ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ความสิ้นหวังของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

18
ธันวาคม
2568

 

รศ. ดร.นันทนา นันทวโรภาส :

ดิฉันรีบออกมาจากสภาหลังจากที่ลงมติในวาระที่สอง มาตรา 256/1 ใจสลายค่ะ จะบอกกับทุกท่านว่าเราหมดหวัง รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไม่มีอยู่จริง ดิฉันออกมาจากห้องประชุมด้วยความรู้สึกหมด เพราะว่าเขาลงมติตามกรรมาธิการเสียงข้างมากที่ อ. ธีระ คงทราบ ร่างของคุณพริษฐ์กำหนดเอาไว้ว่า จะให้มี สสร. ซึ่งไม่ได้คำนั้น ใช้คำว่า คณะผู้ร่าง แล้วก็คณะที่ปรึกษา

ซึ่งคณะผู้ร่างมาจากการเลือกของประชาชน 70 คน หมายถึงประชาชนเลือกมา 70 คน แล้ว 35 คน มาเอาสูตร 20 หยิบ 1 ในสภา ซึ่งมันคือความหวังของเรา 93 ปี ของประชาธิปไตย เราไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนร่างเอง เราได้แต่นิติบริกรที่มาร่างแบบแนบเนียน จนกระทั่งซ่อนอำนาจของประชาชนไว้อย่างมิดชิด

แล้วเราหวังว่าครั้งนี้การเซ็น MOA ของทางพรรคประชาชน จะเปิดให้ทาง สว. ที่ท่านผู้ดำเนินรายการบอกว่าจะเป็นตัวฉุดรั้งหรือตัวขับเคลื่อน ตอบได้เลยว่าเป็นตัวฉุดรั้ง แล้วกระทืบไม่ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเกิดขึ้น ไม่มีเลยค่ะ เราหมดหวังเราไม่มี สสร. ที่มาจากประชาชน เราได้ สสร. ที่มาจากการให้คนสมัครเข้ามา แล้ว 20 หยิบ 1

 

 

สมมติว่าถ้า อ. สิริพรรณ จะไปสมัครเป็น สสร. อ. สิริพรรณ ต้องไปสมัครกับ กกต. แล้วหาคนมารับรอง 100 คน อาจารย์ต้องควานหาทั้งจุฬาฯ เพื่อเอามา 100 คน แต่ลองนึกภาพของพวกนักการเมือง ซึ่งเขามีเป็นหมื่นเป็นแสนที่มารับรองให้ สุดท้ายมันก็จะได้ก๊กก๊วนพวกนี้มารับรอง

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ มาตรานี้มาตราเดียว มันทำลายความหวังทั้งหมด ดิฉันไม่ทราบว่ากลุ่มที่เขียนรัฐธรรมนูญที่อยู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เขารู้กันหรือยังว่า 256/1 โหวตไปแล้วและเราแพ้ไปแล้ว ซึ่งมันตรงกับที่ อ. ธีระ พูดว่า แล้วพรรคการเมืองก็ตีกันเอง สุดทางแล้วเราจะได้รัฐธรรมนูญสีเทา

วันนี้ที่เราบอกว่าเราอยากให้ประชาชนเขียนรัฐธรรมนูญ มันหมดหวังแล้ว เพราะว่าการเลือกกันเองหยิบกันเอง มันไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน สุดท้ายมันหยิบคนของตัวเองขึ้นมาแล้วมาร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้ที่พวกเราอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยรณรงค์ว่าเราจะเขียนรัฐธรรมนูญของประชาชนอีก 1 ปี เราต้องไปรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เชื่อสิคะเพราะว่าเราจะได้รัฐธรรมนูญที่เลวกว่าเดิม

เพราะว่าขนาดที่ยังไม่ได้ สว. ชุดนี้เสนอว่า เขาจะผ่านวาระที่สามให้ถ้าไม่ตัดอำนาจเขา ให้เขาอยู่ในวาระให้ครบ 5 ปี ซึ่งตอนนี้อยู่มา 1 ปีครึ่ง แล้วเริ่มรู้สึกว่าเดี๋ยวอีก 1 ปีรัฐธรรมนูญเสร็จ แล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ร่างมาแล้วไม่มีวุฒิสภา เลยไปบอกเลิกวุฒิสมาชิกที่เป็นอยู่ทั้งที่เหลือวาระอยู่ 2-3 ปี เขาอยากมีอำนาจในการเลือกองค์กรอิสระ

แล้วจุดที่เรามาถึงคือไม่ว่าอย่างไร จะต้องแก้รัฐธรรมนูญด้วยวิธีการใด ๆ เลยกลายเป็นการประนีประนอมที่สุดขั้ว มากจนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ แต่รัฐธรรมนูญจะหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องที่จะไปสู้กันข้างหน้า แต่เราเห็นคนร่าง เรารู้ว่าหน้าตารัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นอย่างไร

ดังนั้นเราไม่มีความหวัง ถ้าเราไม่ได้ผู้ร่างที่มาจากประชาชนจริง ๆ เราไม่อยากจะไปถึงวันที่เราต้องมารณรงค์ ว่าอย่าไปรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะว่ามันเลวร้ายกว่าฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน

 

 

เมื่อสักครู่ดิฉันอภิปรายในสภารุนแรงมาก พูดถึงเรื่องการฮั้ว สว. พูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับที่เอาจริยธรรมขึ้นมา เพื่อบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม ไม่มีใครสนใจมาประท้วงดิฉันเลย เพราะเขาบอกว่าเสียงนกเสียงกา นี่คือเรื่องจริง ไม่ว่าเราจะทำอะไรพอลงมติหายนะก็มาเยือน เราไม่เคยชนะ

สุดท้ายแล้วเรามองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย สิ่งที่เราเห็นคือ Deep State (รัฐพันลึก) มันคุมตรงนี้ และเขาไม่ได้อยากให้แก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาแต่ต้น เพียงเพราะว่าความต้องการขึ้นมาเป็นรัฐบาลช่วงคั่นเวลา ทำให้รับข้อตกลงอันนี้ แต่องคาพยพทั้งหมดไม่เห็นว่าจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทำไม เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อรักษาอำนาจของพวกเราทั้งหมด

ขอพาดพิง อ. สิริพรรณ ซึ่งไปเจอมาแล้ว ต้องบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าคุณสมบัติของ อ. สิริพรรณ ควรจะได้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียงตุลาการ ควรจะเป็นประธานศาลด้วย ดิฉันเจอมาแล้ว พูดว่าคนขายหมูผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เข้าสู่กระบวนการ 130 คน โหวตกันเป็นแถวไม่แตกเลย เราเอามันไว้ไม่ได้รัฐธรรมนูญแบบนี้ แต่ถ้าจะแก้แล้วแก้ด้วยมือของพวกพ้องที่ฮั้วกัน เราก็ไม่เชื่อว่ามันจะได้ดีกว่านี้ อาจเป็นสิ่งที่สุดทางต้องรณรงค์ว่าอย่าไปรับมัน ตอนนี้ความหวังมลายหายไปแล้ว

ฝากให้ท่านวิทยากรทั้ง 3 ท่านช่วยนำเอาผลการลงมติวาระที่สอง มาตรา 256/1 ช่วยขบคิดกันว่าเราจะไปอย่างไรต่อเพื่อจะทำให้ได้ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ใกล้กับคำว่าฉบับประชาชนมากที่สุด และฝากกับท่านผู้เข้าร่วมฟังเสวนาในวันนี้ว่า เราคงจะต้องช่วยกันจับตาว่า ถ้าเราเองเราอยากให้ประชาธิปไตยบ้านเราขับเคลื่อนไป อยากเห็นพัฒนาการของมันแต่สุดทางแล้วกลับลายเป็นสีเทา ๆ เราคงต้องกลับมาคิดว่าโมเดลที่จะนำพาให้ประเทศเราก้าวไปข้างหน้า จะเป็นโมเดลของเกาหลีใต้หรือโมเดลของเนปาล ฝากทุกท่านไว้ด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ