สมุหราชมณเฑียรในพระเจ้าจักรา อาศัยอยู่ในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน ตัวเรือนมีนอกชานกว้างขวาง ทำให้ในเวลาเช้าผู้อยู่ได้รับอากาศสดชื่น ซึ่งพัดมาจากทางแม่น้ำต่อกับท้องทะเลที่ห่างไกลออกไป
ท่านชอบการรับรองเพื่อนฝูง ขุนนาง และเสนาบดีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันนี้พรรคพวกของท่านมากันพร้อมหน้า เคี้ยวหมาก กินผลไม้ นอนเอกเขนกบนพรมซึ่งท่านซื้อมาด้วยราคาแพงจากพ่อค้าชาวจีน ผู้มาจากทางเหนือและกำลังมุ่งลงใต้ไปค้าขายยังหมู่เกาะใหญ่ตามคำบอกเล่าของนักเดินทาง พวกนักเดินทางนี่เป็นคนประหลาด พอใจในการเรียนรู้แต่อยู่ข้างจะขี้ปดเมื่อกำลังเล่าเรื่องราวซึ่งใครก็พิสูจน์ไม่ได้
การคุยกันวันนี้ เป็นเรื่องการคล้องช้างครั้งล่าสุดของพระเจ้าจักรา
โอกาสเช่นนี้เป็นโอกาสสำคัญยิ่งใหญ่ยากที่จะลืมได้ลง จึงควรเล่าสู่กันฟังหลาย ๆ ครั้งให้ละเอียด จะได้ไม่ลืม ความทรงจำเกี่ยวกับการคล้องช้างจะได้ส่งต่อถึงลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
“และแล้ว” สมุหราชมณเฑียรเอ่ยขึ้น “การคล้องช้างก็สำเร็จลงด้วยดี จริงไหม ? ฉันละดีใจนัก เพราะพระองค์จะได้ทรงหันมาสนพระทัยกิจอันเร่งด่วนสำหรับราชอาณาจักรบ้าง...”
ท่านมองไปที่สมุหกลาโหมสหายของท่าน
“เรื่องการอภิเษกสมรส” ท่านพูดต่อ “จะต้องจัดการให้เรียบร้อยนะ”
และสำทับพร้อมกับถอนใจ
“ฉันไม่ทราบว่าทำไมผู้ชายคนหนึ่งจะต้องออกไปหาความตื่นเต้นอะไรในป่า ในเมื่อเขาก็หาสิ่งนั้นได้ทุกอย่าง เพียงแต่แต่งงานเท่านั้น...”
“จริง!... จริง!” สมุหกลาโหมผสมโรงแบบทีเล่นทีจริง
“ท่านก็เห็นนี่ พวกสาว ๆ ที่ฉันนำมาถวายในหลวงน่ะ พุทโธ่ รวมทั้งลูกสาวฉันด้วยเชียวนะ...”
แล้วท่านก็มองดูเรณู บุตรีของท่าน ด้วยความพอใจ เธอช้อนตาขึ้นแล้วก็ต้องหลุบลงมาด้วยสีหน้าอันงุนงงเล็กน้อย
“เออ! ดูเถอะ” ผู้เป็นพ่อพูดต่ออีก “พระองค์ไม่ติดใจมันเลยสักนิด ฉันน่ะไม่เข้าใจเลย!”
“พ่อไม่พยายามเข้าใจนี่” เรณูพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองพ่อด้วยสายตาล้อเลียน “จะให้พระองค์ท่านมาสนใจเรื่องนางสนมได้อย่างไรเล่าคะ ในเมื่อเมืองเรายังมีภัย”
“ภัยเหรอเด็กน้อย? เฮอะ! ใครมันจะมาตีเมืองเรา? หัวเล็ก ๆ ของเจ้านี่มันคิดตามพระดำรัสของในหลวงมากไปแล้ว! เหลวไหล!”
“ไม่รู้สิคะ” เรณูจนแต้ม “แต่พวกช้างนั่นเป็นสัตว์น่ารักมากนะคะคุณพ่อ มีประโยชน์มากด้วย หนูชอบมันจังเลย”
“เหลวไหล ลูกนี่! เหลวไหล!” ฝ่ายบิดาขัดขึ้น
แล้วหัวเราะ พูดกับสมุหกลาโหม
“เขาไม่รู้หรอกว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร”
ค่อยหันไปทางเรณู
“ร้องเพลงให้พวกพ่อฟังดีกว่านะลูกรัก”
พูดกับสมุหกลาโหม
“ก็เพราะเขาร้องเพลงได้นี่แหละ รู้ไหม เจ้าคุณเคยฟังหรือเปล่า ร้องสิเรณู พวกเพลงเก่า ๆ ของเราสักเพลงหนึ่งให้ท่านเสนาบดีฟังสักหน่อย!”
เรณูถอนใจ เธอไม่เคยหยุดคิดถึงพระเจ้าจักราเลยตั้งแต่วันนั้น คิดถึงกษัตริย์ผู้มีพระจริตแปลก ๆ ไม่ทรงโปรดนาฏศิลป์ และทรงมีความคิดประหลาด ๆ ในเรื่องประเพณีเกี่ยวกับพวกนางใน
แต่หล่อนต้องร้องเพลงแล้วล่ะ...
เรณูพิงกายกับเสาที่รองรับหลังคาเรือน แล้วยิ้มให้แก่ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายที่เธอรู้จักดี และพวกเขาก็รู้จักเธอมาแต่ครั้งยังเด็ก แม้กระทั่งท่านสมุหกลาโหมที่กำลังจ้องมองมา เอานิ้วม้วนหนวดตัวเองเล่นไปพลาง ท่านเป็นผู้ที่ไม่เห็นพ้องกับความคิดอันประหลาดของพระราชาอย่างแน่นอน...
เรณูเอื้อนว่า
วาสนาปางก่อนที่ย้อนส่ง
ให้เราคงได้รับไม่กลับหาย
ถ้าทำดีดีส่งสุขไม่วาย
ถ้าทำร้ายร้ายส่งตรงตามเดิม
แม้นปางก่อนตัวข้าได้ทำดี
คงส่งศรีสวัสดิ์พิพัฒน์เสริม
ส่งความรักที่ตั้งไว้แต่เดิม
ให้พูนเพิ่มสำเร็จดังใจปอง

ที่มา : หอภาพยนตร์
เสียงดนตรีมีแววโศกนิด ๆ คลอไปกับเพลงหวานเศร้าของเรณู ซึ่งแผ่วเบาลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ท่านสมุห์ฯ กำลังหลับตาพริ้มอย่างที่ทำเป็นประจำเมื่อกำลังปิติสุข เพราะได้ฟังลูกสาวขับเพลง
เหตุเพราะท่านรักลูกสาวมาก ท่านสมุห์ฯ เลยนึกว่าไม่มีอะไรเลิศไปกว่าลูกสาวของตนอีกแล้วในโลกนี้ ถ้าพระราชาทรงยอมทำตามโบราณราชประเพณีสักหน่อย มีหรือที่ลูกสาวของท่านจะไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษในหมู่มเหสีทั้ง ๓๖๕ องค์
เสียงฝีเท้าม้าจากข้างนอกดังขึ้น ทำให้ท่านสมุห์ฯ ลืมตาในทันที.....
“เยี่ยมจริง ลูกรัก เยี่ยมมาก!.....”
แล้วหันไปทางสมุหกลาโหม
“จริงไหมท่าน?”
“จริง! จริง! ไพเราะมาก ๆ ทีเดียวละ” สมุหกลาโหมตอบด้วยความพอใจ สายตายังจับอยู่ที่นักร้อง
ทว่าที่ข้างนอก มีหลายเสียงดังอึงมี่เข้ามา
ชายผู้หนึ่งพูดด้วยเสียงขาดเป็นห้วง ๆ
“เรื่องนี้ด่วนมาก ฉันต้องพบท่านให้ได้”
สมุหราชมณเฑียรมองไปทางสมุหกลาโหม และแววตาสงสัยของท่านก็สบแววตากังวลของสหาย
แล้วท่านทั้งสองก็มิต้องรอนาน
ชายผู้หนึ่งตามทหารเข้ามาในเรือน อย่างเร่งรีบ เสื้อผ้ารุงรังไม่เป็นระเบียบมีฝุ่นจับเต็ม เหงื่อไหลโทรมหน้า หอบหายใจ
“มีอะไร? มีอะไรหรือ?” สมุหราชมณเฑียรถาม
“ท่านขอรับ” คนนำสารรายงาน “กระผมมาแต่งเมืองกานบุรี กระผมหนีออกมาได้ขอรับ”
“หนี?” สมุหกลาโหมทวนคำ
“ขอรับใต้เท้า พวกหงสามันโจมตีพวกเรา”
คราวนี้ทั้งกลุ่มเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
“พวกมันยึดเมืองได้แล้วขอรับ” ชายนั้นพูดต่อ
“เป็นไปไม่ได้!” สมุหราชมณเฑียรพูด พร้อมกับลุกขึ้นยืน เรื่องนี้จะต้องกราบบังคมทูลเดี๋ยวนี้...
“เร็ว เอาเสื้อผ้าของข้ามา .....แล้วก็เจ้าน่ะ” พูดกับคนนำสาร “เล่าเรื่องให้ข้าฟังให้หมดเลยซิ ตอนที่ข้ากำลังผลัดผ้าอยู่นี่แหละ”

ที่มา : หอภาพยนตร์
ในขณะที่กำลังรีบเข้าพระราชวัง สมุหกลาโหมและสมุหราชมณเฑียรคุยกันไป ในใจมีแต่ความสะท้านกลัว
“ฉันเกรงว่า” สมุหกลาโหมปรารภ “ฉันเกรงว่าพวกเราไม่ใส่ใจกับพระดำรัสเตือนถึงอันตรายขั้นอุกฤษฎ์นั้นให้ดี... พวกเราทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ดีแล้วหรือ?
“พวกเราเป็นคนดี และซื่อสัตย์นะ” ท่านสมุห์ฯ ประท้วง “เราไม่ใช่ไพร่พลชั้นเลว หรือข้าแผ่นดินที่เกะกะเกเรหรือก็เปล่า”
“ไม่ใช่แน่ ๆ” สมุหกลาโหมตอบ “ไม่ แต่แค่นี้ไม่พอดอกเจ้าคุณ เราไม่ควรเป็นมิตรกับความมุสา หรือละเลยอันตรายที่แฝงอยู่ เพียงเพราะเราชอบที่จะไม่สู้ความจริง การตื่นขึ้นรับรู้เป็นของยาก...”
“บางทีอาจเป็นเช่นนั้น” สมุหราชมณเฑียรกล่าว “แต่พวกเราก็ต้องการชัยชนะด้วยมิใช่หรือ และเมื่อจำเป็นก็ยอมสละชีพ เราจะต้องไม่ทรยศต่อประชาราษฎร์ด้วยการยอมจำนนอย่างสิ้นศักดิ์ศรี เราพอใจในการเสียสละยิ่งกว่าอยู่อย่างสงบแต่ไร้เกียรติ และเราย่อมจะไม่ยอมอยู่อย่างทาสของพระเจ้าหงสาเป็นแน่ พวกเราจงไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวโดยอย่าให้พระองค์เห็นความหวาดวิตกของเรา”
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ