ทอง ”
ปี 2524 ครูองุ่นปรึกษาหารือกับทนาย ประดับ มนูรัษฎา เพื่อดำเนินการจัดตั้ง มูลนิธิไชยวนา กระทรวงมหาดไทย ได้อนุมัติให้ มูลนิธิไชยวนา มีฐานะเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2525 ณ บริเวณบ้านเลขที่ 67 ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 (บริเวณสวนครูองุ่น ในปัจจุบัน) [2]
ครูองุ่น ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินของเธอให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ มูลนิธิไชยวนา เพื่อดำเนินกิจกรรมอำนวยประโยชน์ในการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนเกื้อกูลการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในรูปแบบต่าง ๆ
1. ที่ดินเนื้อที่ 258 ตารางวา บ้านเลขที่ 67 ซอยสุขุมวิท 55 ทองหล่อ แขวงคลองตันเหนือ เขตพระนคร กรุงเทพฯ (ปัจจุบันคือสวนครูองุ่น มูลนิธิไชยวนา) ัจจุบันอยู่ในการดูแลของ มูลนิธิกระจกเงา ชุตินาถ กาญจนกุล ผู้จัดการโครงการสวนครูองุ่น ให้สัมภาษณ์ The Cloud[3] ว่า ตามแผนงานที่วางไว้ตั้งใจจะสร้างพื้นที่แห่งนี้ให้มีโรงละครขนาด 100 ที่นั่ง เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับละครหุ่นมือสำหรับเด็กที่ครูองุ่นริเริ่มขึ้น และยังคงมีลูกศิษย์สานต่อมาถึงปัจจุบัน
“ข้าพเจ้าได้สืบทอดรักษาที่ดินแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า 50 ปี ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง... และยกกรรมสิทธิ์ให้แก่มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ เป็นที่สร้างสถาบันปรีดี พนมยงค์ ด้วยเจตนาให้ดำเนินเป็นสถานกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อราษฎรไทย”
2. ที่ดินเนื้อที่ 571 ตารางวา บ้านเลขที่ 1 ซอย 3ค. ถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (ปัจจุบันคือสวนอัญญาเฮือนครูองุ่น มาลิก หอประวัติศาสตร์ประชาชนภาคเหนือ มูลนิธิไชยวนา เชียงใหม่)
“ข้าพเจ้าได้ใช้แรงกาย หยาดเหงื่อ แม้หยาดโลหิต ถนอมรักษาที่ดินโดยรอบ... เพื่อจักได้เห็นที่แห่งนี้ เป็นแหล่งดำเนินการเพื่อราษฎรไทยที่ขาดโอกาส เสมือนว่า ที่ดินแห่งนี้อันเคยเป็นผืนนามาเก่าก่อนนั้น บัดนี้ได้ให้ผลผลิตเป็นกิจกรรมประเทืองปัญญาต่อลูกหลานชาวนาเอง”
ด้วยศรัทธาในการทำงานและอุดมการณ์ของ ปรีดี พนมยงค์ เป็นเหตุผลให้ครูองุ่น ยกที่ดิน 371 ตารางวา ให้กับ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ใช้ปลูกสร้าง สถาบันปรีดี พนมยงค์ (ปัจจุบันอยู่ระหว่างปิดปรับปรุง) เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2526 และย้ำอยู่เสมอว่า
“ ข้าพเจ้าหวังว่าบุคคลรุ่นหลังผู้มีจิตใจเสียสละเพื่อสังคม จะเข้ารับภาระสืบทอดดำเนินการกิจกรรมในที่ดินแห่งนี้ จักมีความคิดก้าวไกล สามารถขยายงานรับใช้สังคมได้ในวงกว้างยิ่งขึ้นสืบไป และถือเป็นภาระหมายเลขหนึ่ง ในอันที่จะสงวนรักษาผืนดินแห่งนี้ มิให้ตกไปเป็นที่รับใช้กิจการอย่างอื่นในเชิงธุรกิจเต็มรูปแบบ เช่นให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลมาลงทุน”
เป็นเวลาหลายปีเต็ม ความเจ็บป่วยดำเนินทำหน้าที่ของมันตั้งแต่ปี 2529 ถึง 21 มิถุนายน 2533 ครูได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งด้วยการปฏิบัติธรรม ช่วยเหลือผู้อื่น พร้อมกับการไปอยู่กับเด็กๆ สู้ด้วยจิตใจอันสงบเตรียมพร้อมและสั่งเสียกับผู้เกี่ยวข้องไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ครูองุ่น มาลิก ถึงแก่กรรมอย่างสงบเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2533 ร่างของครูถูกบรรจุไว้บนที่ดินสวนครูองุ่น มูลนิธิไชยวนา ในปัจจุบัน ตาม เจตนารมณ์ที่ฝากไว้ของเธอ ส่วนจิตวิญญาณยังคงดำรงอยู่และดำเนินไปกับการงานที่ครูได้สร้างไว้
ปณิธานของ ครูองุ่น มาลิก “ ต้องการให้ละครหุ่นจุดพลังสร้างสรรค์ของเด็กขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม เป็นสิ่งที่เด็กยากจนในชนบทสามารถจะมีได้ สามารถทำขึ้นเล่นเองได้ นิทานหุ่นจะส่งเสริมให้เด็กช่วยตัวเองแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอความช่วยเหลือจากเทวดา หรือผู้วิเศษ แล้วเด็กจะไม่อยู่โดดเดี่ยว เขาจะมีเพื่อน เขาจะมีทีมงาน ในที่สุดเขาจะทำหุ่นเอง สร้างเรื่องเองและเล่นหุ่นได้ ”
photo : themodernist : รายการ เจ้าขุนทอง
34 ปี กับการเดินทาง ของ “ เจ้าขุนทอง ”
เมื่อกว่าสามสิบปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลประกาศให้สถานีโทรทัศน์ทดลองออกอากาศ 24 ชั่วโมงจึงจำเป็นต้องมีรายการมากขึ้น ด้วยความที่ คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี อดีตเป็นครูใหญ่เห็นว่าเด็กยุคนั้นใช้ภาษาไทยไม่ค่อยถูกต้องนัก อยากหารายการเสริมทักษะสำหรับเด็ก มาฉายก่อนเวลาไปโรงเรียน จึงชักชวนบุคลากรจาก คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ให้มาผลิตรายการร่วมกัน มีคนแนะนำ ครูอ้าว เกียรติสุดา ภิรมย์ อดีตนิสิตการละครของคณะอักษรศาสตร์ ให้กับคุณแดง เดิมทีครูอ้าวทำละครหุ่นอยู่แล้วจึงตอบตกลงทำรายการร่วมกัน ในกระบวนการคิด ครูอ้าวเลือกคาแรกเตอร์ตัวละครต่าง ๆ เป็นสัตว์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงเด็ก ๆ ได้ง่ายกว่าคาแรกเตอร์เป็นมนุษย์ และอยากให้เด็กรักสัตว์จึงสอดแทรกผ่าน หุ่นมือ และ หุ่นเชิด พร้อมเล่าเรื่องราวของผองเพื่อนสารพัดสัตว์ทั้ง เจ้าขุนทอง ฉงน ฉงาย หางดาบ ขอนลอย ลุงมะตูม วอแว และอื่นๆ อีกมากมาย ฉงน คือตัวละครที่ครูอ้าวภูมิใจที่สุด เพราะต้องการให้ ควาย เป็นสัตว์ที่คนรัก เพราะเป็นสัตว์ที่คนเคยใช้เป็นแรงงานในการปลูกข้าวให้เราได้กินแต่ปัจจุบัน ควาย เป็นตัวแทนความโง่ หรือเป็นคำด่า ซึ่งเป็นความหมายในเชิงลบ
ครูอ้าว มีประสบการณ์ด้านการแสดงละคร ละครหุ่นมือ และการพากย์เสียงมาก่อน เป็นคนต้นคิดริเริ่มเจ้าของรายการหุ่นมือยอดนิยมในอดีตชื่อ “ เจ้าขุนทอง ” (เป็นผู้ให้เสียงหุ่นชื่อ เจ้าขุนทอง) ซึ่งเป็นรายการที่ใช้ หุ่นมือ มาแสดงเป็นตัวละครสัตว์เพื่อสอนภาษาไทย ให้เด็กๆ รู้จักรักสิ่งแวดล้อม และปลูกฝังทัศนคติที่ดี กล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยน ครูอ้าวเลือกใช้หุ่นมือเพราะเชื่อว่า ตัวละครหุ่นสามารถคงความเป็นอมตะในใจ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ๆ กับหุ่นมือ ออกอากาศเทปแรกทางช่อง 7 สี เมื่อวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2534 ช่วงเช้าเวลา 7 นาฬิกา แม้ไม่มีดาราเลยสักคนแบบรายการทีวียุคนั้นชอบทำ แต่ด้วยความน่ารักของตุ๊กตาหุ่นธรรมดา ๆ เพียงไม่กี่ตัวกับนิทานที่เล่า เติมชีวิตให้กับหุ่นเพิ่มชีวาให้เด็ก ๆ จึงสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กไทยในยุคนั้นให้เฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง “ อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส เราเบิกบานรีบมาเร็วไว ยิ้มรับวันใหม่ยิ้มให้แก่กัน ” เป็นเพลงฮิตติดหูของเด็กในยุคนั้นที่ร้องตามได้ กลายเป็นความผูกพันและความทรงจำที่ดีในวัยเยาว์เมื่อเขาเติบโต
ตัวละครหลักในเรื่องเป็นตัวแทนจิตวิญญาณของความเป็นเด็ก ที่บริสุทธิ์ไม่มี ไม่มีความเลวร้าย เพียงแต่มีการกระทำที่ผิดพลาดไม่ตั้งใจ และได้รับการแก้ไข เพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้เด็กแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน แต่พื้นฐานทุกคนก็ล้วนแต่เป็นเด็กที่ดี แค่ต้องการคำแนะนำสั่งสอนที่ถูกต้อง แม้จะครองใจเด็ก ๆ มาหลายสิบปี แต่เมื่อเทคโนโลยี สื่อต่าง ๆ มีให้เลือกมากขึ้น ครูอ้าวเองก็มืองว่ามันเป็น “เรื่องปกติ ” ของโลก เจ้าขุนทองก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้วในยุคของมัน ทั้งที่เป็นรายการเด็กที่หาสปอนเซอร์ยาก ผู้ชมที่เป็นเด็กสักพักก็โตแล้ว แต่ "เจ้าขุนทอง" ยังยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้กว่า 34 ปีแล้ว ก็เพรามีการเพิ่มตัวละครใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ ๆ ได้อินกับตัวละครที่เกิดในยุคของเขา ส่วนคนดูแม้จะโตขึ้น แต่เมื่อเด็ก ๆ เหล่านั้นเติบโตมีครอบครัวจนมีลูกก็ยังให้ลูก ๆ ดู เพราะพ่อแม่มั่นใจว่ามันคือรายการที่ดีต่อเด็ก ๆ แน่นอน “ เจ้าขุนทอง” ออกอากาศครั้งสุดท้ายในปี 2560 ณ บ้านช่อง 7 สี ปัจจุบันเจ้าขุนทองและผองเพื่อนยังมีคิวเดินสายขายความน่ารักให้ผู้คนเข้ามาร่วมรำลึกถวิลอดีตในทุกงานที่ได้รับการเชื้อเชิญ
เด็ก ๆ ที่เติบโตมาจนทุกวันนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญปัญหาชีวิต หรือความเครียดต่าง ๆ จนบางทีอาจหลงลืม ‘ ความเป็นเด็ก ’ ไปแล้ว ครูอ้าวอยากบอกกับเด็กน้อยคนนั้น … “ ไม่ว่าจะดูจากช่องทางไหนหรือเจอกันตัวเป็น ๆ ครูอ้าวยินดีดีใจที่ได้เจอกัน ทุกครั้งที่ได้เจอก็ยังมองเห็น ความเป็นเด็ก ในตัวคน ๆ นั้นในแววตาของเขาอยู่เสมอ มันทำให้ครูมีความสุขมากอยากบอกว่า ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ ”
ขอบคุณครูอ้าวกับพี่ผาลและทีมงาน ที่ได้สร้างโลกของ “ เจ้าขุนทอง ” ขึ้นมา มันคือความบันเทิงในวัยเด็กที่กลายมาเป็น ‘ ความทรงจำ ’ ในวัยผู้ใหญ่ ไม่ให้หลงลืม ‘ ความเป็นเด็ก ’ คนนั้นในวันนี้
ขอบคุณ Thai PBS : รายการ Made My Day Cr.https://www.thaipbs.or.th/program/MadeMyDay/episodes/106153
“ โรงละคร หุ่นสายเสมา ” (SEMATHAI PUPPETTHEATER)
โรงละครหุ่นสายเสมา เป็นโรงละครชุมชน (Community Theatre) แห่งแรกของกรุงเทพมหานคร ก่อตั้งเมื่อปี 2547 ในนาม มูลนิธิหุ่นสายเสมาศิลปะเพื่อสังคม ดำเนินงานโดย นิมิตร พิพิธกุล ศิลปินศิลปาธร ปี 2550 ผู้อำนวยการคณะ และ ผิวน้ำ เฉลิมญาติ (Artistic Director) เปิดสอนการแสดง จัดแสดงละคร ฉายหนัง และกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมหลากหลาย เป็นพื้นที่เปิดของชุมชนที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมงานได้ (Art Space) มีบทบาทเด่นด้านทำงานส่งเสริมศิลปะหุ่นไทยในหลายมิติ มากมีผลงานต่อเนื่องทั้งการจัดเทศกาลหุ่น การส่งเสริมหุ่นสู่ระบบการศึกษา และการเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านหุ่นไทยและหุ่นนานาชาติ ทุกประเภท ทั้งหุ่นแนวประเพณีและโดยเฉพาะหุ่นร่วมสมัย จากศิลปินทุกเชื้อชาติทั่วโลก
หุ่นสายเสมา ได้ออกแบบพัฒนาหุ่นไทยร่วมสมัยให้มีอัตลักษณ์ตามบริบทพื้นถิ่น ตั้งต้นคิดค้นงานประพันธ์ด้วย ‘ บทละครหุ่น ’ ที่มีความเป็น ‘ พุทธศิลปวรรณกรรม ’ เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อการสื่อสาร สืบสาน และพัฒนาสร้าง ‘ สื่อใหม่ ’ ร่วมกับชุมชน ด้วยแนวคิด ‘ ชุมชนดูแลหุ่น หุ่นดูแลชุมชน’ (Harmony Puppet Village) เผยแพร่ผลงานทั้งในและต่างประเทศ โดยร่วมกับ UNIMA International (Union Internationale de la Marionnette) [4] และ Unima Thailand [5] มีเป้าหมายร่วมกันในการส่งเสริมเครือข่ายหุ่นเยาวชน (Youth Puppets Community Thailand) จากการรวมคณะหุ่นเยาวชนที่มีอยู่ในประเทศไทย) มีพัฒนาการที่เติบโตด้วยปณิธานในแนวทางของ ‘ ศิลปะเพื่อการพัฒนา ’ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 21 ปี ที่มุ่งมั่นตลอดมา ยืนยันคุณค่าของสองรางวัลจากเทศกาลหุ่นระดับโลกสองปีซ้อน ที่ได้รับในฐานะตัวแทนประเทศไทยจาก World Festival of Puppet Art Prague 2008 -2009 ได้แก่ “ The Most Poetic Creation of Puppet Art Prague 2008) และ “ The Best Traditional Original Performance of Puppet Art Prague 2009 ฯลฯ
นอกจากการแสดงแล้ว จุดเด่นที่เป็นลายเซ็นอยู่เบื้องหลังผลงานคือเทคนิคการประดิษฐ์หุ่นที่มีลักษณะพิเศษของ คณะหุ่นสายเสมา เป็นงานที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ไทยในศิลปะ วัฒนธรรม ของแต่ละท้องถิ่น และวัตถุประสงค์ของงาน ผ่านองค์ทุกประกอบในการสร้างสรรค์หุ่นให้มีชีวิต ด้วยลีลาการเคลื่อนไหวในแบบ ‘ กิริยาไทย ’ เป็นงานสร้างสรรค์ใหม่ให้ร่วมสมัยอยู่เสมอ โดย เชิดชัย ขะบูญรัมย์ ศิลปินนักแสดงและนักประดิษฐ์หุ่น [6] รวมถึงการประพันธ์บทละครหุ่นจาก ตำนานวรรณคดี เรื่องคิดขึ้นใหม่ โดย นิมิตร พิพิธกุล สามารถสื่อสารให้คนทุกกลุ่มทุกวัยเข้าใจเข้าถึงได้ง่าย โดยเริ่มจากการนำหุ่นลงพื้นที่ชุมชน สอนให้เข้าใจอัตลักษณ์ตัวเอง เพื่อสร้างหุ่นที่มีบุคลิกลักษณะเฉพาะผ่าน ภาษา เสื้อผ้า ดนตรี ลำดับต่อมาพัฒนาต่อเนื่องถึงหุ่นที่นำไปใช้ประโยชน์ทางสังคม การศึกษา เช่น สุขศึกษา (Puppet Therapy) โดยมีครูสอนศิลปะชื่อ นิโคล จากประเทศโคลัมเบีย (NICIOLAS BERNAL ครูสอนศิละ โรงเรียนรุ่งอรุณ) ที่เคยร่วมทำการสอนและจัด workshop ในงานเทศกาลหุ่นนานาชาติเมื่อปี 2567 ได้ถ่ายทอดหลักสูตรหลังสัมนาร่วมกัน โดยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนำหุ่นมาเล่าเรื่องของตัวเอง เริ่มจากสร้างหุ่นที่เป็นตัวเองขึ้นมาในเชิงสัญลักษณ์ หลังจากนั้นเป็นกระบวนการบำบัดโดยการทำให้หุ่นถูกเล่นเป็นเรื่องราว หุ่นจึงช่วยผ่อนคลายสภาวะทางจิตใจ พบว่าประสบความสำเร็จมาก จึงเป็นแบบแผนที่ใช้ในงานทำกิจกรรมหุ่นเพื่อการบำบัดได้ในหลายมิติ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หุ่นสายเสมา ได้ทำหน้าที่ ทูตวัฒนธรรม นำเครือข่ายขยายหลายโครงการผ่านพันธกิจ ทำให้ต้องปิดโรงละครหุ่นที่บ้านย่าน ถนนวิภาวดี 58 ไว้ชั่วคราว ความเคลือนไหวล่าสุดหลังจาก คณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร พิจารณาให้ “ หุ่นสายเสมา เขตหลักสี่ ” เป็น 1 ใน 7 มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประกาศขึ้นบัญชีระดับกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2566 ด้านนโยบายระยะยาวได้มีการวางแผนส่งเสริมการศึกษาด้านหุ่นเข้าสู่ระบบการศึกษา (Puppet Academy) ที่มีเครือข่ายขยายทั่วประเทศ เพื่อเป้าหมายที่วางไว้ในอีก 3 ปี ข้างหน้า กับงานส่งเสริมโครงการ PUPPET EDUCATION ใช้หุ่นเป็นเครื่องมือเพื่อผลักกดันกลไกในการศึกษา โดยมี “ โรงละครหุ่นสายเสมา ” ที่นอกจากจะเป็นโรงละครแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางความรู้ (Knowledge Center) เป็นพื้นที่สำหรับสาธิต-สร้างสรรค์ผลงานหุ่นรูปแบบใหม่ (Co-working space, Research center) นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงการใช้หุ่นเพื่อการบำบัด (Puppet Therapy) เพื่อส่งเสริมชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ให้ดึงของดีและของเหลือใช้ในชุมชนมาสร้างเป็นหุ่นเสริมทักษะการเรียนรู้แก่เด็ก ๆ ให้ทำหุ่นและจัดแสดงในอีก 5 จังหวัดด้วย เช่น ภูเก็ต มหาสารคาม นครราชสีมา ฯลฯ โดยบูรณาการร่วมกับวิชาการและกิจกรรมอื่น ๆ อีกด้วย
Puppet Education
นิมิตร พิพิธกุล ศิลปินศิลปาธรปี 2550 ผู้ก่อตั้ง คณะหุ่นสายเสมา ทำงานวิจัย ฟื้นฟู พัฒนาหุ่นสายไทย (Thai Marionette) ในบทบาทของ Festival Designer , Project Directer ฯลฯ ให้ข้อมูลที่เป็นหัวใจสำคัญของงานการศึกษา บริหาร พัฒนาละครหุ่น และเทศกาลหุ่น ด้วย Puppet Education ที่มีหลักการสำคัญเชื่อมโยงถึง Community Art Management ซึ่งเป็นงานจัดการศิลปินให้สร้างผลงานที่เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ และขยายผลสู่การจัดการระบบนิเวศน์ของการสร้างงานศิลปะ
“ ที่นี่เป็น โรงละครชุมชน (Community Theatre) แห่งแรกของกรุงเทพมหานครฯ เปิดมากว่า 21 ปีแล้วที่ โรงละครหุ่นสายเสมา ทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ทางเขตหลักสี่ถึงได้ประกาศให้เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพราะที่นี่คือหนึ่งในโรงละครหุ่นท้องถิ่นที่เป็นประวัติศาสตร์ ยังคงเป็นโรงละครหุ่นเล็ก ๆ น่ารัก ให้ทุกคนมาเล่นสนุกกับหุ่นอย่างที่เคยเป็น (Playground) มีหุ่นให้เล่น ให้ลองทำ นำครอบครัวมาสนุกสนานสำราญกันได้เสมอ แม้ในช่วงที่ไม่มีการจัดงานหรือเทศกาล
‘ เทศกาล ’ ที่ถูกจัดขึ้นก็ไม่ได้หวังผลเพียงการเกิดเนื้องาน ภาพงาน เปิดงานแล้วจบลง แต่หวังผลดำรงต่อจากนั้น เทศกาลหุ่น “ Harmony Puppet Festival ” เกิดขึ้นโดย มูลนิธิหุ่นสายเสมา เพื่อเปิดภาพให้คนไทยรู้จักคณะหุ่นและประเภทของหุ่นที่มีในระเทศไทย ไปจนถึงงานวิจัยเชื่อมหุ่นไทยกับหุ่นโลก จนทำให้ platform ของเทศกาล เชื่อมนานาชาติยั่งยืนมาจนถึงวันนี้ เราเตรียมพัฒนาการจัดเทศกาลเพื่อเปิดการทำงานใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา Puppet Education ซึ่งเราวางรากฐานมากว่า 10 ปี สิ่งนี้อาจไม่จำเป็นต้องถูกเรียกขานว่า festival เพราะ Puppet Education ต่างจากการแสดงหุ่นทั่วไปตรงที่ไม่ได้มีเป้าหมายปลายทางเป็นงานการแสดง แต่มุ่งประโยชน์ที่จะได้รับจากการค้นหา ศึกษา พัฒนา ได้ทดลอง ได้ทำ ได้ค้นหานวัตกรรม นำมาสู่การเรียนรู้ ที่ผู้ทำได้รับความรู้จากการปฏิบัต Puppet Education จึงมองประเภทและความหลากหลายของหุ่นเป็นเครื่องมือที่มุ่งใช้เพื่อสื่อสารสิ่งที่ต้องการ โดยไม่ได้กำหนดชื่อเรียกงานแสดงนั้น ๆ ว่าเป็นงานอะไร มาจากไหน แต่ให้ความสนใจว่า สร้างอย่างไร และใช้วิธีคิดแบบไหน จึงไม่ใช่การทำหุ่นเพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอน แต่เป็นการใช้หุ่นสนับสนุนกระบวนการสร้างองค์ความรู้และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผมเป็นอาจารย์พิเศษเคยถูกเชิญไปร่วมสอนที่ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อครั้งก่อตั้งสถาบันและหลักสูตร ผมสอนด้วยแนวคิดที่ผลักดันตลอดมาคือ Community Art Management เพราะเห็นว่าความรู้จากบริบททางสังคมไทยก็สำคัญ อันที่จริง community คือรากฐานที่หลายประเทศใช้ในการพัฒนาคุณค่าร่วมของชุมชนสู่ผลผลิตที่สร้างเศรษฐกิจชาติ ผมได้ให้นักศึกษาไปสำรวจงาน Culture Event งานหนึ่ง จัดที่ท้องสนามหลวง ถามว่านอกจากผลของการจัดงานที่ทำให้มีงานขึ้นมาหนึ่งงาน ได้เกิดผลต่อ สังคม ชุมชน รอบข้าง สร้างการเข้าถึง เข้าใจ ได้ประโยชน์จากงานนั้นอย่างไร ซึ่งนักศึกษาหลายคนไม่เข้าใจ
เพราะในสมัยนั้น และบางส่วนยังเป็นมาถึงปัจจุบัน เราทำงานเพื่อให้เกิดงาน ใช้งบเพื่อใช้เงิน คนที่ได้คือผู้รับจ้างจัดงาน การจะเกิดงานที่จะเกิดผลต่อคนรอบข้างสร้างคุณค่า มูลค่า และตัวชี้วัดพัฒนาที่ไปถึงการตอบโจทย์ ยุทธศาสตร์ ชุมชน จังหวัด หรือประเทศ ไม่ได้ถูกนำมาผูกโยงเข้ากับกระบวนการทำงาน เพราะเรามองเพียงให้เกิดชิ้นงานตามผลการออก TOR หรือเกิดการใช้จ่ายงบตามรอบการจัดซื้อจัดจ้าง
หลังจากสอนที่นี่ แล้วให้โจทย์นี้ไปไม่นาน ผมก็มีโอกาสได้ทำงานเทศกาลหุ่นโลกลงตรงท้องสนามหลวง TCEB (The Thailand Convention & Exhibition Bureau - สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ องค์การมหาชน) ได้ส่งทีมวิจัยมาศึกษา และชี้ให้เห็นผลที่เกิดขึ้นกับบริบทรอบข้างทั้งชุมชน กรุงเทพมหานคร และรายได้เข้าประเทศ เกิดนิเวศน์ทางสังคมและเศรษฐกิจ มูลค่ากว่า 100 ล้าน การจัดการศิลปะ จึงไม่ใช่เพียงการใช้งบมาบริหารได้ สร้างผลงานดี แต่พึงเกิดผลขยายที่สร้างนิเวศน์ร่วม ซึ่งในการสอนครั้งนั้นหนึ่งในนักศึกษาที่มาร่วมคลาสคือ ครูอาร์ต พนิตนาฏ ฉัตรวิไล (Arts Panitnart Chatvilai) ซึ่งเข้าใจในแนวคิดที่ผมพยายามชี้จุดนี้เป็นอย่างดี คือการสอนเรื่องการจัดการศิลปินที่สร้างผลผลิตให้เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการ แต่ขยายผลงานในระดับประเทศ และต่างประเทศ จึงเป็นเนื้อหาต่อเนื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก ที่ผมมักนำไปร่วมแลกเปลี่ยนในกระบวนการศึกษาด้วยชุดประสบการณ์นี้ครับ ”
โปรแกรมล่าสุดของ โรงละครหุ่นสายเสมา ถนนวิภาวดี 58 เป็น Top 4 Shows
สังข์ทอง ตอน เจ้าเงาะรจนา
พระอภัยมณี ตอน สุดสาคร ม้านิลมังกร
เด็กชายกับใบโพธ์
ค.ควายในดวงจันทร์
เป็นละครหุ่นที่เหมาะสำหรับครอบครัว และ เด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเรียน พร้อมสำหรับการจองเป็นหมู่คณะ เปิดทุกวันเสาร์ 2 รอบ 10.30 และ 13.30 ล่าสุดเรื่อง “ ค. ควายในดวงจันทร์ ” เรื่องของควาย ที่อยากเป็นนักบินอวกาศ … กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่มีใครคิดเอาควายไถนาอีก ควายจึงออกเดินทางไปทุกทิศทั่วไทย เพื่อตามหาตัวตนและคนที่เข้าใจ จนมาไกลถึงองค์การนาซา (NASA - National Aeronautics and Space Administration องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ) แล้วตั้งคำถามว่าควายไปทำนาบนดวงจันทร์ได้ไหม … เปิดจองรอบแล้ววันนี้ทางระบบ Doonadoo
สนใจเข้าระบบจอง สอบถามรายละเอียดได้ที่https://doonadoo.com/ThaiBooking/product/semathai/
โทร. 063 -2524566 และ 089 - 222 9974
หุ่นร่วมสมัย Puppet Slam in Bangkok 2025
เทศกาลหุ่นกรุงเทพ ครั้งที่ 2
Toy Theatre / Doll Theatre / Object Theatre
Puppet Slam มีต้นกำเนิดตั้งแต่ปี 1978 ที่ สหรัฐอเมริกา จากงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของกลุ่ม Bread & Puppet ที่ต่อยอดเป็นการแสดงละครหุ่นสั้นในชุมชน จนกลายมาเป็น เทศกาลหุ่นนานาชาติ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก บอกถึงการบ่มเพาะศิลปะละครหุ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน และเชื่อมโยงผู้ชมทุกวัย “ Puppet Slam in Bangkok ” เป็นเครือข่ายละครหุ่นที่เบ่งบานงอกงาม จัดโดยกลุ่ม Puppet Siam ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักละครหุ่นร่วมสมัยในไทย ได้แก่ Puppets by Jae, Ta Lent Show, Act it House และ For WhaT Theatre ได้รับการตอบรับด้วยความชื่นชมเป็นอย่างมากจากผู้ชมในครั้งแรกเมื่อปี 2567 ในเทศกาล “ Puppet Slam in Bangkok 2024 ” จากความสำเร็จส่งผลให้เกิดการแตกหน่อต่อยอดเป็น ครั้งที่ 2 ตามมาอย่างมีจุดหมายที่ชัดเจนในอนาคต
ปี 2568 จึงได้เปิดรับสมัคร-ค้นหาผู้ที่สนใจสร้างสรรค์การแสดงในศาสตร์ละครหุ่นทุกแขนง (เปิดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม- 30 เมษายน 2568 ประกาศผลการคัดเลือกเมื่อ 15 พฤษภาคม 2568) ภายใต้ธีม ‘Blooming’ ทั้ง Hand Puppet, Shadow Play, Marionette, Object Theatre และ Mask นำผลงานมาจัดแสดงร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสริมสร้างเครือข่ายนักละครหุ่นร่วมสมัยในระเทศไทย โดยมีกติกาเปิดกว้างรับผลงานที่สมัครเข้ามาร่วมเทศกาลเป็นการแสดงแบบสั้น ความยาวประมาณ 3 - 10 นาที ประกอบด้วยทีมงานทั้งหมดไม่เกิน 4 คน ไม่จำกัดประสบการณ์ด้านละครหุ่น และไม่จำเป็นต้องเป็นงานสำหรับเด็กและเยาวชน อาจเป็นงานทดลองตามแนวความคิดของผู้สร้างสรรค์ก็ได้ ส่งผลให้มีเครือข่ายศิลปินทั้งในประเทศและต่างประเทศสมัครเข้าร่วมงานไม่น้อยเลย
photo : Ben Busara
ปีนี้ Puppet Siam ยังคงจับมือกับ RCB Experimental Art Lab ร่วมจัด “ Puppet Slam in Bangkok 2025 ” จัดเทศกาลละครหุ่นสุดสร้างสรรค์ ที่จะพาทุกคนทุกวัยก้าวไปสู่โลกแห่งจินตนาการ ด้วยรวมทุกรูปแบบของการเชิดหุ่นจากศิลปินทั้งไทยและต่างประเทศมาไว้บนเวทีเดียว เมื่อ 13 - 14 กันยายน 2568 ที่ River City Bangkok ภายในงานทุกคนได้สนุกมีความสุขไปกับการแสดงหุ่นหลากหลายรูปแบบ ทั้ง Hand Puppet, Shadow Play, Marionette, Object Theatre และ Mask Performance จากศิลปินนานาชาติกว่า 10 กลุ่ม ดังนี้
Group A ละครหุ่นสำหรับเด็ก : The Pup Seal, Pineapple Studio, Paper Monkey Theatre, Nicov Botelladearroz, KidJam, MUPA PUPPET, Indian Puppet Xpert Group
Group B ละครหุ่นสำหรับผู้ใหญ่ : Underduck, Kuck Wannasak Sirilar, SoulScity, MIT Marionettes, Martian.Lab, Talentshow Theatre, Bittle iMangkham
สิริกาญจน์ บรรจงทัด Festival Director
วสุ วรรลยางกูร Producer
เบญจ์ บุษราคัมวงศ์ Artistic Directer
“ สิ่งที่เรากำลังทำไม่ใช่เทศกาลที่เกิดขึ้นและจบไปปีละครั้ง แต่พวกเราทะเยอทะยานไปไกลกว่านั้นมาก ภาพฝันในอีก10 ปี ข้างหน้าคือ “ Puppet Slam in Bangkok ” ครบรอบปีที่ 12 แล้วมีเครือข่ายศิลปินทำงานหุ่นและฐานผู้ชมมากขึ้นและยั่งยืน ทีมงานอยากให้ปีต่อไปข้างหน้า puppet slam มีโอกาสช่วยผลักดันให้เกิดการสร้างงานของศิลปิน เป็น Slam Selected เป็น Puppet Festival คู่ไปกับ Puppet Slam จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทีมงานยังรู้สึกมุ่งมั่นทำ รู้สึกสิ่งที่ทำมีคุณค่าไม่ใช่แค่กับตัวเอง แต่มันไปไกลกว่านั้นมาก และผู้คนที่ให้การสนับสนุนที่น่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก ทีละเล็กทีละน้อยแบบออแกนิค “ Puppet slam in Bangkok ” มันอาจจะเกิดจากการที่แจ๋อยากให้มันเกิดขึ้น แต่จริงๆแล้ว มันเป็นพื้นที่ ๆ ทุกคนมีส่วนร่วมสร้างให้มันเกิดขึ้น แจ๋คนเดียวไม่มีทางทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงปีนี้ มันไปไกลเกินจุดตั้งต้นที่เคยวางไว้ ต้องขอบคุณทุกคนจากหัวใจเลยค่ะ เราวางแผนจะมีกิจกรรมให้ร่วมได้ตลอดปี ฝากติดตามเพจPuppet Slam : Puppet Siam ด้วยนะคะ ”
Jae Sirikarn Bunjongtad
Festival Director
photo : Tomorn Sookprecha
1. เรื่องแรกเป็นละครหุ่นที่เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่หัวใจเด็ก โดย คณะ Paper Monkey Theatre เป็น Toy Theatre จากประเทศสิงคโปร์ เป็นการแสดงเดี่ยวที่เปรี้ยวด้วยลีลาทศกัณฑ์ ทำมันทุกอย่างในเวลาเดียว เปิดเพลง จัดแสง แสดงหุ่นเงาจากจอเล็ก พากย์สนุก สารสนานกับการตามหาเพื่อนรู้ใจในทะเลชีวิตของวาฬน้อยน่ารัก เป็นเซ็ทจุ๋มจิ๋มที่ครบเครื่องเรื่องหุ่นมือ
photo : ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
2. เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่หลัง 25 ปี ผ่านไป “ ไฉไลไปรบ” เวอร์ชันหุ่น โดย กั๊ก วรรณศักดิ์ ศิริหล้า มาพร้อมกับการบรรเลงสดโดย เฟียน ภัทรกร ภัทรนาวิก (นักดนตรีฝีมือดีรูปหล่อจาก Berklee College of Music , Boston https://www.berklee.edu สถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งของโลกด้านดนตรี) แค่ 10 นาที ก็เผยทีเด็ดเผ็ดร้อนขย้อนขำนำหน้า ด้วยลีลาการเล่าเรื่องของครูกั๊กที่หักมุมได้ตลอด เพราะคลอดหุ่นออกมาตีลังกาแทนตัวเอง … ตลกร้าย น่ารัก สาระหนัก หักมุม ซุ่มโจมตี แต่ดนตรีที่บรรเลงแสนละมุนอุ่นอายรัก โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายตอนจบเรื่อง พลิ้วละลายใจ
photo : Sun King
3. คุณครูสอนศิลปะคนเก่งที่โรงเรียนรุ่งอรุณ มาไกลจากประเทศโคลัมเบีย Nicov Botelladearroz เป็นศิลปินนักออกแบบหุ่น และหลักสูตร Puppet Terapy มากับการแสดงงดงามล้ำลึกเรื่อง “ Rebirth ” มี look เป็นละครสำหรับเด็ก ที่ประณีตโปรดัคชันทั้งการประดิษฐ์หุ่นและการแสดง โดยบทต้องการงานตีความเชิงลึก แต่เก่งที่เด็กดูแล้วไม่รู้สึกว่าคือละครผู้ใหญ่ บอกเล่าการเกิดใหม่ในร่างเดิม เพิ่มอรรถรสละไมด้วยเพลงไพเพราะเสนาะใจให้รื่นรมย์ เป็นลายเซ็นต์ที่ชัดเจนของนิโคล
Photo : ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
4. Ta Lent Show ครั้งนี้ทาเล่นเป็นโชว์แนว object & mime มากับ mop และเรื่องราวแปลงร่าง “ magic moPment : sweet time with sweep time ” อีกเรื่องใช้เพียงรองเท้าแตะเต๊าะแต๊ะ Ta Lent Show ก็โก้ได้ด้วยเรื่องราวลีลาน่ารักของน้องแตะและสมาชิกใหม่หลังผจญภัยร่วมกัน ... จินตนาการกับงานสร้างสรรค์คือพรสวรรค์สุดพิเศษที่เสกให้ใครไม่ได้ แต่เขาท้าทายตัวเองอยู่เสมอด้วยการศึกษาและ ' คิดค้นต้นแบบ ' แนบการแสดงแนว Pantomime กับ Puppet เข้าเป็นเซ็ทรวมกับดนตรี แล้วชวนกันออกเดินทางอย่างเสรี มีความสนุกไปมอบให้ผู้คนทุกวัยอย่างไร้เงื่อนไขในการเสพรับ ด้วยความรักที่มีให้ไม่สิ้นสุดทั้งกับมนุษย์และสิ่งของ ใส่ชีวิตให้กับน้อง ๆ ร่วมกันสร้างชีวาด้วยจินตนาผ่านการแสดง แปลงร่างให้กลายเป็นหลายหลากได้มากมาย เกินคาดหมายในทุกครั้งที่ได้ชม เหมือนได้รับลูกอมวิเศษสามารถเสกให้เราล่องลอยไปในดินแดนของความสุขได้
หลังปิดโรแกรมที่กรุงเทพฯ Ta Lent Show ได้ไปเปิดการแสดงต่อที่เชียงใหม่ เมื่อ 19–21 & 26–28 กันยายน 2568 ที่เทพศิริ (Dhepsiri Creative Space, Chiang Mai) เสริฟความสุขผ่านความสนุกสนาน สร้างสรรค์ ส่งเสริม จินตนาการ แบบ PLAYFOOL (รากศัพท์เป็นสำนวนหมายถึงคนที่จงใจทำตัวเหมือนเป็นคนโง่ หรือแกล้งโง่ แกล้งทำตัวตลก เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ หรือเพื่อหลอกล่อผู้อื่นให้หลงเชื่อ ในศาสตร์การแสดงหมายถึงการเบี่ยงเบนเรื่องราวจริงจังให้ตลกขบขัน) เป็นการผสมกันอย่างลงตัวระหว่างละครใบ้ที่เล่นกับวัตถุ นำสิ่งของรอบตัวมาเปลี่ยนเป็นสิ่งพิเศษสุดเซอร์ไพรส์ที่ไม่อาจคาดเดา ชวนผู้ชมทุกวัยพุ่งทะยานไปบนจินตนาการที่ไร้ขอบเขต ตื่นตาตื่นใจกับดินแดนที่อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
photo : ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
5. " Sand ana Soul " โดย วสุ วรรลยางกูร เศร้าซึ้ง เห็นก้นบึ้งของหัวใจ อาลัยพ่อ (วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียน นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย) บาดแผลแห่งยุคสมัยกับ “ นักเคลื่อนไหว ” ไม่เคยเลือนไปจากใจมวลชน ... แม้นักแสดงจะบอกเล่าถึงเบื้องหลังด้วยลีลาพารื่นรมย์ (แย่งลูกเล่นทราย) ... แต่ทรายถูกวสุสร้างสรรค์ให้กลายเป็นฝันร้ายกลาง ' ทะเลทรายแห่งชีวิต ' ในวันที่ประชาธิปไตยพินาศชาติวิกฤต จิตเราร่วมแหลกสลายในวันที่ วัฒน์ วรรลยางกูร ต้องตะกายหนีอำนาจเผด็จการเพราะรัฐล้างผลาญไทย จำต้องจากบ้านสู่แดนไกลสู้ภัยเพียงลำพัง วสุส่งสารสุดพลังดั่งจะฝัง ‘ ประวัติศาสตร์บาดแผล ’ ด้วยศิลปะการแสดงหุ่น เขาบอกเล่าความรุนแรงเลวร้ายได้อย่างอ่อนโยน ร้าวราน... จนแว่วหวูดรถไฟผสานเสียงกับเม็ดทรายร้องไห้กลางสายลมเดือนตุลา...
Pantomime หรือ ละครใบ้ คือจุดเริ่มต้นของศาสตร์การแสดง เน้นการสื่อสารด้วยท่าทาง สีหน้า แทนการสื่อสารด้วยคำพูด แต่กลับสามารถสะกดผู้ชมให้สนุกและหัวเราะไปด้วยกันได้ แต่ mime ยุคใหม่พัฒนาไปอีกแบบ มีบันทึกปิดท้าย Tour จาก House of Mask & Mime ในเทศกาล Mime Fest, Polička (MIME FEST 2025 : “ LET IT MIME ”) โดยนักแสดงไทย กวิน พิชิตกุล (Kwin Bhichitkul) กับทีมที่ไปร่วม workshop ที่เมือง เมือง Polička สาธารณรัฐเช็ค รายงานข่าวข้ามทวีปมาข้อมูลน่าสนใจว่า
“ เปิดหัวมาด้วยการชมการแสดงเปิดเทศกาล Mime Fest แต่เป็นบทพูดทั้งเรื่อง ทำให้ค่อนข้างตาตื่นว่า mime ในปัจจุบันมันถูกเอาไปจับอยู่ในจังหวะการพูดและจังหวะร่างกายไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ในเทศกาล mime เอง สิ่งที่น่าสนใจคือเรายังมีความรู้สึกว่ามันอยู่ในร่มของ mime อยู่ ผ่านสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็สงสัยกับตัวเองว่า ได้ยังไง แต่มันได้ monologue แต่ยังเป็นประเภท mime
เห็นจากการชวนพวกเรามา ซึ่งเป็นกลุ่มที่เล่น 'หน้ากาก' เสียมากกว่า โดยการใช้ร่างกายในศาสตร์อื่นประยุกต์ด้วยที่ไม่ใช่แค่ mime เน้นเรื่องของการ workshop แลกเปลี่ยนมากกว่า หรือพอๆ กับการแสดง เลยคิดว่าเทศกาลอาจมุ่งเน้นไปสู่การเปิดประตูของ Mime ที่หลากหลายมากกว่าการโชว์ของ ”
Pantomime in Bangkok ครั้งที่ 17 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เต็มอิ่มกับ 11 เรื่อง จาก 10 นักแสดงละครใบ้ระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่นและ 1 แขกรับเชิญพิเศษจากประเทศไทย และแขกรับเชิญพิเศษของงาน ผู้บุกเบิกงานแสดงมายากลรูปแบบ Theatre Show ในประเทศไทย เจ้าของรางวัลระดับนานาชาติกว่า 19 รางวัล การแสดงของ 𝑉𝐾.𝑉𝑖𝑐ℎ ขยายขอบเขตของศิลปะการแสดงรูปแบบ non-verbal เขาสร้างสีสันใหม่ให้กับเวที Pantomime in Bangkok 17
ความสนุก.. ที่ดังกว่าความเงียบ
ความสนุก.. ไร้กำแพงภาษา
ความสนุก.. ที่ทุกคนจะหัวเราะพร้อมกัน
2 – 3 สิงหาคม 2025 รอบ 13:30 และ 18:00 (ทั้งหมด 4 รอบ)
หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต ถนนรัชดาภิเษก
บัตรราคา 1,100 / 1,300 / 1,600 / 1,800 บาท
การเดินทางในไทยของ Pantomime in Bangkok
ค.ศ. 1997 (ครั้งที่ 1)
Pantomime in Bangkok จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1997 ณ หอประชุมปรีดี พนมยงค์ (ทองหล่อ) ผู้ชมรู้สึกทึ่งและประทับใจเป็นอย่างมากกับการแสดงละครใบ้ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรื่อง Sakura Tree โดย Yamada Toshi (ยามาดะ โทชิ) ได้รับการยกย่องว่าเป็นละครเวทีที่ยอดเยี่ยมแห่งปีจากนิตยสาร Trendy Man
ค.ศ. 1998 (ครั้งที่ 2)
จัดที่โรงละครกาดสวนแก้ว (เชียงใหม่) และหอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรรมแห่งประเทศไทย (กทม.) เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ Pantomime in Bangkok ไปแสดงที่ต่างจังหวัด ฉากผู้ร้ายหนีตำรวจในเรื่อง Runaway โดย Honda Aiya (ฮอนดะ ไอยะ) เป็น 7 นาทีที่ทำให้ผู้ชมต้องตะลึงกับความสามารถของนักแสดงและความมหัศจรรย์ของละครใบ้
ค.ศ. 2000 (ครั้งที่ 3) จัดที่หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต (ถ. รัชดาภิเษก) จนถึงครั้งที่ 10/1
ค.ศ. 2001 (ครั้งที่ 4) Pantomime in Bangkok ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการเติบโตของผู้ชมละครใบ้ในประเทศไทย
ค.ศ. 2002 (ครั้งที่ 5) เปลี่ยนระบบจำหน่ายบัตรจากการฝากขายผ่านร้านหนังสือ มาเป็นการจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ของ Thaiticketmaster เป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกจัดขึ้นในทวีปเอเชีย (ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม) และบราซิลได้แชมป์
ค.ศ. 2003 (ครั้งที่ 6) Babymime ร่วมแสดงบนเวทีเป็นครั้งแรก การแสดงของคณะ Project P การรวมตัวของนักแสดงละครใบ้ 6 คน ได้สร้างมิติใหม่ของละครใบ้ผ่านเรื่อง Volleyball โดยใช้เทคนิคการแสดงแบบ Slow Motion ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพยนตร์
ค.ศ. 2004 (ครั้งที่ 7) แบ่งรอบการแสดงเป็นโปรแกรม A และ B โดยนักแสดงของทั้งสองโปรแกรมไม่ซ้ำกัน เรื่อง The Boxer โดยคณะ Gamarjobat (กามาร์โจบะ) เป็นการแสดงละครใบ้ที่มีความยาวมากที่สุดถึง 58 นาที และทำให้เกิดกระแส Gamarjobat ฟีเวอร์ในอีก 2 ครั้งต่อมา
ค.ศ. 2005 (ครั้งที่ 8) บัตร Sold Out ก่อนวันแสดง 2 สัปดาห์
ค.ศ. 2006 (ครั้งที่ 9) นักแสดงละครใบ้ชั้นนำของญี่ปุ่น 3 คน รวมกลุ่มกันในนาม Torio (Kojimaya Mansuke, Honda Aiya, Yamamoto Koyo) การแสดงเดี่ยวของ Yamamoto Koyo (ยามาโมโตะ โคโย) เรื่อง Photo ทำให้ผู้ชมประทับใจมาก มีผู้ชมหลายคนซื้อตั๋วเพื่อชมการแสดงมากกว่า 1 รอบ ทีมผู้จัดจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้กลับมาแสดงอีกครั้งในครั้งที่ 16
ค.ศ. 2007 (ครั้งที่ 10/1 และครั้งที่ 10/2)
จัดการแสดง Pantomime in Bangkok ขึ้น 2 ครั้งในปีเดียวกัน เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี
ครั้งที่ 1 เป็นการแสดงละครใบ้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ ใช้ชื่อว่า Pantomime in Bangkok 10/1 for children
ครั้งที่ 2 ย้ายไปจัดที่หอประชุม AUA สมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา (ถ. ราชดำริ)
Honda Aiya (ฮอนดะ ไอยะ) แสดงเรื่อง The Baseball โดยรับบทเป็นตัวละครกว่า 20 คาแรคเตอร์
Shimizu Kiyoshi (ชิมิสุ คิโยชิ) ปรมาจารย์ของวงการละครใบ้ญี่ปุ่นได้ให้เกียรติมาร่วมแสดงในครั้งนี้ด้วย
ค.ศ. 2010 (ครั้งที่ 11)
ย้ายกลับมาจัดที่หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต (ถ. รัชดาภิเษก) ในบางรอบ ขณะที่ผู้ชมกำลังชมการแสดงละครใบ้ นักแสดงและทีมงานในห้องพักหลังเวทีก็สนุกสนานไปกับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ด้วย
ค.ศ. 2011 (ครั้งที่ 12)
จัดที่ CentralPoint Play House at centralwOrld เป็นครั้งแรกที่มีนักแสดงละครใบ้นอกทวีปเอเชียมาร่วมแสดง นั่นคือคณะ Metroccolis จากประเทศเยอรมัน และการแสดงของคณะ Sivouplait (ซิวูเพลย์) ทำให้เรื่องราวของคู่รักชุดขาวกลายเป็นขวัญใจของผู้ชม
ค.ศ. 2012 (ครั้งที่ 13)
จัดที่หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต (ถ. รัชดาภิเษก) เป็นปีที่รัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท แต่บัตร Pantomime in Bangkok ยังคงราคาเดิม
ค.ศ. 2013 (ครั้งที่ 14)
ปีสุดท้ายกับการจัดงานในหอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต (ถ. รัชดาภิเษก) ก่อนจะพักยาว 4 ปี การแสดงของคณะ Cru Cru Cirque (คุรุ คุรุ ชิรุคุ) เป็นการแสดงละครใบ้อีกรูปแบบหนึ่งที่ผสมผสานระหว่างพื้นฐานละครใบ้กับการแสดงแบบเซอร์คัส
ค.ศ. 2018 (ครั้งที่ 15)
หลังจากหยุดไป 4 ปี Pantomime in Bangkok กลับมาอีกครั้งที่โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ (ซอยรางน้ำ) คณะ Pantomanga (แพนโทมังกะ) ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 15 ปี เพื่อ Pantomime in Bangkok โดยเฉพาะ นำเสนอละครใบ้ในโทนสีขาวดำ และ Ayukoji (อายูโคจิ) คือการจับคู่ของนักแสดงละครใบ้ระดับชั้นครูกับนักแสดงคลื่นลูกใหม่ที่อายุห่างกัน 34 ปี
ค.ศ. 2019 (ครั้งที่ 16)
ต้อนรับสมาชิกใหม่ Kunii Miwako (คุนิอิ มิวาโกะ) และ Suzuki Hideshiro (ซุสุกิ ฮิเดชิโระ) จัดการแสดงที่ เอ็ม เธียเตอร์ (ถ. เพชรบุรีตัดใหม่) ครั้งแรกกับการแสดงเดี่ยวของ Ta Babymime
ค.ศ. 2020 – 2024 วิกฤติ COVID-19 ที่กรุงโตเกียวเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิก เผยแพร่ภาพวิดีโอการแสดงให้หายคิดถึงภายใต้ชื่อ “ Pantomime in Quarantine ”
ค.ศ. 2025 (ครั้งที่ 17)
ความสนุกใหม่ 11 เรื่อง จาก 10 นักแสดง 7 คณะ แขกรับเชิญพิเศษของงาน 𝑉𝐾.𝑉𝑖𝑐ℎ ขยายขอบเขตของศิลปะการแสดงรูปแบบ non-verbal
𝐘𝐀𝐌𝐀𝐌𝐎𝐓𝐎 𝐊𝐎𝐘𝐎
บทพิสูจน์ของร่างกายที่แข็งแรงกับความเก๋าในการเล่าเรื่อง ตั้งแต่เดินทางไปนิวยอร์คเพื่อศึกษาละครใบ้อย่างลึกซึ้ง และเริ่มมีผลงานในฐานะนักแสดงละครใบ้มืออาชีพในปี 1989 ยามาโมโตะ โคโย ก็ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์ผลงานใหม่เลย
【𝐖𝐀~ 𝐖𝐀~】 𝑇𝑎𝑐ℎ𝑖𝑧𝑎𝑤𝑎~ and 𝐾𝑢𝑛𝑖𝑘𝑜 𝐴𝑏𝑒
สมาชิกใหม่ของเทศกาล ดูโอ 'วา~วา~'
หลังผ่านประสบการณ์การเป็นศิลปินเดี่ยว ทาจิซาวะ~ และ อาเบะ คุนิโกะ รวมตัวกันเพื่อนำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์ในมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ชวนลุ้นตลอดเรื่องว่าพวกเขาจะหาหลอดไฟเจอไหม เด็กทั้งโรงกรี๊ดเอาใจช่วย
KETCH เคตจิเริ่มเข้าสู่วงการละครใบ้จากการเป็นศิลปินเดี่ยว 7 ปี จากนั้นจึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกของคู่ดูโอละครใบ้ละดับโลก GAMARJOBAT (กามาร์โจบะ) ยาวนานต่อเนื่อง 20 ปี
เมื่อตัดสินกลับสู่เส้นทางของศิลปินเดี่ยวอีกครั้งในปี 2019 เคตจิเน้นการแสดงแบบอิมโพรไวซ์ในเทศกาลแถบยุโรปเป็นหลัก เขาหันกลับมาเรียนพื้นฐานตัวตลก (clowning) อีกครั้งเพื่อค้นหาตัวเอง ไม่เพียงแต่บทบาทของนักแสดงเท่านั้น แต่ยังขยายโปรเจคท์ต่างๆ ในฐานะผู้จัด รวมถึงการเวิร์คชอปที่หลากหลายมากขึ้นใน 40 ประเทศทั่วโลก เคตจิสร้างสรรค์โชว์ครบรส ขำไม่หยุด เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นี่คือครั้งแรกในประเทศไทยกับ Solo Show ของเขา เคตจิกลับมากรุงเทพในรอบ 14 ปี!! เจ้าของทรงผมโมฮอกสีแดงคนนั้น เขาทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้อีกครั้ง!
【𝐀𝐘𝐔𝐊𝐎𝐉𝐈】
Pantomime master, co-founder of the festival since 1997 & charming new wave artist with 34-year age gap!
อายูโคจิ ดูโอสุดฮาจากสุดยอดปรมาจารย์ละครใบ้ ผู้ร่วมก่อตั้งเทศกาล และศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่อายุห่างกันถึง 34 ปี!
【𝐒𝐈𝐕𝐎𝐔𝐏𝐋𝐀𝐈𝐓】
Welcome back our beloved romantic & unexpected couple. But this year, they won't be silent like before!
ซิลวูเพล คู่รักชุดขาวกับเรื่องราวโรแมนติกเกินคาดเดา ขอแอบสปอยเบาๆ ว่าปีนี้พวกเขาจะไม่ “เงียบ” เหมือนเคย
【𝐆𝐔𝐑𝐈 𝐆𝐔𝐑𝐈 𝐆𝐈𝐑𝐋𝐒】
No Guri Guri, No Accordion? No Pantomime in Bangkok!
หุ่นอ้วนน่ารักเป็นทั้งสัญลักษณ์และขวัญใจของเทศกาล กุริ กุริ เกิร์ลส คาแรคเตอร์สุดน่ารักพร้อมเสียงแอคคอร์เดียน ออกมาทีไรก็เพิ่มแฟนหลงรักทุกช่วงพักสลับฉาก
VK.VICH
แขกรับเชิญพิเศษชาวไทย ผู้รังสรรค์มายากลแบบ Theatre Show เจ้าของรางวัล BMC World Performing Arts ประเทศฝรั่งเศส และเป็นตัวแทนมายากลไทยในงานระดับโลก
Exclusive Interview : โคอิจิ โยชิซาวะ Producer
“ ผมชื่อ โยชิซาวา มีอาชีพเป็น Lighting Designer เป็นนักละครเวที(ผู้กำกับ) มาตั้งแต่ปี 1978 ได้รู้จักกับนักแสดงหลายสาย โคจิมายา หนึ่งในสมาชิกของ อายุโคจิ คุณลุงได้ชักชวนมาให้เป็น Directer งาน Pantomime เริ่มในปี 1994 ในฐานะของผู้กำกับดูแลโชว์ทั้ง ละครเวทีและละครใบ้ ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าทำหน้าที่ฝ่ายไหน ก็จะต้องจัดการให้คนดูได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด เพราะมันคืองานสายเดียวกัน แต่ข้อดีของ Pantomime คือ ไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา เป็นการสื่อสารด้วยร่างกายซึ่งสำคัญกว่าภาษา ที่สามารถสื่อถึงกันได้ทุกคน จึงก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศได้มากกว่าสายอื่น ๆ ละครเวทีไม่ว่ายังไงภาษาก็มีอุปสรรค
ตามประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดละครใบ้เกิดขึ้นที่ยุโรป ในเอเชียเราก็มีนักแสดงละครใบ้ที่มีอัจฉริยภาพมากมาย ผมเป็นคนทำเทศกาล Asia Mime Festival 1994 ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นจากความต้องการที่พยายามบอกว่า ในเอเชียมีนักแสดงละครใบ้ที่ดีเกิดขึ้น แรกญี่ปุ่นกับเกาหลีรู้จักกันอยู่แล้ว ที่ใช้ชื่อ Asia Mime เพราะว่ามีเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง หลังจากนั้นก็มีประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเข้าร่วม จนกระทั่ง 1996 ได้ทราบข้อมูลว่าในไทยมีคนเล่นละครใบ้เหมือนกันคือ ไพฑูรย์ ไหลสกุล กับ ยาโน่ คาซึกิ นักแสดงญี่ปุ่นมีเพื่อนที่รู้จักทีมของโยซิซาวา จึงเกิดการเชื่อมต่อเป็นครั้งแรก คุณทศเทพกับเพื่อนคือ คุณโน้ต อุดม แต้พานิชย์ จึงเดินทางไปชมเทศกาล Asia Mime Festival 1996 ว่ามันคืออะไร ทั้งสองคนก็เกริ่นกับ โยชิซาวา ว่า ถ้าที่ไทยมีเทศกาลแบบนี้บ้างน่าจะดี … ปี 1997 ทางญี่ปุ่นได้ชวนทำงานร่วมกันจึงเกิด Pantomime In Bangkok ขึ้นมา ผู้จัดงานและทีมงานเป็นคนไทยทั้งหมด แต่การประสานงานของสองทีมและการออกแบบโชว์คุณโยชิซาวาเป็นผู้รับผิดชอบ
Pantomime ที่ญี่ปุ่นไม่ได้รับการตอบรับดีเท่าที่เมืองไทย เพราะช่วงหลังกลายเป็นสังคมแบบที่ทุกคนอยากได้อะไรที่ย่อยง่าย ต้องการคำอธิบายชัดเจน แต่ไม่ได้หมายความว่าคนดูตอนนี้ไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าเทียบกับคนไทยแล้วคนดูที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่ใจร้อนขึ้น เลือกเสพอะไรที่มันย่อยง่ายมากขึ้น รู้สึกว่าทุกคนไม่อยากบริหารจินตนาการของตัวเอง เหมือนกับว่า ทีวี โฆษณา โซเชียลเน็ตเวิร์ค เต็มไปด้วยข้อมูลที่ย่อยง่ายไปหมด คนเราจึงไม่รอที่จะทำความเข้าใจตัวเอง “ รีบอธิบายมาเลยดีกว่า ไม่อยากรอ ไม่อยากคิดเองแล้ว ” ศาสตร์แบบนี้จึงได้รับความนิยมน้อยลง ผมจึงประทับใจคนดูที่เมืองไทยเสมอที่ยังรู้สึกสงสัย รอคอย เฝ้าสังเกตการณ์ มีจินตนาการให้การแสดงมันไปต่อได้ไม่ต้องอธิบายตั้งแต่ต้น คนญี่ปุ่นยุคก่อนเหมือนคนไทยตอนนี้ เขาจะนั่งดู เฝ้าสังเกต พอเริ่มเก็ตแล้วค่อยรู้สึกกับมัน คือต้องใช้เวลาแต่สุดท้ายก็สนุก ต้องให้เวลากับการดู
ในส่วนภาพรวมของผู้ชม อาจเป็นปฏิกริยาร่วมของคนในประเทศแถบเอเชียก็ได้ที่คนเราเลือกที่จะฟังสื่อ ถ้าสื่อบอกว่าดีเราค่อยไปดู ไม่ใช่เราเห็นแล้วว่าน่าสนใจจึงตัดสินใจ เหมือนเราไม่ชัดเจนในตัวเอง สุดท้ายเราก็พึ่งสื่อมากกว่า มันมีแนวโน้มที่จะเป็นแบบนั้น อยากฝากถึงคนดูทุกคนไม่เกี่ยวกับว่าเป็นประเทศอะไร อยากให้เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง (sense) ถ้าเรารู้สึกอันนี้สนุกอันนั้นไม่สนุก อันนี้น่าสนใจ ก็คือเราชอบหรือไม่ชอบ ไม่ต้องไปฟังเสียงสื่อหรือว่าคนอื่น
ส่วนอาชีพนักแสดงไม่ได้แปลว่ารัฐบาลไม่สนใจเลย แต่แค่การสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นมันไม่พอ มันเหมือนกับว่าอะไรที่นักแสดงอยากได้จากรัฐ อยากให้รัฐดูแล มันยังไม่ถึง ยังไม่ครบถ้วน รัฐบาลญี่ปุ่นอาจให้ความสำคัญกับที่ว่า เราต้องไปได้รับรางวัลจากต่างประเทศมาก่อน ต้องได้ ‘แสง’ จากต่างประเทศมาก่อน หลังกลับมาประเทศตัวเองเขาถึงจะสนใจ มันมักจะเป็นแบบนั้นเสมอ กลายเป็นว่าสำหรับคนญี่ปุ่นเองเราเจ๋งมากในประเทศของเรา เราทำสิ่งที่ดีงาม แต่ว่าทำไมเราต้องออกไปต่างประเทศก่อน เพื่อได้แสงก่อนแล้วค่อยกลับมา ทำไมเขาไม่สนับสนุนเราตั้งแต่ต้น (เป็นคำถามต่อรัฐบาลญี่ปุ่น) จุดเปลี่ยนการมีชุมชนของนักแสดง เหมือนการมีเครือข่ายชุมชนของ pantomime เนื่องจากมีเทศกาลเกิดขึ้นนี่เอง แต่ละเทศกาลมีลักษณะที่ต่างกันคนละแบบ พอเราเริ่มมี Pantomime Festival ไม่ว่าในญี่ปุ่น เกาหลี ในไทยหรือประเทศอื่น ๆ นักแสดงที่เคยทำงานเดี่ยวก็เกิดการเชื่อมต่อกัน
ในงานอีกส่วนที่ผมทำคือ Lighting Design ถ้าเป็นงานคอนเสิร์ตที่ต้องการความอลังการ บอกเล่าเรื่องราวเยอะขึ้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเทียบกัน pantomime ก็ไม่ได้ต้องการไฟที่เวอร์อลังการแบบนั้น แต่สิ่งสำคัญคือเราจะทำยังไงให้ใช้ไฟน้อยที่สุด แต่เห็นได้ชัดที่สุดว่านักแสดงกำลังทำอะไร เพราะฉะนั้นการเป็น Lighting Designer ของ pantomime มันคือการถามตัวเองเสมอว่าเราจะตัดอะไร เราจะอดทนกับอะไร เพื่อให้นักแสดงเด่นที่สุด อย่าให้ไฟเด่นกว่านักแสดง เราใช้ไฟน้อยแต่การใช้น้อยมันคือการ design ที่มากกว่าการใช้ไฟเยอะครับ
ในงานที่ทำพอมองจากภาพรวมทั้งหมด มันต้องเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ทำทุกอย่าง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจและสนุกที่สุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมทั้งหมดให้ผู้ชมได้ดูอย่างดีที่สุดครับ (เป็นผู้สร้างบรรยากาศ) นักแสดงทุกคนมีเทคนิคต่างกันไป แต่ในส่วน produce หรือ management ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับรู้สารเกี่ยวกับคนดูในรอบแรก ในรอบแรกผมจะพยายามทำตัวให้ว่างที่สุด เพื่อรับรู้สิ่งที่ผมเตรียมไว้ให้เหมือนคนดู บางอย่างตัวเองวางแผนไว้หมดแล้วแต่พอมองด้วยความรู้สึกของคนดู บางอย่างมันซีเรียสเกินไป หรือจุกจิกเกินไปก็อาจจะไม่สนุก (รอบแรกคือเตรียมตัวดูแบบผู้ชม)
ตั้งแต่โควิดการที่เราไม่ได้จัดมา 5 ปีตั้งแต่ 2019 ก็เสียดายทุกปี ดีใจมากที่ได้กลับมาหลังจากหายไป เห็นบ้านเมืองไทยเปลี่ยนไป เจริญขึ้น สถานที่รถราอาจะเปลี่ยนไป แต่ผู้ชมคนไทยยังน่ารัก ใสซื่อ ตั้งใจดูเราเหมือนเดิมตรงนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ ความรู้สึกที่แสดงออกมาตรง ๆ ให้นักแสดง สำหรับผมส่วนตัวแล้วมีความตั้งใจหวังว่า อยากสร้างงานแบบนี้ให้เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นต่อไปครับ ”
ในยุคของการเสพสุขผ่านจอ คุณสมบัติที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนบนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้เราต่างลดการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจนลืมคิดไปว่า มี ความหรรษาที่มาพร้อมกับการบำบัดจิต ‘ เป็นมิตรต่อความเป็นมนุษย์ ’… จากงานวิจัยเรื่อง “ การใช้ศิลปะการละครเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารฯ ”[7] สรุปว่า ‘ นักแสดงใช้จินตนาการ เสียง สีหน้า ท่าทาง และความรู้สึกเพื่อเชื่อมโยงกับคู่แสดง แพทย์ก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้เชื่อมโยงกับคนไข้เช่นกัน ’ โดยเฉพาะ ‘ ละครหุ่น ’ และ ‘ ละครใบ้ ’ ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ชอบมาก ต่างมีผลต่อการพัฒนาด้านจิตใจ, อารมณ์, ความเห็นอกเห็นใจ, เข้าใจคนอื่น, และความคิดสร้างสรรค์ต่อเด็กสูงมาก เพราะสามารถเป็นสื่อกลางให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างปลอดภัย สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมจินตนาการ ช่วยให้เด็กสื่อสารความทุกข์ ความขัดแย้ง หรือความวิตกกังวลได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงโดยตรง แล้วยังใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เรื่องคุณธรรม จริยธรรม และทักษะทางสังคมต่างได้ด้วย โรงเรียนทางเลือกหลักสูตรก้าวหน้าหลายแห่ง จึงใช้หุ่นเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเสริมพัฒนาการของเด็กนักเรียน ในความเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน เพราะผู้ใหญ่มีความเป็นเด็กซ้อนซ่อนอยู่ภายใน มีจิตวิญญาณที่ต้องการเติมเต็มความมีชีวาให้ชีวิต ยาชนิดพิเศษช่วยได้ เพียงเรารู้จักใช้ให้เป็น.
[1] นลธวัช มะชัย, ครูองุ่น มาลิก : รำลึก 30 ปีที่จากไป, thaitheatre.org , สืบค้น 5 กันยายน 2568 https://www.thaitheatre.org/article-entries/kru-angoon
[2] สวนครูองุ่น-มูลนิธิกระจกเงา, สืบค้น 5 กันยายน 2568 https://www.jitarsabank.com/organisations/profile/618
[3] ธารริน อดุลยานนท์, สวนครูองุ่น, สืบค้น 5 กันยายน 2568 https://readthecloud.co/publicspace-5/
[4] Union Internationale de la Marionnette, สืบค้น 20 สิงหาคม 2568 https://www.unima.org/en/projects-and-achievements/
[5] Unima Thailand, สืบค้น 20 สิงหาคม 2568 https://www.facebook.com/share/p/1Fcw2VNAVY/
[6] กระบี่มือหนึ่ง : หุ่นสายเสมา, BurabhaOfficial, สืบค้น 20 สิงหาคม 2568 https://youtu.be/EwOfevdOvLY?si=5dpslHeOK_9ay-4S
[7] ชนัตถ์ พงษ์พานิช คณะอักษรศาสตร์ จุาลงกรณ์, การใช้ศิลปะการละครเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจสําหรับ นักศึกษาแพทย์ไทย, สืบค้น 20 สิงหาคม 2568 https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=13720&context=chulaetd