“มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อวันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 เป็นผลสืบเนื่องมาจากการตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พุทธศักราช 2476 ในวันที่ 17 มีนาคม และมีผลบังคับใช้วันที่ 20 มีนาคม (ถ้านับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2477) โดยเป็นไปตามมาตรา 4 ความว่า
“ให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมหาวิทยาลัยหนึ่ง เรียกว่า “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” มีหน้าที่จัดการศึกษาวิชากฎหมาย วิชาการเมือง วิชาเศรษฐการและบรรดาวิชาอื่นๆ อันเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง”
ครั้นสถาปนามหาวิทยาลัยขึ้นแล้ว ก็อาศัยพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ส่วนที่ 3 ผู้สอนมหาวิทยาลัย มาตรา 40-45 มาดำเนินงาน ได้แก่ ผู้สอนชนิดสามัญแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ ศาสตราจารย์สามัญ และ รองศาสตราจารย์สามัญ ขณะที่ผู้สอนชนิดวิสามัญแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ศาสตราจารย์วิสามัญ, รองศาสตราจารย์วิสามัญ และผู้บรรยาย
ศาสตราจารย์สามัญ คือ ผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นจากบุคคลที่เป็นรองศาสตราจารย์สามัญมาก่อน มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปี ด้านรองศาสตราจารย์สามัญคือผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นจากบุคคลที่ได้รับปริญญาเอก (สามัญหรือกิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยนี้ และสอบแข่งขันวิชาชั้นรองศาสตราจารย์ได้
ทางมหาวิทยาลัยยังนำเอามาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติมาแต่งตั้งศาสตราจารย์วิสามัญประจำสำนักการศึกษา ดังมีรายละเอียดว่า
“มาตรา ๔๓ ศาสตราจารย์ หรือ รองศาสตราจารย์วิสามัญนั้น คือ ผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นจากบุคคลที่ได้รับปริญญาต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาเอก หรือผู้ที่ได้ทำการตรวจค้น หรือ กระทำการอย่างใดในสยามหรือต่างประเทศ ซึ่งคณะกรรมการมหาวิทยาลัยได้สอบสวนความรู้เห็นเป็นที่พอใจว่าชำนาญในวิชาที่จะสอนนั้นแล้ว”
นับแต่กลางปี พ.ศ. 2477 ที่มีการเสนอชื่อให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ประกอบด้วย
- หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ
- พระยามานวราชเสวี (ปลอด ณ สงขลา)
- พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ (วัน จามรมาน)
- พระสารสาสน์ประพันธ์ (ชื้น จารุวัสตร์)
ลงนามผู้รับสนองพระบรมราชโองการโดย นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี
การมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และ การเมืองครั้งสำคัญ เห็นจะมิพ้นกรณีในกลางปี พ.ศ. 2482 ซึ่งบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อ ประกอบด้วย
- นายพลตรี พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
- นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ)
- นายพลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน)
- เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์)
- เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร์ ณ สงขลา)
- นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์)
ประกาศประมาณวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ลงนามผู้รับสนองพระบรมราชโองการโดย นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
ภายหลังแต่งตั้งยังได้จัดพิธีรับรองศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ในวันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2482 นับแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ ปีที่ 7 ฉะบับที่ 2708 ประจำวันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม ปีเดียวกัน รายงานข่าวเริ่มตั้งแต่หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง ลงจากรถ ทำความเคารพมหาวิทยาลัย สนทนากับผู้มาต้อนรับ และเข้าสู่ห้องพิธีในท่ามกลางบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับการเชื้อเชิญมาร่วมพิธีการ
ครั้นเวลา 17.15 น. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ ท่านผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยกล่าวแถลงถ้อยคำปราศรัย ดังหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ นำมาลงเผยแพร่ไว้
“ท่านศาสตราจารย์
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง รู้สึกเปนเกียรติยศอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสทำการต้อนรับท่านในวันนี้ เนื่องจากที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งท่านเปนศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยในวันที่ ๒๔ มิถุนายนปีนี้ อันเปนวันชาติและฉลองสนธิสัญญา.
การที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท่านเปนศาสตราจารย์ก็เนื่องด้วยคณะกรรมการมหาวิทยาลัยได้ลงมติเปนเอกฉันท์ว่าท่านได้บำเพ็ญกรณีต่างๆ สมควรที่จะดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย
อันคุณความดีของท่านนั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่จะขอกล่าว ณ ที่นี้ซึ่งนับว่าเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้นก็คือ
พล.ต. พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เปนหัวหน้าในการก่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเปนระบอบรัฐธรรมนูญ และได้เปนหัวหน้าคณะรัฐบาลที่ควบคุมในการเจรจาสนธิสัญญาจนสำเร็จในหลายประเทศ ตลอดจนทั้งได้ดำรงตำแหน่งนายกกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการมหาวิทยาลัย มาเปนเวลานับตั้งแต่ที่ตั้งมหาวิทยาลัย จนกระทั่งท่านได้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้ควบคุมการทำประมวลกฎหมายสำเร็จอันเปนสาระสำคัญในการขอเอกราชในทางศาลด้วย.
พล.ต. หลวงพิบูลสงคราม ได้เปนหัวหน้าผู้หนึ่งในการก่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเปนระบอบรัฐธรรมนูญ ได้บำเพ็ญกรณีตลอดมา และได้เปนหัวหน้าคณะรัฐบาลที่ควบคุมการเจรจาสนธิสัญญา สืบต่อจากท่านนายพลตรีพระยาพหลพลพยุหเสนาจนสำเร็จ.
พล. ร.ต. หลวงสินธุสงครามชัย ได้เปนหัวหน้าผู้หนึ่งในการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเปนระบอบรัฐธรรมนูญ และได้เปนนายกคณะกรรมการมหาวิทยาลัยนี้ตั้งแต่ท่านได้เปนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ นับว่าเปนผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์แก่การศึกษาของชาติและควบคุมให้กิจการของมหาวิทยาลัยดำเนินก้าวหน้าเปนอันมาก
น.อ. หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เปนผู้หนึ่งในการที่ได้ร่วมการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเปนระบอบรัฐธรรมนูญ เมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้มีส่วนในการเปนผู้บรรยายในมหาวิทยาลัยนี้ และได้ช่วยเหลือในการทำสนธิสัญญาคราวนี้ และเวลานี้ก็เปนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุตติธรรม อันมีส่วนร่วมในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองอยู่.
เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ได้เคยดำรงตำแหน่งนายกคณะกรรมการร่างกฎหมายซึ่งได้ร่างประมวลกฎหมายสำเร็จออกไปแล้วหลายบรรพ และเปนทั้งครูของโรงเรียนกฎหมายและครูโรงเรียนข้าราชการพลเรือนอันเปนแหล่งที่มาของมหาวิทยาลัยนี้ และในตอนที่ได้เปนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุตติธรรมก็ได้มีส่วนช่วยเหลือในราชการตุลาการอันนับว่าเปนสาระสำคัญในการเจรจาขอเอกราชในทางกฎหมาย และขณะที่เปนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็มีส่วนเปนผู้ลงนามในสนธิสัญญาฉะบับหลังนี้
เจ้าพระยามหิธร ได้เปนผู้ที่สอบไล่วิชากฎหมายได้ชั้นที่หนึ่งแห่งเนติบัณฑิตรุ่นแรกของโรงเรียนกฎหมาย และ ได้เปนครูโรงเรียนกฎหมายมานาน เมื่อครั้งเปนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านก็ได้มีส่วนช่วยเหลือในราชการตุลาการอันนับว่าเปนสาระสำคัญในการเจรจาขอเอกราชในทางศาล.
ประมวลคุณความดีของท่านดังกล่าวแล้ว มหาวิทยาลัยรู้สึกว่าการที่ท่านมาอยู่ในท่ามกลางศาสตราจารย์และครูผู้สอนทั้งหลาย ย่อมเปนประกันอันดียิ่งแห่งเกียรติคุณของมหาวิทยาลัยนี้ ซึ่งนับแต่จะก้าวหน้าต่อไปไม่น้อยหน้ามหาวิทยาลัยแห่งอารยประเทศทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสอันเปนศุภมงคลนี้ต้อนรับท่านในนามกรรมการ ศาสตราจารย์และผู้สอนของมหาวิทยาลัย และขอมอบเสื้อครุยอาจารย์ไว้แก่ท่านเพื่อเปนเกียรติยศและเปนสง่าราษีแก่มหาวิทยาลัยนี้สืบไป.”
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ต่อจากนั้น พระยาพหลพลพยุหเสนา กล่าวตอบรับในฐานะตัวแทนผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์วิสามัญ
“ท่านผู้ประสาทน์การ และ คณะกรรมการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ข้าพเจ้าขอกล่าวในนามของบรรดาผู้ซึ่งได้รับมอบเสื้อครุยศาสตราจารย์ในขณะนี้
ในการที่ท่านผู้ประสาทการและคณะกรรมการมหาวิทยาลัยได้ลงมติเปนเอกฉันท์ จะให้ข้าพเจ้าทั้งหลายดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์วิสามัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง แล้วได้นำเรื่องขึ้นเสนอต่อไปตามลำดับ จนได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเปนศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจเปนอันมากในเกียรติยศอันนี้ ยังได้รับมอบเสื้อครุยมาเปนเครื่องประดับเกียรติอีกด้วย จึงทำให้ข้าพเจ้าเพิ่มปีติขึ้นอีกมาก
ฉะนั้นข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านผู้ประสาทการและคณะกรรมการที่มีความตั้งใจดีแก่พวกข้าพเจ้า ขอท่านทั้งหลายจงเจริญด้วยจัตุรพิธพร และขอให้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจงเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปไม่มีวันเสื่อมถอย ส่วนเสื้อครุยศาสตราจารย์นั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับมอบจะรักษาไว้เปนเครื่องประดับเชิดชูเกียรติยศต่อไป.
เสร็จสิ้นพิธีการรับรอง ทั้งศาสตราจารย์วิสามัญหมาดใหม่ ท่านผู้ประศาสน์การและคณะกรรมการมหาวิทยาลัย พร้อมแขกผู้มีเกียรติได้ร่วมถ่ายภาพและร่วมกันรับประทานอาหาร ระหว่างนั้น หลวงพิบูลสงครามได้กล่าวสุนทรพจน์ในฐานะนายกรัฐมนตรีและศาสตราจารย์วิสามัญ
รับรอง
ศาสตราจารย์วิสามัญที่ทางมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้เสนอชื่อแต่งตั้งขึ้น ก็เพื่อสรรหาบุคคลเปี่ยมล้นความสามารถเข้ามาสวมบทบาทผู้สอนมหาวิทยาลัย บรรยายถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ปฏิบัติงานให้แก่นักศึกษากรณีพิเศษ นอกเหนือไปจากผู้สอนชนิดสามัญประจำสำนักการศึกษา นับว่าเป็นวิธีจัดรูปแบบการศึกษาที่น่าสนใจ และสะท้อนวิสัยทัศน์กว้างขวางก้าวไกลของท่านผู้ประศาสน์การนามปรีดี พนมยงค์
หมายเหตุ: คำสะกดดังที่ปรากฏในบทความให้คงตามเอกสารต้นฉบับ
เอกสารอ้างอิง
- “ประกาศตั้งศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 51 (1 กรกฎาคม 2477). หน้า 900
- “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องตั้งศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 56 (24 มิถุนายน 2482). หน้า 809
- ประชาชาติ. (7 กรกฎาคม 2482)
- “พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พุทธศักราช ๒๔๗๖.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 (20 มีนาคม 2476). หน้า 1007-1026