
นายสวาสดิ์ ตราชู นายสนิท ประสิทธิพันธ์ และนายสวัสดิ์ ตราชู (ผู้เขียน)
ที่มา : หนังสือ 77 ปี วันสันติภาพไทย : เตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร
จากพ่อค้าพริกมาเป็น “เสรีไทย” สาย เตียง ศิริขันธ์
ข้าพเจ้าบังเอิญได้มีโอกาสร่วมขบวนการเสรีไทยตั้งแต่เริ่มบุกเบิกจนอวสานผู้หนึ่ง ที่ว่าบังเอิญเพราะว่าเมื่อก่อนญี่ปุ่นบุกรุกประเทศไทย ข้าพเจ้าประกอบอาชีพค้าข้าวเปลือกร่วมกับบิดาและพี่น้องที่จังหวัดอุดรธานี เป็นตัวแทนรับซื้อข้าวเปลือก ส่งขายให้บริษัทข้าวไทยจำกัดเป็นประจำเดือนละ 2 ขบวนรถไฟ ซึ่งมีฐานะรายได้ดีพอสมควร
ครั้นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ญี่ปุ่นได้บุกรุกประเทศไทย ทหารหาญและตำรวจไทยตามชายแดน ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยอย่างพีระอาจหาญ จนตัวตายในสมรภูมิดังปรากฏมีอนุสาวรีย์ "จ่าดำ" (เจ้าพ่อดำ) ที่ทำแพ จังหวัดนครศรีธรรมราช

“อนุสาวรีย์วีรไทย พ.ศ. 2484” หรือ “พ่อจ่าดำ หรือ เจ้าพ่อดำ” ตั้งอยู่ภายในใจกลางของค่ายวชิราวุธ ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญของทหารไทยที่ได้ยืนหยัดต่อสู้ต่อต้านการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่มีการต่อสู้กันได้เพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศหยุดยิงยอมจำนนต่อญี่ปุ่นผู้รุกราน เซ็นสัญญาร่วมรบร่วมรุกเคียงบ่าเคียงไหล่กับญี่ปุ่น ทั้งได้ประกาศสงครามต่อมหาอำนาจอังกฤษ อเมริกา ฝ่ายพันธมิตรอีกด้วย
ญี่ปุ่นได้เคลื่อนพลเข้าสู่ประเทศไทยทั่วทุกภาคของไทย แสดงความต้องการทหาร ต้องการยวดยานพาหนะ ต้องการเครื่องอุปโภคบริโภค ต้องการสถานที่พักอาศัย ต้องการนางบำเรอ (เมียเช่า) รัฐบาลไทยก็ต้องยินยอมสนองความต้องการแก่ญี่ปุ่นทั้งสิ้น นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังได้พิมพ์ธนบัตรไทยใบละ 100 บาทมาจากญี่ปุ่น ให้ทหารญี่ปุ่นใช้จ่ายในไทยโดยพลการอย่างไม่มีการจำกัดจำนวน เป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจไทยอย่างย่อยยับ
เป็นอันว่าไทยได้สูญเสียเอกราชอธิปไตย ไร้อิสรภาพโดยสิ้นเชิง
สงครามกระเทือนธุรกิจต้องหันค้าพริกแทนข้าว
กิจการค้าข้าวเปลือกของพวกข้าพเจ้าก็พลอยสิ้นสุดไปด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นได้ยึดเอาขบวนรถสินค้าไปใช้ในราชการสงคราม ข้าพเจ้าจำเป็นต้องแสวงหาค้าขายอย่างอื่น
วันหนึ่ง ในราวกลางเดือนธันวาคม 2484 นั้น ข้าพเจ้าได้ไปซื้อพริกแห้งจากจังหวัดหนองคาย จำนวน 120 หาบ ราคาหาบละ 35 บาท บรรทุกรถยนต์ลำเลียงมาขึ้นรถไฟที่จังหวัดอุดรธานี (เพราะขณะนั้นรถไฟเดินถึงแค่จังหวัดอุดรธานีเท่านั้น) ส่งถึงบริษัทค้าพืชไทย เชิงสะพานนพวงศ์ กรุงเทพฯ สิ้นเงินทุนทั้งหมดร่วม 5,000 บาท
คิดว่าจะขายได้กำไรงาม เพราะบริษัทค้าพืชผลไทยส่งรายการราคาสินค้าไปให้ข้าพเจ้าเป็นประจำทุกเที่ยวเมล์ เห็นราคาพริกแห้งหาบละ 75 บาท ยืนพื้นมาหลายเที่ยวเมล์แล้ว
แต่ที่ไหนได้ พอข้าพเจ้านำพริกแห้งถึงบริษัทค้าพืชผลไทยแล้ว ผู้จัดการบริษัทแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า ทางบริษัทไม่ได้เป็นผู้รับซื้อเอง เป็นแต่เพียงนายหน้าติดต่อขายให้เท่านั้น ว่าแล้วก็โทรศัพท์เรียกพ่อค้าจีนแถวหัวลำโพงมาดูและตีราคาให้ พอพ่อค้าจีน 2-3 คนมาดูเห็นพริกมีจำนวนมากเขาก็รวมหัวกันกดราคา ตีราคาให้เพียงหาบละ 20 บาทเท่านั้น
ข้าพเจ้าจะขายได้อย่างไร ขาดทุนเกือบเท่าตัว จึงห่อเอาพริกเป็นตัวอย่างออกเดินตระเวนถามขายตามห้างร้านใหญ่ ๆ แทบทั่วพระนคร ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ เข้าไปร้านไหนก็มีแต่พูดว่าตั้วเฮียดีราคาไว้หาบละ 20 บาท จะซื้อราคาเกินนั้นไม่ได้ และบางร้านยังพูดเยาะเย้ยด้วยว่าตือบะคอลาดมาเลี้ยว (หมูโคราชมาแล้ว) เป็นอันว่าตระเวนขายพริกอยู่ร่วมเดือนก็ขายไม่ได้
ผิดหวังจากพริกจะซื้อที่สะพานควาย

เตียง ศิริขันธ์ “ขุนพลภูพาน” (พ.ศ. 2452–2495) ครูสามัญชนผู้ที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเป็นอีกกำลังสำคัญของขบวนการเสรีไทยสกลนคร
ขณะที่ตระเวนขายพริกอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้พักอยู่บ้านนายเตียง ศิริขันธ์ ส.ส.สกลนคร ซึ่งคุ้นเคยสนิทสนมกันมาก เพราะเมื่อครั้งที่นายเตียงเรียนชั้นมัธยมฯ อยู่จังหวัดอุดรธานี ได้พักอาศัยอยู่บ้านบิดาข้าพเจ้า จึงรักใคร่ดุจพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน
วันหนึ่งมีแขกบาบูมาหานายเตียง ให้ช่วยบอกขายที่ดินเลหลังให้ ที่ดินจำนวน 12 ไร่เศษ จะขายในราคาเพียง 2,000 บาทเท่านั้น ข้าพเจ้าสนใจจึงชวนนายเตียงตามไปดูที่ดิน เห็นเป็นทุ่งนา ปักเสาล้อมรอบเป็นที่พักควายส่งลงเรือไปนอก อยู่ตรงมุมถนนพหลโยธินกับถนนประดิพัทธ์ เชื่อมกันด้วยสะพานไม้ มีควายนอนในคลองใต้สะพานเป็นจำนวนมาก จนชาวบ้านขนานนามว่า "สะพานควาย" มาจนปัจจุบันนี้
ข้าพเจ้าเห็นที่แล้วพอใจ ตกลงว่าจะซื้อแน่นอน บอกกับแขกบาบูว่า อีกสองสามวันจะมาทำสัญญาซื้อขายชำระเงินโอนกันเลย ครั้นแล้วนายเตียงกับข้าพเจ้าก็พากันกลับบ้าน
เริ่มจากแผนที่โลกจึงถึงขบวนการใต้ดิน
ในเย็นวันนั้นนายเตียงได้ชวนข้าพเจ้าไปคุยกันที่สระน้ำหน้าบ้านแล้วเอาแผนที่โลกมากางชี้ให้ดูว่า ทางยุโรป, เยอรมันกับอิตาลีตีได้ประเทศนั้นๆ มากหลาย และทางเอเชีย, ญี่ปุ่นก็ตีได้ประเทศนั้น ๆๆๆ เมืองนั้นเมืองนี้เช่นเดียวกัน แล้วถามข้าพเจ้าว่า ลองทายดูซิว่าฝ่ายอักษะกับฝ่ายพันธมิตรฝ่ายไหนจะชนะสงครามในที่สุด
ข้าพเจ้าตอบโดยไม่ลังเลว่า ฝ่ายพันธมิตรจะชนะในที่สุดโดยให้เหตุผลว่า ฝ่ายอักษะโหมกำลังโจมตีแบบสายฟ้าแลบได้เมืองขึ้นมากมายก็จริง แต่ผลที่สุดกำลังจะอ่อนแอลง เพราะจะต้องเอากำลังทหารไปคุ้มครองเมืองที่ตีได้มากมาย อักษะมีเพียง 3 ประเทศเท่านั้น จะเอากำลังทหารที่ไหนไปคุ้มครอง เมื่อขาดกำลังทหารก็จะตกเป็นเป้าโจมตีของพันธมิตรเท่านั้น เช่นเดียวกับนักมวยที่โหมกำลังชกแต่ยกแรก ๆ พอถึงยกหลัง ๆ กำลังตกก็มีแต่จะถูกน็อคเท่านั้น
นายเตียงพูดว่า เออ มีความคิดตรงกัน
และพูดว่า สมมติว่าฝ่ายอักษะแพ้สงคราม เราก็ร่วมแพ้กับญี่ปุ่นด้วย ขณะนี้เราก็ตกเป็นทาสญี่ปุ่นอยู่แล้ว เมื่อแพ้ฝ่ายพันธมิตรเราก็จะตกเป็นทาสพันธมิตรต่อไปอีก ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีร้อยชาติจึงจะได้เอกราชอธิปไตยกลับคืนมา มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ เราจำเป็นต้องหักหลังญี่ปุ่นร่วมกับฝ่ายพันธมิตรโจมตีให้ญี่ปุ่นราบไปเท่านั้น จึงจะได้เอกราชอธิปไตยกลับคืนมา
และถามข้าพเจ้าว่า ถ้ามีคนคิดกู้ชาติจะยินดีร่วมด้วยไหม
ข้าพเจ้าตอบว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ยอมพลีชีพเพื่อชาติได้ทุกเมื่อ
องค์กรกู้ชาติใต้ดิน ภารกิจจำกัด พลางกูร

ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย
นายเตียงจึงเล่าให้ฟังว่า พวกเราได้จัดตั้งองค์กรใต้ดินเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นมาแล้ว โดยท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า มีสมาชิกร่วมใจกันยังไม่ถึง 10 คน ขณะนี้กำลังหาเงินค่าเดินทางให้นายจำกัด พลางกูร ไปติดต่อกับฝ่ายพันธมิตร
ที่ส่งนายจำกัด พลางกูร ไป เพราะแกเป็นนักเรียนอังกฤษ มีเพื่อนฝูงที่เป็นใหญ่อยู่หลายคนในอังกฤษ
เมื่อครั้งนายจำกัดเรียนอยู่อังกฤษ ได้เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษโจมตีการปกครองของหลวงพิบูลสงคราม ว่าเป็นเผด็จการ จนหลวงพิบูลสงครามโกรธ สั่งห้ามไม่ให้ ก.พ. รับเข้าราชการเมื่อกลับมาเมืองไทย
นายจำกัดจึงได้ประกอบอาชีพส่วนตัว โดยได้ตั้งโรงเรียนอนุบาลขึ้นให้ชื่อว่าโรงเรียนดรุโณทยานที่เชิงสะพานหัวข้าง ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีอยู่
เงินที่รวบรวมได้ยังไม่พอ เพราะพวกเราล้วนแต่อัตคัดเงินทั้งนั้น ตอนนี้สมาชิกบางท่านได้เสียสละขายเรือกลไฟเดินทางระหว่าง กรุงเทพฯ-อยุธยา ได้เงินราว 8,000 บาท ยังไม่พอเป็นค่าเดินทาง เพราะการเดินทางครั้งนี้เป็นการเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเป็นเดิมพัน ต้องเดินทางด้วยเท้า เนื่องจากการคมนาคม การสื่อสารถูกตัดขาดหมดแล้ว ไม่ทราบว่ากี่เดือนจะถึงจุดหมาย จำเป็นต้องพกเงินไปให้เพียงพอ
ตัดสินใจขายพริกร่วมทุนเพื่อการกู้ชาติ
ในคืนนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นดีใจที่จะได้ร่วมการกู้ชาติจนนอนไม่หลับทั้งคืน รุ่งขึ้นจึงรีบไปบริษัทค้าพืชผลไทย ขอร้องให้ผู้จัดการขายพริกให้สุดแล้วแต่จะสามารถขายได้ราคาเท่าไร ข้าพเจ้าไม่ได้คำนึงถึงกำไรหรือขาดทุนอีกแล้ว ขอให้ได้เงินมาร่วมสมทบทุนให้นายจำกัดเดินทางก็พอใจแล้ว
ครั้นถึงบริษัทค้าพืชผลไทยบอกผู้จัดการบริษัทว่า ช่วยขายพริกให้ผมด้วย จะขายราคาเท่าไรสุดแล้วแต่ท่านจะทำราคาได้
ผู้จัดการว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง พรุ่งนี้มารับเงินได้
เมื่อถึงกำหนดข้าพเจ้าก็ไปรับเงินตามนัด ท่านจ่ายให้ข้าพเจ้า 2,400 บาท เหลือจากหักค่าเช่าที่เก็บและค่าบริการเข้าบริษัทแล้ว เป็นอันว่าขายพริกคราวนี้ขาดทุนไปร่วม 3,000 บาท
เมื่อรับเงินจากผู้จัดการบริษัทแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบกลับบ้านเอาเงินมอบให้นายเตียง 2,000 บาทเพื่อสมทบทุนให้นายจำกัดเดินทาง
โกหกครั้งแรกและสุดท้ายเพื่อการกู้ชาติบ้านเมือง
นายเตียงถามข้าพเจ้าว่า เรื่องซื้อที่ดินแขกนั้นจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเขาเล่า
ข้าพเจ้าตอบว่า เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง ชาติสำคัญเหนือกว่าสิ่งใด ๆ ต้องเอาเรื่องชาติก่อน
นายเตียงยังถามต่อไปว่า แล้วคุณพ่อจะไม่ว่าหรือ
ข้าพเจ้าตอบว่า ท่านจะด่าว่าอย่างไรผมก็ยอมให้ว่าให้ด่าทั้งสิ้น
นายเตียงก็ว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้ถือเป็นความลับสุดยอด และการร่วมงานกันในครั้งนี้เราไม่หวังผลตอบแทนเป็นการส่วนตัวใด ๆ ทั้งสิ้น หวังแต่เพียงให้ได้เอกราชอธิปไตยกลับคืนมาเท่านั้นเป็นเป้าหมาย
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็กลับไปจังหวัดอุดรธานี พอถึงบ้านก็หาทางออกโดยการโกหกคุณพ่อ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยโกหกท่านมาก่อนเลยในชีวิต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายด้วย โกหกท่านว่าไปขายพริกคราวนี้ถูกพ่อค้ารวมหัวกันกดราคาขายได้เพียงหาบละ 20 บาทเท่านั้น ขาดทุนไปร่วม 3,000 บาท เงินที่ขายได้ผมได้ฝากพี่เตียงไว้เพื่อซื้อจอบในราคาที่จำหน่ายในราคาต้นทุนอันละ 3.50 บาท ขณะที่ตลาดมีดขายถึงอันละ 25 บาท
คุณพ่อถามว่าเมื่อไรจะได้จอบมาล่ะ
ข้าพเจ้าบอกว่า การซื้อเช่นนี้จะต้องทำหนังสือขอซื้อเป็นทางการ กว่าจะได้คงกินเวลาหลายเดือน
ท่านก็ว่า ไม่เป็นไร เมื่อค้าขายขาดทุนแล้ว มีทางแก้ตัวอย่างนี้ก็ดีแล้ว
จำกัด พลางกูร เดินทางผ่านลาว ไปเสียสละ ณ คุนหมิง

จำกัด พลางกูร (พ.ศ. 2457 – 2486) เลขาธิการขบวนการเสรีไทย ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังจุงกิง ประเทศจีน เพื่อติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนจะเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2486
ส่งนายจำกัดไปจีน อำลาแสนอาลัย
หลังจากนั้นข้าพเจ้าตาเจ็บ อันเนื่องมาจากละอองพริกแห้งเข้าตาเป็นตาอักเสบปวดแสบปวดร้อนจนต้องนอนพักให้ ร.ต.ท. ประเสริฐ นายแพทย์ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรฯ รักษาให้ร่วมเดือนจึงหาย
ขณะที่ข้าพเจ้านอนรักษาตาอยู่นั้น ทราบว่า นายจำกัดออกเดินทางไปแล้ว โดยนายเตียง, พี่นิวาส (ภรรยานายเตียง) และคุณฉลบฉลัยน์ (ภรรยานายจำกัด) ร่วมเดินทางไปถึงท่าแขกฝั่งตรงข้ามจังหวัดนครพนม ก่อนจะจากกันได้ร่ำลากันด้วยความอาลัยยิ่ง นายเตียงได้ถอดแหวนนามสกุลศิริขันธ์ออกจากนิ้วมือ และถอดล็อกเกตออกจากคอพี่นิวาสมอบให้นายจำกัดไปเป็นที่ระลึกและแก้ไขในคราวจำเป็น
ในการเดินทางของนายจำกัดคราวนี้ ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณสงวน เกษมทรัพย์ ผู้จัดการห้างไพบูลย์รับซื้อของป่าอยู่ที่บ้านไผ่ ซึ่งท่านเป็นผู้ที่กว้างขวางติดต่อร้านค้าจีนทางฝั่งลาวให้ช่วยจัดคนนำทางส่งนายจำกัดไปเป็นช่วง ๆ จนถึงเมืองจีน
เมื่อนายจำกัดออกเดินทางไปแล้ว ทางองค์กรของเราก็เร่งรีบขยายสมาชิกโดยวิธีการขยายเซลล์ คือ จาก 1 เป็น 3 จาก 3 เป็น 9 จาก 9 เป็น 27 ไปเรื่อย ๆ แต่ละช่วงแต่ละตอนของสมาชิกจะไม่ให้รู้จักกันเลยว่าใครอยู่ในองค์กร การติดต่อกันก็ใช้จดหมายเขียนด้วยหมึกลับทั้งสิ้น เมื่ออ่านแล้วจะต้องเผาทิ้งทันที นับแต่นายจำกัดออกเดินทางไปแล้วประมาณ 5 เดือนก็ไม่ได้ข่าววี่แววอะไรกลับมาเลย ทางองค์กรของเราก็มีความห่วงใยอยากได้ข่าวนายจำกัดจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ต่อมาท่านอาจารย์ปรีดีจึงให้หาคนอาสาสมัครไปติดตามสืบดูนายจำกัด ก็ได้อาสาสมัครคนหนึ่งคือนายสนิท ประสิทธิ์พันธ์ คนขับรถบรรทุกโดยสารของนายสวาสดิ์ ตราชู พี่ชายใหญ่ของข้าพเจ้า
นายสนิทผู้นี้ ตามที่ทราบประวัติมา ท่านเป็นชาวนครราชสีมา เป็นอดีตทหารเกณฑ์ หลังจากพ้นเกณฑ์แล้วได้ออกตระเวนชกมวยตามต่างจังหวัดในภาคอีสาน นับว่าเป็นนักมวยเอก ยากที่จะหาตัวจับได้ในภาคอีสาน เพราะชกมาไม่รู้กี่ครั้ง ไม่เคยแพ้ มีแต่ชนะและเสมอในบางครั้งเท่านั้น จนในที่สุดไม่มีใครกล้าชกด้วย แกจึงเลิกอาชีพชกมวยหันมายึดอาชีพขับรถยนต์ให้คุณพ่อข้าพเจ้าตั้งแต่ พ.ศ. 2476
วีรชนเสียสละจารึกชื่อเป็นเกียรติ
เมื่อนายสนิทออกเดินทางตามไปสืบหานายจำกัดประมาณ 4 เดือนเศษ สนิทได้เดินทางกลับมาในสภาพโซซัดโซเซอย่างอิดโหยโรยแรง ถึงอุดรฯ ข้าพเจ้าแทบจำไม่ได้ เพราะซูบผอมเหลือแต่กระดูกติดหนัง น้ำหนักตัวลดลงหลายสิบก็โลกรัม เนื่องจากไข้มาลาเรียกินเสียงอมพระรามไปเลย ต้องมารักษาพักฟื้นอยู่ร่วมปีจึงหายเป็นปกติ และได้ความว่านายจำกัดได้เสียชีวิตที่เมืองคุนหมิง โดยเจ้าหน้าที่จีนแจ้งว่า นายจำกัดเสียชีวิตเพราะโรคกระเพาะ ทั้งได้มอบอัฐิและแหวนนามสกุลศิริขันธ์และล็อกเกตกลับคืนมาเป็นสักขีพยาน ท่านอาจารย์ปรีดีทราบว่านายสนิทกลับมาแล้วก็ดีใจถึงกับขอดูตัวนายสนิท พวกเราต่างก็เศร้าสลดใจอาลัยต่อการจากไปของนายจำกัดเป็นอย่างยิ่ง
และเพื่อความปลอดภัยขององค์กร ท่านอาจารย์ปรีดีก็ได้กำชับว่าอย่าได้แจ้งข่าวการตายของนายจำกัดให้คุณฉลบฉลัยน์ทราบเป็นอันขาด เมื่อสงครามยุติแล้วจึงได้แจ้งให้ทราบภายหลัง พร้อมทั้งจารึกชื่อเป็นวีรชนในอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิรวมด้วยกัน 3 คน คือ นายจำกัด คุณการะเวก ศรีวิจารณ์ และคุณสมพงษ์ ศัลยพงศ์ เป็นวีรชนที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติงาน
จอมพล ป. ประกาศกร้าว จีนส่งอุปกรณ์ช่วยเหลือ

จอมพล แปลก พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2440 – 2507) นายกรัฐมนตรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อนายจำกัดไปเสียชีวิตกลางทาง ยังไม่ถึงเมืองหลวงของจีนด้วยซ้ำ จึงส่งชุดบุกเบิกที่ 3 ไปอีก คราวนี้ส่งไปรวม 8 คนในคราวเดียวกัน มีนายกระจ่าง ตุลารักษ์ นายแดง คุณะดิลก และอีก 6 คนข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้
เมื่อ 8 คนนี้ออกไปแล้ว รัฐบาลจอมพล ป. ทราบ จึงได้ประกาศเป็นชนชาติศัตรูทั้ง 8 คน เป็นเวลาร่วมปีจึงได้ข่าวว่า นายกระจ่างได้มาตั้งสถานีรับข่าวสารอยู่ที่เวียงจันทน์ และสถานีย่อยตามรายทางเป็นตอน ๆ จากจีนมาจนถึงเวียงจันทน์ เมื่อนายกระจ่างมาอยู่เวียงจันทน์แล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้รับหน้าที่เป็นผู้ถือสารลับระหว่างกรุงเทพฯ - หนองคาย นายสนิทรับหน้าที่ช่วงต่อจากข้าพเจ้าระหว่างหนองคาย - เวียงจันทน์ ข่าวสารโต้ตอบกันกว่าจะได้รับแต่ละฉบับก็กินเวลาตั้งเดือน ข้าพเจ้าจะต้องเดินทางขึ้นล่องกรุงเทพฯ-หนองคาย เดือนละ 2 เที่ยวไปกลับเพื่อข่าวสารรวดเร็วยิ่งขึ้น รัฐบาลจีนได้ส่งเครื่องวิทยุรับส่งมาให้เป็นวิทยุรับส่งแบบรหัสเหมือนการโทรเลข ซึ่งมีประสิทธิภาพรับส่งได้เพียงแค่รัศมี 40 กม. เท่านั้น (สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องรับส่งสนามที่มีขีดความสามารถเกินกว่านั้น)
ก่อนที่จะรับวิทยุเข้ามาในประเทศไทย ก็จำเป็นที่จะต้องนำพนักงานวิทยุเข้ามาก่อน ข้าพเจ้าได้รับนายกุล พนักงานวิทยุจากเวียงจันทน์เข้ามาในกรุงเทพฯ เช่าบ้านให้อยู่ในสวนแถวตลาดพลู ธนบุรี แล้วกลับไปรับวิทยุเครื่องแรกที่เข้ามาในเมืองไทย ข้าพเจ้าไปถึงหนองคาย นายสนิทได้พาข้าพเจ้าถีบจักรยานเลียบไปตามฝั่งโขงถึงห้วยโมง เห็นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมลับตาคนดี จึงหมายตาเอาปากห้วยโมงนั้นเป็นที่เอาเครื่องรับส่งวิทยุขึ้นบก แล้วข้าพเจ้ากับนายสนิทก็ถีบจักรยานเข้าเมืองหนองคาย นายสนิทลงเรือข้ามฟากไปเวียงจันทน์ นัดหมายให้ข้าพเจ้าไปรอคอยที่ห้วยโมงในตอนเย็นวันนั้น
ลำเลียงวิทยุเข้ากรุงเกือบเอาชีวิตไม่รอด
พอถึงเวลานัดหมายข้าพเจ้าก็ถีบจักรยานไปนั่งคอยอยู่พักหนึ่ง เห็นนายสนิทพายเรือล่องเข้ามาที่ปากห้วย ข้าพเจ้าก็ลงไปรับเอากระเป๋าหนังบรรจุเครื่องวิทยุขึ้นมาผูกติดท้ายรถจักรยานถีบเข้าเมืองขึ้นรถยนต์โดยสารกลับเข้าเมืองอุดรฯ ทันที ถึงอุดรฯ ประมาณ 18.00 น. ข้าพเจ้าลงจากรถยนต์ขึ้นรถสามล้อไปสถานีรถไฟอุดรฯ ถึงสถานีก็มอบกระเป๋าให้คุณประทีป ตุงคะเดชะ เก็บไว้และสั่งให้นำขึ้นไปวางไว้บนหิ้งตู้รถโดยสาร ก่อนที่ขบวนรถไฟอุดรฯ - นครราชสีมาจะออกเดินทางรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตีตั๋วรถไฟแล้วขึ้นไปนั่งท้ายขบวนเพื่อดูแลกระเป๋า ครั้นถึงนครราชสีมาต้องค้างคืนที่โรงแรมฟ้าสาง โดยให้เด็กนำกระเป๋าไปเก็บไว้ในห้องผู้จัดการ
ในวันรุ่งขึ้นได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟและนำกระเป๋าวางไว้บนหิ้งตอนหน้าตู้โดยสารและข้าพเจ้าก็นั่งดูแลเช่นเคย ครั้นรถไฟไปถึงสถานีปากช่อง ปรากฏว่ามีทหารสารวัตร 2 คนขึ้นมาตรวจค้นของผิดกฎหมาย ตั้งแต่ท้ายขบวนมาถึงหัวขบวน ในที่สุดได้มาตรวจค้นกระเป๋าใบดังกล่าว โดยถามผู้โดยสารซึ่งนั่งอยู่ใกล้กระเป๋าว่าเป็นของใคร แต่ก็ไม่มีใครรู้ ทหารสารวัตรจึงเปิดออกดูและได้ออกถามหาเจ้าของ แต่ไม่มีใครตอบ จึงนำกระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องพนักงานรักษารถ พอรถถึงสถานีสระบุรี ข้าพเจ้าเห็นทหารหิ้วกระเป๋าลงจากรถไปฝากไว้ที่นายสถานีแล้ววิ่งกลับมาขึ้นรถ ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่พักหนึ่งว่าจะรับเป็นเจ้าของดีหรือไม่ ถ้าไม่รับเกรงว่าเครื่องวิทยุจะสูญหายหรือตกไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายศัตรู (เพราะนายถวิล อุดล ได้กำชับว่าจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก อย่าให้ตกเป็นเครื่องมือของศัตรูเป็นอันขาด) ถ้าจะรับก็เป็นการเอาชีวิตเข้าเสี่ยง
แต่มานึกขึ้นได้ว่าขณะนั้นเพิ่งเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ๆ และเป็นรัฐบาลพลเรือนด้วย (นายควง อภัยวงศ์ ซึ่งรับช่วงจากรัฐบาลทหาร จอมพล ป.) คิดว่าคงไม่โหดร้ายทารุณเหมือนรัฐบาลทหาร จึงได้ตกลงใจรับเป็นเจ้าของ เมื่อทหารทั้ง 2 คนเดินผ่านมา ข้าพเจ้าจึงถามว่า เอากระเป๋าใบนั้นลงสถานีสระบุรีทำไม ทหารจึงถามว่าของคุณหรือ ข้าพเจ้าตอบว่าใช่ ทหารสารวัตรจึงถามอีกว่าในกระเป๋ามีอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่าจะเป็นอะไรไม่รู้แต่มีเสื้อยืด 2 ตัวที่ยัดไว้กันกระเทือน ทหารทั้งสองคนได้ยินดังนั้นจึงชักดาบที่เอว ซึ่งเป็นดาบทหารม้ายาวเท่าแขน เงื้อขึ้นทำท่าจะฟันพร้อมตะโกนว่าจับแนวที่ 5 ได้แล้ว และให้ทหารอีกคนเอากุญแจมือมาใส่ที่ข้อมือข้าพเจ้า ขณะนั้นปรากฏว่าสายตาของผู้โดยสารจ้องมาที่ข้าพเจ้าทุกคน หลังจากนั้นได้บอกไปว่าเก็บดาบเข้าฝักได้แล้วมันหวาดเสียว เขาได้สติจึงเก็บดาบเข้าฝัก พร้อมกับนำข้าพเจ้าเดินไปที่ตู้พนักงานรักษารถ
ถูกข้อหาแนวที่ 5 หวิดถูกประชาทัณฑ์
ข้าพเจ้านั่งอยู่บนลังไม้ผ่านไปทุกสถานี มีผู้โดยสารมาออดูข้าพเจ้าตลอดจนรถไฟเข้าสถานีหัวลำโพง ซึ่งผู้คนทราบข่าวว่าจับแนวที่ 5 ได้แล้วต่างก็เข้ามามุงดูข้าพเจ้าแออัดไปหมด บางคนก็ฮือเข้ามาเพื่อจะประชาทัณฑ์ เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันข้าพเจ้าออกไปอย่างโกลาหล บางคนเข้าไม่ถึงก็ตะโกนร้องให้นำตัวไปยิงเป้า "ไอ้คนขายชาติ เอาไว้หนักแผ่นดิน" เสียงเช่นนี้ดังขึ้นตลอดเวลา
ต่อจากนั้นทหารสารวัตรได้นำข้าพเจ้าแหวกวงล้อมนำตัวออกมาที่หน้าสถานี แล้วนำตัวไปส่งที่โรงพักกลาง (สถานีตำรวจพลับพลาไชย) ซึ่งขณะนั้น พ.ต.อ.พระพินิจชนคดี เป็นผู้บังคับการ นั่งทำงานอยู่
สารวัตรทหารจึงเข้าไปเจรจาเพื่อขอฝากขังข้าพเจ้า ซึ่งท่านก็รับไว้และเรียกร้อยเวรมารับตัวไปทำการตรวจค้นตัวและกระเป๋าเดินทาง พร้อมกับยึดเงินจำนวน 165 บาท และเข็มจักรซิงเกอร์ในกระเป๋าเดินทางจำนวน 35 โหล (นายกระจ่างให้เอามาขายในกรุงเทพฯ เพราะขณะนั้นเมืองไทยขาดแคลนขายกันอย่างต่ำเล่มละ 5 บาท เพื่อหาเงินเป็นค่าเดินทางในการปฏิบัติงาน) แล้วนำข้าพเจ้าไปขังพร้อมกำชับว่า "อย่าซื้ออาหารให้มันกิน ทรมานมันให้ตาย คนขายชาติอย่างนี้"
ทุกข์ทรมานในคุกห้ามกินข้าว 3 วัน
ข้าพเจ้าถูกขังเดี่ยวในห้องขังผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ มีส้วมและก๊อกน้ำพร้อม แต่ไม่มีขันมีแต่กระป๋องสำหรับล้างล้วม และน้ำก๊อกก็ไม่ไหล เปิดเต็มที่แล้วน้ำไหลออกมาทีละหยดเท่านั้น กว่าจะได้อุ้งมือหนึ่งเพื่อมาดื่มต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมง เรียกว่าหิวน้ำก็กินน้ำ หิวข้าวก็กินน้ำ ทรมานอยู่อย่างนั้น 3 วัน 3 คืน หลังจากนั้นมีทหารยศสิบตรี (ทราบชื่อภายหลังว่าทวี) ได้นำตัวออกจากที่คุมขังพร้อมกับใส่กุญแจมือไปเซ็นชื่อ แล้วคุมตัวจากโรงพักกลางเดินไปจนถึงสวนมิกสกวัน (กรมสารวัตร)
ครั้นไปถึงก็เอาโซ่ตรวนขนาด 6 หุน ยาวประมาณ 3 เมตร โดยเอาปลายข้างหนึ่งมาผูกคอข้าพเจ้าใส่กุญแจส่วนปลาย อีกข้างหนึ่งไปพันไว้กับเสากลางกองรักษาการ แล้วเอาปลายโซ่มาผูกข้อเท้าพร้อมกับใส่กุญแจให้ข้าพเจ้า นั่งพิงเสา แล้วซื้อข้าวแกงมาให้กินพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกนับจากการที่ต้องสูญเสียอิสรภาพ นั่งพิงเสาไปตบยุงไปตลอดทั้งคืน ส่วนโซ่ที่ผูกคอนั้นนาน ๆ เข้าก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น จะนอนก็นอนไม่ได้ เพราะโซ่ที่พาดคอหายใจไม่ออก ต้องคอยพยุงไม่ให้มันกดบ่ามากนัก พยุงนาน ๆ เข้าเมื่อยมือ ต้องปล่อยให้กดบ่าไปบ้างสลับกันไปตลอดคืน นับว่าทรมานจิตใจและร่างกายสาสมกับที่เป็นแนวที่ 5 เสียจริง ๆ
คำขู่จากท่านขุนขอให้การชั้นศาล
เช้าวันรุ่งขึ้นทหารนำข้าวแกง 1 จานมาให้กิน หลังจากนั้น พลตรีขุนปลดปรปักษ์ เจ้ากรมสารวัตรก็เดินขึ้นมาถามข้าพเจ้าว่กินข้าวหรือยัง ซึ่งก็ตอบไปว่ากินแล้ว แล้วเดินไปในห้องทำงานสักครู่เดินออกมาพร้อมสมุดดินสอ ขณะเดียวกันที่ทหารสารวัตรจำนวน 12 นายถือปืนติดดาบปลายปืนเดินขึ้นมาบนกองรักษาการ เดินแถวหน้ากระดานมายังข้าพเจ้าแล้วหยุดพักในท่าเตรียมแทง ฝ่ายขุนปลดปรปักษ์ได้ถามข้าพเจ้าว่า ชื่ออะไร ซึ่งก็บอกไปตามความจริง และให้เซ็นชื่อลงในสมุดพร้อมกับกล่าวว่า "เอา...ทีนี้แกต้องให้การตามความจริง ถ้าไม่อย่างนั้น ตาย" ข้าพเจ้าจึงพูดว่าขอให้การชั้นศาล แกก็พูดว่า ทำไม กลัวว่าจะไม่ให้ความเป็นธรรมหรือ หรือว่าอยากตาย ข้าพเจ้าตอบไปว่า การตายนั้นพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อชาติได้ทุกเมื่อ ท่านมีความรักชาติ ผมก็มีความรักชาติ เป้าหมายอันเดียวกัน แต่เราเดินคนละทาง ใครจะถูกจะผิดนั้นอนาคตเป็นเครื่องชี้
หลังจากนั้นขุนปลดฯ ได้ถามอีกว่า ใครอยู่เบื้องหลัง ข้าพเจ้าตอบไปว่าผมเรียนให้ทราบแล้วว่าจะให้การชั้นศาล เล่นเอาแกยืนงงอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเข้าห้องทำงานไป ต่อมาได้เรียกนายทหารคนหนึ่งมาพร้อมทั้งส่งหนังสือให้ฉบับหนึ่ง โดยสั่งให้นำไปส่งที่กองบัญชาการทหารสูงสุด หลังจากนั้นมีรถบรรทุก 6 ล้อมาจอดรอ มีนายทหารยกเก้าอี้ขึ้นไปบนรถแล้วนำข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งบนรถ มีทหารติดดาบปลายปืน 12 นาย นำไปยังสวนจิตรลดา ซึ่งเป็นกองบัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เมื่อไปถึงทหารที่ไปด้วยกันนำหนังสือขึ้นไปยังกองบัญชาการ สักครู่มีนายทหารยศพลโทเดินมาดูข้าพเจ้าและกล่าวว่า ยังหนุ่มยังแน่นคิดเล่นการบ้านการเมืองไม่กลัวคอขาดหรือ ข้าพเจ้าก็ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้โต้ตอบ สักครู่มีนายทหารนำซองหนังสือออกมาจากกองบัญชาการและพูดว่านำส่งตำรวจสนามซึ่งมี พ.ต.อ.หลวงอดุลเดชจรัส เป็นอธิบดีกรมตำรวจและผู้บัญชาการสนาม เมื่อรถไปถึงวังปารุสกวัน พ.ต.อ. หลวงอุดลเดชจรัสได้สั่งการให้นำตัวไปขังที่สันติบาลปทุมวัน
เสียวตายในคุก มท. ช่วยไว้ทัน
หลังจากถูกนำตัวไปยังสันติบาล ขุนศรีศรากร ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลได้รับตัวไว้ โดยให้ผู้กำกับการกอง 1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมตัว ถอดกุญแจถอดโซ่แล้วถีบก้นส่งเข้าไปในห้องขังพร้อมกับพูดว่า ห้องนี้แหละนายวณิช ปานะนานนท์ ตายไปเมื่อ 2 วันที่แล้ว เล่นเอาใจไม่ดี คิดว่าคงต้องตายในห้องนี้แน่ อยู่ในห้องขังก็จับเจ่าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย กินข้าวเสร็จก็นั่งบ้าง นอนบ้างด้วยความกระวนกระวายใจ แต่ในคืนนั้น ได้ยินเสียงวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย อ่านประกาศของกระทรวงมหาดไทย ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาโดยเด็ดขาด ถ้าหากใครฝ่าฝืนจะได้รับโทษอย่างหนัก พอได้ยินเสียงที่เล็ดลอดเข้ามาอย่างนั้น ก็รู้สึกดีใจขึ้นบ้าง คิดว่าเจ้านายคงรู้ว่าข้าพเจ้าถูกจับแล้ว และคงเกรงว่าข้าพเจ้าจะถูกซ้อมหนักอาจรักษาความลับไม่อยู่
หลังจากที่คำสั่งฉบับนั้นออกมา เป็นผลให้ผู้ต้องหาทั่วราชอาณาจักรพลอยรอดพ้นจากการถูกซ้อมไปด้วย อยู่ต่อมาอีก 2 วัน ได้ข่าวว่ากระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งย้ายพลตรีขุนปลดปรปักษ์เข้ามาประจำกองทัพบก และให้ย้าย พลเรือตรี สังวรณ์ สุวรรณ์ชีพ มาเป็นเจ้ากรมสารวัตรแทน ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่าคราวนี้คงไม่ตายแน่ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าการย้ายครั้งนี้เพื่อระงับเรื่องข้าพเจ้าและติดตามเอาเครื่องวิทยุ
วันรุ่งขึ้นได้ถูกย้ายห้องขังไปอยู่แถวเดียวกับผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งเป็นห้องขังเดี่ยวติดกัน 6 ห้อง ห้องข้าพเจ้าติดกับห้องนายบุญมา (ร.อ.การุณ เก่งระดมยิง) และอีกด้านเป็นห้องนายไทย รักไทย (พ.ต.โผน อินทรทัต) ส่วนห้องอื่น ๆ เป็นคนจีน (ในจำนวนนั้นมีลูกคนจีนในไทยซึ่งไปเรียนที่เมืองจีนและเป็นเสรีไทยสายจีน) ต่อมาวันหนึ่งมีเสียงหวอสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเปิดห้องขังพาไปหลบที่วัดสระปทุม ทำให้ได้เห็นผู้ต้องหามากหน้าหลายตา มีทั้งสายจีน อังกฤษ อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับนายบุญมา จึงทราบว่าเป็นพวกกู้ชาติด้วยกัน ซึ่งเขาถามข้าพเจ้าว่า รู้จักคน ๆ หนึ่งไหม มีตำหนิหูปิดข้างหนึ่ง ข้าพเจ้าตอบว่าไม่ทราบ แต่เคยเห็นรูป ซึ่งนายเตียงเอามาให้ดูและสั่งว่า ถ้าคนนี้มาให้ทำการช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เห็นมาสักที มาทราบภายหลังว่าออกไปแล้ว
นายบุญมาก็ว่าคนนี้แหละบิดาของเขา และถามว่านายเตียงอยู่ที่ไหน ก็บอกไปว่าอยู่แถวสะพานแดง เขาก็ถามอีกว่าแถว ๆ นี้มีบ้านใครอยู่บ้าง ข้าพเจ้าตอบไปว่า มีบ้านนายถวิลและนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์
ร่วมทุกข์กับการุณ เก่งระดมยิง บทบาท “เสรีลาว” ของท้าวอุ่น ชนะนิกร
หลบคุกหาถวิล อุดล เกือบได้ไปเมืองจีน

ถวิล อุดล (พ.ศ. 2452 - 2492)
หลังจากที่รู้จักมักคุ้นกับนายบุญมาทำให้รักใคร่กันมากขึ้น นายบุญมาถึงกับสอนวิชาถอดรหัสต่าง ๆ ตามที่เขาศึกษามาจากอเมริกา นอกจากนั้นแทบทุกครั้งที่หวอดังขึ้นก็จะทำความสนิทสนมกับตำรวจจนเป็นที่วางใจกันแล้ว วันหนึ่งหวอดังขึ้นประมาณ 20.00 น. ของคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้ากับนายบุญมาก็ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ไปทำธุระส่วนตัวสัก 2 ชั่วโมง ด้วยความเกรงใจ เจ้าหน้าที่ก็อนุญาต จึงได้ออกมากับนายบุญมา ตั้งใจว่าจะพากันไปหานายถวิล อุดล แต่นายบุญมาบอกว่าคิดถึงบ้านจึงขอตัวไป
เมื่อแยกกันแล้วข้าพเจ้าก็วิ่งขึ้นรถรางไปลงที่แยกแม้นศรี แล้วเดินไปสี่แยกหลานหลวงเพื่อไปบ้านนายถวิล พบนายถวิลกำลังนั่งเขียนหนังสือ เขาตกใจ นึกว่าข้าพเจ้าหนีห้องขังออกมา รีบปิดประตูคุยกัน ซึ่งข้าพเจ้าก็เล่าความจริงให้ฟัง นายถวิลบอกว่าพี่ตั้งใจพาไปเมืองจีนในเร็ว ๆ นี้เพื่อให้ไปฝึกหัดการใช้วิทยุสื่อสาร จะได้กลับมาปฏิบัติงาน
เรื่องนี้ข้าพเจ้าเล่าให้นายถวิลฟังว่า ผู้ต้องหาผู้หนึ่งชื่อนายบุญมาเขามีความรู้ทางด้านวิทยุสื่อสาร เพราะไปเรียนจากอเมริกาโดยตรงอีกทั้งภาษาต่างประเทศก็ชำนาญ ขอให้คนนี้ไปด้วยได้ไหม นายถวิลบอกว่าไป 3 ไม่ได้ เพราะมีงบประมาณแค่ 2 คนเท่านั้น ข้าพเจ้าเลยบอกว่าเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม การงานจะได้รวดเร็วขอสละสิทธิ์ให้เอาเพื่อนไปก่อนก็แล้วกัน นายถวิลก็ว่า เออ ดีเหมือนกัน และว่าจะให้มาได้เมื่อไร ข้าพเจ้าเลยบอกว่าถ้าวันไหนมีหวอตอนกลางคืนให้อยู่บ้าน แล้วจะให้เขาไปพบ
ครั้นกลับถึงสันติบาล เพื่อนผู้ต้องหากลับเข้าห้องหมดแล้ว เพราะหวอปลอดภัยดังขึ้นนานแล้ว เดินผ่านยามรักษาการณ์ชั้นล่าง เขานึกว่าข้าพเจ้าเป็นนายตำรวจจึงทำวันทยาหัตถ์ ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าห้องขัง รุ่งขึ้นก็เล่าที่ไปพบนายถวิลให้นายบุญมาฟัง นายบุญมาก็ว่าเออดีจริง จะได้มีโอกาสพบบิดาบ้าง แล้วก็หากระดาษดินสอมาให้ข้าพเจ้าเขียนแผนที่ จึงจัดการให้เรียบร้อย ต่อมาหวอดังขึ้น นายบุญมาก็มีโอกาสไปหานายถวิลและกลับมาบอกข้าพเจ้าว่าตกลงกันเรียบร้อย อยู่มา 2-3 วันข้าพเจ้าเห็นนายบุญมาหายไป ก็เข้าใจในทันทีว่า ต้องไปหาพี่ถวิลแล้ว
ทีเด็ดนายไทย รักไทย สันติบาลยังเกรง

พันตรี โผน อินทรทัต หรือ “นายไทย รักไทย” (พ.ศ. 2454 - 2492)
เมื่อนายบุญมาไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เหลือเพื่อนคุยที่สนิทอยู่คนเดียว คือนายไทย รักไทย เขาเป็นคนสำราญ ไม่มีทุกข์มีร้อน ใจคอมุทะลุไม่กลัวใคร วันหนึ่งน้ำข้างบนไม่ไหล นายไทยเดินร้องเพลงฝรั่งลงมากับข้าพเจ้าเพื่อจะไปอาบน้ำข้างล่าง เดินสวนกับ พ.ต.ท.ขุนประสงค์ ผู้กำกับกอง 2 สันติบาล ซึ่งตะโกนด่าสิบเวรว่า ทำไมปล่อยผู้ต้องหาเดินเพ่นพ่าน
นายไทยจึงตะโกนสวนขึ้นทันทีว่า "ไอ้ห่...มึงมียศแค่พันโทเท่านั้น เห็นผู้ต้องหาไม่ใช่คนเสียแล้ว อ้าย...แม่มึงจะเอาอย่างไรกับกูเชิญเลย กูไม่หนีแม้แต่ก้าวเดียว" เสียงคงได้ยินไปถึง พ.ต.ท.จำรัส มัณฑุกานนท์ ผู้กำกับการกอง 2 จึงออกมาดู เห็นนายไทยทะเลาะกับ พ.ต.ท.ขุนประสงค์ จึงเข้าไปจูงแขน พ.ต.ท. ขุนประสงค์ เข้าไปในห้อง เรื่องจึงสงบ
ตั้งแต่นั้นมานายไทยจะร้องเพลงเต้นรำอย่างสนุกสนานครื้นเครง ซึ่งไม่มีใครกล้ามาต่อว่า ต่อมาอยู่ในห้องขังประมาณ 2 เดือน เจ้าหน้าที่ได้ย้ายให้ไปนอนที่กองกำกับการ 1 พร้อมทั้งแจกมุ้งหมอนและเสื้อผ้าให้คนละชุด จ่ายเบี้ยเลี้ยงคนละ 5 บาท บุหรี่เกล็ดทองคนละ 1 ซองต่อวัน กลายเป็นผู้ต้องหาบรรดาศักดิ์เรียกว่าใช้ตำรวจได้สบาย โดยเฉพาะนายห้างตงฮั้วหลงแกเป็นห่วงลูกชายที่อยู่ข้างนอก แอบฝากเงินให้ลูกชายใช้เดือนละ 1,000 บาท เมื่อมีหวอดังขึ้นก็พาตำรวจไปเที่ยวแถวหน้าโรงหนังเฉลิมโลกได้สบาย
ลูกเล่น จอมพล ป. ถูกประหารระนาว
หลังจากออกมานอนห้องกองกำกับการ 1 นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ หัวหน้าสายอังกฤษ ซึ่งพักอยู่ที่สโมสรสันติบาล ขึ้นมาคุยเล่าสถานการณ์สงครามให้ฟังเป็นประจำอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง เมื่ออยู่ว่าง ๆ ก็เล่นหมากฮอร์สกันบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือไม่ก็ค้นเอกสารต่าง ๆ ของผู้ต้องหากบฏ รุ่นต่าง ๆ มาอ่านบ้าง อาทิ เอกสารของผู้ต้องหากบฏ พ.ศ. 2480-2481 มาวิเคราะห์ว่าเขาเป็นกบฏจริงหรือไม่
เช่น บันทึกของ ร.ท. ณ เณร ตาถะรักษ์ ร.ท.เผ่าพงษ์ เทพหัสดินฯ ร.ท.ผุดพันธ์ เทพหัสดินฯ ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ นายสอ เศรษฐบุตร ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ พระยาเทพหัสดิน เป็นต้น ซึ่งทุกคนต่างปฏิเสธข้อหาของเจ้าหน้าที่ และไม่เคยมีใครรู้จักกับ นายลี บุญตา มาก่อน
ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ออกมาว่า เป็นแผนของรัฐบาลสมัยนั้นที่จะขจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพราะขณะนั้นยังไม่มีพรรคการเมือง ร.ท. ณ เณร ส.ส. เป็นผู้ที่มีบทบาทคัดค้านการกระทำของรัฐบาลอย่างเข้มแข็งผู้หนึ่ง จน จอมพล ป. ใช้อุบายให้ พลทหารลี บุญตา ทำทีไล่ยิงจอมพล ป. นายกรัฐมนตรี แล้วจับพลทหารลีเป็นพยาน อ้างว่ารับสินบนจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม แล้วทำการจับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกราวรูดในข้อหากบฏ แล้วตัดสินประหารชีวิต 18 คน
ซึ่งก่อนที่จะถูกประหาร นักโทษได้มีโอกาสถาม พลทหารลีว่า รู้จักกันตั้งแต่เมื่อใดจึงมาปรักปรำ ซึ่ง พลทหารลี กล่าวว่า ไม่เคยรู้จัก ไม่ได้ปรักปรำใคร อ่านหนังสือไม่ออก เจ้าหน้าที่เรียกไปสอบก็ไม่ได้พูดอะไร มีแต่พิมพ์ลายนิ้วมือเท่านั้น
นี่ก็แสดงว่าเป็นกลอุบายยอมเสียเบี้ยตัวเดียวเพื่อล้มกระดานฝ่ายตรงข้าม เมื่อ 18 คนถูกประหารชีวิต พวกที่เหลือถูกพิพากษาจำคุกและเนรเทศไปอยู่เกาะตะรุเตา สตูล เช่น พระยาเทพหัสดิน ดร.โชติ นายสอ เศรษฐบุตร ซึ่งความจริงแล้วเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของคุณธรรม แต่ในยุคนั้นกลายเป็นเรื่องเล่ห์ไปเสียแล้ว เพราะความอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดินของมนุษย์ที่ไม่ยอมให้ใครขวางทางเดิน ซึ่งเรื่องนี้นายจำกัดได้เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ในนิตยสารภาษาอังกฤษจน จอมพล ป. ห้ามไม่ให้ ก.พ. รับเข้าเป็นข้าราชการ
พ้นคุกอย่างสดใส พบท้าวอุ่น ชนะนิกร

ท้าวอุ่น ชนะนิกร (คนกลาง) หรือชื่อที่จอมพล ป. ตั้งให้ว่า "เท้าอุ่น ตีนเย็น"
ที่มา : 2483 Reenactment Group
ข้าพเจ้าถูกปล่อยตัวเป็นอิสรภาพวันที่ 28 มีนาคม 2488 รวมเวลาที่ถูกจับกุม 8 เดือน ในวันนั้น ร.ต.อ.โพยม จันทรักษะ ผู้บังคับการกอง 1 ได้เรียกไปพบ แจ้งว่า นายเตียงมาคอยรับตัวให้ไปปฏิบัติงานต่อ ให้ไปพบคนเดียวที่โรงเรียนดรุโณทยาน เชิงสะพานหัวช้าง พร้อมทั้งมอบเงินให้ 50 บาท และสั่งด้วยว่าถ้ามีโอกาสส่งข่าวมาให้ทราบบ้าง
ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปพบนายเตียง ซึ่งพอเห็นข้าพเจ้าก็ตะโกนขึ้นว่า "อ้ายคนคุกมาแล้วโว้ย เป็นอย่างไรบ้างอยู่ในคุก" ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่าไม่ตาย ค่อยเห็นหน้ากัน แล้วนายเตียงก็บอกว่าให้เวลา 2 ชั่วโมง ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องพบภรรยามาคอยอยู่ ก็ถามข่าวคราวกันตามสมควร ทราบว่าเขาไปอยู่กับแม่ทางปักษ์ใต้ขึ้นมาซื้อของไปขาย
หลังจากนั้นนายเตียงได้พาขึ้นรถยนต์ตรวจการของกรมทางฯ โดยนายสนิท ประสิทธิ์พันธ์ เป็นคนขับรถ โดยไปกัน 3 คน ออกจากกรุงเทพฯ ไปถึงลพบุรีเมื่อเวลา 17.00 น. เข้าพักโรงเรียนทหารบกหน้าศาลพระกาฬ แล้วไปเชิญ พ.ท.ท้าวอุ่น ชนะนิกร มาพบ เมื่อมาแล้วนายเตียงได้แจ้งวัตถุประสงค์และคุยกันอยู่จนดึก ท้าวอุ่นถือโอกาสนอนคุยกับพวกเรา รุ่งขึ้นก็ไม่ยอมกลับบ้านโดยร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วย
ตรวจหน่วยจัดตั้งสร้างสนามบินลับ
ในการเดินทางโดยรถยนต์เพื่อไปตรวจหน่วยจัดตั้งที่สกลนคร เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะสมัยนั้นถนนราดยางยังไม่มี มีแต่ถนนลูกรัง กว่าจะถึงกินเวลา 3 วัน 3 คืน เสร็จแล้วออกไปดูหน่วยต่าง ๆ ที่จัดตั้งไว้ เช่น หน่วยสายอังกฤษที่บ้านโนนหอม ซึ่งมีคุณอัมพร (กฤษ โปษยานนท์) เป็นหัวหน้า ส.ท.กันเนอร์ และพลทหารอังกฤษเป็นพนักงานวิทยุ หน่วยสายจีนที่บ้านโพนก้างปลา มีคุณกระจ่าง ตุลารักษ์ เป็นหัวหน้า นายสว่าง ตราชู นายสัมฤทธิ์ ตราชู เป็นผู้ช่วย หน่วยสายอเมริกา ที่บ้านหนองหลวง มี พันตรีบาทหลวงฮอลีเดย์ เป็นหัวหน้า คุณกัลป์ (อำนวย) เป็นพนักงานวิทยุ นายสวาสดิ์ ตราชู นายครอง จันดาวงค์ เป็นผู้ดูแล โดยอยู่ในความอุปการะของกำนันหมา (ทนง) เมื่อตรวจดูวิธีการต่าง ๆ เสร็จแล้วเดินทางกลับ และส่งท้าวอุ่นที่ลพบุรี จากนั้นเดินทางเข้ากรุงเทพฯ

ครอง จันดาวงศ์ (พ.ศ. 2451 – 2504)
หลังจากเดินทางทำธุระที่กรุงเทพฯ เสร็จก็เดินทางขึ้นไปสกลนคร คราวนี้ได้ไประดมทัพพลเรือน (ท.พ.ร.) ที่บ้านห้วยหีบ บ้านโนนหอม บ้านโคก บ้านเต่างอย และบ้านข้างเคียง ขึ้นภูพาน เพื่อสร้างค่ายใหญ่และสนามบิน ซึ่งบริเวณนี้ภายหลังมีเครื่องบินสัมพันธมิตรมาทิ้งสัมภาระต่าง ๆ แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหารเป็นจำนวนมาก เพื่อเก็บไว้ในค่ายใหญ่
ขณะเดียวกันได้ฝึกอาวุธจริงแก่ ท.พ.ร. ของจังหวัดเป็นรุ่น ๆ ละ 2-3 ร้อยคน เสร็จแล้วปล่อยกลับบ้านเพื่อให้ไปรักษาหมู่บ้าน และขยายวงกว้างไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วภาคอีสาน นายเตียงได้พาข้าพเจ้าไปจังหวัดต่าง ๆ เพื่อมอบหมายให้จังหวัดอื่นทำ เช่น นครพนม มอบหมายให้นายถวิล สุนทรศารทูล ข้าหลวง เป็นหัวหน้า อุดรฯ ให้นายมี ศรีทองสุข เป็นหัวหน้า หนองคาย ให้นายแพทย์อ้วน นาครทรรพ และ นายชัยธนะ เป็นหัวหน้า ขอนแก่น ฝ่ายพลเรือนให้ นายสุวรรณ รื่นยศ ข้าหลวงและนายคเชนทร์ เดชกุญชร ศึกษาธิการจังหวัด เป็นหัวหน้า ฝ่ายตำรวจมอบให้ พ.ต.ท.สมาน ธูปคุปต์ ผู้กำกับฯ ไปตั้งหน่วยอยู่บนภูกระดึง มหาสารคาม นายจำลอง ดาวเรือง จัดการสร้างสนามบินใหญ่ที่บ้านชาดนาคู ทำให้เครื่องบินดาโกตา 2 เครื่องยนต์ลงได้

C-47 Skytrain หรือ Dakota เป็นเครื่องบินลำเลียงพลและสัมภาระแบบสองเครื่องยนต์ที่ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางโดยฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่มา : warfarehistorynetwork
พวกที่ไปฝึกกระโดดร่มและงานรบต่าง ๆ ในอินเดียมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินแห่งนี้ เช่น นายจารุบุตร เรืองสุวรรณ นายแปลง นายเสรี นาคมณี นายสุรศักดิ์ นายเสรี นวลมณี นายรำไพ เหมะธุรินทร์ เรืออากาศโทพีระ ศิริขันธ์ ร.ศ.วิสุทธิ์ บุษยกุล เป็นต้น ร้อยเอ็ด นายถวิลจัดการเอง อุบลฯ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ จัดการเอง โดยมี นายการุณ เก่งระดมยิง เป็นพนักงานวิทยุ นครราชสีมา มี นายอวน จากแขวงการทางเป็นผู้รับมอบหมาย พร้อมกันนั้นได้ระดมอาสาสมัครจากอำเภอต่าง ๆ อำเภอละ 15 คน แบ่งเป็น ชุด ๆ ละ 60 คน ไปฝึกที่ค่ายใหญ่ที่เต่างอย โดยหมุนเวียนกันไปชุดละ 15 วัน ในการขนส่งเป็นหน้าที่ของ นายสวาสดิ์ ตราชู เจ้าของรถยนต์ที่ไม่คิดค่าโดยสารแถมยังเลี้ยงอาหารกลางทางด้วยนับว่าเป็นผู้เสียสละจนสิ้นเนื้อประดาตัว ปัจจุบัน ก็ยังไม่ฟื้น
จำตัดใจกำจัดสายลับ ก่อนสงครามสงบ
ญีุ่ปุ่นรู้แผนลับ ประหารสปาย
ครั้นฝึกอบรมอาสาสมัครอำเภอต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย นายเตียงพร้อมด้วยนายสนิท นายสวาสดิ์ ร.ท.พีระ ศิริขันธ์ จ่าเอกก้านก่อง โคตรวิชัย และข้าพเจ้า ได้ออกตระเวนตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสำรวจจุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งกองโจรเตรียมพร้อมโจมตีญี่ปุ่น รวมทั้งการวางแผนเพื่อจะตัดเส้นทางคมนาคมไม่ให้ญี่ปุ่นติดต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับภาคอีสาน โดยยึดสระบุรีเอาไว้ให้ได้ ร.ท.พีระและจ่าเอกก้านก่อง สองเสืออากาศ จะได้ขโมยเครื่องบินจากกองทัพอากาศไปลงที่สนามบินบ้านแพะ สระบุรี แล้วกลับไปที่เต่างอยเพื่อรอวันยกพลขึ้นบกของพันธมิตร
ขณะที่รอคอยอยู่นั้นทหารญี่ปุ่นรู้ระแคะระคายจากผู้ไม่หวังดีต่อชาติ ส่วนมากเป็นพวกสิงห์อมควันซึ่งทำตัวเป็นสายลับให้ญี่ปุ่นเพื่อแลกกับเงินมาซื้อฝิ่นเพื่อสูบ นับว่าเป็นภัยร้ายแรงของพวกเราอย่างมาก ทั้งนี้เราก็ได้เตรียมการด้วยการตั้งหน่วยนักสืบขึ้น 3 ชุดเป็นทหาร ตำรวจ พลเรือน คอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด โดยให้นายจ้อย จุลพงศ์ คอยล้วงความลับจากสิงห์อมควันทั้งหลาย
และวันหนึ่งนายจ้อยก็มารายงานให้นายเตียงทราบว่า นายอนันต์ เป็นสายลับของญี่ปุ่นแน่นอน ขณะเดียวกันสายของเราก็รายงานตรงกันหมด จึงวางแผนที่จะเก็บนายอนันต์ โดยให้นายครอง จันดาวงศ์ ไปคอยซุ่มที่หน้าโรงยาฝิ่น ครั้นเห็นนายอนันต์ออกมา นายครองจึงตะครุบตัว แต่นายอนันต์สะบัดหลุดหลบหนีเข้าไปในโรงยาฝิ่นและบอกนายจ้อยว่าอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะมีคนปองร้ายและบอกว่าจะไปอยู่อุดรฯ นายจ้อยจึงบอกว่าวันนี้ไม่มีรถแล้วพรุ่งนี้จะเอารถไปอุดรฯ ให้ไปรอที่ตลาด
ครั้นถึงเวลานัด นายจ้อยได้ขึ้นรถไปด้วย ครั้นถึง อ.สว่างแดนดิน จึงแยกเข้าบ้านหนองหลวง และควบคุมนายอนันต์ไว้ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเวลาประมาณ 20.00 น. นายเตียงได้เรียกพวกเรามาทั้งหมดพร้อมอาวุธครบมือ แล้วอ่านพฤติกรรมต่าง ๆ ให้นายอนันต์ฟังพร้อมกับตัดสินประหารชีวิตนายอนันต์ทันที และได้แสดงความเคารพขออโหสิกรรมว่า เราไม่เคยมีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันมาก่อน การกระทำครั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของชาติ
ต่อจากนั้นได้นำนายอนันต์เข้าหลักประหารมัดติดกับต้นยาง แล้วนายเตียงก็ชักปืนขนาด 11 มม. ลั่นไกยิงเข้าที่หน้าอกตัดขั้วหัวใจและหน้าผากแล้วนำศพไปเผา นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นการสังหารคนอย่างใกล้ชิด
ต่อมาได้ย้ายค่ายจากบ้านหนองหลวงไปอยู่วาริชภูมิ ส่วนข้าพเจ้า นายเตียง นายสนิทและนายประจวบ ได้เดินทางกลับค่ายใหญ่ที่ด่านนกยูง ต.เต่างอย เพื่อปฏิบัติงานปกติ วันหนึ่ง ท.พ.ร. บ้านห้วยหีบ ได้คุมตัวนายลำภูและนายลองเข้ามาในค่าย เพราะจับได้ว่าทั้งสองรับจ้างญี่ปุ่นมาสืบข่าว หลังจากควบคุมตัวไว้ประมาณ 2 เดือน ทั้งสองก็ไม่ยอมรับสารภาพ นายเตียงจึงสั่งประหารนายลำภู ส่วนนายลองเป็นเพียงลูกหาบของนายลำภู และเป็นน้องของนายวันช่างประจำอู่ซ่อมรถ จึงปล่อยตัวให้อยู่รับใช้ในค่าย
จับญี่ปุ่นพลาดถอนค่ายหนี
หลังจากประหารนายลำภูแล้ว ได้ข่าวว่าทหารญี่ปุ่น 12 นาย ออกจากตัวเมืองสกลนครเดินทางทำแผนที่ไปทาง อ.นาแก แล้ววกเข้ามาแถวบ้านโคกตองโขบ ห้วยหีบ และดงหลวง โดยหยุดพักหุงหาอาหารกินในป่าห่างจากบ้านดงหลวงประมาณ 1 ก.ม. นายเตียงจึงสั่งให้พลพรรคจำนวน 1 กองพัน มอบให้นายอัมพรเป็นหัวหน้า ข้าพเจ้าเป็นรองหัวหน้าเพื่อจับญี่ปุ่น ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตายไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว เมื่อไปถึงบ้านดงหลวงก็แยกเป็นชุดละ 2 คน คลานเข้าไปในบริเวณ จะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ ปรากฏว่าข้าพเจ้าหมอบเข้าไปคนเดียวไม่มีใครตามเข้าไป เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ ได้ยินเสียงดังโป๊ก ๆ เข้าใจว่าคงกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงย่องเข้าไปจนเห็นทหารญี่ปุ่นกำลังพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ มีกอไผ่หนาทึบล้อมรอบ หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงวิ่งกลับออกมา
ครั้นออกมาได้เล็กน้อยเห็น ท.พ.ร. 12 คน นั่งสูบบุหรี่พักผ่อนอยู่ จึงถามว่าไปไหนกันหมด ได้รับคำตอบว่านายอัมพรสั่งให้กลับบ้านดงหลวงหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงเล่าให้ฟังว่าเห็นทหารญี่ปุ่นแล้ว แต่เรามีกำลังเพียง 13 คน คงจะจับเป็นไม่ได้ต้องจับตาย ข้าพเจ้าจึงเขียนแผนที่และวางแผนนัดหมายไปซุ่มคอยอยู่ข้างทางเกวียนห่างกันช่วงละ 5 ม. ข้าพเจ้าสั่งไว้ว่าเมื่อญี่ปุ่นออกมาแล้วข้าพเจ้าจะเป็นคนยิงคนที่ออกมาหลังสุดก่อน
ขณะที่ซุ่มรออยู่ ญี่ปุ่นเดินออกมาทีละ 2 คน พวก ท.พ.ร. เห็นเข้าก็แตกฮือวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิตเหยียบใบไม้แห้งเสียงดังเหมือนฝูงควายตื่นเสือ เหลือข้าพเจ้าหมอบอยู่หลังจอมปลวกคอยท่าทีญี่ปุ่นอยู่เพียงคนเดียว เมื่อญี่ปุ่นออกมาถึงทางเกวียนหมดทุกคนแล้ว ข้าพเจ้าจึงวิ่งกลับไปที่ดงหลวงรายงานให้นายอัมพรทราบ นายอัมพรพูดว่าให้นำพรรคพวก 1 กองพันไปดูที่สถานที่ที่ญี่ปุ่นพักผ่อน ขณะที่กำลังเดินไปต่างก็คุยกันเสียงดังขรมไปหมด
ครั้นถึงบริเวณสถานที่พักของญี่ปุ่นต่างคน ต่างก็ลิงโลดแย่งกันวิ่งเข้าไปดู พอวิ่งเข้าไปถึงโดยไม่ทราบว่าญี่ปุ่นได้กลับเข้าไปในที่นั้นแล้ว พอมันเห็นเข้าก็ร้องฮุยเล่ ทางเรานายอัมพรสั่งให้ทุกคนหาที่กำบัง ฝ่ายญี่ปุ่นเองก็วิ่งหนีตายเหมือนกัน ชนกันโกลาหลไปหมด พวกเราจะยิงก็ไม่ได้เพราะเกรงว่าจะถูกพวกเดียวกันเอง ในที่สุดญี่ปุ่นก็วิ่งหนีไปได้หมดทุกคน และไปรวมกันที่บ้านดงหลวง มุ่งหน้าเข้าจังหวัดสกลนคร เป็นอันว่าคนนับพันไม่สามารถจับญี่ปุ่น 12 คนได้ ต่างก็มานั่งหัวเราะถึงสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น และมาเล่าให้นายเตียงฟัง ซึ่งแกก็อดหัวเราะไม่ได้
หลังจากนั้นต่อมามีเครื่องบินของญี่ปุ่นมาบินวนเวียนอยู่เหนือค่ายติดต่อกัน 4-5 วัน เข้าใจว่ามันคงถ่ายภาพค่ายของเราไว้ และมีวิทยุจากกรุงเทพฯ แจ้งให้ทราบว่าญี่ปุ่นได้ขอกำลังทหารไทยให้ร่วมกับทหารญี่ปุ่นออกตรวจค้นค่ายใน 2-3 วันนี้ และได้มีคำสั่งให้ย้ายค่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ เมื่อได้รับคำสั่งแล้วนายเตียงได้จัดแบ่งกำลังขนอาวุธนำไปซ่อนไว้ในถ้ำผาแดงและผานางไอ่ อีกพวกขนเสบียงอาหาร ส่วนผู้หญิงมีนางนิวาศ นางมั่น นางประไพ และเด็ก ๆ โดยมอบให้ปลัดสุพรรณเป็นคนคุม เคลื่อนย้ายเป็นกองคาราวานหลบมาทางทุ่งราบแถบหนองหาน เมื่ออพยพเรียบร้อยแล้วนายเตียงได้สั่งเผาค่ายเพื่อทำลายหลักฐาน
รูสเวลล์เสียชีวิต ญี่ปุ่นยกธงขาว

แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt) (ค.ศ. 1882 – 1945) ประธานาธิบดีคนที่ 32 แห่งสหรัฐอเมริกา
ที่มา : Britannica

แฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S. Truman) (ค.ศ. 1884 - 1972) ประธานาธิบดีคนที่ 33 แห่งสหรัฐอเมริกา
ที่มา : วิกิพีเดีย
ขณะที่หลบการปะทะกับญี่ปุ่นอยู่นั้น ทราบข่าวจากวิทยุท่านประธานาธิบดีรูสเวลล์ของอเมริกาถึงอสัญกรรม พวกเราต่างแสดงความเสียใจ อาลัยและสลดใจยิ่ง และก็ไม่ทราบว่าแผนการของประธานาธิบดีคนใหม่จะเป็นอย่างไร วันต่อมาได้ทราบว่านายทรูแมนได้เป็นประธานาธิบดีสืบแทน และต่อมาไม่นาน ก็ได้รับทราบข่าวว่าญี่ปุ่นถูกระเบิดปรมาณู 2 ลูก ผู้คนเสียชีวิตหลายแสนคน จักรพรรดิฮิโรฮิโตของญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม

ภาพเมฆรูปเห็ดจากการทิ้งระเบิดปรมาณู “เด็กน้อย” (Little Boy) ที่เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และ “ชายอ้วน” (Fat Man) ที่เมืองนางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีจากแรงระเบิดนับแสนคน ส่งผลให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไขในเวลาต่อมา
ที่มา : วิกิพีเดีย
พวกเราต่างดีใจ แล้วนายเตียงได้สั่งการให้ยกขบวนเข้าไปในเมืองสกลนคร ซึ่งนายเตียงและข้าพเจ้าได้ขึ้นเครื่องบิน ซึ่งกองทัพอากาศจัดส่งมารับไปอุดรฯ และนั่งรถยนต์เดินทางไปอุบลฯ เพื่อคอยรับทหารสัมพันธมิตรที่กระโดดร่มมาลงที่กรมทหารวารินชำราบ ทหารที่กระโดดร่มลงมามี 3 นาย คือ พ.ต.เข้ม และสิบเอก 2 นาย
ต่อจากนั้นได้ทำการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น และปลดปล่อยเชลยศึกชาวออสเตรเลียซึ่งถูกญี่ปุ่นกักกันไว้ในค่ายจำนวนพันกว่าคน เสร็จแล้วมอบหมายให้ผู้ว่าฯ ผู้การตำรวจ ทหาร เป็นภาระกับทหารญี่ปุ่นและเชลยศึกและเดินทางไปสกลนคร
ชื่นชมชัยชนะเข้าพบปรีดี

ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศ รับความเคารพจากขบวนสวนสนามเสรีไทย วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2488 เบื้องหลังมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส พล.ท.ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ และ พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ร.น.
นายเตียงได้กล่าวคำปราศรัยแก่ประชาชน โดยเล่าถึงการปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยตั้งแต่ต้นจนจบ และกล่าวว่าพวกเราได้เสียสละพลีชีพเพื่อชาติด้วยความยากลำบาก และกล่าวขอบคุณทุก ๆ คนที่ร่วมกันเสียสละ หลังจากนั้นได้สั่งให้ทุกคนเดินทางไปอุดรฯ เพื่อขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ต่อมานายเตียง นายสนิท นายประจวบ และข้าพเจ้านำทหารสัมพันธมิตรขึ้นรถยนต์ไป อ.พรรณานิคม พักค้างคืนที่นั่น
ในคืนนั้น นายเตียงได้กล่าวคำปราศรัยต่อประชาชน และเรียกข้าพเจ้าออกไปปรากฏตัว ทำให้ข้าพเจ้าได้รับเกียรติจากชาวพรรณานิคมให้เป็นวีรชน คืนนั้นได้จัดอาหารมาเลี้ยงดู กินเหล้า เกณฑ์ครูสาวมาร่วมรำวงกันอย่างสนุกสนานตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเดินสวนสนามแสดงแสนยานุภาพ
ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้จัดพิธียิ่งใหญ่ โดยมี ฯพณฯ ปรีตี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย เป็นประธาน และมีคณะทูตานุทูตและผู้นำของขบวนการ โดยมีการสวนสนามจากท้องสนามหลวงผ่านอนุสาวรีย์ไปถึงสะพานผ่านฟ้า ซึ่งมีประชาชนมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นได้เดินทางมาฟังคำปราศรัยของนายปรีดี พนมยงค์ หลังเสร็จพิธีพวกเราได้พักผ่อนในกรุงเทพฯ 8 วัน แล้วแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาเดิม เพื่อประกอบอาชีพต่อไป เป็นอันว่าภารกิจของข้าพเจ้าในขบวนการเสรีไทยสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
- ตัดตอนบางส่วนของบทความ แก้ไขคำผิด และตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ
บรรณานุกรม
- สวัสดิ์ ตราชู, จาก “พ่อค้าพริก” มาเป็น “เสรีไทย” สายเตียง ศิริขันธ์, ลับสุดยอด เมื่อข้าพเจ้าเป็นเสรีไทยกับขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์ โดย สวัสดิ์ ตราชู (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ม.ป.พ.), 1-24.

