Focus
- 108 ปี ชาตกาล ไสว สุทธิพิทักษ์ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2568 เสนอชีวประวัติ ผลงาน และสะท้อนความสัมพันธ์ของ ดร.ไสว กับนายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ โดย ดร.ไสว อุทิศชีวิตทำงานเพื่อชาติโดยเฉพาะมิติการศึกษาและด้านเศรษฐกิจ
...เราเกิดมาชาติหนึ่งต้องคํานึงถึงชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่าให้เสียชาติเกิด ชาติมีบุญคุณต่อเรา ให้ที่อยู่ ให้ชีวิตแก่เรา ขอให้เรารับใช้ชาติตามหน้าที่ของเราให้เต็มความสามารถที่สุด เราเป็นหนี้ชาติ เราจงใช้หนี้นั้น เราจึงจะเป็นผู้ไม่เสียชาติเกิด การเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม การปฏิบัติหน้าที่โดยเต็มความสามารถ เป็นการถ่ายถอนหนี้ดังกล่าวประการหนึ่ง...[1]
ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์
ชีวิตวัยเยาว์

อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ถือกำเนิดที่อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นบุตรชายคนโตของนายเฟื่อง สุทธิพิทักษ์ และนางนวล (สกุลเดิม กันภัย) สุทธิพิทักษ์ เดิมบิดามีอาชีพเป็นครู ต่อมาเข้ารับราชการเป็นสมุห์บัญชีในกรมสรรพากร และย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ อําเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
หลังจากเกิดได้ไม่นานนัก คุณยายนุ่ม ผู้เป็นพี่สาวของยายแท้ ๆ และไม่มีบุตรได้ขออาจารย์ ดร.ไสวไปเลี้ยงดูที่บ้านซึ่งอยู่ที่แหลมตะลุมพุก เมื่ออายุได้ ๔ ขวบ มารดาเสียชีวิตลง อาจารย์ ดร.ไสวจึงอยู่ในความดูแลของคุณยายนุ่มเรื่อยมา
แม้จะเติบโตอย่างสุขสบายในครอบครัวของผู้มีอันจะกิน แต่อาจารย์ ดร.ไสวก็มิได้อยู่นิ่งเฉยหรือดูดาย คุณยายนุ่มมีสวนมะพร้าวถึง ๒ สวน และยังประกอบอาชีพค้าขายเครื่องอุปโภคบริโภคด้วย อาจารย์ ดร.ไสวเรียนรู้การทํางานของคุณยายนุ่ม และได้ช่วยเหลืองานในบ้านเท่าที่จะทําได้ เป็นการฝึกให้ทํางานเป็นตั้งแต่ยังเยาว์
ที่บ้านแหลมตะลุมพุก ซึ่งเป็นบ้านของคุณยายนุ่มนั้น ไม่มีโรงเรียนที่จะให้เด็กเรียนหนังสือ ดังนั้น เมื่ออายุถึงเกณฑ์ที่จะต้องเรียนชั้นประถม อาจารย์ ดร.ไสวจึงย้ายไปอยู่กับคุณยายทองแป้นซึ่งเป็นยายแท้ ๆ เพื่อเข้าโรงเรียนประจําอําเภอปากพนัง เป็นการเริ่มต้นชีวิตวัยเรียนในสถานที่ใหม่กับครอบครัวใหม่ที่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ความเคร่งครัดในเรื่องระเบียบวินัย ตลอดจนความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ทุกคนในบ้านของคุณยายทองแป้นจะต้องปฏิบัติ ได้ปลูกฝังนิสัยให้อาจารย์ ดร.ไสวเป็นคนมีระเบียบวินัย และมีความรับผิดชอบโดยปริยาย
การเล่าเรียน
เมื่อจบชั้นประถมศึกษาใน พ.ศ. ๒๔๗๑ แล้ว ที่อำเภอปากพนังสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนชั้นมัธยม คุณยายทองแป้นจึงพาอาจารย์ ดร.ไสวไปฝากเป็นศิษย์ของพระครูปลัดสง ธมฺมโชโต ที่วัดจันทาราม ตําบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเรียน ต่อชั้นมัธยม พระครูปลัดสงในฐานะผู้ปกครอ ได้ฝากอาจารย์เข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๑ ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของนายเฟื่องผู้บิดา ต่อมาโรงเรียนนี้ได้ย้ายออกมาอยู่ที่แห่งใหม่ และได้รับพระราชทานนามว่า “โรงเรียนเบญจมราชูทิศ”
ระหว่างที่เล่าเรียนในชั้นมัธยมปีที่ ๑ ถึงชั้นมัธยมปีที่ 5 ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์นี้ อาจารย์ ดร.ไสวได้เปลี่ยนสภาพชีวิตจากเด็กบ้านเป็นเด็กวัด โดยพำนักอยู่ที่วัดจันทาราม ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดท่าโพธิ์ พระครูปลัดสงเป็นที่เคารพนับถือของครอบครัวสุทธิพิทักษ์ ท่านไม่เพียงแต่ดูแลกวดขันเรื่องการเรียน ระเบียบวินัย และอบรมสั่งสอนหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจในเรื่องการศึกษา ได้ฝึกฝนวิชาการหลายอย่างให้แก่เด็กที่อยู่ในความดูแลของท่าน เช่น เป็นช่างไม้ต่อโต๊ะต่อเก้าอี้ เรียนรู้เรื่องยาไทยแผนโบราณ รักการเล่นกีฬาคือ ต่อยมวย พระครูปลัดสงจึงทําหน้าที่เป็นทั้งผู้ปกครองและครูของอาจารย์ ดร.ไสวในเวลาเดียวกัน
ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ อาจารย์ ดร.ไสวเป็นนักเรียนที่สนใจการเรียน เป็นหัวหน้าห้อง เป็นนายหมู่ลูกเสือมาตลอด ตั้งแต่ลูกเสือตรี โท เอก ท่านชอบวิชาลูกเสือ เพราะเป็นการฝึกคนให้มีระเบียบวินัย มีไหวพริบ มีความทรหดอดทน อาจารย์ ดร.ไสวมีความผูกพันกับโรงเรียนนี้มาก แม้ระยะเวลาที่จบชั้นมัธยมจะผ่านไปแล้วเกือบ ๖๐ ปีก็ตาม ท่านก็ยังจำชื่อครูทุกคนที่เคยสอนท่าน รวมทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ได้อย่างแม่นยำ
เหตุการณ์ในวัยรุ่นที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของท่านอาจารย์ตลอดมาก็คือ “การขี่จักรยานสองล้อเข้าสู่เมืองกรุง” ตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๗๕ หลังสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ได้แล้ว ครูไว อุดมวงษ์ ครูประจําชั้นได้ชักชวนลูกเสือให้ขี่จักรยานทางไกลไปกรุงเทพฯ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน อาจารย์ ดร.ไสวสมัครไปทันที ทั้ง ๆ ที่นักเรียนคนอื่นที่จะร่วมไป ล้วนเป็นผู้สอบสำเร็จชั้นมัธยมปีที่ ๖ แล้วทั้งนั้น มีแต่ท่านคนเดียวที่เพิ่งสอบไล่ได้ชั้นมัธยมปีที่ ๔
การขี่จักรยานทางไกลจากนครศรีธรรมราชครั้งนั้น ใช้เวลาขี่จักรยานทั้งหมด ๗ วัน หยุดพักกลางทาง ๔ วัน รวมเป็นเวลา ๑๑ วัน จึงถึงกรุงเทพฯ มีผู้ร่วมการขี่จักรยานเลียบรางรถไฟรวม ๘ คน อาจารย์ ดร.ไสว มีอายุน้อยที่สุดเพียง ๑๕ ปี คณะลูกเสือชุดนี้ได้ไปเยี่ยมชมหน่วยงานและสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ หลายแห่ง เมื่ออยู่ครบ ๑ เดือน ก็เดินทางกลับโดยทางเรือ ใช้เวลา ๓ วันถึงเมืองนครศรีธรรมราช โรงเรียนวัดท่าโพธิ์นำขบวนลูกเสือ มาต้อนรับที่ท่าขึ้นเรือที่ตำบลท่าแพ มีชาวบ้านจำนวนมากออกมาต้อนรับสองข้างทางด้วยความมุมานะ พยายาม และอดทนเป็นเลิศของนักขี่จักรยานกลุ่มนี้ ทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนวัดท่าโพธิ์ นครศรีธรรมราช เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวเมืองตามรายทาง และชาวกรุงเทพฯ เป็นอันมาก
เมื่อสอบผ่านชั้นมัธยมปีที่ ๖ แล้ว บิดาของอาจารย์ ดร.ไสว จะให้ท่านไปเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๗ และมัธยมปีที่ ๘ ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา แต่อาจารย์ ดร.ไสวได้ไปเห็นกรุงเทพฯ มาแล้ว เมื่อครั้ง “ขี่จักรยานสองล้อเข้าสู่เมืองกรุง” จึงมุ่งมั่นที่จะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อให้สูงที่สุด
จากนครศรีธรรมราชสู่กรุงเทพฯ
การเข้ากรุงครั้งที่สองของอาจารย์ ดร.ไสว มิใช่การขี่จักรยานเช่นครั้งแรก แต่เป็นการเดินทางโดยทางเรือ มีครูชื่น วัฒโน ครูประจําชั้นมัธยมปีที่ ๖ เป็นผู้นํามาฝากไว้ที่วัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศ์ อาจารย์ ดร.ไสวเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร ต่อมาได้ย้ายไปพำนักพักพิงที่วัดราชาธิวาส ใช้ชีวิตการเป็นเด็กวัดอีกครั้งควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือ จนกระทั่งจบชั้นมัธยมปีที่ ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙
การเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนที่กรุงเทพฯ สมัยก่อน มิใช่เรื่องง่ายนักสำหรับผู้มีพื้นฐานการศึกษาจากต่างจังหวัด อาจารย์ ดร.ไสวจึงต้องเรียนหนักมาก ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ท่านได้ครูดีที่ท่านเคารพชื่นชมอย่างยิ่ง คือ ครูพา ไชยเดช ซึ่งเก่งในการสอนวิชา ภาษาไทย และ Mr. A.G. Beaumont ครูชาวอังกฤษ ทําให้ท่านอาจารย์ชอบวิชาทั้งสองนี้เป็นพิเศษ ในการสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ท่านได้คะแนนวิชาภาษาไทยถึง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ และวิชาภาษาอังกฤษ ๙๕ เปอร์เซ็นต์
เส้นทางสายครู
เมื่อทราบผลการสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ ๘ บิดาของท่านดีใจมาก และสนับสนุนให้อาจารย์ ดร.ไสวเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษา ในตอนแรกท่านอยากเป็นนายตํารวจ ได้สมัครเข้าโรงเรียนนายร้อย แต่ตรวจโรคไม่ผ่าน เพราะมีปัญหาเรื่องสายตา จึงคิดจะเรียนกฎหมาย แต่มีเพื่อนแนะนำให้ไปชิงทุนโรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร และได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนของจังหวัดระนอง ใน พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านได้เข้าเรียนวิชาครูหนึ่งปี เป็นนักเรียนประจำกินนอนที่โรงเรียน โดยฝึกสอนที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และโรงเรียนวัดราชาธิวาส
หลังจากเรียนจบวิชาครู ได้รับประกาศนียบัตรประโยคครูประถม (ป.ป.) แล้วอาจารย์ ดร.ไสวเริ่มใช้วิชาชีพครูอย่างจริงจังครั้งแรกที่โรงเรียนวังสมเด็จบูรพา ทำหน้าที่เป็นครูประจําชั้นมัธยมปีที่ ๕ สอนวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๖ และยังสอนวิชาภาษาไทยแก่นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๔ ด้วย แต่สอนอยู่ได้ไม่นานนัก โรงเรียนก็เลิกกิจการ
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ อาจารย์ ดร.ไสวได้สมัครเรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้เลขประจำตัวที่ ๑๐๗๘๐ โดยใช้เวลาว่างส่วนหนึ่ง เป็นครูสอนพิเศษที่โรงเรียนสุวิชช์วิทยาลัย เพื่อหารายได้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพิ่มจากเงินที่ได้รับจากทางบ้าน โรงเรียนสุวิชช์วิทยาลัยเป็นโรงเรียนราษฎร์ชั้นมัธยม วิชาที่สอนคงเป็นวิชาที่ถนัดตามเดิมคือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
ธรรมศาสตร์บัณฑิต เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต ม.ธ.ก.

ขณะที่เรียนชั้นปีที่ ๓ ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง อาจารย์ ดร.ไสวไปสมัครสอบแข่งขันเข้าเป็นข้าราชการพลเรือนของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังและได้รับบรรจุเป็นข้าราชการ ในอัตราเงินเดือนเดือนละ ๒๒ บาท นับเป็นการเริ่มต้นชีวิตการเป็นข้าราชการในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ อีกสามเดือนต่อมา เมื่อสอบไล่ได้อนุปริญญาของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯ แล้ว ได้รับการปรับวุฒิเลื่อนขึ้นเป็นข้าราชการชั้นตรี อัตราเงินเดือนเดือนละ ๘๐ บาท พ.ศ. ๒๔๘๕ อาจารย์ ดร.ไสวก็สําเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี เป็นบัณฑิตทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองอย่างเต็มภาคภูมิ

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ด้วยความสนใจใฝ่รู้ที่จะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นไป อาจารย์ ดร.ไสวได้สมัครเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองอีก เพื่อนร่วมรุ่นที่สนิทสนมกันคือ นายวงศ์ พลนิกร นายสุภัทร สุคนธาภิรมย์ นายจารุบุตร เรืองสุวรรณ และนายประเสริฐ ประภาสะโนบล อาจารย์ ดร.ไสวใช้เวลาศึกษาประมาณ ๓ ปี ก็ได้รับปริญญาเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตที่จบปริญญาโทรุ่นเดียวกับท่านใน พ.ศ. ๒๔๘๘ มี ๔ คน จบสาขาอื่น ๓ คน ที่จบสาขาเศรษฐศาสตร์มีเพียงคนเดียวคือ อาจารย์ ดร.ไสว
เมื่อได้รับปริญญาเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิตแล้ว อาจารย์ ดร.ไสวยังคงรับราชการที่กรมบัญชีกลางต่อไป พร้อมกันนั้นก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาประกันภัยที่โรงเรียนกวดวิชาทางด้านกฎหมาย และได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์พิเศษตรวจข้อสอบและช่วยสอนในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯ อีกด้วย ท่านทำหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษเรื่อยมา จนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อต้องลี้ภัยการเมือง ไปอยู่ต่างประเทศ

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ และภรรยา นางสนม สุทธิพิทักษ์ พร้อมด้วยบุตรี 2 ท่าน
ในด้านชีวิตครอบครัว ระหว่างศึกษาระดับปริญญาโท อาจารย์ ดร.ไสวได้สมรสกับนางสาวสนม เกตุทัต บุตรีพระพิเรนทรเทพ (เนียน เกตุทัต) และนางสงวน (สกุลเดิม วิริยศิริ) เกตุทัต เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ภรรยาของท่านศึกษาวิชากฎหมายในสถาบันเดียวกัน ได้รับปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิต และรับราชการในกรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังเช่นกัน ท่านมีธิดาสองคนคือ อาจารย์ ดร.เลิศลักษณ์ ส.บุรุษพัฒน์ และอาจารย์เฉิดโฉม ส. จันทราทิพย์
จากกรมบัญชีกลางสู่ถนนการเมือง

ในช่วงเวลาที่อาจารย์ ดร.ไสว ศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๘) รัฐบาลไทยในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสงครามกับ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ และเข้าร่วมสงครามเป็นฝ่ายอักษะ
มีคนไทยจำนวนมากทั้งที่อยู่ในประเทศและนอกประเทศที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล จึงรวมตัวกันจัดตั้ง “ขบวนการเสรีไทย” ขึ้น เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นซึ่งส่งกองทัพเข้ามาประจำในเมืองไทยโดยใช้เป็นฐานกำลังมุ่งไปยังประเทศพม่าให้ความร่วมมือกับฝ่ายพันธมิตรเพื่อปลดปล่อยประเทศให้พ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น หัวหน้าเสรีไทยในประเทศ คือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองอยู่ด้วย ขบวนการเสรีไทยในเมืองไทย มีแผนการต่อต้านญี่ปุ่นโดยก่อการวินาศกรรมการดำเนินงานของกองทัพญี่ปุ่น รวมทั้งติดต่อกับฝ่ายพันธมิตร เพื่อชี้แจงให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ทราบจุดมุ่งหมายและแผนงานของเสรีไทยในประเทศ
ด้วยความเคารพศรัทธาในตัวอาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เป็นการส่วนตัว ประกอบกับความรักชาติบ้านเมือง อาจารย์ ดร.ไสว ได้แสดงความจำนงต่ออาจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯ ขอเข้าร่วมขบวนการด้วย คณะเสรีไทย ในเมืองไทยต้องดำเนินการใต้ดินอย่างระมัดระวังเป็นความลับ เพื่อมิให้ญี่ปุ่นสืบทราบ เพื่อนนักศึกษาปริญญาโทร่วมรุ่นกับท่านคือ นายวงศ์ พลนิกร นายสุภัทร สุคนธาภิรมย์ และนายจารุบุตร เรืองสุวรรณ ถูกส่งไปประสานงานนอกประเทศ เพื่อติดต่อกับฝ่ายพันธมิตรก่อนแล้ว ตามกำหนดเดิม อาจารย์ ดร.ไสวจะต้องออกไปทำงานนอกประเทศในวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๘ เผอิญท่านติดการสอบปริญญาโทภาค ๒ จึงปฏิบัติงานอยู่ในเมืองไทย ทางหน่วยงานได้ส่งผู้อื่นไปแทน และรอจังหวะเวลาที่จะส่งท่านออกไปทำงานเมื่อโอกาสเหมาะสม[2]
ขณะนั้นสงครามในยุโรปยุติลงแล้ว ขบวนการเสรีไทยในเมืองไทยเตรียมพร้อมที่จะร่วมมือกับฝ่ายพันธมิตรโจมตีขนาบกองทัพญี่ปุ่น นับเป็นโชคดีที่ญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างราบคาบต่อฝ่ายพันธมิตร เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ก่อนการปฏิบัติการของพวกเสรีไทย จึงไม่มีการสูญเสียและนองเลือดในเมืองไทย ต่อมาในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ออก “ประกาศสันติภาพ” มีข้อความสำคัญคือ การประกาศสงครามของรัฐบาลไทยต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ นั้น เป็นโมฆะ เพราะเป็นการกระทำที่ผิดเจตจำนงของประชาชนชาวไทย ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง และพร้อมที่จะร่วมมือเต็มที่กับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพของโลก
การจัดตั้งและการดำเนินงานของขบวนการเสรีไทย ทำประโยชน์อย่างน่าภาคภูมิใจต่อประเทศชาติ ช่วยให้การเจรจาทำความตกลงกับฝ่ายพันธมิตรผ่อนหนักเป็นเบาลงสหรัฐอเมริกาถือว่าคำประกาศสงครามของไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นโมฆะ และยังยอมรับสถานะของขบวนการเสรีไทยที่ได้ร่วมมือกับฝ่ายพันธมิตรในอันที่จะทำลายล้างอำนาจของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้นสงครามด้วย
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง รัฐบาลไทยต้องเริ่มดำเนินการอย่างเร่งด่วน ฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษให้กลับคืนดีดังเดิมเช่นสมัยก่อนสงคราม และให้ความสะดวกแก่ฝ่ายพันธมิตรซึ่งเข้ามาในเมืองไทย เพื่อปลดอาวุธและกักคุมตัวทหารญี่ปุ่นระหว่างที่รอการถูกส่งตัวกลับบ้านเมืองของตน อาจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ ได้ทำหนังสือขอตัว อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ในฐานะที่เคยร่วมทำงานในขบวนการเสรีไทย จากกระทรวงการคลังมาเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการประสานงานกับกองบัญชาการกองทัพพันธมิตร และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกักคุมตัว และการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๔๘๘

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ เป็นสมาชิกรัฐสภา พรรคแนวรัฐธรรมนูญ ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙-๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐
เดิมอาจารย์ ดร.ไสว ตั้งใจว่า เมื่อเรียนจบปริญญาโทแล้ว จะศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และฝึกฝนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม แต่สถานการณ์ทาง การเมืองในช่วงหลังสงครามทำให้วิถีชีวิตของท่านเปลี่ยนแปรไป สมัยที่ ดร.ปรีดี พนมยงค์เป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนพฤษภาคม ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๘๙ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนสิงหาคม อาจารย์ ดร. ไสวได้รับการชักชวนจากอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพนับถือ ให้ลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรเพื่อรับใช้บ้านเมือง หลังจากเป็นข้าราชการในกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเพียง ๕ ปี อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ก็ตัดสินใจสู่เส้นทางการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
ชีวิตการเมืองของอาจารย์ ดร.ไสว เริ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยตั้งใจมาก่อน เมื่อตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่บ้านเกิด จังหวัดนครศรีธรรมราชใน พ.ศ. ๒๔๘๙ นั้น เขตของท่านมีผู้แทนราษฎรเพียงหนึ่งคน แต่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด ๑๑ คน คู่แข่งขันคนสำคัญคือ ครู จำรัสเนตร ดาวสภาซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้แทนของจังหวัดตลอดมา แม้ว่าอาจารย์ ดร.ไสว จะมีข้อเสียเปรียบผู้สมัครคนอื่น ๆ เพราะจากบ้านเกิดไปนานถึง ๑๓ ปี แต่ท่านก็มีจิตใจของนักต่อสู้ที่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ
อาจารย์ ดร.ไสว เป็นผู้สมัครเบอร์ ๒ รณรงค์หาเสียงด้วยข้อความว่า “พูดจริง ทำจริง เพื่อชาติและชาวนครฯ” เขตเลือกตั้ง ๑ รวมอำเภอเมือง อำเภอท่าศาลา อำเภอสิชล กิ่งอำเภอขนอม กิ่งอำเภอลานสะกา อาจารย์ ดร.ไสว ทั้งเดินหาเสียง ลงเรือ และขี่ม้า เพื่อพบปะประชาชน ส่วนนายเฟือง บิดาของท่านซึ่งเคยรับราชการในพื้นที่เขตนี้มาแห่งละหลาย ๆ ปี ถึงแม้จะออกจากราชการฐานสูงอายุแล้ว ก็ยอมเหน็ดเหนื่อยไปช่วยหาคะแนนเสียงให้บุตรชาย นอกจากนี้ ท่านยังได้รับการสนับสนุนจากครูอาจารย์ และศิษย์ ร่วมสำนักโรงเรียนวัดท่าโพธิ์ด้วย ผลปรากฏว่า อาจารย์ ดร.ไสว มีชัยชนะในการเลือกตั้ง ด้วยคะแนนเสียงเหนือคู่แข่งคนอื่น ๆ อย่างขาดลอย ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้ง ๑ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหน้าใหม่ของเมืองนครศรีธรรมราช เติบโตทางการเมืองอย่างรวดเร็วในวัยหนุ่มย่างสามสิบปี อาจารย์ ดร.ไสว ได้รับเลือกจากที่ประชุมแนวรัฐธรรมนูญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกรัฐมนตรี (ปัจจุบันคือตําแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ในสมัยที่พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนพ้นจากหน้าที่เมื่อเกิดรัฐประหารในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐
ในช่วงเวลาปีกว่าที่อาจารย์ ดร.ไสว เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่วมปฏิบัติราชการการเมืองในฐานะเลขานุการนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านได้ทำหน้าที่ของผู้แทน เต็มความสามารถโดยถือประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ในสภาผู้แทนราษฎร ท่านได้คัดค้านรัฐบาลในสภาฯ เพื่อแก้ไขร่างกฎหมายการควบคุมนำข้าวออกนอกประเทศ ซึ่งตามร่างของรัฐบาลให้ริบเรือที่ใช้ในการกระทำผิดได้ หากเรือนั้นมีระวางขับน้ำ ๒๐๐ ตันลงมา ท่านได้อภิปรายโต้ตอบในสภา จนสภาฯ ลงมติเห็นชอบให้แก้ไขตามข้อเสนอของท่าน คือ ให้ ริบเรือได้ทุกขนาด หากเรือนั้นได้ใช้ในการกระทำผิด การคัดค้านรัฐบาลของอาจารย์ ดร.ไสว ในสภาฯ เป็นเหตุให้ท่านถูกต่อว่าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรี แต่เหตุใดจึงไปคัดค้านรัฐบาล ท่านจึงชี้แจงว่า ได้เคยเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วว่าไม่ควรระบุน้ำหนักเรือ แต่ไม่มีผู้ใดสนใจกับข้อแย้งของท่าน ท่านจำเป็นต้องคัดค้านเพื่อให้สภาฯ พิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ ก่อนออกเป็นกฎหมายบังคับใช้
ส่วนการพิจารณาร่างกฎหมายใด ๆ ในที่ประชุมแนวรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลเองนั้น อาจารย์ ดร.ไสวได้ใช้ความรู้ทางด้านกฎหมายทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เรื่องใดที่ท่านไม่เห็นพ้องด้วย ก็กล้าคัดค้านเช่นกัน ครั้งหนึ่งกระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎหมายจัดรูปการปกครองส่วนภูมิภาคโดยนำระบบมณฑลมาใช้อีก ท่านได้คัดค้าน จนต้องถอนเรื่องคืนไป
ในฐานะผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลงานสําคัญที่มีประโยชน์
ต่อราษฎรที่ท่านริเริ่มขึ้นคือ การทดน้ําจืดจากคลองบางจากให้ไหลเข้าคลองสุขุม ไปสู่อําเภอ ปากพนังซึ่งขาดแคลนน้ําจืดสําหรับบริโภค กรมชลประทานได้ส่งนายช่างไปสํารวจตามข้อเสนอ ของท่าน ยังผลให้มีการสร้างเขื่อนกั้นคลองในเวลาต่อมา ในด้านการศึกษา ท่านได้เสนอแนะ ให้กระทรวงศึกษาธิการเปิดชั้นเรียนมัธยมปีที่ ๗ และปีที่ 4 ขึ้นที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ (โรงเรียนวัดท่าโพธิ์เดิม) และในปีต่อมาก็เป็นผลสําเร็จ
งานสําคัญที่อาจารย์ ดร.ไสว ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติเรื่องหนึ่งคือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการคณะกรรมการ พิจารณารายงานกรณีสวรรคต พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งกรณีสวรรคตเป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยให้ความสนใจอย่างยิ่งในระยะนั้น
ในฐานะนักการเมือง อาจารย์ ดร.ไสว ให้ความสําคัญกับงานนิติบัญญัติมาก และภูมิใจที่ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร ท่านได้เสนอร่างกฎหมายซึ่งออกมาเป็นพระราช
บัญญัติการฆ่าสัตว์ ยกเว้นการเก็บอากรการฆ่าสัตว์แก่ผู้ที่ฆ่าวัวควายในพิธีการศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ ยังเสนอร่างพระราชบัญญัติโครงการสร้างทางหลวงทั่วประเทศ ส่วนร่างพระราชบัญญัติการปราบคอร์รัปชันนั้น ท่านได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ที่จะเสนอร่างนี้โดยตรง ต่อสภาฯ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไม่พอใจมาก เมื่อถูกซักถาม ท่านก็ตอบว่า “ขอไปตาย ดาบหน้า” และก่อนรัฐประหารประมาณ ๓ เดือน ท่านยังเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติศาล เด็กและการควบคุมเยาวชน โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ อาทิ นายหยุด แสงอุทัย นายวิบูลย์ ธรรมวิทย์[3]

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์
การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลสมัยพลเรือตรี ถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ มิได้เป็นไปอย่าง ราบรื่นนัก รัฐบาลต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหา การคลัง ค่าของเงินบาทลดลง ค่าครองชีพสูงขึ้น โจรผู้ร้ายชุกชุมโดยเฉพาะในแถบภาคกลาง ปัญหาคอร์ รัปชันในส่วนราชการและในสภาผู้แทนราษฎร และปัญหา กรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๔ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถแก้ไข ปัญหาให้ผ่านพ้นไปด้วยดีได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงขอให้ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ใช้เวลาตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ รวม 4 วัน 4 คืน และมีการถ่าย ทอดสดการอภิปรายทางวิทยุกระจายเสียงทั่วประเทศเป็น ดํารงตําแหน่งเลขานุการนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกด้วย ถึงแม้ว่ารัฐบาลชนะการลงมติด้วยคะแนน สิงหาคม ๒๔๘๙ - พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เสียง ๔๖ ต่อ ๕๕ แต่ผลของการอภิปรายทั่วไปก็ทําให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติราชการของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ พลเรือตรี ถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ จึงปรับคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน อาจารย์ ดร.ไสว ยังคงได้รับการ แต่งตั้งเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุด พลโทผัน ชุณหะวันได้เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้ายึดอํานาจเมื่อคืนวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ สถานภาพการเป็นผู้แทนราษฎรและเลขานุการนายกรัฐมนตรีของอาจารย์ ดร.ไสว เพียงชั่วเวลาปีกว่า ๆ ก็สิ้นสุดลงโดยปริยาย
เมื่อพ้นตําแหน่งหน้าที่การเมืองแล้ว ท่านได้เปิดสํานักทนายความชื่อ “สํานักงานไสว สุทธิพิทักษ์ ธ.บ.ศ.ม.” รับว่าความทั่วราชอาณาจักร จัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินและ บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับกฎหมาย และติดต่อองค์การของรัฐบาล สํานักงานอยู่ที่ท่าพระจันทร์ เลขที่ ๑๒ เป็นตึกแถวของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ชั้นบนเป็นสํานัก ทนายความ มีเพื่อนทนายความมาร่วมงาน ๗ คน ชั้นล่างทําเป็นร้านค้าชื่อ “ห้างสุทธิ เทรดดิ้ง” นอกจากนี้ ยังทําการเดินเรือชายฝั่งโดยเช่าเรือผู้อื่นมาทํา แต่ธุรกิจไม่ดีนัก จึงเลิกกิจการไป
ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายก- รัฐมนตรีอีก แต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศก็มิได้ยุติลง ได้เกิดกบฏนายพลใน วันที่ ๑ ตุลาคม ต่อมาในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลี้ภัย ไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราว ได้เดินทางกลับมายึดอํานาจรัฐบาลที่ท่านเห็นว่าเป็นฝ่ายล้มล้าง ระบอบประชาธิปไตย แต่กระทําการไม่เป็นผลสําเร็จ
เมื่อมีการต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเช่นนี้ รัฐบาลจึงดําเนินการปราบปรามกลุ่มนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างเข้มงวดขึ้น เป็นธรรมดาที่อาจารย์ ดร.ไสว จะต้องเป็นบุคคลหนึ่งที่รัฐบาลจับตามองความเคลื่อนไหว อันที่จริงในคืนวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ท่านอยู่ที่สํานักงานตลอดเวลา เมื่อทราบเรื่องการยึดวังหลวงทางวิทยุ ก็ขับรถไปดูเหตุการณ์ ตามที่ต่าง ๆ ในตอนนั้น ท่านยังไม่คิดหลบหนีออกนอกประเทศเช่นนักการเมืองคนอื่น ๆ และ ถ้ามีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็ตั้งใจว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดนครศรีธรรมราชอีก
แต่เหตุการณ์ไม่คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น สำนักงานทนายความที่ท่าพระจันทร์ถูก ตำรวจเข้าตรวจค้น ต่อมาในวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ นักการเมืองคนสําคัญคือ นาย ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจําลอง ดาวเรือง และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ถูกยิงตายที่ถนนพหลโยธิน ในขณะที่ตํารวจนําตัวขึ้นรถยนต์ไปฝากขังที่สถานีตํารวจบางเขน โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ยิง อาจารย์ ดร.ไสว จึงล้มเลิกความคิดที่จะไปรายงานตัวต่อ ตํารวจเพื่อให้สอบสวน และตัดสินใจออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัย ในวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านได้หลบหนีจากกรุงเทพฯ ลอบลงเรือโดยสาร มาขึ้นบกที่สงขลา แล้วเดินทางต่อไปยังมลายู ทั้งโดยทางเท้า ทางรถไฟ และรถโดยสาร โดยมีจุดหมาย ปลายทางที่สิงคโปร์ นับเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของอาจารย์ ดร.ไสว มิใช่ เพื่อไปศึกษาต่อดังที่เคยหวังไว้ แต่เพื่อลี้ภัยการเมืองในต่างแดน
๙ ปีที่สิงคโปร์
สามเดือนแรกที่สิงคโปร์ อาจารย์ ดร.ไสว อาศัยวัดอานันทเมตยารามเป็นที่พัก วัดนี้อยู่ในความอุปการะของคณะสงฆ์ไทย สร้างโดยหลวงพ่อหงษ์เจ้าอาวาส ต่อมาได้ย้ายไป อยู่บ้านเช่า ระยะแรกๆ มีเวลาว่างมาก ท่านจึงใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอ่านและเขียนหนังสือ ส่วนในตอนเย็น เป็นครูสอนพิเศษภาษาไทยให้แก่คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันและชาวยุโรป ที่ลี้ภัยการเมืองจากประเทศจีนมาอยู่ที่สิงคโปร์ สอนอยู่ประมาณหนึ่งปี

หนังสือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ กับการปฏิวัติ โดย ไสว สุทธิพิทักษ์
อาจารย์ ดร.ไสว เป็นคนชอบอ่านและเขียนหนังสือ เมื่อมีเวลาว่างมากในช่วง แรกที่พำนักอยู่ที่สิงคโปร์ ท่านจึงรวบรวมหนังสือและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ เพราะเคยถกเถียงปัญหาโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของ ประธานาธิบดีอเมริกันท่านนี้ ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หลังจากค้นคว้าหาข้อมูลอยู่ประมาณ ๔ เดือน ก็เริ่มลงมือเขียน หนังสือเล่มแรก ที่อาจารย์ ดร.ไสว เขียนที่สิงคโปร์ ชื่อ “ชีวประวัติประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์” ความยาว ๔๘๐ หน้า ขนาด ๑๖ หน้ายก และส่งต้นฉบับมาตีพิมพ์ที่กรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๒ เล่มที่ ๒ คือ “ดร.ปรีดี พนมยงค์ กับการปฏิวัติ” ซึ่งค้นคว้าข้อมูลไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๒ แต่ยังไม่มีเวลาเขียน เพิ่งมีโอกาสลงมือเขียนจริงๆ ที่สิงคโปร์ แล้วส่งต้นฉบับ ให้ภรรยาที่กรุงเทพฯ ติดต่อกับสํานักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์ออกจําหน่าย เป็นหนังสือหนา ๖๗๘ หน้า ขนาด ๑๖ หน้ายกเช่นกัน
นอกจากหนังสือที่เรียบเรียงขึ้นเองแล้ว อาจารย์ ดร.ไสว ยังมีความสามารถในการแปลหนังสือจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอีกด้วย ผลงานแปลเล่มแรกคือ “โอลิเวอร์ ครอมเวลล์” มีความยาว ๒๙๘ หน้า ขนาด ๑๖ หน้ายก เป็นชีวประวัติของแม่ทัพและ รัฐบุรุษคนสําคัญผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗
งานแปลอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านทําขึ้นด้วยความรักและผูกพันอย่างลึกซึ้งที่มีต่อภรรยาของท่านเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ คือ งานแปลบทละครชื่อ “คุณหญิงธารมณี” ความยาว ๙๑ หน้า ขนาด 4 หน้ายก ซึ่งแปลจากบทละครภาษาอังกฤษชื่อ “Lady Precious Stream มีที่มาจากวรรณคดีเก่าแก่ของจีนชื่อ “หวังเป้าหยวน” อาจารย์ ดร.ไสว ได้เขียนคํานําของ บทละครแปลเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า “เรื่องนี้เขียนให้เธอในวาระวันเกิดของเธอ เป็นงานที่ทํา ด้วยสมองและสติปัญญา และด้วยแรงกายของตนแท้ๆ ๑๐ วัน ๑๐ คืน สําเร็จเรียบร้อย หวังว่าเธอคงจะยินดีและพอใจ...”[4]
งานเขียนเล่มสุดท้ายซึ่งตีพิมพ์ขณะพํานักอยู่ที่สิงคโปร์คือ “มาเรีย เฮอร์ท็อค และการจลาจลในสิงคโปร์” เป็นหนังสือขนาดพ็อกเกตบุคเล่มเล็ก ๆ มีความยาว ๒๔๒ หน้า มีเนื้อหาในเชิงสารคดีด้านศาสนาและการเมืองเกี่ยวกับการจลาจลของชาวมุสลิมในสิงคโปร์ เป็นที่น่าสังเกตว่า งานเขียนของอาจารย์ ดร.ไสว ในระยะหลังมีความยาวลดลง เพราะมีงานด้านธุรกิจเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะเขียนหนังสือจึงน้อยลง
หลังจากพํานักอยู่ที่สิงคโปร์ระยะหนึ่ง อาจารย์ ดร.ไสว ก็คิดที่จะประกอบอาชีพอย่างจริงจัง นอกจากการเขียนหนังสือและสอนพิเศษ เพราะไม่อาจคาดหวังได้ว่าจะมีโอกาสกลับเมืองไทยเมื่อใด ขณะนั้นสิงคโปร์ยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ถึงแม้จะเป็น เกาะเล็ก ๆ แต่ก็จัดว่าเป็นศูนย์การค้าและเมืองท่าสําคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากพื้นฐานการศึกษาทางกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และมีความรู้ภาษาอังกฤษดี อาจารย์ ดร.ไสว จึงเกิดความสนใจศึกษาการค้าขายและตลาดค้าในสิงคโปร์ เมื่อเห็นลู่ทางและ สถานที่ที่เหมาะสม ท่านก็ร่วมหุ้นกับเพื่อนชาวสิงคโปร์ ตั้งบริษัทจอห์น ลิม (John Lim & Co.) ประกอบธุรกิจการค้า เป็นนายหน้าขายเรือเดินสมุทร ชิปปิ้ง เป็นตัวแทนบริษัทเดินเรือ เครื่องบินโดยสาร และบริษัทประกันต่าง ๆ รวมทั้งทําธุรกิจนําเข้าและส่งออกระหว่างสิงคโปร์ กับกรุงเทพฯ ในระยะหลังได้เป็นผู้จัดการบริษัทปรีดาชิบปิ้งและเทรดดิ้งด้วย แม้ว่าการดําเนิน ธุรกิจจะมีปัญหาอยู่มากบางช่วงเวลา แต่ท่านก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถแก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ โดยมิได้ท้อถอย อาจารย์ ดร.ไสว ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คนไทยก็สามารถทําการค้าได้ในต่างแดน
ระหว่างที่พํานักอยู่ที่สิงคโปร์ ถึงแม้อาจารย์ ดร.ไสว จะชอบการเขียนหนังสือ แต่ท่านก็ไม่ได้เขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ที่ออกในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเภทใด ๆ ท่านเห็นว่า
...เรื่องของประเทศชาติเป็นเรื่องภายใน หาควรที่บุคคลสัญชาติไทยคนใด นําไปกล่าวตําหนิติเตียนให้คนชาติอื่นได้ยินได้ฟังเป็นอันขาด ข้าพเจ้าเลิกการเมืองเด็ดขาดตั้งแต่ออกจากประเทศไทยไป การจะให้แสดงความคิดเช่นนั้นเป็นไม่ทําเด็ดขาด...[5]
อย่างไรก็ดี ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๙๔ เมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในสิงคโปร์ ลงบทความโจมตีการส่งสินค้าออกของรัฐบาลไทยว่า เห็นแก่เงิน ขายข้าวแพง โดยไม่คํานึงถึงความขาดแคลนเดือดร้อนของประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศไทยควรจะได้รับการลงโทษอย่างหนัก ขณะที่กงสุลไทยในสิงคโปร์ทําหนังสือรายงานให้รัฐบาลที่กรุงเทพฯ รับทราบ อาจารย์ ดร.ไสว ในฐานะคนไทยคนหนึ่งซึ่งเป็นพ่อค้าข้าวอยู่ที่สิงคโปร์ และเคยอยู่ ในคณะกรรมการข้าวสมัยพลเรือตรี ถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ มาก่อน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่ง คือ สิงคโปร์ สแตนดาร์ด แก้ข้อกล่าวหาว่า ข้าวไทยที่ผู้บริโภคในสิงคโปร์ต้องซื้อในราคาสูง เป็นเพราะไทยต้องซื้อกระสอบป่านใส่ข้าวจากอินเดียในราคาสูง ค่าระวางเรือจากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ของบริษัทเรือที่บรรทุกข้าว ซึ่งเป็นบริษัทเรือชาติอังกฤษ ก็เรียกเก็บในอัตราที่สูงมาก ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสิงคโปร์ยังบวกกําไรเข้าไปในราคาข้าวที่ขายให้แก่ผู้บริโภคอีกด้วย ข้าวไทยราคาสูงจึงไม่ได้อยู่ที่ชาวนาหรือรัฐบาลไทย
การแก้ข่าวทางหนังสือพิมพ์มีส่วนช่วยให้ชาวสิงคโปร์หายข้องใจรัฐบาลไทยในเรื่องข้าวไปได้มาก อาจารย์ ดร. ไสว บันทึกไว้ว่า
นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในระยะเวลา ๗ ปีเศษที่สิงคโปร์ ที่ข้าพเจ้า ต้องแสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าต่อหนังสือพิมพ์ แต่ไม่ใช่เพื่อตัวข้าพเจ้าเอง หรือเพื่อคนที่เห็นข้าพเจ้าเป็นศัตรู แต่เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลไทยและของประเทศชาติ ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าอยู่เหนือประโยชน์และอยู่เหนือชีวิตของข้าพเจ้าเสมอ...
นอกจากจะเป็นนักธุรกิจและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการเขียนหนังสือแล้ว อาจารย์ ดร.ไสว ใช้ชีวิตในสิงคโปร์อย่างเรียบง่าย สงบ หลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวพันในเรื่องการเมือง ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เยาว์วัย ท่านได้รับเป็นมัคนายกให้กับวัดอานันทเมตยาราม วัดนี้เป็นวัดไทยวัดเดียวในสิงคโปร์ที่มีสมาชิกนับถือพุทธศาสนามากกว่า ๕๐๐ คน มีพระสงฆ์ไทยจําพรรษา ๔ รูป ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่ตําบลกําปงบารู เมื่อหลวงพ่อหงษ์ ผู้สร้างวัดและเป็นเจ้าอาวาสถึงแก่มรณภาพใน พ.ศ. ๒๔๙๕ เกิดมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ของวัดขึ้น กงสุลใหญ่ไทย รองกงสุล ข้าหลวงพานิชย์ ทูตทหารบกไทย พร้อมด้วยทายกทายิกาชาวไทย ได้ประชุมกันที่วัด อาจารย์ ดร.ไสว ก็ได้ร่วมปรึกษาหารือ ให้คําแนะนําด้านกฎหมาย เพื่อมิให้กรรมสิทธิ์ของวัดตกไปอยู่ในมือของชาวจีนสิงคโปร์
อาจารย์ ดร.ไสว ได้ช่วยเหลือกิจการของวัดรวมทั้งพระภิกษุสามเณร ทั้งทางกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังความคิด ไม่ว่าในส่วนที่เป็นเรื่องของวัดเอง เช่น การทําบุญ การทอดกฐิน และพิธีทางศาสนา หรือในส่วนที่เกี่ยวกับภายนอก ท่านได้เข้าประชุมร่วมกับองค์การพุทธศาสนาของชาติอื่นๆ เช่น การจัดงานพิธีทางศาสนาร่วมกัน จัดให้มีฌาปนสถานและที่ฝังอัฐิของชาวพุทธไม่เลือกเชื้อชาติและสัญชาติ ต่อมาอาจารย์ ดร.ไสว ได้เป็นกรรมการบริหารของพุทธสมาคมแห่งโลก สาขาสิงคโปร์ จากการดําเนินงานของพุทธสมาคมนี้ร่วมกับองค์การพุทธศาสนาอื่น ๆ รัฐบาลสิงคโปร์ได้ยอมรับให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ในปีนั้นพุทธศาสนิกชนในสิงคโปร์ได้จัดขบวนแห่เฉลิมฉลองโอกาสนี้อย่างมโหฬาร
การพลัดพรากจากบ้านเกิดและครอบครัว ไปพํานักอยู่ที่สิงคโปร์นานถึง ๔ ปี นับเป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตที่อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ยากจะลืมเลือนได้ หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งทศวรรษ สถานการณ์ทางการเมืองในเมืองไทยเริ่มแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นสําหรับตัวท่าน เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทํารัฐประหารยึดอํานาจรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ การเปลี่ยนคณะรัฐบาลชุดใหม่ เปิดทางให้ผู้ลี้ภัยการเมืองต่างทยอยกันกลับมามอบตัว ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๑ อาจารย์ ดร.ไสว ตกลงใจเดินทางกลับเมืองไทยเพื่อเข้ามอบตัว โดยมีนางสนม ภรรยาเป็นผู้ติดต่อกับทางราชการที่กรุงเทพฯ
กลับสู่มาตุภูมิ

นับแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นเวลา ๙ ปีเต็มที่อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ จากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อลี้ภัยการเมืองไป อยู่ต่างแดน ตอนกลางคืนของวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ อาจารย์ ดร.ไสว ได้กลับมา สู่มาตุภูมิ พร้อมกับนางสนม ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่บินไปรับถึงสิงคโปร์ ท่ามกลางนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์จํานวนมากที่ไปรอทําข่าว เช้าวันรุ่งขึ้น อาจารย์ ดร.ไสว ไปรายงานตัวที่กองบังคับการสันติบาลเพื่อขอมอบตัวต่อทางการตํารวจ และขอต่อสู้คดีที่ถูกแจ้งข้อหาว่า มี ส่วนร่วมในคดีกบฏ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ และได้รับอนุญาตให้ประกันตัว อาจารย์ ดร.ไสว บอกกับนักข่าวว่า ที่เข้ามอบตัวเพราะเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ลี้ภัย การเมืองทุกคนที่เข้ามอบตัว ทั้งเป็นห่วงครอบครัวที่ลูก ๆ กําลังเติบโตด้วย อีกสองปีต่อมา ท่านก็พ้นข้อหา เมื่อพนักงานอัยการมีคําสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว
อาจารย์ ดร.ไสว กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองไทยเมื่ออายุ ๔๑ ปี ท่านตั้งปณิธานว่าจะไม่เล่นการเมืองอีก จะยึดอาชีพทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย และทําการค้าต่อไป สํานักงานไสว สุทธิพิทักษ์ ที่ซอยสุจริต ๒ ถนนพระรามที่ ๕ เป็นทั้งสํานักงานทนายความ และที่ตั้งบริษัท จอห์น ลิม เทรดดิ้ง ประกอบธุรกิจสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจําหน่ายหลายอย่างด้วยกัน
นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรก (พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๙) เป็นต้นมา เศรษฐกิจของไทยเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการลงทุนของเอกชน เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ คนไทยหันมาสนใจทําการค้ามากขึ้น สํานักงานของท่านได้เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้แก่กิจการค้าหลายบริษัท อาทิ บริษัทประกอบและบุตร นราธิวาส บริษัท ยนตรภัณฑ์ จํากัด บริษัทไทยแลนด์สตีล จํากัด บริษัทเอเชียอุตสาหกรรม ปุ๋ยเคมี จํากัด ฯลฯ
อาจารย์ ดร.ไสว ประกอบอาชีพธุรกิจการค้าเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี ในฐานะเจ้า ของผู้จัดการ ประธานกรรมการ และกรรมการในบริษัทต่าง ๆ หลายแห่ง อาทิ ประธาน กรรมการบริษัทหอหัตถศิลปไทย จํากัด กรรมการผู้จัดการอีสานเอนเทอร์ไพรส์ จํากัด กรรมการบริษัทน้ําตาลกุมภวาปี จํากัด ท่านได้รับเลือกให้เป็นกรรมการหอการค้าไทย กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการหอการค้าสากล เป็นเวลาหลายสมัย ท่านได้ใช้ความรู้ทางด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และประสบการณ์การค้าในสิงคโปร์ เสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากหลาย
สร้างนักธุรกิจเพื่อสร้างชาติ

ประสบการณ์จากการประกอบการค้า เป็นนักธุรกิจในสิงคโปร์ถึง ๙ ปี ทําให้ อาจารย์ ดร.ไสว เรียนรู้ว่า ในต่างประเทศเขาค้าขายกันอย่างไร เขาจัดการธุรกิจกันอย่างไร ท่านอยากให้การค้าในเมืองไทยทําได้โดยเสรี การแข่งขันทํากันอย่างมีระเบียบแบบแผน ท่าน อยากเห็นการค้าอุตสาหกรรมอยู่ในมือคนไทย อยากให้คนไทยเรียนรู้วิชาบริหารธุรกิจ ไม่ใช่วิชาพาณิชย์แต่เพียงอย่างเดียว หรือการอ่านจากตําราเท่านั้น อาจารย์บอกว่า “ยังไม่พอ”
ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ อาจารย์ ดร.ไสว ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการของสมาคมหอการค้าไทย ซึ่งมีนายบรรเจิด ชลวิจารณ์ เป็นนายกสมาคม พร้อมกันนั้นก็ได้รับตําแหน่ง เป็นปฏิคมของสมาคม และเป็นอนุกรรมการของวิทยาลัยการค้า (มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่อยู่ในความดูแลของสมาคมหอการค้าไทยด้วย จากตําแหน่ง อนุกรรมการของวิทยาลัยการค้า อาจารย์ ดร.ไสว ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการของวิทยาลัยการค้าใน พ.ศ. ๒๕๐๔ บทบาทการเป็นผู้นําทางการศึกษาด้านธุรกิจของเอกชนเริ่มแล้ว ณ บัดนั้น ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฯ ท่านได้ลงมือปรับปรุง หลักสูตร และการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น เปลี่ยนหลักสูตรจากการสอนระดับอาชีว ศึกษา ๒ ปี เป็นระดับอุดมศึกษาหลักสูตร ๓ ปี ตามที่รัฐบาลขณะนั้นอนุญาตให้เอกชนเปิด การสอนได้ และเชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกมาสอนหลายคนด้วยกัน
ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๘ อาจารย์ ดร.ไสว ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อํานวยการของวิทยาลัยการค้าซึ่งเป็นตําแหน่งที่ไม่มีเงินเดือนประจํา แต่ท่านก็ทุ่มเทให้แก่การ ทํางานอย่างเต็มที่ นอกจากจะทําหน้าที่เป็นผู้บริหารของวิทยาลัยแล้ว ยังสอนวิชากฎหมายการค้าระหว่างประเทศให้แก่นักศึกษาอีกด้วย จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านได้ขอพ้นจากตําแหน่งผู้อํานวยการวิทยาลัยการค้าได้แต่งตั้งท่านเป็น “อาจารย์พิเศษประจํา” ในฐานะเป็นผู้หนึ่งซึ่งได้ริเริ่มวางรากฐานเพื่อยกระดับและฐานะของวิทยาลัยการค้าเดิมให้เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูง
หลังจากวางมือจากการเป็นผู้บริหารวิทยาลัยของสมาคมหอการค้าได้ไม่นาน อาจารย์ ดร.ไสว เมื่อมีอายุได้ ๕๐ ปี ก็เริ่มโครงการที่จะจัดตั้งสถานศึกษาทางด้านธุรกิจ ในพ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านเดินทางไปดูงานการจัดการศึกษาชั้นสูงด้านวิชาชีพในประเทศเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และเดนมาร์ก โดยอาศัยเพื่อนฝูงที่รู้จักกันสมัยอยู่ที่สิงคโปร์ช่วยเหลือ แนะนําให้ เมื่อได้ประสบการณ์จากการดูงานพอสมควร อาจารย์ ดร.ไสว จึงตัดสินใจลงมือ จัดตั้งสถานศึกษาของตนเองขึ้น เพื่อเป็นแหล่งให้ความรู้แก่เยาวชนผู้จะเป็นกําลังสําคัญของชาติในอนาคต
ในทัศนะของอาจารย์ ดร.ไสว การสร้างชาติทางด้านธุรกิจ เป็นการสร้างชาติอย่างมั่นคง ชาติจะเจริญและมั่นคงได้ ต้องมีนักธุรกิจที่ดี และนักธุรกิจที่ดีจะต้องเป็นนัก ธุรกิจที่ทําประโยชน์ให้เกิดแก่สังคมส่วนรวม ความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและการสร้างนัก ธุรกิจของอาจารย์ ดร.ไสว เกี่ยวโยงกันเป็นลูกโซ่ กระแสความคิดนี้ได้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่อยู่ที่ สิงคโปร์แล้ว
กว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ : สถาบันอุดมศึกษาเอกชนรุ่นบุกเบิก

จากความคิดที่ว่า “จะทํางานด้านการศึกษาเพื่อประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ...” ได้กลายเป็นปณิธานอันแน่วแน่ของอาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ในอันที่จะสร้างพลเมืองให้เป็นผู้รู้จักรับผิดชอบต่อสังคม เป็นนักธุรกิจที่ดีและมีความสามารถ ยังผล ให้สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งถือกําเนิดขึ้นในวงการศึกษาไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ผู้เริ่มก่อตั้ง คือ อาจารย์ ดร.ไสว และอาจารย์สนั่น เกตุทัต ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ภรรยา ได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการขอจัดตั้ง “โรงเรียนธุรกิจบัณฑิตย์” ณ เลขที่ ๗๓ ถนนพระรามที่ ๖ ริมคลองประปา เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
คําว่า “ธุรกิจบัณฑิตย์” ซึ่งหมายถึงความรอบรู้ทางธุรกิจ และตราประจําสถาบันเป็นวงกลมสองชั้น วงนอกเป็นกลีบบัวซ้อนรวม ๓๒ กลีบ ระหว่างวงกลมนอกกับ วงกลมใน มีนพรัตน์หรือดวงแก้ว ๔ ดวง ภายในวงกลมในเป็นรูป “พระสิทธิธาดา” ซึ่ง เป็นปางหนึ่งของพระคเณศหรือพระพิฆเนศ เทพผู้อํานวยความสําเร็จแก่มวลมนุษย์นั้น อาจารย์ ดร.ไสว เป็นผู้ตั้งชื่อ และออกแบบดวงตราเอง แต่ผู้ให้ความเห็นชอบ คือ พระยาอนุมานราชธน นักปราชญ์คนสําคัญของเมืองไทย พร้อมกับได้ให้คติธรรมแก่สถาบัน คือ “กมฺมนฺเตน วิสุชฺฌติ” มีความหมายว่า “คนบริสุทธิ์ได้ด้วยการงาน” เพื่อเป็น สิริมงคลแก่อาจารย์ ดร.ไสว ที่จะทํางานเพื่อเยาวชนของชาติ
โรงเรียนธุรกิจบัณฑิตย์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้จัดตั้งเป็น สถานศึกษาได้ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ และภายในเดือนเดียวกันนั้น ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สถาบันธุรกิจบัณฑิตย์” นายทวี บุณยเกตุ เป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ซึ่งถือกันว่าเป็นวันสถาปนา ของสถาบันการศึกษาแห่งนี้จวบจนทุกวันนี้ สถาบันธุรกิจบัณฑิตย์ดําเนินการสอนเป็น ๒ ระดับ กล่าวคือ ระดับอุดมศึกษาหลักสูตร ๓ ปี และระดับอาชีวศึกษาหลักสูตร ๒ ปี เน้นหนักความรู้ด้านบริหารธุรกิจ พาณิชย์ บัญชี การเงิน การธนาคาร การตลาดและ เลขานุการ ในพ.ศ. ๒๕๑๒ รัฐบาลออกพระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชนให้ตั้งเป็นวิทยาลัยได้ สถาบันธุรกิจบัณฑิตย์จึงเปลี่ยนสถานภาพเป็น “วิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” ในพ.ศ. ๒๕๑๓
ผู้ที่มีบทบาทสําคัญร่วมกันพัฒนา และต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดขึ้นในระยะแรก ๆ ทางด้านบริหารและวิชาการ ตั้งแต่เป็นสถาบันธุรกิจบัณฑิตย์จวบจนกระทั่งเป็นมหาวิทยาลัยคือ อาจารย์ประเสริฐ ประภาสะโนบล เพื่อนร่วมรุ่นเมื่อครั้งศึกษาปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ปัจจุบันท่านยังคงปฏิบัติ งานที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในฐานะรองอธิการบดีอาวุโส
เมื่องานการศึกษาขยายตัวขึ้น นางสนม สุทธิพิทักษ์ ภรรยาซึ่งเป็นข้าราชการชั้นเอก ตําแหน่งคลังจังหวัดเอก จังหวัดนนทบุรี จึงลาออกจากราชการใน พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อเข้าบริหารวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์และโรงเรียนพาณิชย์ธุรกิจบัณฑิตย์ ทางด้านการเงินและการบัญชีอย่างเต็มที่ ท่านเป็นคู่คิด ที่ปรึกษา เป็นกําลังใจร่วมกันทํางาน จนสถาบัน การศึกษาแห่งนี้มีความมั่นคงและเจริญก้าวหน้ามาเป็นลําดับ ก่อนที่นางสนม จะถึงแก่กรรม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านได้ขอร้องให้อาจารย์ ดร. เลิศลักษณ์ ลาออกจาก ตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญในองค์การสหประชาชาติ มาช่วยบริหารงานของวิทยาลัย ส่วนอาจารย์ เฉิดโฉม ท่านได้ฝึกหัดให้ทํางานด้านการเงินและบัญชีที่ท่านรับผิดชอบอยู่ และขอให้ ร่วมกันพัฒนาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ให้เจริญก้าวหน้า สมกับที่อาจารย์ ดร.ไสว และท่านได้ ก่อตั้งเป็นอนุสรณ์แห่งชีวิต ปัจจุบันธิดาทั้งสองได้สืบสานเจตนารมณ์ของท่าน โดยอาจารย์ ดร.เลิศลักษณ์ ส.บุรุษพัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่เป็นรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ส่วนอาจารย์เฉิดโฉม ส.จันทราทิพย์ เป็นรองอธิการบดีฝ่ายการเงินและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ณ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๒๗ เป็นช่วงเวลาของการดําเนินงานเพื่อปรับฐานะวิทยาลัยเอกชน เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัย ของรัฐ อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ความอดทน ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการที่จะผลักดันให้เอกชนมีส่วนรับภาระในการสร้างบัณฑิตระดับปริญญาตรีขึ้นไป ซึ่งใช้เวลานานถึง ๑๕ ปี การดําเนินงานของวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ในระยะเริ่มแรก มีปัญหาอุปสรรคหลายประการ เช่น ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยจะต้องโอนให้แก่วิทยาลัย ภายใน ๓๐ วันหลังจากยื่นขอ และต้องเป็นที่ดินที่ไม่ติดภาระผูกพันใด ๆ ปัญหาต่อมาคือ คณะกรรมการวิทยาลัยเอกชนกําหนดให้สอนเพียง ๓ ปี แล้วให้อนุปริญญา ในขณะที่อาจารย์ ดร.ไสว และอาจารย์ประเสริฐขอใช้หลักสูตร ๔ ปี เพื่อผู้ที่เรียนจบจะได้รับปริญญาตรี ทางการอนุญาตให้สอน ๔ ปีได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องสร้างตึกใหม่ ๖ ชั้นอีกหลังหนึ่ง เพื่อแยกการศึกษาระดับอุดมศึกษากับระดับอาชีวศึกษาออกจากกัน และจะกู้เงินได้ก็ต่อเมื่อ ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการวิทยาลัยเอกชนก่อน อาจารย์ประเสริฐได้รับมอบหมายให้ไปชี้แจงต่อ ฯพณฯ นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการวิทยาลัยเอกชนในขณะนั้นการขออนุมัติกู้เงินเพื่อสร้างอาคารจึงเป็นผลสําเร็จ
เมื่อวิทยาลัยเอกชนได้รับอนุมัติให้เปิดสอนหลักสูตร ๔ ปีเพื่อให้นักศึกษามีสิทธิ์ได้รับปริญญาตรี วิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จึงได้ขยายการเรียนการสอน เพิ่มสาขาวิชาใหม่ๆ และแยกตั้งคณะใหม่ขึ้น ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ แยกสาขาวิชาการบัญชีออกจากคณะบริหาร ธุรกิจ ตั้งเป็นคณะบัญชี และแยกสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ออกจากคณะนิติศาสตร์ ตั้งเป็นคณะเศรษฐศาสตร์
วิทยาลัยเอกชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ. ๒๕๑๒ ใน ระยะแรก ๆ ต้องประสบปัญหาหลายประการ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่รัฐยอมให้เอกชนจัดการศึกษาในระดับปริญญาตรีได้ สภาการศึกษาแห่งชาติและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหน่วย งานควบคุมดูแลการจัดตั้งและการดําเนินงานของวิทยาลัยเอกชนค่อนข้างจะเข้มงวดกวดขัน กับวิทยาลัยเอกชนเป็นพิเศษ ทั้งในด้านการออกระเบียบต่างๆ และการติดตามสอดส่องการดําเนินงาน อาจารย์ ดร.ไสว ในฐานะผู้อํานวยการวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์และประธานชมรม วิทยาลัยเอกชน ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้รัฐบาลยอมรับและส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษา เอกชนเช่นในต่างประเทศ ในพ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านได้นําสมาชิกจาก ๖ วิทยาลัยไปพบ ฯพณฯ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี และ ฯพณฯ นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงความพร้อมและศักยภาพของวิทยาลัยเอกชนที่จะเติบโตเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐทางการศึกษา
เมื่อหลักการและเหตุผลตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม ฯพณฯ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เห็นชอบให้วิทยาลัยเอกชนโอนสังกัดไปอยู่ใต้ความควบคุมดูแลของทบวงมหา วิทยาลัยของรัฐ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ นับเป็นการต่อสู้ของอาจารย์ ดร.ไสว ในฐานะประธานชมรมวิทยาลัยเอกชน เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนว่ามีสถานภาพเท่าเทียม กับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
ในการดําเนินงานของวิทยาลัยเอกชน ได้มีการร่วมมือเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตั้งแต่เริ่มแรก โดยในชั้นต้นได้ก่อตั้งขึ้นเป็นชมรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ เรียกว่า “ชมรมผู้บริหารวิทยาลัยเอกชน” และดําเนินงานเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ ชมรมฯ นี้มีอาจารย์ ดร.ไสว ดํารงตําแหน่งประธานของชมรมฯ มาโดยตลอด ใน พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้เปลี่ยน สถานภาพของชมรมเป็น “สมาคมวิทยาลัยเอกชนแห่งประเทศไทย” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย” เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ประกาศใช้ในปีเดียวกันนั้น ปรากฏว่าผู้ที่ดํารงตําแหน่งนายก สมาคมวิทยาลัยเอกชนแห่งประเทศไทย ๒ ปี รวมทั้งได้เป็นนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนคนแรกสืบต่อมาถึง ๔ สมัย ก็คือ อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ นับได้ว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากวงการศึกษาเป็นอย่างมาก ท่านมีบทบาทสําคัญเกี่ยวข้องกับการก่อตั้ง และการดําเนินงานของชมรมฯ และสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นระยะเวลายาวนานติดต่อกันถึง ๑๖ ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๒ จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๘ หลังจากนั้น ก็ได้รับตําแหน่งเป็นที่ปรึกษาของสมาคมฯ จวบจนวาระสุดท้าย
พ.ศ. ๒๕๒๒ ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เนื่องจากได้มีการออกพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๒ แทนที่ พระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชนฉบับเดิม ซึ่งเปิดโอกาสให้เอกชนดําเนินกิจการได้ในขอบเขต ที่กว้างขวางมากขึ้น โดยแบ่งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็น ๓ ประเภท คือมหาวิทยาลัย สถาบัน และวิทยาลัย มหาวิทยาลัยและสถาบันสามารถเปิดสอนได้ในทุกระดับตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก ส่วนวิทยาลัยจะเปิดสอนได้ในระดับชั้นปริญญาที่ไม่สูงกว่าปริญญาโท
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ให้เป็นมหาวิทยาลัย อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ และอาจารย์สนั่น เกตุทัต มองเห็นการณ์ไกลว่า สถานที่วิทยาคาร ๑ ถนนพระรามที่ ๖ ริมคลองประปา สามเสน ไม่กว้างขวางเพียงพอที่จะเป็นสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้ จึงตกลงใจกู้ยืมเงินจากธนาคารซื้อที่ดิน ที่ถนนประชาชื่น ริมคลองประปา เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ แล้วดําเนินการขอเปลี่ยนสถานภาพจากวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัย ในขณะเดียวกันก็เร่งปลูกสร้างอาคารสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการขยายตัวของคณะวิชาที่จะเปิดเพิ่มขึ้นและให้เพียงพอกับจํานวนนักศึกษาที่ทวีจํานวนขึ้นทุกปีด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติฉบับใหม่ออกมาใน พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่ก็มีเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยังควบคุมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่อีกมาก ใน สมัยที่ศาสตราจารย์ ดร.เกษม สุวรรณกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และ พ.อ. อาทร ชนเห็นชอบ เป็นปลัดทบวงมหาวิทยาลัย อาจารย์ประเสริฐ ประภาสะโนบล ได้ไปพบรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ พิจารณาออกกฎกระทรวงกําหนดลักษณะการเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่แน่ชัด จนเป็นผลสําเร็จ อาจารย์ ดร.ไสว ได้ทําเรื่องชี้แจงศักยภาพและความพร้อมของวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อขอเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัย ปรากฏว่ามีวิทยาลัยเอกชนได้รับอนุญาตจากทบวง มหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัย ๔ แห่งใน พ.ศ. ๒๕๒๗ คือ มหาวิทยาลัยพายัพได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ต่อมาในวันที่ ๒๔ ตุลาคม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก็ได้รับอนุญาตพร้อมกันในวันเดียวกัน จึงถือได้ว่ามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็น ๑ ใน ๔ มหาวิทยาลัยเอกชนรุ่นบุกเบิกของเมืองไทย
เมื่อได้รับอนุญาตให้เป็นมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์แล้ว จึงย้ายนักศึกษาระดับ ปริญญาตรีภาคปกติไปเรียนยังที่ใหม่ ซึ่งเป็นวิทยาคาร ๒ ในปัจจุบัน การศึกษาได้ขยายตัว กว้างขึ้น คือ ในพ.ศ. ๒๕๒๘ ตั้งบัณฑิตวิทยาลัย เพื่อเปิดสอนระดับปริญญาโท พ.ศ. ๒๕๓๐ ตั้งคณะมนุษยศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๑ ตั้งคณะนิเทศศาสตร์ และใน พ.ศ. ๒๕๓๗ ตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะแรกในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในช่วงเวลา ๑๐ ปีที่ผ่านมา อาจาย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ได้พัฒนาการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยทุกด้าน จนเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วทั้งในด้านวิชาการและด้านอาคาร สถานที่ มหาวิทยาลัยมิได้เน้นเฉพาะการผลิตบัณฑิตและการวิจัยเท่านั้น หากมุ่งส่งเสริมการทะนุบํารุงศิลปวัฒนธรรมของชาติอย่างจริงจัง โดยจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมขึ้นในมหาวิทยาลัยและยังปฏิบัติภารกิจด้านบริการทางวิชาการแก่สังคมควบคู่กันไปด้วย โครงการที่สําคัญ คือ ตั้งศูนย์ธุรกิจวิทยบริการเพื่อจัดสัมมนา และฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น ให้แก่หน่วย งานหรือบุคคลทั่วไปทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน และตั้งศูนย์นิเทศศาสตร์พัฒนาการแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยประสานความร่วมมือกับองค์การของรัฐ เอกชน และองค์การระหว่างประเทศจัดโครงการฝึกอบรมสัมมนาทางวิชาการในระดับชาติและระดับนานาชาติ

ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ เข้ารับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ดังกล่าว จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ไม่เพียงแต่จะได้รับคํายกย่องจากทบวงมหา วิทยาลัย จากสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และจากองค์กรต่าง ๆ เท่านั้น ความวิริยะ อุตสาหะ ความเก่งกล้าสามารถ และความเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในศาสตร์หลายสาขา ยังเป็น ที่ประจักษ์ในสายตาของนักการศึกษาโดยทั่วไปอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่มหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้มอบปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ให้ โดย อาจารย์ ดร.ไสว ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ดังกล่าว จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
อาจารย์ ดร.ไสว กับอายุ ๗๗ ปีของท่าน และความเจริญเติบโตของสถาบัน การศึกษานามธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นเสมือนตํานานที่สมควรได้รับการกล่าวขานไม่รู้จบ
...ในฐานะที่ชีวิตของผมต้องระเหระหน รู้จักกฎแห่งกรรมดี ได้รับการ สั่งสอนว่า ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าการจัดตั้งสถาบันการศึกษานี้ เป็นการดี ชื่อก็คงติดอยู่บนแผ่นดินนี้
ความเพียรพยายามในการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ การวิจัย การให้บริการสังคม และการทะนุบํารุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ เป็นภารกิจหลักที่อาจารย์ ดร.ไสว ในฐานะอธิการบดี ได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและพัฒนามาโดยลําดับนับตั้งแต่สถาปนา มหาวิทยาลัย
กับคําถามที่มีผู้ถาม อาจารย์ ดร.ไสว ในวาระแห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ครบรอบ ๒๕ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ ว่า ท่านมีความประทับใจต่อสถาบันแห่งนี้ อย่างไร
...จะบอกว่าเกิดความประทับใจคงไม่ได้ ก็มีแต่ความเอาใจใส่ต่อสถาบันนี้ ผมถือว่า สถาบันนี้คือชีวิตของผม เป็นชีวิตจริงที่จะต้องดูแลให้เจริญเติบโตให้เป็น ที่พึ่งของสังคม ความประทับใจอีกประการก็คือ ได้จากคณาจารย์ ทีมงาน (STAFF) และพนักงานที่ทํางานร่วมกัน ซึ่งได้เสียสละปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี สมกับที่บอกว่า นาวาธุรกิจบัณฑิตย์นี้มีผมเป็นกัปตัน เป็นผู้ที่จะนําพาไปตามแผนที่ แต่แรงผลักดันที่จะให้เรือเคลื่อนไปนั่นก็คือ คณาจารย์ และพนักงาน ทั้งหลายทั้งปวงที่เรามาได้ถึงขนาดนี้ระดับนี้ก็เพราะแรงขับเคลื่อนอันนั้น เพราะฉะนั้นเราต่างก็เป็นหนี้ซึ่งกันและกัน…
...มหาวิทยาลัยนี้เป็นสถาบันหนึ่งที่ไม่เคยแบ่งกําไรมาเข้ากระเป๋า มีแต่เอารายได้ที่ตัวมีมาถมลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้เป็นสถาบันที่สมบูรณ์ทุกประการทั้งในรูปแบบ ทั้งด้านวิชาการ จะเห็นว่าเวลานี้เราสร้างตึกบัณฑิตวิทยาลัยแล้วเสร็จ เรากําลังสร้างยิมเนเซียม กําลังสร้างสระว่ายน้ํา เราต้องการสร้าง มิใช่เพียงแต่ว่า จิตใจที่ดีในร่างกายที่ดีเท่านั้น แต่เราจะสร้างคนที่มีมันสมอง เป็นมันสมองที่รู้จัก อดกลั้น อดทน รู้จักคิดก้าวหน้า ตามปณิธาน ตามปรัชญาที่เราตั้งไว้ว่า “นักธุรกิจเป็นผู้สร้างชาติ”
อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ ที่จะผลิตบัณฑิตให้มีทั้งความรู้และความสามารถ เพื่อจะได้เป็นกําลังสําคัญของประเทศชาติ เพราะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะรุ่งเรืองไม่ได้ ถ้าชาติไม่มีนักธุรกิจที่ดี การสร้างนักธุรกิจเป็นการสร้างชาติโดยตรง “นักธุรกิจเป็นผู้สร้างชาติ” จึงเป็นปรัชญาในการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย์มาตั้งแต่เริ่มแรก
นอกจากนี้ อาจารย์ ดร.ไสว ยังมีปณิธานที่จะผลิตบัณฑิตให้เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วย “คุณธรรมและคุณวุฒิ” มีจิตสํานึกแห่งความดีงาม มีความรู้ในศาสตร์สาขาของตนสามารถนําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และดํารงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กร และพัฒนาประเทศชาติ
จากปณิธานดังกล่าว นักศึกษาของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จึงได้รับการปลูกฝังให้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณวุฒิ ตั้งแต่เข้ามาเป็นนักศึกษา จนกระทั่งจบเป็นบัณฑิต และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมตามคติธรรมของมหาวิทยาลัยว่า
“กมฺมนฺเตน วิสุชฺฌติ” หมายถึง “คนบริสุทธิ์ได้ด้วยการงาน”
“ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ” หมายถึง “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”
อาจารย์ ดร.ไสว เป็นผู้ที่รักการศึกษาเป็นชีวิตจิตใจ ท่านยึดคติพจน์ซึ่งปุโรหิตชาวอินเดียกล่าวไว้ว่า “การศึกษาเป็นบ่อเกิดของความรู้ ความรู้เป็นบ่อเกิดของการงาน การ งานเป็นบ่อเกิดของทรัพย์ ทรัพย์เป็นบ่อเกิดของความสุข” ดังนั้น วัยวุฒิที่สูงจึงมิได้เป็นอุปสรรคในการแสวงหาความรู้แต่อย่างใด อาจารย์ ดร.ไสว ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจที่ Pacific States University สหรัฐอเมริกา จนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตใน พ.ศ. ๒๕๓๐ เมื่ออายุ ๗๐ ปี นับเป็นความเพียรพยายามที่น่ายกย่องชมเชยเป็นอย่างยิ่ง
จากวันนั้น วันที่เป็นโรงเรียนธุรกิจบัณฑิตย์ มีอาคารเพียง ๑ หลัง กับจํานวนนักศึกษา ๖๐ คน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ก้าวมาถึงปัจจุบัน เป็นมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่มี อาคารกว่าสิบหลังรองรับนักศึกษาเกือบ ๒ หมื่นคน ใน ๘ คณะวิชา มีผู้สําเร็จการศึกษาออกไปรับใช้สังคมและประเทศชาติทุกวงการกว่า ๒ หมื่นคน เป็นผลงานที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของอาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ที่ประกาศไว้ใน “๒๕ ปีที่ก้าวมั่น สู่ปณิธานอัน ยิ่งใหญ่” ว่า
“ถ้าชีวิตยังเหลืออยู่อีกเท่าไหร่
จะอุทิศให้อุดมการณ์อันนี้ต่อไป...”
อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ อดีตผู้ก่อตั้งและอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้อุทิศตนให้แก่อุดมการณ์ของท่าน จวบจนวาระสุดท้าย...
หมายเหตุ :
- คงอักขระ การสะกดคำ เลขไทย และการเว้นวรรคตามต้นฉบับ
- ภาพประกอบจากอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์
เอกสารอ้างอิง:
- อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ต.ม., จ.ช. ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ปากเกร็ด นนทบุรี, วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2538 เวลา 17.00 น.. กรุงเทพฯ: บริษัทด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด, 2538, น. 119-140.
[1] บทสัมภาษณ์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์. พิธีพระราชทานรางวัลพระสิทธิธาดาทองคำ ครั้งที่ ๑ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, ๒๕๓๔, หน้า ๒๔๔.
[2] จาก อนุทินประจำวันของไสว สุทธิพิทักษ์ บันทึกเหตุการณ์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒
[3] สรุปความเรื่องการเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรี การทำงานในสภาผู้แทนราษฎร และในคณะรัฐบาลจาก บันทึกของไสว สุทธิพิทักษ์ เขียนที่สิงคโปร์ พ.ศ. ๒๔๙๙, หน้า ๒-๔.
[4] ไสว สุทธิพิทักษ์, “คำนำบทละครแปลเรื่อง คุณหญิงธารมณี” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนางสนม สุทธิพิทักษ์. กรุงเทพฯ: ธีระการพิมพ์, พ.ศ. ๒๕๒๖, หน้า ๓๑๐.
[5] บันทึกของไสว สุทธิพิทักษ์ เขียนที่สิงคโปร์ พ.ศ. ๒๔๙๙. หน้า ๒๔.