ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

เป็นนายกรัฐมนตรี – เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ลี้ภัยรัฐประหาร

8
ธันวาคม
2568

เมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว ท่านปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงได้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ เสด็จกลับประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เอง และได้เสด็จถึงพระนครเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงบริหารราชการแผ่นดิน ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ประกาศพระบรมราชโองการยกย่องท่านปรีดี เป็นรัฐบุรุษอาวุโส โดยสามารถอ่านประกาศฯ ได้ที่ : https://pridi.or.th/th/content/2022/12/1351

เมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้วสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมขอร้องให้ท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรกเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ แต่เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ภายหลังที่ได้เปิดการประชุมรัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ แล้ว ท่านปรีดีได้พิจารณาว่าแม้รัฐธรรมนูญมิได้มีบทบังคับว่าถ้ามีรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นเมื่อใด รัฐบาลก็ต้องลาออก แต่ท่านปรีดีเห็นว่าตามมารยาทนั้นรัฐบาลควรลาออกเพื่อเป็นแบบฉบับสำหรับรัฐบาลต่อไป ฉะนั้น ท่านปรีดีจึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อในหลวงจะได้ทรงพิจารณาแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ต่อไป รวมเวลาในการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่หนึ่ง ๒ เดือน กับ ๑๐ วัน

ครั้นวันที่ ๘ มิถุนายนปีนั้น ประธานรัฐสภานำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลตามความเห็นชอบของสมาชิกพฤฒสภาและสภาผู้แทน ฯ ว่า สมควรโปรดเกล้าแต่งตั้งท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในขณะที่ท่านปรีดียังไม่ทันจะประกอบคณะรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ก็เสด็จสวรรคตในวันที่ ๙ เดือนมิถุนายนนั้น ในช่วงนี้ท่านปรีดีในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงได้เสนอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อัญเชิญพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป โดยรัฐสภาเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ และเมื่อเสร็จการประชุมรัฐสภาแล้ว ท่านปรีดีขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ รวมเวลาในการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๒ นี้เพียง ๒ วันเท่านั้น

ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายนปีนั้น ประธานรัฐสภาด้วยความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาส่วนมากได้เสนอคณะผู้สำเร็จราชการ ฯ ชั่วคราว ให้แต่งตั้งท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๓ และได้ลาออกเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคมปีนั้น รวมเวลาการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๓ เป็นเวลา ๒ เดือน ๑๐ วัน

เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทยเปลี่ยนแปลง คือเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ได้มีบุคคลคณะหนึ่งใช้ชื่อว่า “คณะรัฐประหาร” ได้ยึดอำนาจรัฐโดยใช้กำลังทหารประกอบด้วยรถรบและอาวุธทันสมัยระดมยิงทำเนียบท่าช้างวังหน้า (ซึ่งเป็นทำเนียบที่รัฐบาลให้ท่านปรีดีและครอบครัวอาศัยอยู่นั้น) แล้วบุกเข้าไปในทำเนียบเพื่อจับท่านปรีดี แต่ท่านปรีดีได้เล็ดลอดหลบหนีไปได้โดยอาศัยตามบ้านเพื่อนที่ไว้วางใจ และไปอาศัยที่กรมนาวิกโยธินที่สัตหีบ จากนั้นได้ไปลี้ภัยที่ประเทศจีนในสมัยจีนคณะชาติ (เจียงไคเช็ค) ปกครองแผ่นดินจีน

คณะรัฐประหารครั้งนั้นได้ร่างสิ่งที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญขึ้น แต่เป็นการไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำโดยพลการ ผู้สำเร็จราชการก็ไม่ได้ลงนามครบองค์ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการก็เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย แทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐธรรมนูญที่ท่านปรีดีเรียกว่าเป็นโมฆะ (ดูชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ ที่อ้างแล้ว)

เมื่อเห็นว่าขบวนการประชาธิปไตยที่ถูกต้องและได้พยายามสร้างสรรค์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญถูกต้องดีแล้ว กลับมาถูกทำลายลงด้วยอำนาจทหารเช่นนั้น ท่านปรีดีจึงได้รวบรวมนักประชาธิปไตยจำนวนหนึ่งที่เห็นว่าถึงเวลาสมควรแล้วที่จะลงมือใช้กำลังอาวุธต่อสู้คณะรัฐประหารกับพวกที่ทำลายระบบการปกครองประชาธิปไตย และทำการต่อสู้กับฝ่ายปรปักษ์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ โดยได้กระทำการในครั้งนั้นแบบสายฟ้าแลบ หลังจากกลับจากประเทศจีนอีกครั้ง

แต่ด้วยขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กุมภาพันธ์ ของท่านปรีดีกระทำการไม่สำเร็จ ประชาธิปไตยในไทยจึงแหลกสลายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากนั้นท่านปรีดีได้หลบอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาประมาณ ๖ เดือน ครั้นแล้วจึงเล็ดลอดเดินทางด้วยเรือไปยังเกาะแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของวิลันดา จากเกาะดังกล่าวได้เล็ดลอดมายังสิงคโปร์ จากสิงคโปร์ไปยังฮ่องกง จากฮ่องกงไปขอลี้ภัยในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเวลา ๒๑ ปี ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ จึงได้เดินทางไปอาศัยที่ประเทศฝรั่งเศสสถานที่ที่เคยไปพำนักศึกษาเมื่อวัยหนุ่ม

ในช่วงที่ท่านปรีดีออกจากประเทศไทย ประชาธิปไตยก็ล้มลุกคลุกคลาน รัฐบาลทหารได้พยายามตบตาประชาชนว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ใช้วิธีเผด็จการปกครองแม้จะมีการเลือกตั้งในบางครั้งก็กระทำกันอย่างทุจริต จนในที่สุดจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายทหารผู้หลงอำนาจวาสนาของตัวเองก็ถูก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติและปกครองโดยอำนาจเผด็จการ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว” จนตายในตำแหน่ง

ในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์ทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ นั้นประเทศไทยไม่มีรัฐธรรมนูญ ไม่มีนายกรัฐมนตรี อำนาจรวมอยู่ที่จอมพลสฤษดิ์เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง เป็นการปฏิวัติรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่คณะราษฎรได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนั้นเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในการบริหารบ้านเมืองตามระบบเผด็จการ และในการปฏิวัติครั้งนั้น หัวหน้าคณะปฏิวัติได้สั่งยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๔๙๘ เสียอีกด้วย เป็นอันว่าอำนาจทางการเมืองการปกครองทุกชนิดตกอยู่ในมือของจอมพลสฤษดิ์แต่เพียงผู้เดียว ยกเว้นแต่อำนาจของศาลสถิตยุติธรรมเท่านั้นที่หัวหน้าคณะปฏิวัติไม่แตะต้อง แต่กระนั้นก็ยังมีศาลทหารขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมืออีก

จอมพลสฤษดิ์ปกครองคนไทยโดยบ้านเมืองไม่มีรัฐธรรมนูญอยู่ ๓ เดือน รัฐบาลก็ไม่มี จอมพลสฤษดิ์ได้ใช้อำนาจเผด็จการสั่งฆ่าใครก็ได้ นับเป็นการแข่งพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งมีอำนาจสูงสุดมาใช้เสียเอง และเป็นการเลวร้ายเสียยิ่งกว่า เพราะพระมหากษัตริย์ไทยนั้นจะต้องอยู่ในทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ ต้องมีอภิรัฐมนตรี ต้องมีองคมนตรี ไว้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ไม่มีการเข่นฆ่าอาฆาตกันด้วยเหตุส่วนตัว ไม่มีการกลั่นแกล้งใส่ร้ายแล้วจับไปยิงเป้า ไม่มีการทุจริตคอรัปชั่นกันมโหฬารกันอย่างในสมัยของจอมพลสฤษดิ์

ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๒ จอมพลสฤษดิ์ ได้ประกาศใช้สิ่งที่เรียกว่าเป็น “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา โดยในคำปรารพตอนหนึ่งมีว่า “การที่คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ เสียนั้นก็โดยปรารถนาจะให้มีรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมและให้การปกครองประเทศไทยเป็นไปโดยเรียบร้อยยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนั้น” และสิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” ของจอมพลสฤษดิ์นั้นได้ตัดทอนรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ ซึ่งมีร้อยกว่ามาตราสำคัญ ๆ ลงเหลือเพียง ๒๐ มาตราเป็นรัฐธรรมนูญฉบับกระเป๋าที่จอมพลสฤษดิ์จะพกพาไปไหนได้สะดวก

และรัฐธรรมนูญนี้เองที่ใช้ปกครองคนไทยนานถึง ๙ ปี!!

รัฐธรรมนูญ ๒๐ มาตราที่ว่านี้มาตรา ๑๗ เป็นมาตราที่ให้อำนาจจอมพลสฤษดิ์มากที่สุด ผู้ใช้อำนาจตามมาตรานี้สามารถสร้างอิทธิพลให้กับตัวเองอย่างมากมายใครที่ถูกสงสัยว่าทำความผิดในคดีร้ายแรง เมื่อได้รับการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว ผู้สอบสวนลงความเห็นว่าได้กระทำผิด ศาลยุติธรรมไม่มีโอกาสจะให้ความยุติธรรมได้เลย เพราะหัวหน้าคณะปฏิวัติหรือนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญจะสั่งยิงเป้าได้เลย

เมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมลง จอมพลถนอมก็ใช้รัฐธรรมนูญนี้ปกครองประเทศต่อมามีการประหารชีวิตคนเสียมากต่อมาก และในรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั่นเองที่มีอำนาจสั่งยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ได้ถึง ๖๐๔,๕๕๑,๒๗๖.๖๒ บาท ในยุคนี้การฉ้อราษฎรบังหลวงมีมากมาย

ในช่วงที่ประเทศไทยมีการปกครองระบบเผด็จการตลอดมานี้ท่านปรีดีจำเป็นต้องลี้ภัยรัฐประหารครั้งนั้นตลอดมา ซึ่งผู้นำในการระดมยิงทำเนียบท่าช้างนั้นคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีเผด็จการผู้ชอบใช้มาตรา ๑๗ นั่นเอง แม้ตอนที่จอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังมีการใช้อำนาจนี้อยู่ ซึ่งสามารถนำใครก็ได้ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยไปยิงเป้าได้โดยไม่ต้องผ่านศาลสถิตยุติธรรม

ท่านปรีดีจึงต้องลี้ภัยรัฐประหารครั้งนั้นตลอดมา.

 

หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
  • คงเลขไทยไว้ตามต้นฉบับ
  • ปรับวรรคย่อหน้าตามความเหมาะสมโดยกองบรรณาธิการ