ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สถาบันปรีดี พนมยงค์’ จัดงานเสวนาทางวิชาการ PRIDI Talks #33 : มุ่งหน้าสู่การยุบสภา (?) ความหวังสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

11
ธันวาคม
2568

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 ‘สถาบันปรีดี พนมยงค์’ จัดงานเสวนาทางวิชาการ  PRIDI Talks #33 : มุ่งหน้าสู่การยุบสภา (?) ความหวังสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยได้รับเกียรติจากผู้ร่วมการเสวนา ได้แก่ นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พรรคเพื่อไทย, รองศาสตราจารย์ ธีระ สุธีวรางกูล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พรรคประชาชน, รองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการเสวนาโดย รองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ วรรณภา ติระสังขะ อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การจัดงาน PRIDI Talks #33 นี้มีวัตถุประสงค์สำคัญคือการวิเคราะห์สัญญาณการเมืองปัจจุบันและความเป็นไปได้ของการยุบสภา พร้อมทำความเข้าใจพัฒนาการของกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงโมเดล สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) รวมไปถึงเป็นการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อเสนอเชิงนโยบายและข้อเท็จจริง จากมุมมองนักการเมือง นักนิติศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ และสมาชิกวุฒิสภา

ก่อนเข้าสู่การเสวนา รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวนำในหัวข้อ “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน สู่ประเทศของประชาชน” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งปัจจุบันยังคงมีข้อจำกัดอยู่ในหลายด้าน แม้จะมีการจัดให้มีการทำประชามติ แต่ก็ยังเป็นเพียงการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกจัดทำขึ้นโดยกลไกทางอำนาจ

“ประเทศของประชาชน ต้องเป็นประเทศที่เคารพสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ผู้คนอยู่กันด้วยภราดรภาพและความสมานฉันท์  รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบทกฎหมาย แต่คือการสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ความมั่นคง ยั่งยืน และเป็นประเทศที่ประชาชนทุกคนภาคภูมิใจ” ร.ศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

 

 

ถัดมาเป็นการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ “มุ่งหน้าสู่การยุบสภา (?) ความหวังสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” นายกฤช กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเคยยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งในลักษณะรายมาตราและทั้งฉบับมาแล้วกว่า 11 ครั้ง ในช่วงปี พ.ศ. 2563–2568 แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงมีเจตจำนงที่แน่วแน่ในการผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งทางพรรคเคยประกาศเป็นนโยบายไว้เมื่อครั้งหาเสียงว่า สนับสนุนให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพื่อร่วมกันจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

“หากใช้นิยามรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะสามารถใช้ได้จริงหรือไม่ ผมยังไม่แน่ใจกับร่างที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ จึงยังไม่แน่ใจว่าเรากำลังเดินไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้มากน้อยเพียงใด เพราะยังต้องรอการพิจารณาใน วาระที่สอง และวาระที่สาม รวมถึงการทำประชามติต่อไปด้วย” นายกฤช กล่าว

นายกฤชกล่าวต่อว่า การเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในปัจจุบันนั้น มีอุปสรรคและข้อจำกัดค่อนข้างมาก เพราะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในการพิจารณาร่างรัฐธรรมมนูญทั้งสามวาระก่อน ถัดมาเป็นเรื่องการทำประชามติ ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร และยังกังวลกับการทุจริตในการทำประชามติ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยยังมุ่งมั่นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้

 

 

รศ. ธีระ กล่าวว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560 นั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกระบบ ซึ่งเป็นที่มาของการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และมาจากความต้องการของประชาชนจริง ๆ ทางพรรคประชาชนเองได้มีการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ภายใต้ขอบเขตที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ ตามคำวินิจฉัยที่ 18/2568 โดยพรรคประชาชนได้มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเข้าสู่สภาแล้วในตอนนี้ ซึ่งหากผ่านทั้งสามวาระแล้วจะไปสู่ขั้นตอนการทำประชามติ

“การทำประชามติเรื่องการจัดตั้งรัฐธรรมนูญ หากประชาชนเห็นว่าประเทศควรมีการจัดตั้งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศในตอนนี้ ในระยะเวลานี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปีตามกระบวนการจัดตั้งรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นถึงจะไปสู่การลงประชามติอีกครั้ง ฉะนั้นหากมองในแง่ของเวลา อย่างน้อยตั้งใช้เวลาประมาณ 2 ปี” รศ. ธีระ กล่าว

 

 

รศ. ดร.นันทนา กล่าวว่า การลงมติร่างมาตรา 256/1 ในวาระที่สองนั้น ไม่ผ่านความเห็นชอบ ตนจึงรู้สึกหมดหวังถึงรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพราะจะไม่มี สสร. ที่มาจากประชาชน แต่กลับจะได้ สสร. จากสูตร 20 หยิบ 1 คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และ สว. รวมกลุ่ม 20 คน และเลือกผู้สมัคร สสร. ขึ้นมาได้ 1 คน รวมถึงการเสนอของ สว. เรื่องการต้องให้ สว. ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ รวมถึงองค์กรอิสระที่ สว. เป็นผู้แต่งตั้งต้องดำเนินการจนครบวาระเช่นกัน อีกทั้งยังต้องสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ทันทีหากหมดวาระของ สว. ไปแล้ว จากเดิมที่ต้องเว้นระยะ 2 ปี

“เราไม่มีความหวัง หากเราไม่ได้ผู้ร่างที่มาจากประชาชนจริง ๆ และเราไม่อยากไปถึงวันที่เราต้องรณรงค์ว่า อย่ารับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เลย เข้าใจว่าพรรคการเมืองที่พยายามแก้รัฐธรรมนูญด้วยเงื่อนไขที่ไม่อาจฝ่าฟันไปได้ คือเสียงหนึ่งในสามของ สว.” รศ. ดร.นันทนา กล่าว

 

 

ศ. ดร. สิริพรรณ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ถูกสร้างขึ้นมาโดยวางกับดักเอาไว้ เช่น มาตรา 256 ที่ต้องให้เสียง สว. จำนวน 1 ใน 3 นั่นเท่ากับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกร่างขึ้นมาเพื่อไม่ต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม เป็นการให้อำนาจแก่เสียงข้างน้อย ซึ่งนี่ถือเป็นสแกมเมอร์รูปแบบหนึ่ง

ศ. ดร. สิริพรรณ กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงที่อยู่ในมาตรา 256 นอกจากเสียงของ สว. 1 ใน 3 แล้ว ยังมี 1 ใน 10 ของรัฐสภาที่สามารถยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ หากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลให้กระบวนการถูกชลอเวลาไปอีก 30 วัน ซึ่งจะไม่ตรงกับกรอบการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ส่วนอีกความเสี่ยงที่ต้องจับตามองคือการยุบสภาก่อนกำหนด

 

 

“สาเหตุที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับนี้หนทางดูริบหรี่ลง เพราะว่ากระบวนการร่างฯ ถูกจับเป็นตัวประกัน กลายเป็นเครื่องมือต่อรองทางอำนาจ และอาจเป็นเครื่องมือในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ปัญหาคือหากยุบสภาก่อนกำหนด สิ่งที่กรรมธิการยกร่างฯ พยายามทำมาจะมลายหายไป การยุบสภาคือจุดวัดใจของทิศทางการร่างรัฐธรรมนูญและทางการเมือง” ศ. ดร. สิริพรรณ กล่าว

หลังจบการเสวนาแล้วได้มีการมอบของที่ระลึกโดยคุณสุดา พนมยงค์ ประธานที่ปรึกษากิติมศักดิ์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ แก่ผู้ร่วมเสวนาและผู้ดำเนินรายการเสวนา รวมถึงร่วมถ่ายภาพกับผู้เข้าร่วมชมการเสวนาในครั้งนี้