ปรากฏการณ์ที่บอกความนิยมถึง 1,386,215 เสียง ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนที่ 17 คือ ความเผ็ดร้อนที่ไม่ธรรมดาของสถานการณ์แข่งขันที่เข้มข้น เพราะมวลชนซึ่งตกอยู่ในความมืดมนถึง 8 ปี หลังรัฐประหาร 2557
‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ที่มีเป้าหมายชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2562 ด้วยยุทธศาสตร์ที่โชว์ศักยภาพ DREAM TEAM อย่างคนยุคใหม่ที่ไม่ใช่เพียงนโยบายการเมืองเรื่องอยู่กิน แต่มีความเป็นศิลปินในตัวตนซึ่งดลให้มวลชนมีความหวังใหม่ในมิติที่ดูแลครอบคลุมทั้งกายใจ (รวมไปถึง PASSION อันเป็นความต้องการภายในเบื้องลึกที่หล่อเลี้ยงชีวิตไม่ให้ขาดชีวา) ด้วยการหายุทธวิธีนำ CREATIVE ECONOMY มาบริหารจัดการ CREATIVE SPACE ภายใต้ขอบเขตวิธีคิดแบบ ZERO BASED BUDGETING โดยไม่ทิ้งทุนทางศิลปะและวัฒนธรรมที่ล้ำค่า ซึ่งไม่เคยอยู่ในแผนพัฒนาเมืองของผู้ว่าฯ กทม. มาทุกสมัย
ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องคิดใหม่ทำใหม่ให้ทันยุค นโยบายเชิงรุกอย่างไรบ้างที่จะสร้างเมืองให้น่าอยู่ได้สำหรับทุกคน คือ พันธกิจของประชาชนทั้งประเทศ ที่ไม่ได้จำกัดขอบเขตแค่เมืองหลวงอีกต่อไปแล้ว
นโยบายกู้ชาติของชัชชาติ อำนาจที่ต้องได้มาจากความร่วมมือ ปัจจัยที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ นโยบายบริหารจัดการของ Dream Team โดย 18 ผู้เชี่ยวชาญ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม กับ 9 ดี ย่อยเป็น 214 Action Plan คือ คำสั่งประชาชน
- กลุ่มที่ 1 บริการรวดเร็วทันใจ โปร่งใสในทุกขั้นตอน
- กลุ่มที่ 2 คุณภาพชีวิตต้องจริงจัง การเดินทาง ฝุ่น ขยะ น้ำเสีย พื้นที่สีเขียว ฯลฯ
- กลุ่มที่ 3 โอกาส สร้างโอกาสให้ผู้คนสามารถสร้างงานใหม่ๆ ได้
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CREATIVE ECONOMY) นโยบายหลัก 9 ดี ที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติปราศรัยชนะใจประชาชน[1]
- บริหารจัดการดี ประชาชนมีส่วนร่วม โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมความโปร่งใสผ่าน platform ประชาชนร่วมกำหนดงบประมาณ สมานสามัคคีมีพลังในการแสดงความคิดเห็น แจ้งเหตุ ตรวจสอบ และประเมินผลการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ ฯลฯ
- สิ่งแวดล้อมดี สะดวกสบาย ใกล้บ้าน เช่น พื้นที่สีเขียว พื้นที่สาธารณะใกล้บ้าน กทม. ร่วมกับกลุ่ม BIG TREE มีฝันไกลปลูกต้นไม้ 1,000,000 ต้น ภายในเวลา 4 ปี ผู้ว่าฯ ปลูกต้นโพธิ์นำร่องในวันเริ่มรับตำแหน่งเมื่อ 1 มิถุนายน 2565
- ดูแลสุขภาพเชิงรุก ต้องพาหมอไปหาประชาชน เพิ่มขีดความสามารถในการบริการของโรงพยาบาล สาธารณสุข ปรับปรุงบริหารจัดการ เพิ่ม Mobile Medical Unit รถบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่เข้าถึงชุมชน เพิ่มศูนย์บริการยกระดับ (เฉพาะกลุ่ม เช่น LGBTQ, ผู้สูงอายุ, โควิด-19 ฯลฯ แบบรวมศูนย์ Single Command
- เดินทางดี มีขนส่งสาธารณะสำหรับทุกคน ทำ Single Command กทม. มี 37 หน่วยงาน ต้องติดตั้งเทคโนโลยีควบคุมการจราจร BTS ต้องต่ำกว่า 30 บาท (ใน 3 สถานีแรก), รถเมล์, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง, เรือ ฯลฯ
- ปลอดภัยดี ลดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ อาชญากรรม บนทางเท้า ทางข้าม ต้องปลอดภัย, ฝึกกู้ภัย, ดูแลคนไร้บ้านและจัดการอาชีพให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น
- โครงสร้างดี (ดูแลจัดการเส้นเลือดฝอยของทุกระบบ) โครงสร้างผังเมือง ที่พักอาศัย การระบายน้ำ มีท่อระบายน้ำ 6,000 กิโลเมตร และต้องลอกอย่างน้อย 3,000 กิโลเมตร เพื่อให้น้ำไหลทะลุถึงอุโมงค์ระบายน้ำ ไม่ก่อปัญหาน้ำท่วม, ตัดถนนทะลุทะลวงระหว่างซอย, สร้างโครงการบ้านมั่นคง ที่อยู่อาศัยต้องมั่นคง เพราะทุกคนคือทรัพยากรของเมือง
- เศรษฐกิจดี คือตัวขับเคลื่อนสำคัญ ใส่ใจทุกระดับ, หาทางออกร่วมกัน จัดการพื้นที่หาบเร่ แผงลอย ไม่ให้เบียดเบียนคนเดินเท้า, 50 ย่านสำคัญดึงอัตลักษณ์ขึ้นมาสร้างเศรษฐกิจเชื่อมโยง, จัด 12 เทศกาลตลอดปีมีทุกเดือน โดยมี กทม. เป็นเจ้าภาพอำนวยความสะดวก
- เมืองสร้างสรรค์ คือ หัวใจ โดยมีมิวเซียมสยามเป็นโมเดล กระจายพื้นที่สาธารณะคุณภาพไม่ให้กระจุกแค่กลางเมืองเพื่อให้เด็กๆ และประชาชนทั่วไปได้สัมผัสพื้นที่คุณภาพ ห้องสมุดต้องมีทุกเขต ทุกแขวง เด็กๆ ไม่ต้องไปอยู่ร้านเล่นเกม เปลี่ยนศาลาว่าการ กทม. ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เมืองรอบๆ เสาชิงช้าคือสะดือกรุงเทพฯ ลานคนเมืองจัดกิจกรรมเชื่อมโยงให้เป็นพื้นที่ของทุกคน กิจกรรมเสริมปัญญา ศิลปะกลางแจ้ง ให้เกิดสุนทรียภาพ
- เรียนดี (หัวใจของการลงทุนน้อยแต่ได้ผลลัพธ์มาก) ยกระดับการดูแลครู-นักเรียน, หลักสูตรพัฒนาโรงเรียน, ศูนย์ฝึกอาชีพ, การพัฒนาเด็กเล็กสำคัญที่สุด กทม. จะดูแลตั้งแต่อนุบาล มีมาตรการคืนครูให้นักเรียน (ปัจจุบันครูให้นักเรียนไม่เต็มร้อยเพราะงานเอกสารและการเลื่อนวิทยฐานะ)
OPEN MIND - OPEN BANGKOK - OPEN DATA ปฏิรูปวัฒนธรรมใหม่ คือ ความโปร่งใสและประสิทธิภาพ
การมาของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สร้างความคาดหวัง และก่อเกิดปรากฏการณ์ “วัฒนธรรมใหม่” ที่ไม่ใช่แค่ดนตรีสีสันเท่านั้น แต่มีผลต่อการปฏิรูปวัฒนธรรมทุกมิติให้กับแวดวงราชการไทยไม่น้อย จากเส้นเลือดฝอยสู่เส้นเลือดใหญ่ที่ถูกทำไปพร้อมกัน
หนึ่งในสารพันปัญหาเหล่านั้น เริ่มจากต้อง OPEN MIND จัดการระเบียบกติกาใหม่ในสำนักงานเทศบาลกรุงเทพฯ เช่น เลิกใช้คำเรียกหัวหน้างานว่า นาย (ที่มีความหมายมาจากรากศัพท์ของคำว่า เจ้าขุนมูลนาย), ต้องมีอารยสถาปัตย์ที่เอื้อต่อคนพิการที่จะมาใช้บริการ, รับพนักงานที่เป็นคนพิการให้มีโอกาสทำงานที่เหมาะสม ฯลฯ เพื่อเป็นแบบอย่างและปลูกจิตสำนึกให้เจ้าหน้าที่เป็น “ผู้รับใช้ประชาชน” บนวิถีทางของการทำงานที่สง่างาม
ตามมาด้วย OPEN BANGKOK โดยการนำ plat form เพื่อการแจ้งเหตุ ร้องทุกข์ “Traffy Fondue” ที่เป็น application ใช้ง่าย มากระจายหนุนอำนาจให้ราษฎรในเขตกรุงเทพฯ วิสัยทัศน์การนำเทคโนโลยีมาเสริมทัพทำให้เกิดแรงกระเพื่อมตื่นตัวทั่วประเทศ ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 นับเป็นวัฒนธรรมใหม่ ที่นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่เส้นเลือดใหญ่ทั่วประเทศไทย
และต่อมา คือ OPEN DATA ซึ่งทุกหน่วยงานจะสามารถเพิ่มศักยภาพและป้องปราบการทุจริตที่มีรากลามลึกมาทุกรุ่น แล้วช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้นในการทำงานของข้าราชการ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย (Platform Revolution) อีกทั้งช่วยเปิดโอกาสให้น้ำใหม่เข้ามาล้างน้ำเก่าที่เน่ามานานออกไป
เบื้องหลังการทำงานของผู้ว่าฯ คนนี้ คือ ทีมงานที่ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่มาเป็นที่ปรึกษา แขนขา มันสมอง และไม่ลืมสนองความต้องการทางใจของประชาชน โดยเฉพาะคนเรียนจบใหม่ที่กำลังอยู่ในวัยแสวงหา ด้วยเมตตาและหวังดี เพราะทุกคนมีอนาคตของประเทศอยู่ในกำมือ นั่นคือชีวิตที่ควรดีขึ้นในทุกๆ ด้าน และเป็นพันธกิจของงานที่ทุกคนต้องช่วยกันทำ
การพัฒนาเมืองในระยะยาวมีโครงการดนตรีในสวนตามนโยบาย “กรุงเทพฯ เมืองแห่งดนตรี และศิลปะการแสดง” (จากข้อ 8 เมืองสร้างสรรค์ ที่เป็นหนึ่งใน 9 ดี นโยบายหลักของกทม. ยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธ์) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ที่มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี ระยะที่ 2 (พ.ศ.2561-2565) และแผนปฏิบัติราชการกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2561 ด้านที่ 3 มหานครสำหรับทุกคน มิติที่ 3.4 สังคมพหุวัฒนธรรม เป้าประสงค์ที่ 3.4.1 คนกรุงเทพฯ ที่มีความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและปรองดอง
เป้าประสงค์ที่ 3.4.1.3 พัฒนากลไกและเครือข่ายการขับเคลื่อนเรียนรู้พหุวัฒนธรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แม้มีงบประมาณเหลือไว้ให้บริหารเพียง 79,000 ล้านบาท ชัชชาติก็มั่นใจในทุนตั้งต้น เพราะงานส่วนใหญ่ถูกจัดการให้อยู่ในระบบของงานประจำ และเพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาช่วยประหยัดพลังงานและงบประมาณ แม้โครงการดนตรีฯ จะไม่ได้ช่วยเรื่องเศรษฐกิจในทันที แต่การที่ดูแลจิตใจก็สำคัญไม่ต่างกัน
“ผมว่าดนตรีในสวนชุดนี้เขาเข้าใจคนฟัง วันเปิดงานมีโทรศัพท์เข้ามาขอเข้าร่วมโครงการกันหลายกลุ่มเยอะมาก คนดูก็ตอบรับดีมาก เสาร์-อาทิตย์ได้มีที่ไปไม่ใช่เที่ยวห้างอย่างเดียว ในอนาคตจะเป็นช่องทางที่ศิลปินจะทำเป็นอาชีพได้ อาจมีสปอนเซอร์เข้ามาทำให้มีรายได้ เกิดกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น เป็นการลงทุนน้อยแต่ได้เยอะ กทม.ต้องเปลี่ยน mindset อย่าลงทุนเยอะแต่ได้น้อย หลายครั้งที่เคยลงทุนหมื่นแสนล้าน แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดนตรีในสวนไม่ต้องลงทุนสูง แต่ได้ความสุขความหวังกลับมา เป็นมิติใหม่ที่เราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วครับ” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สุทธิพันธ์ มั่นใจ
การมาของ “ดนตรีในสวน” ครั้งนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือบริหารเมืองเชิงลึก เข้าถึงความรู้สึกความต้องการทางใจที่ไม่ใช่แค่เรื่องทำมาหากิน
“สิ่งที่เราสามารถทำได้ในวันนี้คือ Smart Enough City ส่วน Smart City เป็นเรื่องของอนาคต ยุคนี้งานของคนรุ่นใหม่มีไม่มากพอสำหรับ PASSION ของทุกคน งานอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ต้องอดทน ไม่ชอบก็ทำไปก่อน หนักเอาเบาสู้อย่าดูถูกงาน ในวิกฤตการณ์อย่างนี้ถ้าเงื่อนไขเยอะอาจเปลี่ยนงานยาก หัวใจคือเอาชีวิตรอดก่อน แล้วสะสมความรู้เพิ่มเติมเพื่อรอจังหวะ คุณอาจหา passion จากงานไม่ได้ เพราะงานคือสิ่งที่ชีวิตต้องการจากคุณ แต่ passion คือสิ่งที่คุณต้องการจากชีวิต ไปหาเพิ่มเติมเต็มเอาได้ น้อยคนนักที่จะโชคดีได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ passion ของผมคือ การทำให้คนอื่นมีชีวิตดีขึ้น มีความสุข แม้อาจเล็กน้อยก็ตาม เพราะผมเป็นผู้ว่าของทุกคนครับ” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กล่าว[2]
นโยบายกรุงเทพฯ เมืองแห่งดนตรี และศิลปะการแสดง
ในเมืองที่มีพหุวัฒนธรรมเป็นสิ่งค้ำจุนสังคมอย่างกรุงเทพฯ หนึ่งในนโยบายสายศิลปวัฒนธรรมที่จัดว่าเยี่ยมยุทธสุดยอดประชานิยม น่าชื่นชมที่ได้รับการฟื้นฟูสนับสนุน คือ การกระจายความสุขด้วยเสียงเพลง จัดบรรเลงในสวน เพราะดนตรีคือสื่อที่สามารถเข้าถึงทุกคนได้ง่ายกว่าการแสดงสายอื่นๆ
แรกเริ่มงานถูกดำริบนพื้นฐานของ Zero Based Budgeting ร่วมกับนักร้อง นักดนตรี และวงดนตรีอาสาคืนสู่เวที ยังไม่ต้องทุ่มงบประมาณ แต่ประสานให้ทุกฝ่ายมารวมตัวร่วมใจกันจัดกิจกรรมสังสรรค์อย่างมีปฏิสัมพันธ์ อันจะนำไปสู่วิธีคิดสร้างสรรค์ (creativity) ในภาคประชาสังคม บันทึกไว้เป็นหมายเหตุสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศไทย
งานดนตรีในสวนจัดขึ้นครั้งแรกที่สวนลุมพินี ในช่วงปี 2536 ในสมัย “ร้อยเอก กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา” เป็นผู้ว่าฯ กทม. หลังจากนั้นก็มีการจัดต่อเนื่องเป็นประจำจนจะขึ้นสู่ปีที่ 30 ในเดือนพฤศจิกายน 2565 นี้ เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีมาตลอด[3]
หลังโควิดปิดประเทศ จำกัดขอบเขตการทำกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะมานานสามปี เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย 30 พฤษภาคม 2565 ว่าที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติได้โอกาสพิเศษดำริเปิด Public Space ทันที ตามนโยบายที่ขายไว้ เพราะความเป็นคนมีดนตรีในหัวใจมานาน ทุกคนรับรู้และสัมผัสได้ แม้ว่าครั้งแรกที่จัดจะยังอยู่ในช่วงเวลาที่รอคณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองผล ยังไม่ประกาศ แต่ผู้ว่าฯ ชัชชาติได้เร่งเตรียมการไว้ก่อนหน้านั้นแล้วกับ ดร.สุกรี เจริญสุข ผู้อำนวยการไทยซิมโฟนีออเคสตรา และประธานมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ซึ่งเคยทำโครงการดนตรีในสวนมาเป็นผู้จัด ครั้งนี้ในชื่อโครงการ “ดนตรีในสวน เพื่อความสุขและความหวัง”
งานถูกออกแบบให้อยู่ในบรรยากาศสบายๆ ง่าย งาม ประเด็นสำคัญของการจัดงานจึงไม่ใช่แค่การสานต่อนโยบาย แต่มีความหมายตรงเจตนาจากว่าที่ผู้ว่าฯ ขณะนั้นให้โจทย์ศิลปิน “โปรดเล่นให้สนุกเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทำให้กรุงเทพฯ น่าอยู่” เป็นการส่งกำลังใจบอกทุกคนสู้ไปด้วยกัน
วันแรกเปิดงาน 4 มิถุนายน 2565 ณ ‘สวนวชิรเบญจทัศ’ หรือ ‘สวนรถไฟ’ งานเริ่มตั้งแต่ 16.00 - 18.00 น. เป็นการรวมผู้คนหลากกลุ่มหลายวัยไว้ในจุดเดียว สมกับที่เป็นงานดนตรีเพื่อประชาชน ไม่มีการระบุชนชั้นวรรณะ แม้แต่นักดนตรีก็กลมกลืนไปกับทุกคนที่นั่งบนพื้นหญ้า มีผู้ว่าฯ ชัชชาติเข้าร่วมวงส่งพลังของความรักผ่านความสนุกสนาน ร่วมเต้นรำกับประชาชนอย่างชื่นมื่นรื่นรมย์ เสียงเพลงและเสียงความสุขของผู้คนกระหึ่มก้อง ดั่งเสียงร้องร่วมร้องยินดีกับผู้ว่าคนใหม่ขวัญใจประชาชน ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มิถุนายน 2565
“คนกรุงจะได้ฟังดนตรีดีๆ ไม่ต้องใช้งบมากเท่าไหร่เลยก็ร่วมมือร่วมใจกันจัดขึ้นได้ เพราะพวกเรามารวมพลังกัน ต่อไปทุกสัปดาห์จะจัดให้กระจายทั่วกรุงเทพฯ เริ่มที่สวนรถไฟ, สวนหลวง ร.9, สวนเบญจกิติ, ย่านสยามสแควร์ ฯลฯ ในชุมชนแออัดก็จะจัด ทุกคนย่อมมีสิทธิ คอยติดตามนะครับ” ชัชชาติให้สัญญากับประชาชน
นอกจากดนตรี ภายในงานยังมีการวาดภาพจากจิตรกรสีน้ำ สุชาติ วงศ์ทอง ตัวแทนเครือข่ายศิลปิน วาดภาพชัชชาติเป่าทรัมเป็ตให้เป็นที่ระลึกในวาระปฐมฤกษ์เบิกสวนอีก และยังช่วยให้มูลนิธิฯ ได้รับบริจาคเป็นกำลังใจไปหนึ่งแสนบาท
1 พฤษภาคม 2565 ไทยประกาศเปิดประเทศ หลังจากที่ผู้คนไม่ได้สัมผัสบรรยากาศสนุกสนานเพราะโควิด 19 มานาน “ดนตรีในสวน” ถูกนำมาเยียวยาประชาชน นับจากนี้ไปจนตลอดปี เวทีประชาชนของ กทม. จะมีวงดนตรีอาสา นักร้องอาสา เข้ามาร่วมโครงการอีกมากมาย ไร้สังกัด จัดประชันหลายแนวเพลง สำนักงานสังคีต กรมศิลปากร กับวงดุริยางค์สากลเต็มวง และการแสดงนาฏศิลป์วิจิตรตระการตามาร่วมคืนความสุขให้ประชาชน เชิญทุกคนไปรับกำลังใจร่วมกันในวันฝ่าฟันวิกฤต ผลกระทบจากโควิด-เศรษฐกิจ-การเมือง กทม. พร้อมดูแลใจในแนวคิด “คนคือเมือง เมืองคือตลาดแรงงาน”
เมื่อผู้คนมีปฏิสัมพันธ์เปิดใจต่อกันได้แล้ว การเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ที่จะตามมาจากความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ยากนัก เพราะความรักที่มีต่อกันจะเยียวยาทุกปัญหาให้ดีขึ้นได้ เป็นทั้งจุดขายและจุดแข็งของผู้นำที่กำลังสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับประเทศไทย
[1] ชัชชาติ เปิด 200 นโยบาย ‘กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน’ https://www.yotube.com/watch?v=Z0wvB7EG8Cg สืบค้นวันที่ 6 มิถุนายน 2565
[2] ชัชชาติ เปิด 200 นโยบาย ‘กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน’ https://www.youtube.com/watch?v=Z0wvB7EG8Cg สืบค้นวันที่ 6 มิถุนายน 2565
[3] ย้อนรอย “ดนตรีในสวน” กิจกรรมดี ๆ ชมฟรี ที่ครองใจคนกรุงฯ มาเกือบ 30 ปี เผยแพร่: 6 มิ.ย. 2565 โดย: ปิ่น บุตรี https://mgronline.com/travel/detail/9650000053349 สืบค้นเมื่อ 8 มิ.ย 2565