ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ชีวิต-ครอบครัว

"รัฐบุรุษอาวุโส" ผู้อุทิศตนเพื่อชาติและราษฎรไทย

4
พฤษภาคม
2565

ในการศึกษาพิจารณาถึงชีวิตของ ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ผู้ที่ศึกษาแม้เพียงเผินๆ ก็ย่อมจะรู้สึกแก่ใจได้อย่างตระหนักชัดข้อหนึ่ง ว่าการดำรงชีวิตของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ไม่น่าจะตกระกำลำบากถึงเพียงนั้น

ข้อที่กล่าวว่า “ตกระกำลำบาก” นี้ ข้าพเจ้าหมายถึงความสำนึกของผู้ศึกษาเอง เพราะเท่าที่ได้ติดตามสังเกตต่อเนื่องกันมาในช่วงเวลาทั้งที่ได้อ่านและได้ฟังจากคำบอกเล่าของผู้ศึกษาผู้สังเกตต่างๆ และทั้งที่ได้ประสบจากคลองจักษุของตนเอง ในระยะสุดท้ายแห่งชีวิตของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นั้น ไม่เคยปรากฏแม้สักวินาทีเดียวว่า แบบแผนหรือมรรควิธีในการดำรงชีวิตที่ท่านได้ใช้ได้ปฏิบัติอยู่อย่างประจำจำเจเป็นปรกติจะมีอะไรหรือส่วนใดที่ตัวของท่านคิดหรือรู้สึกว่าเป็นการตกระกำลำบากอะไรทั้งสิ้น

แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ จะไม่มีความรู้หรือจะไม่รู้จักว่า ความสุขสบายฟุ้งเฟ้อคืออย่างไร และความลำบากขาดแคลนคืออย่างไร

ความสำนึกดังกล่าวนั้น มันเป็นความสำนึกของเราผู้ศึกษาเอง หลังจากวาระได้เทียบเคียงบุคคลผู้ทรงคุณวิชาในด้านต่างๆ และเทียบเคียงกับสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” ต่างๆ ตามมาตรฐานของบุคคลในระดับเดียวกันนั้น ลักษณะการของภาวะแห่งความตกระกำลำบากในการดำรงชีวิตของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ จึงปรากฎออกมาอย่างเด่นชัดมาก ทั้งๆ ที่ ดร.ปรีดี พนมยงค์ มิได้แสดงความสนใจใยดีหรือกังวลในลักษณาการเช่นว่านั้น แต่อย่างใดเลย

ความเพ่งเล็งเอาใจใส่ของ 'ดร.ปรีดี พนมยงค์' อย่างล้ำลึกและจำหลักหนักแน่นในทุกกรณีในทุกปัญหา ไม่ว่าจากข้อเขียนของท่าน หรือ จากการสนทนาพาทีไม่ว่าในกรณีใดปัญหาใด ผู้ศึกษาและผู้สนทนาจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีแต่ “ความมั่นคงรุ่งเรืองของชาติ” และ “ความมีระดับแห่งชีวิตและมีปัจจัยของการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นสูงขึ้นของราษฎร” เท่านั้นเองโดยตลอด

คงจะไม่เป็นการกล่าวอย่างเกินเลยดอกกระมัง ที่ว่า 'ดร.ปรีดี พนมยงค์' สนใจอย่างดื่มด่ำในปัญหาของชาติไทยและราษฎรไทยมากกว่าที่จะสนใจในภาวะของตนเองอย่างห่างไกลราวกับคนละขั้วโลก ดร.ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตน ดำรงสถานะของตนเพียงระดับสถานประมาณพอให้อยู่ไปได้อย่างมีเกียรติ สมแก่เกียรติแห่งชาติไทยและราษฎรไทยเท่านั้นเอง

คำว่า “เกียรติ” ที่กล่าวนี้หมายถึง “เกียรติ” ตามความหมายและคุณค่าทางจริยธรรม มิใช่เกียรติอันเพ้อบ้าตามความสำนึกเพ้อบ้าซึ่งสังคมระดับหนึ่งได้ทึกทักสมมติกันขึ้นแล้วก็รับเชื่อกันตามที่ได้ทึกทักสมมติขึ้นมานั้นๆ

‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ได้ปักความสนใจใฝ่ศึกษาติดตามในขั้นตอนต่างๆ และในความที่พึงเป็นไปได้เพื่อความเจริญมั่นคงและความมีมาตรฐานดีขึ้นโดยลำดับแห่งชาติไทยและราษฎรไทยตลอดจนอุปสรรคนานาประการที่จะเป็นเครื่องขวางกั้นสิ่งที่มาดหมายเหล่านั้น ประหนึ่งว่ามันเป็นลมหายใจของท่านเอง ทั้งๆ ที่อายุได้ก้าวล่วงถึง 80 เศษแล้ว อันเป็นช่วงแห่งวัยซึ่งคนพื้นๆ อย่างข้าพเจ้าเห็นว่าสมควรแก่การพักผ่อน

แน่นอนละ สิ่งต่างๆ และปัญหาต่างๆ ที่ ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ได้สอบสวนค้นคว้าและเรียบเรียงอยู่ตลอดเวลาจนดูเสมือนหนึ่งหมายกำหนดการทำงานอันไม่มีวันหยุดทั้งเดือนทั้งปี ล้วนแต่เป็นสิ่งแวดล้อมและเป็นปัญหาที่มีค่าแก่การศึกษา และเชื่อว่าเมื่อได้มีการเผยแพร่ออกมาแล้วก็จะเกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ทรรศนะของคนรุ่นต่อไปโดยไม่เป็นที่สงสัย

แต่ข้าพเจ้าหรือใครๆ ก็ตามที่ศึกษาติดตามงานและพฤติกรรมของ ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ก็มักจะไม่วายสนเท่ห์ในการปฏิบัติแบบอุทิศคนดังกล่าวนี้นั้น เป็นเพราะชะตากรรมอะไรของชาติไทยและราษฎรไทยเล่าที่ได้ตกลงมาอยู่บนบ่าของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ จนตลอดชั่วอายุขัยเช่นนี้?

ที่น่าประหลาดน่าอัศจรรย์แก่ใจของพวกเราผู้ศึกษาติดตาม ก็คือมันเป็นความสุขอย่างยิ่งของ ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ที่จะปฎิบัติตนและดำรงตนในลักษณะเช่นว่านั้นอย่างแท้จริงหนักแน่นเสียด้วย

การสอบค้นจนมีความรู้อย่างทั่วและอย่างลึก คือ ธรรมชาติที่แฝงฝังอยู่ในทุกอณูแห่งสายเลือดของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นั่นแหละคือข้อสรุป ซึ่งผู้ศึกษางานและชีวิตของท่านจะพึงประเมินได้พ้องต้องกัน ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ มีลมหายใจเข้าและออกในลักษณาการของ “ครู” โดยแท้จริงและไม่เคยเหนื่อยหน่าย

หนังสือเล่มสุดท้ายที่ ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ยังเขียนค้างไว้ซึ่งเข้าใจว่าจะจบครบถ้วนได้อีกไม่มากนัก จะเป็นหนังสือที่น่าสนใจที่สุดเล่มหนึ่งทั้งแก่วงการของผู้ศึกษาทั้งปวงและแก่การทำความเข้าใจในตัวของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เองด้วยนั้นเป็นหนังสือทำนองอัตชีวประวัติของท่าน ดูเหมือนจะให้ชื่อไว้ว่า “ชีวิตและงานของปรีดี-พูนศุข”

จุดยึดมั่นในการเขียนหนังสือเล่มนี้และที่ให้ชื่อเช่นนี้ท่านได้เคยชี้แจงในการสนทนากันครั้งหนึ่ง ก็คือ ชีวิตของท่านจะไม่มีค่าอะไรแก่ใครเลย ถ้าหากปราศจากท่านผู้หญิงพูนศุขฯ ภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งได้ผ่านชะตากรรมแห่งชีวิตมาด้วยกันทั้งในความสุขบางระยะสั้นๆ และทั้งในความทุกข์เหมือนฝันร้ายอันแสนสาหัสอย่างสายตัวแทบขาด

ใครๆ ก็รู้ดีกันทั้งนั้น ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู ว่า ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ มีผู้หญิงเพียงคนเดียวจริงๆ ในชีวิตคือท่านผู้หญิงพูนศุขฯ นี่แหละ สุภาพสตรีซึ่งแม้แต่ผู้ที่ตั้งตนเป็นศัตรูทางความคิดศัตรูทางการเมืองของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ไม่ว่าระดับไหนๆ ก็ต้องยอมรับแก่ตัวของเขาเองว่า ความเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ กับท่านผู้หญิงพูนศุขฯ นั้นเป็นความจริงแห่งความจริงอันสามารถยืนยันได้ในทุกสถานตลอดโลก

ข้าพเจ้าขออภัยที่จำเป็นต้องกล่าวลงไว้สักนิดหนึ่งว่า ข้าพเจ้าเป็นเสมอเพียงศิษย์เล็กๆ คนหนึ่งของ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ซึ่งภูมิปัญญาห่างไกลจากท่านอย่างที่ต้องเรียกว่าอยู่คนละจักรวาล การที่เรียกขานท่านด้วยวลีว่า ดร.ปรีดี พนมยงค์ นี้มิใช่การดึงตนเองขึ้นหรือการดึงท่านลงมา ทั้งวิธีการเรียกหรือเขียนด้วยการใช้คำว่า ดร. หรือ ด๊อคเตอร์ ก็เป็นวิธีหนึ่งซึ่งท่านเองมักจะติงในทุกโอกาส 

แต่ข้าพเจ้ามีความสำนึกว่าในการเขียนถึงท่านต่อสาธารณชนนั้น ถ้าหากจะใช้คำว่า “อาจารย์” หรือ “ท่านอาจารย์” ตามที่ตนเองปรารถนาจะใช้ บางคนหรือหลายคนก็อาจจะคลื่นไส้เพราะเขาถือตัวว่ามิใช่ศิษย์ และการที่จะใช้คำกลางๆ แบบปรกติว่า “นาย” หรือเล่า ข้าพเจ้าเองก็มีความกระอักกระอ่วนเต็มที ดังนั้นจึงหวนมานึกถึงคำว่า ดร. หรือ ด๊อคเตอร์ อันมีผู้ใช้กันเกลื่อนกล่นกันทั่วไปตามสมัยนิยมในฐานะที่ท่านมีวิทยฐานะระดับปริญญาเอก (เกียรตินิยมดีมาก) อันพอจะรับอ่านรับฟังกันได้ในปัจจุบัน จึงได้ฉวยโอกาสใช้คำนี้

‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ เป็นรัฐบุรุษผู้มีชีวิตอันเต็มแน่นขนัดด้วยเหตุการณ์สารพัด สถานะแห่งความเป็นรัฐบุรุษก็มิใช่เพียงแต่ของชาติไทย, หากอยู่ในระดับโลกหรือระดับระหว่างประเทศด้วยโดยไม่มีปัญหา ผลงานจากข้อคิดของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เต็มไปด้วยคุณค่าน่าอัศจรรย์และเต็มด้วยหลักเกณฑ์ที่จะต้องมีการวิเคราะห์กันสืบไปเบื้องหน้าอีกช้านาน

เสียงระฆังแห่งความเป็นธรรมของสังคม ซึ่งท่านเป็นธรรมของสังคม ซึ่งท่านเป็นผู้ริเริ่มย่ำขึ้นไว้แก่สังคมไทยยังดังกังวาลอยู่ และยังจะต้องดังกึกก้องสืบไปจนกระทั่งความเป็นธรรมของสังคมนั้นสถิตเสถียร

ความเป็นเอกราชของชาติไทยในด้านต่างๆ ซึ่ง ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ ได้นำการต่อกรและสร้างสรรค์ไว้แก่ชาติไทยจะต้องมีความหมายและน้ำหนักปักแน่นยิ่งขึ้นเรื่อยไปด้วยความมีศักดิ์ศรีแห่งราษฎรไทยทั้งปวง

หลักข้อคิดและผลงานเหล่านี้แม้จะมีเผยแพร่บ้างแล้วและมีผู้ศึกษาติดตามรุ่นใหม่ๆ ได้เขียนขึ้นไว้บ้างแล้ว แต่ก็เป็นการแน่นอนเหลือเกินว่ายังจะต้องมีอรรถาธิบายเกิดขึ้นอีกมากมายทั้งเพื่อการทำความเข้าใจและทั้งเพื่อผลปฏิบัติอันดีงามแก่ชาติและราษฎร

คุณธรรมอันหนึ่งของ‘ดร.ปรีดี พนมยงค์’ เท่าที่พอสรุปอย่างสั้นๆ ได้ก็คือ “ความไม่เห็นแก่แต่ตนเอง”

คุณธรรมข้อที่ว่านี้ ที่จริงมันก็อ่านฟังดูง่ายๆ แต่ในอีกทางหนึ่งมันก็ยากนักหนา

ที่มา :  สุภา ศิริมานนท์. "รัฐบุรุษผู้อุทิศตนแก่ชาติและราษฎรโดยไม่เห็นแก่ตัวในทุกกาละและในทุกสถาน", ใน, มิตรกำสรวล เนื่องในวาระมรณกรรมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2526), น. 346-251

หมายเหตุ : ปรับปรุงชื่อโดยบรรณาธิการ