ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

“ปรีดี พนมยงค์” กับ “การเมืองว่าด้วยการบูรณะอยุธยา” ช่วงใกล้กึ่งพุทธกาล (พ.ศ. 2499-2500)

14
ธันวาคม
2568

(๑) บทกล่าวนำ

ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงแถลงไขเป็นลำดับต้นว่า การตั้งชื่อหัวข้อบทความนี้เพื่อพูดถึงบทบาทคุณูปการของปรีดี พนมยงค์ ต่อการบูรณะอยุธยาในช่วงใกล้กึ่งพุทธกาล พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๐ นั้น ผู้อ่านไม่ได้อ่านผิด เลขศักราชปี พ.ศ. ที่ผู้เขียนให้ไว้ในที่นี้ก็ไม่ได้ผิด ที่เห็นดู “เออเร่อ ๆ” นั้นมนุษย์โลว์เทคเช่นผู้เขียนไม่ได้ใช้บริการ Ai ในการเขียนงานชิ้นนี้หรือชิ้นไหนแต่อย่างใดเลย 

ดังที่ทราบกันดีว่า หลังจากเกิดรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจเวลานั้นได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ แม้จะพยายามกลับเข้ามาในกรณีกบฏวังหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นปรีดี พนมยงค์ ก็ได้ลี้ภัยไปใช้ชีวิตอยู่ที่สปป.จีน และต่อมาย้ายไปฝรั่งเศส จนถึงแก่อสัญกรรมที่นั่นเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๖ จึงดูเป็นไปไม่ได้ที่ปรีดีจะมามีบทบาทเกี่ยวข้องกับการบูรณะอยุธยาครั้งใหญ่ใน พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๐ (สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๒) 

แต่อย่างไรก็ตาม จากการค้นเอกสารเกี่ยวกับการบูรณะอยุธยาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เขียนพบว่า ปรีดี พนมยงค์ ผู้ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้พำนักอยู่ในประเทศไทยเวลานั้น ชื่อและบทบาทกลับยังเป็นที่พูดถึงกันมาก จนกระทั่งเป็นเหตุผลสำคัญหนึ่งที่นำพาให้รัฐบาลสมัยนั้นต้องไปบูรณะอยุธยาในช่วงใกล้กึ่งพุทธกาล (พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๐) ซึ่งเป็นการบูรณะใหญ่ที่มีการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าอยุธยาไปอย่างมโหฬารครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยยุคใกล้       

 

(๒) อีกหนึ่งนามเบื้องหลังการบูรณะอยุธยาในช่วงใกล้กึ่งพุทธกาล

เกื้อกูล ยืนยงอนันต์ ในงานวิจัยหัวข้อเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๘-๒๕๐๐”[1] ได้เสนอข้อสรุปจากคำถามที่ว่า เพราะเหตุใด ทำไม รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วง ๒ ปีสุดท้ายก่อนหมดอำนาจ (คือก่อนจะโดนจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐) นั้นจึงมาบูรณะเมืองพระนครศรีอยุธยาอย่างใหญ่โตมโหฬาร 

สำหรับประเด็นคำถามข้างต้นนี้ เกื้อกูลได้จำแนกออกไว้เป็น ๔ ประการดังนี้ 

ประการแรก, การบูรณะศาสนสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ หรือ “กึ่งพุทธกาล” เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่สำหรับประเทศไทย หากแต่สำหรับชาวพุทธทั่วโลก ที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย ซึ่งอ้างเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาในสมัยนั้น 

ประการที่สอง, เป็นการบูรณะที่สืบเนื่องมาจากกรณีที่ขณะนั้นประเทศไทยได้มีการเปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตกับประเทศพม่า (เมียนมาร์ในปัจจุบัน) โดยนายพลอูนุ ผู้นำสหภาพพม่า ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๘ ระหว่างเยือนประเทศไทย อูนุได้เดินทางมาท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองพระนครศรีอยุธยา และทำพิธีขอขมาแทนบรรพชนพม่าที่เคยรุกรานกรุงศรีอยุธยา ก่อนเดินทางกลับประเทศได้มอบเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท สมทบทุนในการที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีนโยบายจะดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์วัดมงคลบพิตรให้พ้นจากสภาพซากปรักหักพัง เพื่อให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่ชาวต่างประเทศผู้มาเยือน

ประการที่สาม, จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความประสงค์ที่จะให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แสดงความเจริญรุ่งเรืองของ “ชาติไทย” ในอดีต จึงได้วางแผนการบูรณะโบราณสถานต่าง ๆ จนทั่วอยุธยา (ทั้งในและนอกเกาะ) เพราะอยุธยาถูกทำให้เป็นฉากหลังและ “เรื่องเล่าแห่งชาติ” (National narrative) เกี่ยวกับชาติและความเป็นไทยในอดีต ในการสร้างชาติไทยที่เป็นมาก่อนหน้าและกำลังดำเนินอยู่ในสมัยนั้นมักจะอ้างอิงประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาไปใช้เป็นแกนกลางที่แสดงให้เห็นชาติและความเป็นไทยอย่างสืบเนื่องตั้งแต่อดีตจนมาสู่ปัจจุบัน

การณ์นี้จึงเกิดเป็นการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เป็นรูปแบบแรกเริ่ม (ก่อนจะจัดตั้งเป็น “อุทยานประวัติศาสตร์” ในภายหลัง) จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้จัดทำสถานที่อำนวยความสะดวกในการเข้าชม เช่น สถานที่จอดรถ, สถานที่ขายของที่ระลึกสินค้าพื้นเมือง, ปรับปรุงสวนสาธารณะบึงพระราม, ตัดถนนใหม่และซ่อมแซมถนนเก่าให้ใช้งานได้ดีขึ้น เรียกได้ว่าอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวแบบจัดหนักจัดเต็มเป็นครั้งแรกของอยุธยาในฐานะ “เมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์” เพื่อหวังให้เป็นที่โชว์ความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทยในอดีต 

ประการที่สุดท้าย, เกื้อกูลกล่าวถึงแต่เฉพาะสั้น ๆ ว่า “เป็นเหตุผลทางการเมือง” ที่สืบเนื่องจาก “ทัศนะส่วนตัวของจอมพล ป. พิบูลสงคราม” ถึงแม้ว่าเกื้อกูลจะไม่ได้อธิบายมากนักว่า เหตุผลและทัศนะส่วนตัว (ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม) ที่ว่านี้คืออะไร ก็เข้าใจได้ในแง่ที่ว่า เป็นเพราะเวลานั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในฐานะผู้นำทางการเมือง กำลังตกอยู่ในท่ามกลางสภาพการณ์หลังรัฐประหารที่เรียกว่า “ระบอบขุนศึก”[2]

ภายใต้ระบอบนี้ ฝ่ายหนึ่งมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เอง ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางทหารมีบารมีสูงเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ กับอีกฝ่ายมีพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ผู้นำตำรวจยุคที่ตำรวจมีรถถัง อาวุธสงคราม แหวนอัศวิน (และความเทา ๆ เพราะว่ากันว่าเผ่าเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าฝิ่นอยู่ด้วย) ที่ตำรวจรุ่งเรืองเฟื่องฟูและยิ่งใหญ่เสียจนมีแสนยานุภาพเทียบเท่าทหารทั้ง ๓ เหล่าทัพ ก็เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจาก CIA ในการปราบปรามขบวนการคอมมิวนิสต์

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๒ อยู่ในสภาพ “ขาลอย” ต้องคอยถ่วงดุลระหว่างขุนศึกผู้มีอำนาจบารมีจากทั้งสองอยู่ตลอด จึงต้องการจะออกจากเกมส์การเมืองแบบนั้น มาแสดงบทบาทที่สำคัญและยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้นำแบบขุนศึก การณ์นี้การบูรณะอยุธยาให้ความหวังแก่จอมพล ป. ว่าจะช่วยกอบกู้ภาพลักษณ์ของตนในฐานะ “ผู้นำชาติ” ให้สูงเด่นขึ้นเหนือกว่าขุนศึกคนอื่น ๆ ด้วย       

ข้อสรุปทั้งสี่ประการข้างต้น ถึงแม้ว่าเกื้อกูลจะได้จากการศึกษาข้อมูลหลักฐานอย่างเป็นระบบมาจำนวนหนึ่ง แต่เช่นเดียวกับงานบุกเบิกชิ้นอื่น ๆ หลักฐานที่ปรากฏในช่วงที่เกื้อกูลศึกษาอาจจะยังมีน้อยและเข้าถึงได้ยาก เมื่อเทียบกับในชั้นหลังมานี้ จึงละเลยอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งเป็น “เหตุผลเชิงลึก” ไปกว่าที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานที่เป็นทางการ เมื่อ “ปรีดี พนมยงค์” ในช่วงหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ นั้นถูกทำให้กลายเป็นนามของ “ผู้นำรัฐบาลที่แล้ว”

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นอีกครั้งที่เกิดขึ้นจากฝ่ายผู้นำกำลังมาบุกยึดอำนาจไม่ได้มีความชอบธรรมตามระบบการเมืองปกติ เมื่อได้อำนาจมาจากการนำกำลังมายึดเอาดื้อ ๆ ไม่ได้ผ่านกระบวนการตัดสินใจมอบอำนาจให้จากประชาชนที่รู้จักกันในนาม “การเลือกตั้ง” รัฐบาลแบบนี้จึงต้องพยายามสร้างความชอบธรรมเอาจากการเปรียบเทียบ แข่งขัน (หรือแข่งดี) กับ “รัฐบาลที่แล้ว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัฐประหารแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการสร้าง “ปีศาจทางการเมือง” ขึ้นมา สำหรับเป็นข้ออ้างให้แก่การรักษาอำนาจ จึงเป็นการเมืองของการสร้างภาพให้ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตน ไม่ใช่เรื่องของการมาใช้วิชาความรู้หรือความสามารถในการบริหารและสร้างชาติตั้งแต่แรกเริ่ม               

เมื่อปรีดี พนมยงค์ ในทศวรรษ ๒๔๘๐ ได้มีบทบาทคุณูปการอย่างสูงต่อการปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยาจากสภาพรกร้างให้เกิดเป็นเมืองใหม่ ทดลองการปกครองระบอบใหม่ แม้ว่าปรีดี พนมยงค์ จะหมดอำนาจและต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่ทว่า “คนยุดยา” ยังมีความทรงจำรับรู้และเสียดาย เรื่องนี้ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ ส.ส.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ก็รู้ดี จึงได้เสนอแผนการบูรณะอยุธยาเพื่อลบล้างความทรงจำของผู้คนชาวอยุธยาที่มีต่อปรีดี พนมยงค์

 

 

(๓) แผนการบูรณะอยุธยาของ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ เสนอต่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม 

ทั้งนี้แผนการบูรณะอยุธยาภายใต้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยที่ ๒) ได้ริเริ่มแนวคิดและมีการพิจารณากันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๕ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ ส.ส.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี หัวเรื่องขอให้ดำเนินการทำนุบำรุงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยในเบื้องต้นเสนอให้รัฐบาลแต่งตั้ง “คณะกรรมการทำนุบำรุงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา”[3] ประกอบด้วยบุคคลสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย                 เป็นประธานคณะกรรมการ

๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ            เป็นกรรมการ

๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ                               เป็นกรรมการ

๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข              เป็นกรรมการ

๕. ผู้ว่าราชการจังหวัดภาค ๑                               เป็นกรรมการ

๖. ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา            เป็นกรรมการ

๗. ผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑ ท่าน เป็นกรรมการ

เนื้อความจดหมายยังเสนอขอให้นำรายได้จากการส่งข้าวสารกับหนังสัตว์ ไปขายต่างประเทศ มาใช้เป็นเงินงบประมาณสำหรับดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาทางด้านงบประมาณอีกด้วย เป็นจดหมายของ ส.ส.ท่านอื่น ไม่ใช่ ส.ส.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้เขียนซึ่งดูไม่ใช่คนสลักสำคัญอันใด จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเวลานั้นจะเพิกเฉยไม่รับเรื่องไว้พิจารณาก็ย่อมได้ เพราะเนื้อความในจดหมายต้องขอบอกว่า มีหลายส่วนทีเดียวที่จัดว่า “แปลกและเพี้ยนเอาเรื่อง” แต่อย่างที่บอกจอมพล ป. พิบูลสงคราม เวลานั้นก็มีแนวคิดที่จะบูรณะอยุธยาอยู่ด้วยเช่นกัน จึงได้รับเรื่องแล้วส่งต่อให้กระทรวงมหาดไทยนำไปพิจารณา

เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาแล้ว ก็ตีกลับมาว่า “ไม่เห็นด้วย เพราะอาจจะเป็นตัวอย่างแก่จังหวัดอื่นให้ทำตามได้” แต่ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็หาได้ยุติไปแต่เพียงเท่านั้นไม่ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธได้ทำจดหมายถึงคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ (สมัยนั้นยังไม่ถือเป็น “วันแม่แห่งชาติ”) คราวนี้เป็นจดหมายมีเนื้อความยืดยาวขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญในจดหมายฉบับที่ ๒ นี้ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำและโน้มน้าวให้คนในคณะรัฐบาลเห็นพ้องด้วยกับการบูรณะอยุธยาครั้งนี้ มีการเอ่ยนามและบทบาทของ “ปรีดี พนมยงค์” เอาไว้เป็นเหตุผลสำคัญด้วย

 

(๔)  เปิด “จดหมายไม่ผิดซอง” ของ ส.ส.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาท่านหนึ่ง

จดหมายของ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ ลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๕ ซึ่งดูไม่สลักสำคัญอันใด แต่กลับกลายเป็นเอกสารสำคัญที่บอกเล่าถึงเบื้องหลังการบูรณะกลับฟื้นอดีตเมืองหลวงเก่าของสยามประเทศ ในมุมที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้กันเท่าไรนัก มีเนื้อความทั้งหมดทั้งมวลดังต่อไปนี้ :

บ้านเลขที่ ๖๐ หน้าวัดเทวราชกุญชร พระนคร

๑๒ สิงหาคม ๒๔๙๕

กราบเรียน ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี

กระผมเสนอขออนุมัติตั้งคณะกรรมการทำนุบำรุงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปยังคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๔๙๕ จนบัดนี้ยังไม่ทราบผลอย่างใด การที่เรื่องล่าช้าอยู่เช่นนี้ ตามข้อสังเกตุของกระผมรู้สึกว่าอาจมีท่านรัฐมนตรีบางท่านคงจะพิจารณาไปในแง่ต่างๆ ดังนี้

๑. บางท่านคงพิจารณาไปในทางที่กระผมจะหาเล่ห์เหลี่ยมเพื่อกอบโกยเงินเข้าเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงขอกราบเรียนเพื่อท่านนายกรัฐมนตรีจะได้แจ้งให้ท่านที่อาจพิจารณาไปในแง่ดังที่กราบเรียนไปนี้ให้เข้าใจว่า กระผมมิได้มีเจตนาไปในทางหาประโยชน์ในการเงินเป็นทางส่วนตัวเลยแม้แต่เล็กน้อย เท่าที่กระผมได้รับเงินเดือนอยู่ในขณะนี้ก็พอกินพอใช้ตามฐานะแล้ว ถ้าปรากฎในภายหลังว่า กระผมทำไปเพื่อกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตนเองแล้ว ก็ขอให้ส่งสายลับมาลอบยิงกระผมเสียเถิด 

๒. บางท่านอาจคิดไปว่า ถ้ายอมให้กระผมทำได้เช่นนี้แล้ว ก็จะเป็นตัวอย่างแก่จังหวัดอื่น           ต่อไปอีก จึงขอกราบเรียนว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้จะเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ หาได้ไม่ เพราะเป็นนครหลวงเก่าแห่งประเทศไทย ชาวต่างประเทศซึ่งเข้ามาในประเทศไทย ด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม จะต้องขอไปชมจังหวัดนี้ทุกๆ คราว ตลอดจนชาวต่างประเทศซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทยก็หาโอกาสไปเที่ยวทุกๆ เดือนๆ ละหลายครั้ง ในการไปชมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาของชาวต่างประเทศนั้นมิไปเฉยๆ ทุกๆ คราวที่เขาไปจะต้องมีการถ่ายภาพภูมิประเทศไปด้วยเสมอ สถานที่อันรกร้างว่างเปล่าของนครหลวงเก่าแห่งประเทศไทย จะต้องกระจายไปอยู่ทั่วโลก ถ้าขืนปล่อยอยู่เช่นนี้ประเทศไทยก็จะขายหน้าแก่ชาวโลกเขาเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องทำนุบำรุงกันอย่างจริงจัง หากจำเป็นที่จะต้องให้จังหวัดอื่นเอาตัวอย่างบ้าง และถ้าผู้ดำเนินการปฏิบัติตามแนวทางที่กระผมจะทำให้แก่จังหวัดอยุธยานี้โดยมิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็ควรปล่อยให้เขาดำเนินไปซึ่งจะเกิดผลดีที่ประเทศไทยทั้งประเทศจะเป็นเมืองสวรรค์ขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลเลย

๓. กระผมทราบมาว่าสินค้าข้าวและหนังสัตว์นี้มีผู้ต้องการแย่งกันหลายรายนัก จึงขอกราบเรียนว่า ไหนๆ เราก็มาร่วมจิตต์ร่วมใจในการที่จะช่วยกันทำนุบำรุงความสุขของประชาชนและช่วยกันจรรโลงประเทศชาติของเราให้เจริญรุ่งเรืองเท่าเทียมกับนานาประเทศเขาด้วยน้ำใสใจจริงแล้ว ก็ไม่น่าที่จะกีดกันแนวทางที่กระผมได้กราบเรียนไปนั้นเลย 

๔. อาจมีผู้คิดว่า การทำนุบำรุงนี้รัฐบาลได้คิดอยู่แล้ว และต่อไปก็จะได้เงินบำรุงท้องที่มาช่วยเหลือในการนี้ กระผมจึงขอกราบเรียนว่า เรื่องการทำนุบำรุงบ้านเมืองนั้น รัฐบาลได้พยายามมาหลายสิบปีแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดนี้ นอกจากสะพานข้ามแม่น้ำ สะพานกับการตัดถนนและสร้างสถานที่ราชการขึ้นในเกาะกลางเมืองซึ่งคาราอยู่ในขณะนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ยิ่งทางชนบทนอกเมืองออกไปแล้วไม่มีอะไรที่เกิดเป็นความสุขแก่ประชาชนเพิ่มขึ้นเลย ตรงกันข้ามกับบรรดาแม่น้ำลำคลองต่างๆ กลับตื้นเขินขึ้นจนใช้เป็นทางคมนาคมไม่ได้เป็นส่วนมากและทวีมากขึ้น หากจะรอใช้เงินงบประมาณอยู่แล้ว กระผมกล้าทำสัญญารับรองได้ว่าอีก ๕๐ ปี เราก็จะไม่ได้แลเห็นความเจริญของกรุงศรีอยุธยาให้ผิดตาขึ้นเลย แต่ถ้าหากท่านคณะรัฐมนตรีมีความเมตตาแก่ประชาชนด้วยความจริงใจ โดยยอมอนุมัติตามโครงการที่กระผมได้กราบเรียนไปแล้ว กระผมกล้ากราบเรียนยืนยันได้ว่า ภายในระยะเวลาไม่เกิน ๕ ปีนี้ เราก็จะได้แลเห็นความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยที่กระผมยอมเอาชีวิตเข้าเป็นประกันได้โดยแน่นอน

นอกจากนี้ กระผมขอกราบเรียนด้วยความจริงใจว่า การที่กระผมคิดจะทำนุบำรุงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขึ้นนี้ นอกจากจะทำนุบำรุงความสุขของประชาชน และให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นแก่ประเทศชาติแล้ว กระผมยังมีความประสงค์ที่จะลบล้างชื่อนายปรีดี พนมยงค์ เสียสักที เพราะในเวลานี้ประชาชนชาวอยุธยายังรำพรรณถึงคุณงามความดีอยู่เสมอ เนื่องจากเขาได้เห็นสะพานข้ามแม่น้ำและถนนหนทางในกลางเมือง ตลอดจนศาลากลางจังหวัด ซึ่งแท้จริงกระผมก็ทราบว่า บรรดาถาวรวัตถุเหล่านั้นท่านจอมพลเป็นผู้ดำเนินการสร้าง แต่เนื่องจากชื่อนายปรีดียังติดอยู่ที่สะพาน จึงเป็นเหตุให้ประชาชนเข้าใจว่า นายปรีดีเป็นผู้สร้าง การลบชื่อนายปรีดีออกนั้น กระผมเห็นว่ารัฐบาลเราจะทำได้ด้วยการสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นให้เหนือกว่าที่นายปรีดีได้ทำไว้ ถ้าท่านคณะรัฐมนตรีตกลงอนุมัติตามหนังสือที่กระผมกราบเรียนไปแล้ว ก็จะได้ดำเนินการก่อสร้างตามโครงการต่อไปดังนี้ คือ

ก.ซื้อเรือขุดคลองขึ้นใหม่อีก ๒ ลำ แล้วดำเนินการขุดและลอกแม่น้ำลำคลองที่ตื้นเขินในจังหวัดนี้ให้ใช้เป็นทางคมนาคมทางน้ำได้ตลอดปีทุกอำเภอ เมื่อเสร็จแล้วก็มอบเรื่องนี้ให้แก่กรมชลประทานไป

ข.สร้างสะพานข้ามแม่น้ำที่ตำบลหัวแหลมใกล้เจดีย์ศรีสุริโยทัยขึ้น แล้วขนานนามว่า สะพานศรีสุริโยทัย และสร้างสะพานข้ามแม่น้ำอื่นๆ อีก ๕ สะพาน แล้วตัดถนนฝั่งตะวันตกของจังหวัดให้สามารถติดต่อกันได้ถึงอำเภอบางบาล อำเภอเสนา อำเภอผักไห่ อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง ทำให้มีไฟฟ้าใช้ตลอดเส้นทางเหล่านั้น

ค.ย้ายที่ว่าการอำเภอบางบาล อำเภอมหาราช ซึ่งตั้งอยู่ในขณะนี้ยังไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และสร้างบ้านพักข้าราชการอำเภอและตำรวจทุกๆ อำเภอ

ฆ.สร้างโรงเรียนมัธยมขึ้นให้เด็กสามารถเรียนได้จนถึงชั้น ม.๖ ทุกๆ อำเภอ ตลอดจนสร้างบ้านที่พักของครูด้วย

ง.สร้างโรงพยาบาลประจำอำเภอ และให้มีนายแพทย์สามารถทำการรักษาพยาบาลคนไข้ได้ทุกๆ อำเภอ

จ.ภายในบริเวณกลางเมืองซึ่งตัดถนนไว้แล้วนั้นนอกจากสถานที่รัฐบาล ซึ่งสร้างไว้แล้ว ก็จะได้จัดการสร้างตึกแถวขึ้นให้สวยงามแทนต้นสาบเสือในขณะนี้ และให้มีไฟฟ้าตลอดจนน้ำประปาใช้โดยสมบูรณ์

ฉ.โดยเฉพาะบึงพระราม ซึ่งอยู่ที่กลางเมืองนั้น ก็จะได้จัดการขุดลอกขึ้นให้มีน้ำบริบูรณ์ใช้เป็นที่พายเรือเล่นของนักท่องเที่ยวได้คล้ายสวนลุมพินี

โดยเหตุนี้ กระผมจึงขอความกรุณาต่อ ฯพณฯ ท่านขอได้โปรดช่วยส่งเสริมให้เรื่องที่กระผมกราบเรียนไปนี้ สำเร็จไปโดยรีบด่วนด้วย จะเป็นพระเดชพระคุณเป็นอย่างยิ่ง 

ขอแสดงความเคารพและนับถืออย่างยิ่ง
(ลงนาม)
(พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ)

 

(๕)  อยุธยาต้นแบบของ “เมืองสวรรค์” & วิเคราะห์เนื้อในจดหมายของ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ 

จะเห็นได้ว่า จดหมายของ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ เริ่มต้นโดยการตอบโต้กรณีที่กระทรวงมหาดไทยได้เคยพิจารณาข้อเสนอและตีตกไปแล้วก่อนหน้านี้ อย่างเช่น ประเด็นที่ว่า :

“บางท่านอาจคิดไปว่า ถ้ายอมให้กระผมทำได้เช่นนี้แล้ว ก็จะเป็นตัวอย่างแก่จังหวัดอื่น  ต่อไปอีก จึงขอกราบเรียนว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้จะเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ หาได้ไม่ เพราะเป็นนครหลวงเก่าแห่งประเทศไทย ชาวต่างประเทศซึ่งเข้ามาในประเทศไทย ด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม จะต้องขอไปชมจังหวัดนี้ทุกๆ คราว ตลอดจนชาวต่างประเทศซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทยก็หาโอกาสไปเที่ยวทุกๆ เดือนๆ ละหลายครั้ง ในการไปชมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาของชาวต่างประเทศนั้นมิไปเฉยๆ ทุกๆ คราวที่เขาไปจะต้องมีการถ่ายภาพภูมิประเทศไปด้วยเสมอ สถานที่อันรกร้างว่างเปล่าของนครหลวงเก่าแห่งประเทศไทย จะต้องกระจายไปอยู่ทั่วโลก ถ้าขืนปล่อยอยู่เช่นนี้ประเทศไทยก็จะขายหน้าแก่ชาวโลกเขาเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องทำนุบำรุงกันอย่างจริงจัง หากจำเป็นที่จะต้องให้จังหวัดอื่นเอาตัวอย่างบ้าง และถ้าผู้ดำเนินการปฏิบัติตามแนวทางที่กระผมจะทำให้แก่จังหวัดอยุธยานี้โดยมิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็ควรปล่อยให้เขาดำเนินไปซึ่งจะเกิดผลดีที่ประเทศไทยทั้งประเทศจะเป็นเมืองสวรรค์ขึ้น

การที่ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ ลงท้ายประเด็นข้างต้นนี้ด้วยการระบุถึงอยุธยาในฐานะต้นแบบของ “เมืองสวรรค์” สำหรับคนในชั้นหลังเห็นคำนี้อาจจะขำกลิ้ง แต่สำหรับคนสมัยเมื่อกลางทศวรรษ ๒๔๙๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจสืบมาจากการรัฐประหารซึ่งอ้างว่าจะสร้างประเทศไทยเป็น “แดนสวรรค์” นั้น ก็จัดเป็นถ้อยคำที่ทรงความหมายอย่างมาก เป็นแดนสวรรค์สำหรับในจินตนาการของชนชั้นนำไทย เป็นแดนสวรรค์ที่ลงหลักปักฐานมายาวนานกว่า ๔๑๗ ปี แต่แล้วจู่ ๆ ก็ถูกพม่าทำลายลงในชั่วไม่นาน ในขณะที่ในหมู่นักประวัติศาสตร์ฝ่ายซ้าย เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ เขามองต่างออกไปว่าเป็นสวรรค์สำหรับชนชั้นนำ แต่เป็น “นรก” สำหรับเหล่าไพร่ทาส[4]  

ถ้าสังเกตให้ดี เรายังจะพบว่า นอกจากการบูรณะโบราณสถานและทำนุบำรุงศิลปวัตถุแล้ว เรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขุดลอกคูคลอง การตัดถนนใหม่ สร้างสะพานเข้าสู่เกาะเมืองทางฝั่งตะวันตก ย้ายที่ว่าการอำเภอบางบาล อำเภอมหาราช สร้างโรงเรียนมัธยมสำหรับทุกอำเภอ สร้างโรงพยาบาลทุกอำเภอ ตลอดจนการปรับปรุงบริเวณบึงพระรามให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนเฉกเช่นเดียวกับสวนลุมพินีของกรุงเทพฯ ล้วนแต่เป็นข้อเสนอที่ได้รับการตอบรับนำไปปฏิบัติในช่วงหลังจากนั้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการพัฒนาข้างต้นจะเป็นผลงานข้อเสนอของ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ ไปเสียทั้งหมด อันที่จริงการพัฒนาเหล่านั้นก็เป็นโปรเจกต์ที่รัฐและกลุ่มทุนต้องการสร้างทำอยู่แต่เดิมแล้วด้วย

 

(๖) กึ่งพุทธกาล ๒๕๐๐ & การบูรณะอยุธยาเพื่อลบชื่อ “ปรีดี พนมยงค์” 

การบูรณะอยุธยาแบบทั่วทั้งจังหวัด ก่อนหน้าทศวรรษ ๒๔๙๐ ดูเป็นเรื่องยาก ไม่น่าทำ และไม่น่ามีรัฐบาลชุดไหนที่ไม่ใช่คนอยุธยาสนใจจะทำ เพราะนั่นหมายถึงการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล แค่วัดร้างแห่งเดียว งบก็หลักแสน[5] เฉพาะวิหารและพระมงคลบพิตรที่เดียวก็ใช้งบมากถึง ๗๒๐,๐๐๐ บาท[6] ไม่มีเอกสารระบุตัวเลขงบประมาณที่ใช้ไปในครั้งนั้นแน่ชัด แต่มีการประมาณการตั้งแต่แรกเริ่มว่าอาจสิ้นงบไปกว่า ๒๕๐-๓๐๐ ล้านบาท[7] ถือเป็นตัวเลขงบประมาณที่มากมหาศาลที่สุดยิ่งกว่าอภิมหาโปรเจกต์ใด ๆ สำหรับสมัยนั้น ขณะที่อยุธยาเป็นเมืองที่มีวัดร้างอยู่มากถึงราว ๓๐๐ แห่ง และมีอีกนับ ๑๐๐ ที่ไม่ปรากฏซากบนพื้นดิน แต่ปรากฏหลักฐานเอกสารลายลักษณ์อักษรและแผนที่โบราณ

ด้วยเหตุดังนั้น ก่อนหน้านั้นจึงเป็นเรื่องที่ดูจะเป็นไปไม่ได้เลย และยิ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่จะไปทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างการลบชื่อผู้นำรัฐบาลที่แล้วที่ประชาชนยังมีความทรงจำระลึกถึงอยู่ แต่สำหรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มปรีดี พนมยงค์ กับพรรคพวกโดยตรงแล้ว เรื่องนี้นับว่ามีความสำคัญและจะต้องกระทำอย่างปัจจุบันทันด่วน เพราะหมายถึงการธำรงรักษาอำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรมนั้นให้คงอยู่สืบต่อมา เป็นรัฐบาลอื่นซึ่งไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับปรีดี พนมยงค์ แล้ว จดหมายที่มีเนื้อความทำนองนี้ที่ว่า :                  

“กระผมขอกราบเรียนด้วยความจริงใจว่า การที่กระผมคิดจะทำนุบำรุงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขึ้นนี้ นอกจากจะทำนุบำรุงความสุขของประชาชน และให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นแก่ประเทศชาติแล้ว กระผมยังมีความประสงค์ที่จะลบล้างชื่อนายปรีดี พนมยงค์ เสียสักที เพราะในเวลานี้ประชาชนชาวอยุธยายังรำพรรณถึงคุณงามความดีอยู่เสมอ เนื่องจากเขาได้เห็นสะพานข้ามแม่น้ำและถนนหนทางในกลางเมือง ตลอดจนศาลากลางจังหวัด ซึ่งแท้จริงกระผมก็ทราบว่า บรรดาถาวรวัตถุเหล่านั้นท่านจอมพลเป็นผู้ดำเนินการสร้าง แต่เนื่องจากชื่อนายปรีดียังติดอยู่ที่สะพาน จึงเป็นเหตุให้ประชาชนเข้าใจว่า นายปรีดีเป็นผู้สร้าง การลบชื่อนายปรีดีออกนั้น กระผมเห็นว่ารัฐบาลเราจะทำได้ด้วยการสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นกว่าที่นายปรีดีได้ทำไว้”

คงเป็นจดหมายที่ไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงแท้แน่นอน!!!

ถึงแม้ว่าปรีดีจะหมดอำนาจไปแล้ว แต่ในเมื่อผู้คนยังคงมีความทรงจำระลึกถึง ยิ่งเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่ไปยึดอำนาจมาได้นั้น เมื่อข้อเสนอเรื่องการบูรณะปรับปรุงเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสมัยนั้นยังอยู่ในสภาพรกร้างอยู่มาก ไม่น่าเดินเที่ยวชมอย่างทุกวันนี้ ไม่ได้รับความสนใจในยกแรก เนื่องจากอยุธยาเป็นเมืองที่ปรีดี พนมยงค์ เคยมีบทบาทมากในการบูรณะปรับปรุงในช่วงทศวรรษก่อนหน้า นามของปรีดี พนมยงค์ จึงถูกงัดเอามาใช้เป็น “ไม้ตาย” ในการโน้มน้าวให้รัฐบาลยอมผันงบประมาณไปลงกับการบูรณะปรับปรุงเมือง

 

(๗) ทำไมชื่อปรีดี ไม่เพียงไม่หายไปไหน กลับยิ่งยังอยู่ยั้งยืนยงมาจนทุกวันนี้???     

ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะเกิดประเด็นคำถามเฉกเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนตั้งเป็นหัวข้อย่อยข้างต้นนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นการบูรณะเพื่อลบชื่อปรีดี พนมยงค์ แต่ทำไม ไยจึงไม่อาจลบล้างชื่อนี้ไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น วัตถุประสงค์ของการบูรณะครั้งใหญ่นี้ยังถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น???

สิ่งหนึ่งซึ่งเราจะเห็นตั้งแต่เมื่อแรกเข้าสู่ตัวเมืองอยุธยา ก็คือสะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก ที่มีชื่อเรียกทั้งเป็นทางการว่า “สะพานปรีดี-ธำรง” ชาวเมืองก็ยังรู้จักและเรียกกันสืบมาอย่างย่อ ๆ ว่า “สะพานปรีดี” ถนนตัดตรงจากวังน้อยเข้าสู่แกนกลางเกาะเมืองอยุธยานั้นช่วงข้ามผ่านสะพานไปทางทิศตะวันตกก็ยังคงมีชื่อว่า “ถนนปรีดี พนมยงค์” ตรอกซอยที่ตั้งอยู่ริมถนนนี้ก็ยังมีการตั้งชื่อกันว่า “ซอยปรีดี พนมยงค์” ปลายสุดถนนนี้ที่กลางเกาะเมืองอยุธยา เป็นที่ตั้งของอาคารศาลากลางหลังเก่า ก็เป็นสถานที่มีความทรงจำในฐานะ “ตึกคณะราษฎร” หรือ “ตึกปรีดี” ที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามวัดพนมยงค์ เยื้องแยกถนนสายอยุธยา-อ่างทอง ก็มี “อนุสรณ์สถานบ้านปรีดี พนมยงค์” ที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยก็มี “ห้องปรีดี พนมยงค์” สำหรับจัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวของปรีดีในฐานะศิษย์เก่าดีเด่น ฯลฯ (ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับนามปรีดี พนมยงค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) 

ไม่ใช่ว่าการบูรณะอยุธยาสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๐ จะล้มเหลวโดยตัวมันเอง ตรงข้ามอยุธยาเปลี่ยนไปอย่างมากก็เป็นผลมาจากการบูรณะในสมัยนั้นด้วย วัดวาอารามหลายแห่งกลับฟื้นคืนชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าว จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีเหตุผลอื่น ๆ ให้ใช้สร้างความชอบธรรม หนึ่งในเหตุผลที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเค้าเงื่อนงำคำตอบอยู่ในหนังสือขนาดเล็กที่ปรับมาจากปาฐกถาของปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม” ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงปลายทศวรรษ ๒๔๙๐ เอาไว้ดังนี้: 

“ภายหลังที่นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศรินทร์ ถูกประหารชีวิต ฐานต้องหาว่าปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ แล้ว จอมพล ป. ได้ข้อเท็จจริงใหม่หลายประการที่แสดงความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาเหล่านั้น จึงส่งตัวแทนไปแจ้งกับข้าพเจ้าที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนว่าจะดำเนินการยุติธรรม โดยให้มีพิจารณาคดีกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ ขึ้นใหม่ ตามวิธีพิจารณาของบางประเทศที่อารยะแล้ว ส่วนการปกครองประเทศนั้นจะดำเนินตามวิธีประชาธิปไตยสมบูรณ์ แต่จอมพล ป. จะทำจริงตามนั้นหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง”[8] 

ตรงนี้ก็อาจจะนำมาซึ่งความ “งงในงง” อีก เพราะการบูรณะอยุธยามาเกี่ยวอะไรกับการรื้อฟื้นคดีความกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ นั่นก็เพราะว่านอกจากระบอบขุนศึกแล้ว สิ่งคนคลุกคลีตีโมงอยู่กับการเมืองไทยมากว่า ๓ ทศวรรษ ในเวลานั้นจัดอยู่ในสถานะ “เสือเฒ่า” อย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม ย่อมเล็งเห็นแล้วว่า กลุ่มการเมืองปฏิปักษ์กับคณะราษฎรอย่างขบวนการกษัตริย์นิยมนั้นกำลังก่อกระแสหักกลบลบล้างอุดมการณ์ทางการเมืองแบบคณะราษฎรอยู่อย่างต่อเนื่อง

คนเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกที่ใช้กรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ มาโจมตีให้ร้ายป้ายสีปรีดี พนมยงค์ กับพรรคพวกในการเมืองไทยช่วงหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐  ซึ่งก็คือกลุ่มเดียวกับที่ปรีดี พนมยงค์ นิยามเรียกว่า “ผู้เกินกว่าราชา” (Ultra-royalist)[9] ขณะที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เรียกพวกนี้ว่า “ศักดินา” ดังปรากฏในข้อความสำคัญที่จอมพล ป.  เคยกล่าวกับ ปาล พนมยงค์ บุตรชายคนโตของปรีดี หลังจากปาลได้รับนิรโทษกรรม และมาขอลาบวชที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๐ ที่ว่า “บอกคุณพ่อของหลานด้วยนะว่า ลุงอยากให้กลับมาช่วยลุงทำงานให้ชาติ ลุงคนเดียวสู้ศักดินาไม่ไหวแล้ว[10]

สิ่งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เรียนรู้และกระทำอย่างชำนิชำนาญภายใต้ระบอบขุนศึก ก็คือการถ่วงดุลย์อำนาจระหว่างกลุ่มผู้มีบารมีต่าง ๆ ฉะนั้น จึงเป็นไปได้ว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่คิดอ่านจะรื้อฟื้นคดีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ กลับมาชำระสะสางให้ปรีดีนั้น เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะให้ปรีดีกลับมาเป็นคู่ปรปักษ์กับกลุ่มกษัตริย์นิยม ซึ่งก็กำลังทวีบทบาทและมีแนวโน้มจะโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. ตลอดจนอุดมการณ์ทางสังคมการเมืองแบบคณะราษฎร ขณะเดียวกันลำพังแต่การกลับมาของปรีดี ก็ไม่เพียงพอแก่การจัดการกับกลุ่มกษัตริย์นิยม และจอมพล ป. ก็เข้าใจดีว่า ฐานทางการเมืองที่สำคัญและมั่นคงที่สุดของปรีดีนั้นอยู่ที่อยุธยา 

ด้วยเหตุดังนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ฉากหน้าจะเป็นผู้นำรัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ แต่ขณะเดียวกัน จอมพล ป. ก็ตระหนักถึงอันตรายจากการกลับฟื้นคืนสู่เวทีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มกษัตริย์นิยมหลังการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ กลุ่มขบวนการนี้มีแนวโน้มเป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่ออุดมการณ์ทางสังคมการเมืองแบบคณะราษฎร ตลอดจนต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ จอมพล ป. จึงได้พยายามให้อดีต “มันสมองของคณะราษฎร” ได้กลับมามีบทบาทคานอำนาจกับกลุ่มกษัตริย์นิยมนี้ แต่เหมือนปรีดีจะ “รู้แกว” เสือเฒ่า/จอมพล ป. ในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นไปได้ที่ปรีดีจะเห็นว่า คดีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ นั้นเกินกว่าที่จอมพล ป. จะ “รับจบ” ให้ได้ จึงไม่ตอบตกลงกับข้อเสนอ (ดีล) นี้กับจอมพล ป. 

เหตุการณ์ลำดับต่อมาที่ชวนคิดว่า แท้ที่จริงแล้วจอมพล ป. ก็อาจจะพอคาดเดาอนาคตตัวเองอยู่ได้บ้างเหมือนกัน (ไม่ใช่ว่าไม่เคยคาดคิดมาก่อน) ก็คือไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มกษัตริย์นิยมก็หันไปอวยยศให้ลูกน้องที่เคยส่ง “น้องหมา” ไปมอบให้จอมพล ป. เป็นของขวัญเนื่องในวันเกิด เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนจงรักภักดีต่อจอมพล ป. เหมือนสุนัขภักดีต่อเจ้าของ[11] ได้นำกำลังบุกเข้ายึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. ลงเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐[12] หลังจากเสร็จสิ้นงานฉลองกึ่งพุทธกาลที่จัดอย่างใหญ่โต และก็เป็นดังคาดอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ของการเมืองไทยหลังจากนั้น ก็คือการล้มล้างอุดมการณ์ทางสังคมการเมืองแบบคณะราษฎร หมุนเข็มนาฬิกาการเมืองไทยไปบนทางกษัตริย์นิยมสืบเนื่องเรื่อยมาจนผ่านไปกว่า ๖ ทศวรรษ

 

(๘) บทสรุปและส่งท้าย

การบูรณปฏิสังขรณ์อยุธยาแต่ละช่วงนั้น หาได้มีประเด็นเบื้องหน้าเบื้องหลังเฉพาะที่เกี่ยวกับงานด้านโบราณคดีหรือการทำนุงบำรุงรักษาบรรดาโบราณสถานและศิลปวัตถุเท่านั้น หากยังมีประเด็นเกี่ยวข้องกับ “การเมืองของการบูรณะ” อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ปรีดี พนมยงค์ หมดอำนาจต้องลี้ภัยไปต่างแดนแล้วก็ตาม แต่บทบาทคุณูปการของปรีดียังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บ้านเกิดของปรีดี พนมยงค์ เอง

ชื่อของปรีดี พนมยงค์ เลยถูกนำไปเกี่ยวข้องกับการบูรณะอยุธยา โดยที่เจ้าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใด เมื่อรัฐบาลตลอดจนพวกกษัตริย์นิยมซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎรและปรีดี พนมยงค์ ต้องการจะบูรณะอยุธยาแข่งขัน (และหรือแข่งดี) กับการบูรณะอยุธยาที่ปรีดีเคยทำมาก่อนหน้าในช่วงต้นทศวรรษ ๒๔๘๐ 

ชื่อของปรีดีมีผลกระทั่งว่า ในคราวแรกที่มีการนำเอาเรื่องการบูรณะอยุธยาเข้าสู่วาระพิจารณาแล้ว ปรากฏว่าถูกตีตกไปอย่างง่ายดาย แต่เมื่อมีการนำเสนอใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้ พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ ส.ส.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เป็นฝ่ายหนุนรัฐประหาร ๒๔๙๐ ได้งัดเอา “ไม้ตาย” ดังกล่าวนี้ไปใช้ ก็ปรากฏว่าได้ผลจนนำไปสู่การบูรณะอยุธยาครั้งสำคัญ แต่ที่ซ้อนทับและย้อนแย้งไปกว่านั้นก็คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีอีกเป้าหมายแฝงอยู่ในการบูรณะอยุธยา เพราะต้องการจะให้ปรีดี พนมยงค์ กลับมามีบทบาทจะได้คานอำนาจกลุ่มกษัตริย์นิยมและรักษาระบบระเบียบโครงสร้างแบบแผนทางสังคมการเมืองที่มีขึ้นสืบเนื่องมาจากการอภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๕ 

จอมพล ป. จึงดำเนินการบูรณะอยุธยา โดยที่ไม่เพียงไม่ลบล้างชื่อปรีดี พนมยงค์ ออกจากอยุธยาดังความต้องการของฝ่ายกษัตริย์นิยม จอมพล ป. ยังต้องการสร้างอยุธยาใหม่ในแนวทางเดียวกับที่ปรีดี พนมยงค์ เคยวางรากฐานเอาไว้เมื่อทศวรรษ ๒๔๘๐ นั่นคือการทำอยุธยาให้เป็นเมืองทดลองระบอบใหม่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามติดมาอย่างต่อเนื่องจาก “การเมืองของการบูรณะอยุธยา” ครั้งนี้ ก็คือชุดความรู้ประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนกษัตริย์นิยมในสังคมไทยก็เติบโตขึ้นแทรกมาพร้อมกันด้วย เพราะอยุธยาในอีกมิติหนึ่งก็เคยถูกทำให้เป็นเมืองทดลองของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาแต่ครั้งสมัยมณฑลกรุงเก่าอยู่ด้วยเช่นกัน             

เชิงอรรถ

 

หมายเหตุ

  • คงตัวเลขไทยไว้ตามต้นฉบับ

 


[1] เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ระหว่างพ.ศ.๒๔๓๘-๒๕๐๐. กรุงเทพฯ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๙.

[2] ดูรายละเอียดใน สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย: ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ.๒๔๙๑-๒๕๐๐). กรุงเทพฯ: พี. เพรส, ๒๕๕๐.

[3] หจช. (๓) สร. ๐๒๐๑.๗๒/๑๔ เรื่องปรับปรุงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (๒ กรกฎาคม-๔ กันยายน ๒๔๙๕).

[4] ดูมุมมองของจิตร ภูมิศักดิ์ ต่อประวัติศาสตร์อยุธยาในงานชิ้นสำคัญเช่น “โฉมหน้าศักดินาไทย”, “โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา”, “สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยศรีอยุธยา” เป็นต้น

[5] หจช. ศธ. ๐๗๐๑.๒๖.๑.๒/๑๔ เรื่องใบสำคัญคู่จ่ายเงินค่าขุดแต่งบูรณะโบราณสถานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (สิงหาคม-กันยายน ๒๔๙๙).

[6] หจช. (๔) ศธ ๒.๒/๑๙ การบูรณะองค์พระมงคลบพิตร และพระวิหารพระมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (๓ ส.ค.๒๔๙๙-๒๓ ก.ย.๒๕๐๐).

[7] หจช. ศธ. ๐๗๐๑.๒๖.๑.๒/๑๑ เรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับการบูรณะอยุธยา (พ.ศ.๒๔๙๙).

[8] ปรีดี พนมยงค์. จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม. (กรุงเทพฯ: หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสนพ.สายธาร, ๒๕๔๓), หน้า ๕๒.

[9] ดูรายละเอียดประเด็นนี้ใน สุพจน์ ด่านตระกูล. รวมบทความบางเรื่องของนายปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยและการร่างรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: สนพ.สันติธรรม, ๒๕๑๘.

[10] กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. “จอมพล ป. คิดดึงปรีดีกลับไทย หวังช่วยต้านกลุ่มอนุรักษนิยม ช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐”  https://www.silpa-mag.com/history/article_155504 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘); ต้นทางของตัวบทนี้อยู่ในข้อเขียนที่ท่านผู้หญิงพูนสุข พนมยงค์ เขียนถึงปาล พนมยงค์ ในเล่ม “อนุสรณ์นายปาล พนมยงค์” ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อัมรินทร์ เมื่อพ.ศ.๒๕๒๕

[11] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย: ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ.๒๔๙๑-๒๕๐๐), หน้า ๓๘๗.

[12] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ (หจช.) กรุงเทพฯ ได้รวบรวมหนังสือพิมพ์ที่มีรายงานเกี่ยวกับการรัฐประหารครั้งนี้ไว้เป็นอย่างดีในหมวด หจช. สบ. 9.2.3/15 ภาพและข่าวเหตุการณ์จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติในเดือนกันยายน 2500.