ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
สวัสดีครับ ผมประวิตร โรจนพฤกษ์ วันนี้รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ PRIDI Interview วันนี้เราจะคุยกันเรื่อง “บ้านอองโตนี” และชีวิตของบุคคลสามท่านที่เกี่ยวข้องกับท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์
ผมขอแนะนำท่านแรกก่อนนะครับ จริง ๆ แล้วเป็นฝรั่ง แต่พูดภาษาไทยชัด จะเรียกว่าคนไทยเลยก็ได้ ชื่อจริงก็เป็นภาษาไทยด้วย คุณรณรงค์ โลร็องครับ ส่วนอีกสองท่านข้างผม คุณป้าดุษฎี พนมยงค์ และทางขวามือสุด คุณป้าสุดา พนมยงค์ ครับ
เราขอเริ่มก่อนถึงเรื่องว่าทั้งสามท่าน โดยเฉพาะคุณโรล็อง เกี่ยวข้องอะไรกับบ้านอองโตนี
โลร็อง มาเลสปีน :
ผมชื่อ โลร็อง ชื่อเต็ม โลร็อง ฟรองซัว โดมินิค มาเลสปิน (Laurent Francois Dominique Malespine) เกิดที่ปารีส จนถึงอายุ 17-18 ไม่เคยออกจากประเทศฝรั่งเศส ผมเกิดในครอบครัวปัญญาชน คุณพ่อ คุณแม่ เป็นนักข่าว นักเขียน และเพื่อนสนิทของคุณพ่อ-คุณแม่ เป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ของเอเชีย โดยเฉพาะเชี่ยวชาญญี่ปุ่น ผมเคยบ้านท่านนั้นนะตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบว่า ตอนนั้นผมทึ่งมาก โหพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ แกพูดภาษาญี่ปุ่นนะ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ จีน ไทย ญี่ปุ่น อะไรแต่รู้สึกว่าเท่จัง
ช่วงอายุผม 16-17 แม่ผมป่วยหนัก และในที่สุดก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตอนนั้นผมยังไม่ 17 ดี ชีวิตของผมโลกพังสลายเพราะไม่มีแม่ที่เป็นทั้งแม่ ทั้งเพื่อน ทั้งครู พอดีมีเพื่อนบ้านในตึกเดียวกันเป็นคนเวียดนาม มาบอกพ่อผมว่า กำลังจะไปเที่ยวเมืองไทย ลูกคุณดูท่าทางซึมเศร้า ไปด้วยกันสิจะได้เปลี่ยนบรรยากาศ ผมจำได้ว่าก่อนมาเมืองไทยครั้งแรก ผมไม่อยากมาเพราะว่าอยากอยู่กับความเศร้า อยู่เงียบ ๆ ไม่อยากไปไหน แต่ที่สุดก็ตัดสินใจมา

พอมาเมืองไทย ยอมรับว่าหลงรักในทันดีทันใด ทั้งอาหารไทย วัฒนธรรม ทุกอย่างชอบหมด และมันรื้อฟื้นความรู้สึกว่าเราสนใจเอเชีย ภายในไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้น จึงตัดสินใจจะเรียนภาษาไทย พอกลับไปปารีส โทรไปสถานทูตไทย โทรไปหาเจ้าหน้าที่คนรับสาย เป็นเพื่อนของ พี่แป๋ว (คุณสุดา) ,พี่ดุษ (คุณดุษฎี) ชื่อคุณเรวา สารสาส เป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสถานทูต แกบอกว่ามีครูสอนพิเศษชื่อ สุดา พนมยงค์ ณ วันนั้นผมยังไม่มีความรู้ ว่าท่านปรีดีเป็นใคร นามสกุลพนมยงค์ มีความหมายยังไง ผมไม่ทราบอะไรเลย ก็ติดต่อมาจนในที่สุดได้เรียนภาษาไทย วันแรกผมเจออาจารย์ (คุณสุดา) และคนที่สองในตระกูลที่รู้จักคือ คุณตุลยา (พนมยงค์) เริ่มไปเรียนมา 3 เดือน
มีวันนึง อาจารย์สุดาบอกผมว่า สักวันหนึ่งคุณจะสามารถพูดภาษาไทยให้คนไทยฟังทางโทรศัพท์โดยที่เขาไม่รู้ว่าพูดกับคนต่างชาติอยู่ ผมบอก อาจารย์นี่ปากหวานจัง แต่ลองดูก็ได้นะ จากวันนั้นผมมุ่งมั่นเรียนภาษาไทย พูดได้เลยว่าทุกวันนี้ผมนับถืออาจารย์เหมือนให้ชีวิตรอบสอง พอดีกับช่วงที่คุณแม่ผมเสียไม่นาน เลยเหมือนกับว่าได้ชีวิตใหม่ เมืองไทย ภาษาไทย เปิดประตูทุกอย่าง ชีวิตผมในวันนี้ ไม่ว่าจะชีวิตครอบครัว ชีวิตการทำงาน ตอนเป็นนักข่าวที่รู้จักคุณประวิตรครั้งแรก มาจากการที่ผมเรียนภาษาไทยทั้งนั้น ทุกวันนี้ก็ยังอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 คือ 47 ปีแล้ว 10 ปีแรก ไป ๆ กลับ พอ พ.ศ. 2531 จึงมาอยู่ถาวรจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ได้สัญชาติไทยมาเกือบ 10 ปี แล้วครับ
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
เดี๋ยวไปคุยเรื่องเกี่ยวกับบ้านอองโตนีหน่อยครับ ก่อนที่เราจะเริ่มรายการ เห็นบอกว่าจริง ๆ คุณโลร็องไม่เคยค้าง (บ้านอองโตนี) แม้กระทั่งคืนเดียว
โลร็อง มาเลสปีน :
ไม่เคยแต่ว่าไปบ่อยมาก
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ไปทำอะไรครับ เพราะว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าไปดูในคลิปเก่า เคยให้คุณดำรง พุฒตาล สัมภาษณ์ สัก 30-40 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังหนุ่มมาก ยังหล่อ ช่วยอธิบายนิดนึง แล้วก็คิดว่าบ้านนั้นเนี่ย มีความสำคัญอย่างไร
โลร็อง มาเลสปีน :
ครั้งแรกที่ผมไปบ้านหลังนั้น คือเริ่มเรียนกับอาจารย์สุดา คิดว่าเรานัดกันที่ ๆ คนไทยที่อยู่ปารีสทุกคนต้องรู้จัก เป็นสถานที่สำคัญของสังคมไทยในฝรั่งเศสเรียกว่า “หอลาว” ที่จริงคือ เมซงเดอลาซีเตซูด-เอสต์ ที่เขตซีเต ยูนิแวร์ซีแตร์ คือเขตบ้านพักของนักศึกษานานาชาติในปารีส หลังจากนั้นพอเรียนไปเรียนมาได้เปลี่ยนที่ไปหลายครั้ง ในที่สุดอาจารย์ก็บอกว่าให้มาเรียนที่บ้าน ครั้งแรกไปเรียนชั้นล่างของบ้าน เป็นระดีบเดียวกับถนน ห้องเป็นชั้นพื้นดิน แต่ที่เหมือนเป็นห้องใต้ดิน เพราะบ้านพักส่วนใหญ่คือชั้นบน
ผมจำได้ว่าเป็นครั้งที่แรกที่เห็นคุณยาย ขออนุญาตเพราะเคยเรียกติดปากว่าคุณยาย คือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ กำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องชั้นล่าง แล้วอยู่ดี ๆ ท่านหนึ่งเดินเข้ามา เหมือนไปจ่ายตลาดมาแล้วเดินเข้ามา

บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส ฝรั่งเศส
ไปเรียนในบ้านนั้นหลายครั้ง จนพอเริ่มรู้จักสังคมคนไทยในปารีส นักศึกษาหลาย ๆ ท่าน ก็ไปแชร์อพาร์ตเมนต์ แถว ปอร์ต เดอ ชัวซี คือเป็นย่านคนจีนอันดับหนึ่งของปารีส กับคนไทยอีก 4-5 คน มีเพื่อนสนิท เพื่อนรักมาก ชื่อพี่เทียน อาจารย์ชัยวัฒน์ บุนนาค ต่อมาได้เป็นอาจารย์ระดับบริหารของธรรมศาสตร์ แล้วก็มี เก๋, หลา, พี่อี๊ด และอีกหลายคน
เวลามีงานในสังคมไทย บางครั้งที่หอลาว จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นครั้งแรกที่ผมฟังอาจารย์ปรีดีบรรยายคือที่หอลาว ไปฟังท่านบรรยาย แล้วเพื่อนบ้านโดยเฉพาะ เก๋ และ หลา เป็นนักดนตรีไทย เล่นขิม เล่นซอ สอนผมเล่นซอด้วงด้วย เวลามีงานสำคัญ เพื่อน ๆ จะชวนไปร่วมงานไม่ว่าจะที่หอลาว หรือเป็นที่บ้านก็เคยไป พอไปที่บ้านจะเห็นชัดว่า เป็นศูนย์รวมสังคมนักศึกษาไทยในฝรั่งเศสจำนวนมาก ทุกวันนี้หลายท่านก็เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตำแหน่งสำคัญ ๆ ผมไปเดินเล่นแถวนั้นจึงได้รู้จักหลาย ๆ ท่านตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการหรือหลายคนกลายเป็นนักการเมือง
พอเรียนภาษาไทยสักระยะ อยู่ดี ๆ สถานทูตไทย ต้องการคนเป็นพนักงานท้องถิ่น เลขาในห้องท่านทูต ผมรู้จักตั้งแต่สมัยท่านทูตโอวาท สุทธิวาทนฤพุฒิ พ่อของท่านผู้ว่าแบงค์ชาติ (ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ) ผมยังอยู่ปารีสเหมือนเดิมแต่ได้ฝึกภาษาไทยทุกวัน แถมมีคนจ้าง ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบ พออยู่สถานทูตก็มาเป็นล่ามให้คณะเยอะแยะมากมาย คนดังทุกวงการของเมืองไทยไม่ว่าทหาร นักธุรกิจ ข้าราชการ สส. สว. และช่วงนั้นแหละที่สื่อมวลชนหลายคณะบอกว่า เวลาผมไปช่วยประสาน ช่วยดู ขอแวะบ้านอองโตนีหน่อย
ท่านหนึ่งที่สำคัญมากคือคุณดำรง พุฒตาล ตอนนั้นสนุกกับการช่วยคุณดำรงอยู่หลายวัน ไปต่างจังหวัดด้วยกัน ไปแถบเบอร์กันดีในฝรั่งเศสด้วยกัน และในปารีสหลาย ๆ ที่ ภาพที่ได้เห็นของรายการเก่าคุณดำรง พาไปก็เห็นภาพ ยังคิดถึงอดีตว่า สนุก ผมไม่ค่อยชอบดูตัวเองนะ
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
เดี๋ยวผมขอไปทางคุณป้าสุดา เหตุผลวันนี้ที่ทำรายการ นอกจากจะครบ 125 ปี ชาตกาลของท่านปรีดี พนมยงค์ แล้ว ในขณะเดียวกัน คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ซื้อบ้านอองโตนีแล้ว คาดว่าในปี พ.ศ. 2569 น่าจะพร้อมเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งถ้าอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของคุณธนาธรเมื่อปี พ.ศ. 2567 คุณธนาธรบอกว่า อยากจะให้พื้นที่ของบ้านอองโตนี เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเรื่องประชาธิปไตย ในมุมมองของคนในครอบครัว คิดว่ามีอะไรที่อยากจะเล่าและคิดว่าให้ความสำคัญของบ้านนี้เป็นอย่างไร?
สุดา พนมยงค์ :
ตอนที่คุณพ่อปรีดี ออกมาจากประเทศจีน ตอนแรกก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นะคะ ต้องไปเช่าห้องอยู่ เป็นแฟลตเล็ก ๆ ในเมืองก่อน แล้วต่อมาคุณปาล พนมยงค์ บอกว่ามีบ้านขาย ประกาศขายอยู่ที่อองโตนี
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ซึ่งอยู่ชานกรุงปารีส?
สุดา พนมยงค์ :
ใช่ค่ะ คุณปาลตอนนั้นเรียนปริญญาเอกอยู่แล้ว เขาพักแถว ๆ นั้น ที่เมืองอองโตนี (ชานกรุงปารีส) จะได้ใกล้กันเลยไปซื้อบ้านนั้น คุณพ่อ, คุณแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นกัน ทั้งที่เห็นจากภาพแล้วเป็นเพียงบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง แต่ว่าสามารถรับรองคนได้ไม่รู้ตั้งกี่สิบคน เขา (โลร็อง) เล่านั่นก็เป็นความจริง 100 % ที่ว่ารู้จักกันโดยอย่างไร มันมีเกี่ยวกับอะไรบางอย่างด้วย ที่เขาบอกเป็นคนที่ทำงานที่สถานทูตคนหนึ่ง เขาชื่อเรวา สารสาส เป็นเพื่อนกับดุษฏี รุ่นเดียวกับดุษฏี เป็นลูกของครอบครัวที่สนิทสนมกัน คือ คุณพระสารสาสน์พลขันธ์ แต่ท่านมีภรรยาคนที่สองเป็นคนฝรั่งเศส พอคุณพระเสียชีวิต เขาเลยย้ายกลับไปอยู่ฝรั่งเศส แต่เนื่องจากเขารู้ทั้งภาษาฝรั่งเศส ภาษาไทย สถานทูตเลยให้ทำงาน แล้วพอดีคุณโลร็องไปติดต่อกับทางสารสาส มาดามสารสาสเป็นคนติดต่อมาก่อน
โลร็อง มาเลสปีน :
โลกกลมมาก เพราะหลังจากนั้นผมไปเป็นพนักงานท้องถิ่นของสถานทูต ก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณเรวาทำงานด้วยกันอยู่ประมาณ 2-3 ปีครับ
สุดา พนมยงค์ :
อย่างที่เขาพูดนะคะ คนไทยอยู่ที่นั่นถ้าเป็นวันหยุดหรืออะไร เขาก็ชอบไปเที่ยวที่บ้าน เพราะว่าอย่างหนึ่งได้ไปคุยกับผู้ใหญ่ ไปรับความรู้จากผู้ใหญ่ ที่เขามีความเคารพนับถือโดยชื่อเสียงอยู่แล้วว่าได้เคยทำอะไรบ้าง คุณประโยชน์แก่ประเทศไทย เขาอยากไปเรียนรู้ นี่เป็นจุดสำคัญก่อนอื่น แล้วบรรยากาศของที่บ้านมีลักษณะเป็นกันเองง่าย ๆ ถ้าอากาศดีก็นั่งเล่นกันในสนาม คุณโลร็องเลยเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนไทย
ดุษฏี พนมยงค์ :
พูดถึงบ้านหลังนี้นะคะ มันเป็นบ้านประวัติศาสตร์เพราะว่า คุณพ่อ คุณแม่ อยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1970 ที่นี่ 13 ปีนะ ผู้คนที่แวะเวียนมามีทุกระดับเลย ระดับสูงสุดคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธ์ุยุคล เป็นต้น ระดับนักการเมือง สมัคร สุนทรเวช
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
คุณโรล็องเคยเจอท่านรัฐบุรุษตอนยังมีชีวิตอยู่ ความทรงจำและบรรยากาศบ้าน ในตอนนั้นเป็นอย่างไรครับ?
โลร็อง มาเลสปีน :
พูดตรง ๆ ด้วยการที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ตอนนั้น ผมจึงมีความเสียใจอย่างหนึ่ง คือผมไม่มีรูปกับท่านอาจารย์เลย ไม่มีสักรูปเลย
ส่วนคุณยาย (ท่านผู้หญิงพูนศุข) ขนาดตอนที่ผมแต่งงานคุณยายก็เป็นเถ้าแก่ให้ผมนะครับเลยสนิท ได้ถ่ายรูปกับท่านเยอะมาก ท่านน่ารักมาก ทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็มีหลานฝรั่ง แต่เคยแนะนำผมให้คนรู้จักเวลาไปหาที่บ้านบอกว่า “หลานฝรั่งของฉัน” ซึ่งรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านเรียกอย่างนี้ แต่ถ้าพูดถึงอาจารย์ปรีดี ผมคิดว่าผมได้คุยกับท่านโดยตรงจริง ๆ แค่ไม่เกิน 2-3 ครั้ง เพราะว่าผมยังเป็นเด็ก อาจจะเกรงใจ ตอนเป็นเด็กค่อยข้างเขินไม่ได้คุยเก่งเหมือนสมัยนี้
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ตอนนั้นคืออายุประมาณ?
โลร็อง มาเลสปีน :
ตอนที่ท่านเสียผมยังไม่ 22 คือรู้จักตั้งแต่ประมาณ 19-22 แต่ครั้งที่น่าคุยกับท่านยาวที่สุด คือวันที่ผมได้ถ่ายภาพรูปนั้น (ภาพบ้านอองโตนีจากมุมสูง) แล้วเอาไปมอบให้ท่านเอง คือมาให้พี่แป๋ว (คุณสุดา) ดูก่อน พี่แป๋วบอกว่า ต้องเอาไปให้คุณพ่อดู ถึงได้เอาไปให้ มีความทรงจำฟังท่านพูดหลายครั้ง ตอนนั้นภาษาไทยผมค่อย ๆ ดีขึ้น จากการสอนของอาจารย์คนเก่งของผม มีความทรงจำจากการฟังท่านบรรยายในบ้าน หรือว่าในหอลาว ข้อหนึ่งซึ่งอาจมองว่าในประวัติศาสตร์ไทยอาจจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ผมจำได้ดีเพราะว่าผมเข้าใจชัดเจนที่ท่านอธิบาย แล้วบังเอิญมันเกี่ยวกับฝรั่งเศสด้วยเลยจำได้ดี
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หอลาว จำได้ว่าท่านบรรยายบอกว่า ความภูมิใจอันหนึ่งของท่านคือ สุภาพสตรีไทย ได้มีสิทธิ์เลือกตั้งก่อนฝรั่งเศส เชื่อไหมครับ รัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับแรกของไทยมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ผู้หญิงในฝรั่งเศสมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกหลังจากนั้นเกือบ 15 ปีนะครับ เพราะไทยนำหน้าฝรั่งเศสตั้งเกือบ 15 ปีแล้ว
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ในไทยแทบไม่ได้เป็นประเด็นที่ต้องมาถกเถียงกันนะครับ ในตอนนั้นเท่าที่ผมได้อ่าน
โลร็อง มาเลสปีน :
ผมว่าสังคมไทยมีความทันสมัยในหลาย ๆ เรื่อง ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ ต่อมาผลงานอันหนึ่งส่วนตัวที่ผมได้ทำอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ทำสารคดีประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ยุคสนธิสัญญาเบาว์ริงถึงปัจจุบัน พอเราค้นข้อมูลเราพบว่า แม้แต่ข้อมูลยุครัชกาลที่ 5 ปรากฏว่า อำแดง (คำเรียกสตรีชาวบ้าน) เป็นเจ้าของที่ เป็นคนจัดการอะไรต่ออะไร คือสิทธิสตรีของไทย ผมเชื่อว่าเข้มแข็งมาตลอด อย่างที่ท่านบอกว่า ไม่ได้มีประเด็นตอนที่เกิดระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องมีสิทธิเท่ากัน ทั้ง ๆ ที่ฝรั่งเศส หลังสงครามโลกครั้งที่สอง บางประเทศช้ากว่านั้น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ให้สิทธิ์ผู้หญิงเลือกตั้งช้ามาก ฝากบอกคนไทยที่หวังดี สนใจเรื่องการเมือง คนที่คิดว่าเราเป็นโมเดล บางทีก็ไม่ได้เป็นโมเดลขนาดนั้น ทุกคนมีวิถีของตัวเองในการพัฒนา
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
เรื่องรูป ช่วยขยายความเมื่อครู่นี้ได้พูดถึงภาพนั้น คือภาพอะไร ท่านผู้ชมอาจจะไม่ทราบ แล้วมีความสำคัญอย่างไร

ภาพถ่ายบ้านอองโตนี (หลังคาสีส้มติดถนน) โดย โลร็อง มาเลสปีน
โลร็อง มาเลสปีน :
เมื่อ ค.ศ. 1981-1982 ผมเป็นทหาร ตอนนั้นที่ฝรั่งเศสยังมีเกณฑ์ทหาร ช่วงแรกจะไปขับรถบรรทุก แต่บังเอิญป่วยต้องไปอยู่โรงพยาบาลนาน พอออกจากโรงพยาบาล เขาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยไปดูประวัติผม ก่อนเกณฑ์ทหารเป็นช่างภาพ เลยให้เริ่มทำงานเป็นช่างภาพ ไปเป็นช่างภาพในกองบินของกองทัพบกฝรั่งเศสคือ ไปอยู่ฐานทัพฝรั่งเศสที่อยู่ใกล้ ๆ ปารีสเป็นฐานทัพเฮลิคอปเตอร์ผมมีหน้าที่ถ่ายรูปสารพัด ไม่ว่าจะในพิธี หรือวาระต่าง ๆ บางครั้งจะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ถ่ายภาพตามเจ้านายสั่ง
มีวันหนึ่งเขามาบอกว่า เมืองอองโตนีขอความร่วมมือกับหน่วยงานเรา ให้ไปถ่ายภาพพื้นที่แถวนั้น ยุคนั้นผมพูดถึง 40 ปีที่แล้ว ไม่มีโดรน ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีกูเกิลแมพ ไม่มีจีพีเอส ถ้าคุณต้องการภาพจากอากาศต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์แล้วถ่าย ไม่มีวิธีอื่นใด
เวลาถ่ายภาพจากเฮลิคอปเตอร์ที่ผมขึ้นไปหลายครั้ง เป็นกล้องของทหารซึ่งใหญ่มาก หนัก 5-6 กิโลกรัม ฟิล์มขนาดใหญ่ 6x9 แต่ผมพกกล้อง Nikon ของตัวเองไปด้วย แล้วพอผ่านไป โห เหลือเชื่อ บ้านหลังนี้แหละ (บ้านอองโตนี) รู้สึกว่ามันเป็นความบังเอิญนะ ไปผ่านตรงนั้นเลยถ่ายภาพ แล้วพอหลังจากนั้นเร็วที่สุดที่มีโอกาสก็ล้างภาพ แล้วมาให้อาจารย์สุดาดู แล้วอาจารย์ก็บอกว่า เอาไปให้คุณพ่อปรีดีดูเลย เป็นครั้งที่น่าจะได้คุยกับท่านอาจารย์ยาวที่สุด
พอต่อมาท่านอาจารย์เสีย มีคนเอาภาพนั้นไปเป็นปกหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของท่านปรีดีในต่างแดน มีมติชนพิมพ์ซีรีส์บทความเกี่ยวกับท่านปรีดี เอารูปนี้ไปลง มติชนสุดสัปดาห์ ทุกอาทิตย์ เป็นเดือน ๆ แล้วต่อมาทุกวันนี้ในงานวันปรีดี ทุกปีหนังสืองานวันปรีดีก็มักจะเอารูปนั้นมา เพราะเข้าใจว่าเป็นพยานหลักฐานอันเดียวตอนนั้นที่จะให้ดูว่า บ้านไม่ได้เป็นบ้านหรูหราอะไร เป็นบ้านชานเมืองธรรมดา ๆ แล้วก็ค่อนข้างเห็นว่าอยู่บริเวณ ตรงข้ามสนามกีฬาและริมถนนใหญ่
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ถ้าวัดเป็นตารางวาของไทยนี่สักประมาณ?
ดุษฏี พนมยงค์ :
ไม่เกิน 200 ตารางวา ครึ่งไร่
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
เมื่อครู่คุณป้าดุษฎีพูดถึงเรื่องของ การที่มีบุคคลที่สำคัญหรือไม่สำคัญ เป็นนักศึกษาหรือใครต่าง ๆ มาเยี่ยม มาทำความเคารพ ผมกำลังนึกถึงบทบาท จริง ๆ บ้านอองโตนี เป็นสถานที่สำคัญที่ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ได้ให้คำสอน ให้แรงบันดาลใจเป็นหลัก ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผู้คนเข้าไปเยี่ยม
จริง ๆ ฟังก์ชันของบ้านนั้นต่อระบอบประชาธิปไตยไทย ในช่วงที่ท่านลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส ในความเข้าใจของคุณป้าดุษฎีและคุณป้าสุดา มันมีนัยยะสำคัญอย่างไรบ้างครับ
ดุษฏี พนมยงค์ :
คนที่ไปพบก็ไปสนทนาการเมือง คุณพ่อได้ให้ทัศนะที่ถูกต้องกับทุกคนที่ไปเยี่ยม สำหรับคนที่ไปเยี่ยม บางคนเขาอาจคิดว่าเขาก็ไม่เห็นด้วย แต่บางคนส่วนใหญ่คนที่คุณพ่อมาเล่าทีหลัง คนที่เดิมเข้าใจผิดอยู่หรือไม่เห็นด้วย ก็มีความเข้าใจกระจ่างขึ้น คือตาสว่างขึ้น
โลร็อง มาเลสปีน :
จากประสบการณ์ผม หลายต่อหลายท่านบอกว่า ขอแวะบ้านนี้หน่อย ส่วนใหญ่มีทั้งคนที่รู้จักส่วนตัวหรือไม่รู้จักส่วนตัว แต่เลื่อมใส แล้วอยากจะมาแสดงความเคารพ และอยากรู้อยากถามเรื่องราว
สุดา พนมยงค์ :
พอดีอยู่ตอนที่คุณสมัครไปนะ แต่เขาไปแบบถ่อมตัวนะคะ ตอนนั้นคุณสมัคร เป็นอะไร คุณสมัครพูดได้คำหนึ่งบอกว่า ผมขอขมาท่านด้วยที่เคยอาจจะไม่เห็นด้วย
ดุษฏี พนมยงค์ :
แล้วมีเรื่อง จะมีประโยคที่ว่า “เข้าใจแล้ว ว่าอะไรคืออะไร”
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
จริง ๆ มีท่านอื่นด้วยที่ชีวิตตอนแรก ๆ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ท่านปรีดี พนมยงค์ อย่างอาจารย์สุลักษณ์ (ส.ศิวรักษ์) ก็เป็นหนึ่งในคนที่เมื่อก่อนคือตำหนิ ใช่ไหมครับ
ดุษฏี พนมยงค์ :
แล้วก็มีลูกม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (ม.ล. รองฤทธิ์ ปราโมช)
สุดา พนมยงค์ :
แล้วคุณคึกฤทธิ์ เขายังเคยให้สัมภาษณ์ว่า ลูกผมเคยไปเคารพมาแล้ว แต่พอดีที่คุณพ่อยินดีต้อนรับคุณรองฤทธิ์ เพราะว่าตอนที่ ม.ร.ว. พักตร์พริ้ง ที่เป็นภรรยาคุณคึกฤทธิ์ตอนนั้นคงเป็นเด็ก ๆ อยู่ แต่อาจจะเป็นหม่อมเจ้าแล้ว นามสกุลทองใหญ่มีตำแหน่งอยู่ในสถานทูต คุณพ่อสมัยเป็นนักเรียนอยู่ก็เคยรู้จัก เห็นมาแต่เด็กเลยเอ็นดูว่าคุณรองฤทธิ์ เป็นลูกคุณพักตร์พริ้ง
ดุษฏี พนมยงค์ :
เจ้านายที่มีฐานันดรสูงได้ไปเยี่ยมคุณพ่อด้วยไมตรีจิตหลายคน บางท่านอาจจะมีในรูปถ่าย ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอภิเษกสมรส ท่านที่อยู่ในรูปนั้น (รูปรัชกาลที่ 9 ทรงอภิเษกสมรส) ก็ไปบ้านปารีส
สุดา พนมยงค์ :
ท่านหม่อมเจ้าอัปภัศราภา ดิศกุล (เทวกุล) ซึ่งท่านรับใช้สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอยู่ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย มีการติดต่อกับทางคุณพ่อ คุณแม่ มาพักหนึ่งแล้ว เพราะตอนสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้เจอกับคุณพ่อครั้งแรกซึ่งเป็นคนละฝ่ายกัน ได้คุยกัน แล้วกรมพระยาดำรงได้ตรัสกับหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า ลูกต้องพบเขา เพราะเขาเป็นคนมีความรู้
ดุษฏี พนมยงค์ :
บ้านนี้มีคนมาทุกประเภทนะ มีทั้งเจ้านาย มีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งคนในแวดวงการเมือง แล้วก็มีนักเรียนนักศึกษาเยอะมาก
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
งั้นเฉลี่ยอาทิตย์หนึ่งมีแขกมาทุกวันเลยนะครับ เหมือนสถานทูตเลยนะครับ
ดุษฏี พนมยงค์ :
ยิ่งกว่าอีกค่ะ แขกที่มาคุณแม่จะทำอาหารเลี้ยงเอง
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
งั้นต้องทำอาหารเลี้ยงทุกวันเลย จำได้เลยข้าวคลุกกะปิของท่านอร่อย
โลร็อง มาเลสปีน :
อาหารอร่อยมากนะบ้านนี้ ผมขอเสริมนิดนึงพอพูดถึงชื่อท่านคึกฤทธิ์ ผมขอเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังจากความโง่ของผม ตอนแรกที่เรียนภาษาไทย ยังไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์การเมือง พอเริ่มเรียนภาษาไทยดีขั้นไปเรื่อย ๆ อาจารย์จะเริ่มจากการสอนพูดแล้วค่อย ๆ เอาบทความหรือบทกวี หรือ Material ต่าง ๆ มาสอนนะครับ จำได้บทกวีที่ประทับใจมากของคุณวัฒน์ วรรลยางกูร ฝันให้ไกลไปให้ถึง จนยึดเป็นคำขวัญส่วนตัวจนทุกวันนี้ เราฝันให้ไกลไปให้ถึง
อีกอันหนึ่ง อาจารย์สุดาบอกว่า เถ้าเริ่มเรียนภาษาไทยจากหนังสือพิมพ์ ต้องระวังนะหลายฉบับเขียนภาษาไม่รู้เรื่อง มันพาดหัว ตีความยาก ต้องอ่านสยามรัฐ ภาษาไทยดีที่สุด ผมจำได้ดีผมยังมีสำเนาอยู่ทุกวันนี้ บทความจากสยามรัฐที่อาจารย์ซีร็อกซ์มาให้ผมเรียน รวมทั้งบทความของท่านคึกฤทธิ์ ณ วันนั้นผมไม่มีความรู้อะไรเลย พอโตมารู้บอกว่า อาจารย์สุดาเป็นคนที่มีความแฟร์ ความเป็นธรรมที่สุดในโลก ไม่ได้ถือเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับวิชาการ คือวิชาการภาษาไทยที่ดีที่สุดต้องยอมรับไม่ว่าใครเขียน
สุดา พนมยงค์ :
อยากจะพูดว่า ใครไปบ้างนอกจากเป็นบุคคลระดับสูง ระดับกลาง ระดับนักศึกษา ซึ่งท่านปรีดีไม่เคยถือเรื่องว่าจะต้องแยกชนชั้น วรรณะ เพราะฉะนั้นพวกที่ไปเรียกว่าแสวงโชคลาภก็เรียกคุณลุง คุณป้า (อาจารย์ปรีดี ท่านผู้หญิงพูนศุข) ทุกคนเลย ให้ความสนิทสนมกับพวกเขา เหมือนอย่างกับเป็นลูกหลานคนหนึ่ง
ดุษฏี พนมยงค์ :
บางคนอาจเข้าใจผิด คุณพ่อทานอาหารง่ายมาก เด็ก ๆ เคยเห็น ทานอาหารง่ายมาก ทานอะไรก็ได้ เรามีผู้ช่วยคนหนึ่ง ทำอะไรก็ทานอันนั้น เป็นคนที่ไม่ว่า การกิน เสื้อผ้า ชุดสูทที่ซื้อที่สิงคโปร์ตอนหนีจากเมืองไทย (ลี้ภัยไปจีน) พอตอนที่สิ้นชีวิต เราก็ได้นำสูทนั้น เป็นสีน้ำเงินกรมท่าและเส้นสีขาวให้ใส่ ใส่ไปในโลงด้วย เป็นชุดที่รักอยู่กับคุณพ่อมา 40 กว่าปี
โลร็อง มาเลสปีน :
เวลาดูรูปจากเฮลิคอปเตอร์ที่ผมถ่าย หน้าบ้านโปรดสังเกตมีรถคนหนึ่งครับ “เปอร์โยต์” สีบรอนซ์ของพี่ณี (วาณี พนมยงค์) ซึ่งพี่ณีใช้บ่อย
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ขอถามคุณโลร็องอีกครั้ง กลับไปเรื่องตอนที่คุณดำรง พุฒตาล ในสัมภาษณ์ ผมแปลกใจตรงที่ในคลิปเราจะเห็นคุณดำรง พุฒตาล ซึ่งตอนนั้นยังหนุ่ม เดินดูห้องต่าง ๆ เสื้อผ้าของท่านปรีดี แต่คำถามที่ถามคุณโลร็อง ตอนนั้นกลับเป็นแค่เรื่องผลไม้ ซึ่งยุคนั้นผลไม้ฝรั่งก็คงเข้าไทยมาได้ยังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คุณดำรงถามคุณโลร็อง มีแค่เรื่องผลไม้ซึ่งอันแรกก็คือลูกแพร์ อีกอันเป็นลูกแอปเปิ้ล

โลร็อง มาเลสปีน และ ดำรง พุฒตาล
โลร็อง มาเลสปีน :
ผมขอยอมรับนะครับ ลืมรายละเอียดทั้งหมด คือจำได้ว่าพาคุณดำรงไปบ้าน แต่รายละเอียดทั้งสิ้นลืมไปหมดแล้ว เกือบ 40 ปีมาแล้วนะ แต่ที่จำได้คือตอนนั้นคุณดำรงไปในฐานะที่เป็นดาราโทรทัศน์ไทยอันดับต้น ๆ แกมีรายการดังมาก โดยเฉพาะเรื่องเดินทางต่างประเทสเป็นคนแรก ๆ ที่ทำรายการเรื่องเดินทางไปต่างประเทศ แล้วแกมีรายการดังมากเป็นคุยข้างเวทีมวย คู่สร้างคู่สม
การมาบ้านนี้เหมือนเป็นความต้องการส่วนตัวของคุณดำรง ด้วยความเคารพที่มีต่อท่านปรีดี ต่อมาหลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ผมมาเมืองไทย คุณดำรงยังชวนบอกว่า มาคุยข้างเวทีเลย ผมบอกว่าขอตัวเพราะมวยไม่ใช่ เราไม่ถนัด คุณดำรงทำทั้งหมดด้วยความรัก ความเคารพต่อท่านปรีดีที่มาบ้านนี้ ช่วงที่เราดูภาพกันที่มีภาพ พี่ณี พี่แป๋ว ดูภาพอันนี้จำได้แต่เรื่องผลไม้พูดตรง ๆ พอกลับมาดู มีอย่างนี้ด้วยเหรอ ฉันลืมไปแล้ว และหวังว่าคงไม่ได้ออกอากาศนะครับ
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
อยากถามคุณป้าทั้งสองว่า ช่วงนั้นเท่าที่พอจะทราบ การพูดถึงท่านปรีดีโดยสื่อไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ ในช่วงนั้นยุคของพลเอกเปรม
ดุษฏี พนมยงค์ :
ช่วงปลายสงครามเย็น จีนก็เริ่มผ่อนคลายหรืออะไรไม่ทราบ ที่คุณพ่อให้เรานั่งเขียนแล้วง่วงไปพัก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกรณีสวรรคต ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการต่อสู้ กรณีสวรรคตที่คุณพ่อถูกใส่ร้ายป้ายสี คุณพ่อเป็นผู้ฟ้องแล้วเป็นผู้เขียนคำฟ้องเอง
สุดา พนมยงค์ :
ถ้าสรุปคือ คุณพ่อปรีดี ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ใช้หนทางที่เรียกว่าถูกต้องตามกฎหมาย
ดุษฏี พนมยงค์ :
จำแม่นเลยคือวันชัย (วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์) “จอบ” เป็นคนเอาปรีดีกลับมาทางสื่อ หลังจากนั้นก็เริ่ม คนก็อยากรู้ว่า ปรีดีเป็นใคร ปรีดีทำอะไร เพราะตอนก่อนหน้านั้น ปรีดีไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจในวันนี้ หรือในความเป็นจริง คุณพ่อบอกว่า สัจจะเป็นอมตะ
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
บทเรียนจากบ้านอองโตนีนะครับ ในส่วนที่โยงกับวิวัฒนาการการเมืองไทยเป็นอย่างไร แล้วก็อยากจะเห็นบ้านนี้ทำหน้าที่บทบาทอย่างไรในอนาคตนะครับ ผมเชื่อมั่นว่าคุณธนาธร ก็คงอยากจะทราบด้วย ไม่ทราบว่าได้คุยรายละเอียดมากน้อยแค่ไหน รายละเอียดของการเปิดพื้นที่ที่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือเป็นพื้นที่เปิดทางการเมืองสำหรับคนไทย และอาจจะสำหรับคนฝรั่งเศสที่สนใจการเมืองไทยหรือการเมืองในภูมิภาค จะเป็นอย่างไร?
ดุษฏี พนมยงค์ :
ท่านเขียนเอาไว้ว่า ผลของการก่อสร้างไว้ดีแล้วย่อมไม่สูญหาย นี่คือผลของการก่อสร้างที่ดีแล้วของปรีดี แต่สิ่งนี้จะได้รับการยอมรับหรือไม่ มันต้องอยู่ที่คนนะคะ มันต้องอยู่ที่คน ที่สังคม
สุดา พนมยงค์ :
มีส่วนดีนะคะ ที่มีคนไปเยี่ยมเยียนแล้วก็ไปถามปัญหา แล้วเชิญให้ท่านไปบรรยายบ้าง คิดว่าคนที่ไปหาจะเป็นฝ่ายไหนอะไรก็ตาม คงได้รับข้อคิดเห็นที่น่ารับฟัง แล้วคนไหนที่ไปถึงขั้นว่า ทำให้เข้าใจทัศนคติของท่าน แล้วก็ทำให้ไปค้นคว้าหาข้อเท็จจริงกันเอง มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของคุณพ่อ เวลาจะสอนพวกเรา มักจะตั้งคำถาม ถ้าเราตั้งคำถามท่าน ท่านจะตั้งคำถามตอบย้อนมาก่อน แล้วเท่าที่คิด เท่าที่รู้คืออะไร ค่อยอธิบายด้วยเหตุผล
โลร็อง มาเลสปีน :
ที่จริงผมนึกถึงนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสท่านหนึ่ง เพิ่งเสียอาทิตย์นี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านเคยเขียนหนังสือซีรีส์หนึ่งเรียกว่า “ลิเยอ เดอ เมมัวร์” (Lieu De Mémoire) เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ถ้าแปลคำต่อคำ คือพยายามสอนประวัติศาสตร์หรือขยายความประวัติศาสตร์ เริ่มจากจุดหนึ่งแล้วก็เล่าที่มาที่ไปของอันนี้ เพื่อเป็นการสื่อถึงประวัติศาสตร์ที่กว้างกว่านั้น แต่เอาสถานที่หรือเอาสัญลักษณ์อะไรบางอย่างไปทำ เหมือนเป็นศูนย์รวมความทรงจำเพื่อสอนประวัติศาสตร์ ผมคิดว่าถ้าจะใช้บ้านหลังนี้ ไม่ว่าใครเป็นเจ้าของ เมื่อในสมัยที่ท่านอาจารย์และทั้งครอบครัวอยู่ในบ้านหลังนั้น ถือว่าเป็นศูนย์รวมสังคมไทย ผมกล้าพูดว่าน่าจะรองจากสถานทูต น่าจะเป็นสถานที่สำคัญของสังคมไทยในปารีส ในเวลานั้นนะครับ
ในฐานะที่ตลอดชีวิตตั้งแต่เริ่มเกี่ยวข้องกับเมืองไทยผมก็พยายามเผยแพร่เรื่องความรู้เกี่ยวกับเมืองไทย ให้กับโลกภายนอก ช่วงที่ผมเป็นนักข่าวหรือไม่ว่าจะด้วยหน้าที่อะไร ไม่ว่าผมทำสารคดีประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ คือเผยแพร่ความรู้ให้คนเข้าใจซึ่งกันและกัน เพราะว่าการใช้สถานที่แห่งหนึ่ง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อความ อาจจะไม่เฉพาะการเมือง สิ่งที่เมืองไทยได้จากประสบการณ์ของยุคคณะราษฎรส่วนที่เกิดจากปารีสนะครับ แน่นอนมีการเปลี่ยนแปลงต่อทางการเมืองที่เกิดขึ้น จะสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แผนเศรษฐกิจหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่ามันคือส่วนหนึ่งของกระบวนการประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ซึ่งทั้งไทย ทั้งหลายประเทสในยุคนั้น มีอะไรต่ออะไร

เพราะฉะนั้นถ้าเราอนุรักษ์และสื่อให้รุ่นต่อไปทราบ ขอพูดในฐานะประวัติศาสตร์ผมว่าต้องพยายามแยกจากการเมือง การเมืองคือมักจะเป็นของปัจจุบัน เราเห็นชัดว่านักการเมืองวันนี้เป็นเพื่อนวันรุ่งขึ้นเป็นศัตรูกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองระยะยาว ประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการเมืองในแต่ละช่วง แต่เป็นการศึกษาเชิงลึก แล้วเอาสถานที่เป็นตัวสื่อเราได้เห็นว่า เช่นตอนนั้นอาจจะมองว่าท่านปรีดีไม่เป็นที่ยอมรับในเมืองไทย แต่ที่จริงใครไปฝรั่งเศสก็ไปหาท่านหมด
อย่างที่พี่ดุษฎีเล่า มันสื่อถึงความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ ไม่ได้ง่าย ๆ แบบขาว แบบดำ ฉะนั้นการใช้สถานที่เป็นตัวสื่อการสอนผมว่าเป็นเรื่องที่โดยหลักการทั่วไป ผมไปประเทศอื่น ผมไปเมืองจีนบ่อยก็ไปดูบ้านที่อาจารย์ปรีดี ครอบครัวอยู่ที่กวางโจว ใครไปเมืองกวางโจว ขอแนะนำให้ไปดู อยู่ที่เกาะซาเมี่ยน กลางเมืองกวางโจว เราเห็นสถานที่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่เคยเป็นสถานกงสุลอังกฤษ ยุคจีนตกต่ำแล้วอังกฤษมาบีบจีน
ต่อมา เติ้งเสี่ยวผิง ให้ท่านปรีดีไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น บ้านหลังนั้นเลยเป็น ลิเยอ เดอ เมมัวร์ อีกแห่งหนึ่งได้เลย เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่สื่อถึงอะไรต่ออะไร ผมอยากให้คนรุ่นนี้ศึกษาประวัติศาสตร์เยอะ ๆ ขอสนับสนุนให้ใช้สถานที่อะไร ที่สื่อถึงความได้ก็เป็นที่สื่อความหมายทางประวัติศาสตร์
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
ผมมั่นใจว่าปีหน้า (2569) คนไทยที่มีโอกาสไปเยือนปารีสก็น่าจะมีโอกาสได้เข้าเยี่ยมชม ผมคิดว่าคุณธนาธรก็คงอยากจะเปิดพื้นที่นี้ โดยไม่ต้องรออะไรให้มันนานกว่านี้ แล้วมีอะไรที่อยากเสนอคุณธนาธรแบบสาธารณะไหมครับในการจัดการบ้าน
สุดา พนมยงค์ :
โดยรวมคือ อยากจะให้เป็นสถานที่ที่ได้อธิบายประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ปรีดี ให้ได้ไปเรียนรู้ว่า เป็นใคร ทำอะไรมาบ้าง ก็จะมีมุมที่กล่าวถึงเรื่องใดในนี้
ดุษฏี พนมยงค์ :
อยากจะให้คนไทย เรียนรู้ประวัติศาสตร์เพราะว่าปัจจุบันนี้ประวัติศาสตร์ของชาติไทย กวีคนหนึ่งชื่อ วิสา คัญทัพ เคยเขียนไว้
“มีก็เหมือนไม่มีประวัติศาสตร์ ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ”
ก็อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นสัจจะแล้วประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้ายิ่งหว่านี้มาก ๆ เลยค่ะ
ประวิตร โรจนพฤกษ์ :
วันนี้ได้เวลาเป็นอันสมควรนะครับ ผมต้องขอขอบพระคุณทั้งสามท่านนะครับ ในนามของสถาบันปรีดี พนมยงค์ พบกันใหม่ในโอกาสหน้าครับ
หมายเหตุ :
- เรียบเรียงโดยกองบรรณาธิการ