Focus
- บทความนี้ชี้ว่าหากมีการขุดคลองกระ จะเป็นเส้นทางเดินเรือที่สั้นที่สุดในการเชื่อมทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย ลดความแออัดของช่องแคบมะละกา และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคอาเซียน รวมไปจนถึงเศรษฐกิจโลก
- ช่องแคบมะละกาเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเดินเรือของโลก เนื่องจากมีโจรสลัดชุกชุม สภาพภูมิประเทศง่ายต่อการซุมโจมตี มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก และบางส่วนของเส้นทางแคบและตื้นจนเกินไป
- จากประวัติศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่ามหาอำนาจตะวันตก เช่น อังกฤษ เคยคัดค้านการขุดคลองกระเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน โดยเฉพาะในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ โดยบังคับให้ไทยเซ็นสัญญาว่าจะไม่ขุดคอคอดกระใน “ความตกลงสมบูรณ์แบบ” หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ปัจจุบันสัญญาข้อนี้ไม่ได้มีผลแล้ว
แม้ว่าความคิดเกี่ยวกับการขุดคลองกระจะเริ่มขึ้นในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 200 ปีตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่รัฐบาลไทยหลายสมัยจนถึงปัจจุบัน ต่างลังเลหรือเพิกเฉยต่อโครงการขุดคลองกระเสมอมา คลองกระมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง ต่อการเดินเรือในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค และเส้นทางการเดินเรือของโลก แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลง่าย ๆ อาทิ
- ขุดคลองกระแบ่งแยกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคง
- ขุดคลองกระแล้วไม่คุ้มค่าไม่มีใครมาใช้คลอง
- ไม่รู้ว่าจะเอาดินไปไว้ที่ไหน
- ชุดแล้วเป็นภัยต่อสภาพแวดล้อม
ข้อโต้แย้งเหล่านี้แม้ว่าจะมีเหตุผลในตัวของมันเอง มักจะหลุดจากปากของผู้มีอำนาจ ทางการเมือง ผู้มิได้มีความรู้ หรือประสงค์ที่จะใฝ่หาความรู้แท้จริงเกี่ยวกับโครงการ หรือผู้นำบางคน ปฏิเสธเพราะมีผลประโยชน์แนบแน่นกับบางประเทศในอาเซียน และเกรงว่าหากขุดคลองกระแล้วผลประโยชน์ของตนและครอบครัวจะเสียหายตามไปด้วยพวกเขาไม่ต้องการ แม้แต่ความคิดที่จะจัดให้มีการศึกษาขั้นสมบูรณ์ของโครงการขุดคลองกระ
ในความเป็นจริงก่อนจะขุดคลองกระ จะต้องจัดให้มีการศึกษาอย่างละเอียดทุกมิติต่อเนื่องมาจากการศึกษาเบื้องต้น ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า
1. เมื่อขุดคลองกระแล้ว จะเป็นเส้นทางเดินเรือที่สั้นที่สุด เชื่อมต่อทะเลจีนใต้ (มหาสมุทรแปซิฟิค) และ ทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย)
2. ช่องแคบมะละกา ช่องทางเดินเรือที่สั้นที่สุด เชื่อมต่อทะเลจีนใต้และทะเลอันดามันในปัจจุบันนี้แน่นขนัด ด้วยเรือเดินสมุทรชนิดต่าง ๆ ช่องแคบมะละกาเป็น Checkepoint ที่มีความสำคัญต่อการเดินเรือและเศรษฐกิจของโลก หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุอื่นใดอันจะทำให้การเดินเรือหยุดชะงักลง เศรษฐกิจของโลกจะได้รับผลกระทบโดยทันที
3. โครงการนานาชาติ เกี่ยวกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น โครงการคลองกระ จะอํานวยประโยชน์ ให้แก่ชาติต่าง ๆ คือ
3.1 เกิดผลประโยชน์โดยตรงแก่ประเทศไทย เจ้าของโครงการ
3.2 อำนวยประโยชน์แก่ชาติต่าง ๆ ในอาเซียน
3.3 ประเทศต่าง ๆ ในภาคพื้นแปซิฟิคและมหาสมุทรอินเดียจะได้ประโยชน์ จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าในประชาคมอาเซียน
3.4 ประชาคมโลกโดยรวม
4. โครงการพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (Mega-project) เช่น โครงการขุดคลองกระ จะช่วยรองรับความเจริญ และการกระจายรายได้ของประชากรในอาเซียน เป็นเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับความเจริญเติบโตของประชากร โครงการคลองกระจะถูกผนวกเข้าไปเป็น Infrastructure Stock ของอาเซียน อำนวยความสะดวกแก่การค้าและการลงทุนเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี
5. ขนาดของการลงทุน และลักษณะของความเป็นนานาชาติของโครงการจะมีส่วนในการกระตุ้นเครื่องมือการผลิตในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้กลับมาใช้งานในภาคการผลิตแท้จริง โครงการคลองกระจะมีส่วนสำคัญในการช่วยฉุดเศรษฐกิจของโลก ออกจากวิกฤตฟองสบู่ซึ่งกำลังคุกคามความมั่นคงของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้
คลองกระประตูเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน ได้ประกาศนโยบาย เส้นทางสายไหมทางทะเลยุคใหม่ (New Maritime Silk Road) สำหรับศตวรรษที่ 21 เป็นความคิดริเริ่มในการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางสายนี้

จอมพลเรือ เจิ้งเหอ
เดิมที ในสมัยราชวงศ์หมิง ในยุคของจักรพรรดิ หย่งเล่อ(Yongle) พระองค์ได้สนับสนุนให้จอมพลเรือ เจิ้งเหอ ครั้งแรกใน พ.ศ. 1948 (ค.ศ. 1405) สร้างกองเรือขนาดใหญ่ มีเรือใหญ่น้อยรวมกัน 1,700 ลำ ประกอบด้วยกำลังพลมากกว่า 30,000 คน เดินเรือไปทางตะวันตกผ่านช่องแคบมะละกา สู่มหาสมุทรอินเดีย ต่อมาได้มีการเดินทางอีกหลายครั้งเข้าสู่ตะวันออกกลางและทวีปแอฟริกา ได้มีการค้นพบภายหลังว่า กองเรือของเจิ้งเหอได้เดินทางไปถึง ทวีปอเมริกาใน พ.ศ. 1964 (ค.ศ. 1421) ค้นพบทวีปอเมริกาเกือบ 100 ปี ก่อนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ผู้ได้ชื่อว่าค้นพบทวีปอเมริกาใน พ.ศ.2053 (ค.ศ. 1510)

สำเภอขนาดใหญ่ 9 เสากระโดง สำหรับกองเรือ
ตำนานของการเดินเรือของจอมพลเรือ เจิ้งเหอ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศจีนมีวัฒนธรรมการเดินเรือไปรอบโลกมาเป็นเวลาช้านาน ก่อนประเทศอื่นในโลกตะวันตก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศจีนยุคโบราณแม้จะมีวัฒนธรรมก้าวหน้ากว่าหลาย ๆ ประเทศในสมัยนั้น อีกทั้งจีนยังสามารถสร้างกองเรือขนาดใหญ่ ประกอบด้วยกำลังทหารหลายหมื่นคน ประเทศจีนหาได้มีความทะเยอทะยาน เช่น เดียวกับประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตกแต่อย่างใดไม่ จีนไม่เคยยึดเอาประเทศที่ตั้งบนทางผ่านของกองเรือจีนมาเป็นอาณานิคมเลยแม้แต่ประเทศเดียว เช่นเดียวกัน ข้อเสนอของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง เกี่ยวกับนโยบายเส้นทางสายไหมทางทะเล มิใช่ความทะเยอทะยานที่จะเป็นมหาอำนาจทางทะเลดังที่ประเทศตะวันตกพยายามสร้างภาพ หากแต่เป็นข้อเสนอรูปแบบความร่วมมือระหว่างประเทศบนพื้นฐานของความเจริญทางเศรษฐกิจร่วมกัน
ข้อเสนอหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) เป็นรูปแบบของร่วมมือในการ ลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (Mega Infrastructure Project) เพื่อเชื่อมต่อประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ส่งเสริมการค้าและการพัฒนายกระดับความเจริญของประเทศบนเส้นทางสายไหมให้เกิดความเจริญอย่างยั่งยืนและเท่าเทียมกัน พร้อมข้อเสนอต่าง ๆ ประเทศจีนยังได้ใช้ทรัพยากรทางการเงินจำนวนมหาศาล (จีนมีทุนสำรองประมาณ 4 ล้าน ๆ เหรียญ US$) สนับสนุนการลงทุนโครงสร้างเหล่านี้โดยจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AllB - Asia Infrastructure Investment Bank) และกองทุนอีกหลากหลายขึ้นมาแข่งขันกับธนาคารโลก (World Bank ) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สถาบันการเงินของประเทศตะวันตกซึ่งผูกขาดการเงินระหว่างประเทศตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ในระยะสองทศวรรษที่ผ่านมา ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หาได้ทำหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกตามจุดประสงค์ดั้งเดิมไม่ ธนาคารโลก (World Bank) หยุดให้ความสนับสนุนโครงการพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่มาเป็นเวลานานแล้ว และโครงการซึ่งธนาคารโลกให้ความสนับสนุนมักจะประสบกับข้อแม้ผูกพันต่าง ๆ มากมาย สร้างหนี้สินให้แก่ประเทศแทนที่จะส่งเสริมทรัพย์สินและความเจริญ ส่วน ไอ เอ็ม เอฟ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีหน้าที่ตามทวงหนี้ประเทศต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนแสนสาหัสของประชาชน การที่ประเทศจีนเสนอกองทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยผ่านธนาคาร AIIB และกองทุนอื่น ๆ เป็นการช่วยปลดปล่อยประเทศต่าง ๆ จากมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมตะวันตก เป็นการเสนอ ทางเลือกให้ประชาคมโลกพลิกฟื้นวิกฤตเป็นโอกาส ในการพัฒนาตนเอง นับเป็นโอกาสดีที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และส่วนอื่น ๆ ของโลกจะได้มีทางเลือกในการพัฒนาตนเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ การพัฒนาเหล่านี้ถูกกำหนดและผูกขาดโดยธนาคารต่าง ๆ ของประเทศตะวันตกอย่างสิ้นเชิง
เมื่อไม่นานมานี้ ดร.โนริโอะ ยามาโมโต (Dr. Norio Yamamoto) จากสถาบัน (GIF Global Infrastructure fund) ของประเทศญี่ปุ่นได้ชี้ให้เห็นว่า อีกไม่นานประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านคน หากไม่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเพียงพอขึ้นมารองรับ ประชากรโลกจะประสบกับภัยพิบัติ นั่นคือความอดอยาก สงคราม และโรคร้าย สถาบัน GIF เองก็ได้เคยเสนอ (เมื่อประมาณ 30 ปี ที่แล้ว) ให้ตั้งกองทุนประมาณ 500,000 ล้าน US$ โดยให้ลดการสร้างอาวุธนำเงินมาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทั่วโลก น่าเสียดายที่ข้อเสนอของ GIF ไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลญี่ปุ่นและประเทศตะวันตกอื่น ๆ เพราะขัดแย้งกับนโยบายของธนาคารโลก (World Bank) และ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
คลองกระ : อนาคตของการเดินเรือ เชื่อมระหว่างมหาสมุทร
ประเทศไทยตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลอันสำคัญยิ่ง ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากศักยภาพในอนาคตของการขุดคลองกระ มหาอำนาจตะวันตกมีบทบาทมากในความพยายามสนับสนุนหรือคัดค้านการขุดคลอง
ในยุคล่าอาณานิคมตลอดศตวรรษที่ 19 ได้มีการบันทึกหลายครั้งเกี่ยวกับ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) ตัวแทนสหราชอาณาจักร (United Kingdom) ในสมัยที่ได้เดินเรือเข้ามาในอาณาจักรสยามเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 18 ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเปิดเส้นทางเดินเรือเชื่อมอ่าวไทยและมหาสมุทรอินเดียไว้ว่า “กล่าวกันว่าคงมีเรื่องยากลำบากเพียงเล็กน้อย หากจะเปิดการติดต่อทางน้ำระหว่างอ่าวเบงกอลกับอ่าวสยาม บริเวณละติจูดที่ 11 องศาเป็นคอคอดที่อาจตัดข้ามไปได้เป็นทางตรงประมาณ 50 ไมล์ หากมีการดำเนินการ คลองที่ขุดให้เรือแล่นผ่านได้ตรงบริเวณนี้อาจจะมีความสำคัญเป็นลำดับต่อมาจากคอคอดดาเรียนในอเมริกา และคอคอดสุเอซในอียิปต์ และเป็นที่คาดหวังว่าการเปิดความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสยาม จะทำให้มีลู่ทางที่จะพิจารณาปัญหาที่น่าสนใจทางภูมิศาสตร์และการพาณิชย์เรื่องนี้”
“อันที่จริง นี่จะเป็นงานอันมีเกียรติ และหากข่าวสารที่ข้าพเจ้าได้ทราบมานั้นถูกต้องการขุดคลองที่มีความยาวเพียงไม่กี่ไมล์นี้เพียงอย่างเดียวจะได้เชื่อมต่อบรรดาแม่น้ำที่ใช้เดินเรือเข้าด้วยกัน เป็นการประหยัดเวลาเดินเรือระหว่างอินเดียกับเอเชียบูรพาได้ มิใช่เพียงวัน ๆ เท่านั้น แต่เป็นสัปดาห์ ๆ ทีเดียว เพราะไม่ต้องอ้อมไปไกลถึงช่องแคบมะละกา”[1]

ภาพวาดคลองกระโดยวิศวกรฝรั่งเศส ระหว่าง พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) ที่มาเอกสารจากหอสมุดแห่งชาติ
ในปลายศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1881) เฟอร์ดินาน เดอ เลสเซปส์ (Ferdinand de Lesseps) ผู้ประสบความสำเร็จ ในการขุดคลองซูเอสก่อนหน้านี้ ได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อขอขุดคลองกระในหนังสือประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ ดีอีจี ฮอล (D.E.G. Hall) ได้กล่าวถึงผลประโยชน์ของเยอรมนี ซึ่งต้องการขุดคอคอดกระ ทำให้ประเทศอังกฤษต้องยินยอมยกเลิกสิทธิภาพนอกอาณาเขตในบางกรณี ในสนธิสัญญาใน ค.ศ. 1909[2]
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษได้บังคับให้ประเทศไทย (ประเทศผู้แพ้สงคราม) ลงนามใน “ความตกลงสมบูรณ์แบบ” เพื่อเลิกสถานะสงครามเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ณ เมืองสิงคโปร์ มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการขุดคลองในข้อ 7 “รัฐบาลไทยรับจะไม่ตัดคลองขามอาณาเขตไทย เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย โดยไม่ได้รับความเห็นชอบรัฐบาลอังกฤษ” ข้อตกลงนี้ถูกยกเลิกในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2497 ไทยอังกฤษจึงตกลงกันได้ ยกเลิกความตกลงสมบูรณ์แบบทั้งฉบับโดยไม่มีข้อแม้เหลืออยู่ในเรื่องการตัดคลองเป็นอันถือได้ว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไทยไม่มีข้อผูกมัดจำกัดสิทธิ์มิให้ไทยขุดคลองกับประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น ไทยคิดจะขุดหรือไม่ อยู่ในดุลยพินิจโดยเด็ดขาดของไทย[3]
บันทึกทางประวัติศาสตร์เพียงสังเขป แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจุดยุทธศาสตร์คลองกระต่อเหตุการณ์ของโลก แม้กระนั้นก็ตาม สาธารณชนชาวไทยหาได้ตระหนักว่า ประเทศไทยมีความสำคัญเพียงใด อะไรจะเกิดขึ้นหากประเทศไทยตัดสินใจขุดคลองกระ
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาชาติต่าง ๆ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางการเดินเรือระหว่างประเทศ (SLOC – Sea Lane of Communication) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางเดินเรือทะเล (Sea Lane of Communication) ที่สั้นที่สุดเชื่อมระหว่างทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย เรือเดินสมุทรมากกว่า 90% ใช้เส้นทางในช่องแคบมะละกา เป็นเรือบรรทุกน้ำมันประมาณ 50% (น้ำมันผ่านจำนวนวันละประมาณ 16 ล้านบาเรล) อีก 50% เป็นเรือคอนเทนเนอร์ (Container) เรือสินค้าเทกอง (Bulk Cargo) ฯลฯ
หากขุดคลองกระ เส้นทางผ่านคลองกระจะกลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สั้นที่สุดเพื่อเชื่อมต่อทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย เป็นเส้นทางที่จะมาทดแทนช่องแคบมะละกาได้ทันที

สถานีวิทยุโทรทัศน์ บีบีซี (British Broadcasting Corporation) ของอังกฤษได้รายงานข่าว เมื่อ พ.ศ. 2553 ว่า เรือสินค้าเดินทางผ่านช่องแคบมะละกามีจำนวนมากกว่าเรือเดินทางผ่านคลองซุเอส ถึง 6 เท่าตัว ประกอบด้วยเรือเดินสมุทรชนิดต่าง ๆ มีระวางรวมกันมากกว่า 4,200 ล้าน เดทเวทตัน (DWT) คิดเป็นประมาณ 20% ของการค้าโลก
The Straits of Malacca represents the World's busiest business activities. It is estimated that 15-20 % of world trade are going through the Straits of Malacca every year. The sea freight amounts up to 4,231,856,649 DWT. 50% is oil transit and 24% container transit and dry bulk 21%.
Vessel Type | Transits | %Transits | DWT | %DWT |
---|---|---|---|---|
Container | 26.884 | 35 | 1,018,691,556 | 24 |
Dry Bulk | 13,416 | 17 | 907,891,519 | 21 |
Other Dry Cargo | 16,286 | 21 | 161,583,651 | 4 |
Tanker | 21,073 | 27 | 2,133,689,923 | 50 |
TOTAL | 77,659 | 100 | 4,231,856,649 | 100 |
(Source: Lloyd’s MIU)
ในปัจจุบันมีเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ผ่านช่องแคบมะละกาประมาณปีละ 90,000 ลำประมาณ 50% เป็นเรือบรรทุกน้ำมัน (Tanker) อีกประมาณ 25% เป็นเรือสินค้า Container ส่วนที่เหลืออีก 25% เป็นเรือชนิดอื่น ๆ
จากการศึกษาของ HM Ibrahim และ Mansoureh ของสถาบันพาณิชย์นาวีของมาเลเซีย (MIMA-Maritime Institute of Malaysia) ช่องแคบมะละกาสามารถรองรับเรือได้สูงสุดประมาณ 120,000 ลำ อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ของธนาคารโลก (World Bank) คาดว่าภายใน พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) หรือประมาณ อีก 15 ปี ข้างหน้า จะมีเรือเดินสมุทรผ่านช่องแคบมะละกา ประมาณ 122,640 ลำ ในขณะที่ สถาบันการขนส่งระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JITI - Japan Interventional Transport Institute) คาดว่าจะมีเรือผ่านช่องแคบมะละกาประมาณ 140,000 ลำ ใน พ.ศ. 2563 เช่นเดียวกัน[4]
Type of Vessel/Year | 2009 | 2010 | 2011 | 2012 | 2013 | *2014 |
---|---|---|---|---|---|---|
VLCC/Deep Draft | 4221 | 4333 | 4539 | 4732 | 4825 | 5225 |
Tanker Vessel | 16398 | 16247 | 16233 | 17345 | 18296 | 19335 |
LNG Carrier | 3330 | 3579 | 3830 | 4014 | 4248 | 4658 |
Cargo Vessel | 8560 | 8445 | 7996 | 7950 | 7613 | 7126 |
Container Vessel | 22310 | 24806 | 25552 | 24639 | 24658 | 24615 |
Bulk Carrier | 11186 | 11642 | 10851 | 11678 | 12658 | 12695 |
Ro-Ro | 2394 | 2624 | 2545 | 2980 | 2998 | 3194 |
Passenger Vessel | 1250 | 1071 | 877 | 861 | 1063 | 1169 |
Livestock Carrier | 43 | 45 | 47 | 38 | 55 | 31 |
Tug/Tow | 598 | 545 | 414 | 529 | 563 | 855 |
Government Vessel | 67 | 37 | 57 | 50 | 58 | 25 |
Fishing Vessel | 61 | 20 | 20 | 52 | 27 | 135 |
Others | 941 | 739 | 577 | 609 | 911 | 991 |
TOTAL | 71359 | 74133 | 73538 | 75477 | 77973 | 80055 |

จากการศึกษาดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า อีกไม่นาน ช่องแคบมะละกาจะไม่สามารถให้เรือผ่านได้ตามปกติ เรือจำนวนมากจะต้องใช้ช่องแคบลอมบ๊อก และสุนดาในอินโดนีเซีย ซึ่งจะเพิ่มระยะการเดินทางอีกหลายพันกิโลเมตร ปัญหานี้เองทำให้มาเลเซียและอินโดนีเซียประเทศในช่องแคบมะละกาเสนอให้เก็บค่าผ่านทางสำหรับเรือผ่านในช่องแคบมะละกา เพื่อนำเงินมาปรับปรุงการเดินเรือซึ่งแน่นขนัดมาก แต่สิงคโปร์ ปฏิเสธเพราะเกรงว่าประเทศไทยจะขุดคลองกระขึ้นมาแข่งขัน จวบจนปัจจุบันการเดินเรือในช่องแคบมะละกายังเป็นปัญหาคาราคาซังกันอยู่ หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว การเดินเรือในช่องแคบมะละกาจะต้องประสบกับปัญหาอย่างแน่นอน
ปัญหาของการเดินเรือในช่องแคบมะละกา[5]
ช่องแคบมะละกามีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 1,000 กิโลเมตร เป็นช่องแคบที่มีเรือผ่านมากที่สุดในโลก แต่มีปัญหาการเดินเรือหลายประการ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1.ปัญหาทางภูมิศาสตร์ ส่วนที่สร้างความยากลำบากให้แก่เรือเดินสมุทร คือ ส่วนที่เรียกว่า One Fathom Bank ซึ่งอยู่ตรงข้าม Port Klang ในมาเลเซีย ยาวลงมาจรดประภาคาร Horsburgh ในสิงคโปร์ มีความยาวประมาณ 400 กิโลเมตร เส้นทางนี้มีจุดตื้นเขิน (น้ําลึกระหว่าง 23-25 เมตร) อยู่ 6 จุด ขณะนี้ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ได้วางระบบควบคุมการเดินเรือ TSS (Traffic Separation Scheme) ควบคุมความเร็วของเรืออย่างระมัดระวังที่สุด ป้องกันไม่ให้ใช้ความเร็วสูงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
2. ความแคบของช่องแคบมะละกา เนื่องจากความตื้นเขินของร่องน้ำให้ช่องทางเดินเรือหลายแห่งแคบลงเหลือเพียงประมาณ 4 กิโลเมตร
3. ความแออัดของการสัญจรของเรือโดยเฉพาะจุดที่เป็นคอขวดคือช่องฟิลิปส์ (Phillip Channel) ตั้งอยู่หน้าเกาะสิงคโปร์ ตรงข้ามกับเกาะบาตัม ของอินโดนีเซีย ช่องทางเดินเรือมีความกว้างไม่ถึง 4 กิโลเมตร เป็นจุดที่มีเรือแออัดที่สุด การเดินเรือ ณ จุดนี้ จะต้องใช้ความเร็วต่ำสุด

ในปัจจุบันเรือเดินสมุทรน้ำมันขนาดใหญ่ (VLCC) มักจะเลี่ยงช่องแคบมะละกาโดยใช้ช่องแคบลอมบ๊อกในประเทศอินโดนีเซียแทน ช่องแคบลอมบ๊อกอยู่ห่างจากที่ตั้งคลองกระ ประมาณ 4,500 กิโลเมตร
4. ความแออัดในการเดินเรือในช่องแคบมะละกาเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดอุบัติเหตุในการเดินเรือ ถึงแม้ว่าสิงคโปร์และมาเลเซียจะใช้ระบบการควบคุมการเดินเรือที่ทันสมัย แต่ความยากลำบากในการเดินเรือ ประกอบกับอุปสรรคอื่น ๆ อาทิ
4.1 หมอกควันจากการเผาป่าเพื่อการเกษตรในหมู่เกาะสุมาตรา
4.2 กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากสืบเนื่องมาจากปลายทางฝั่งตะวันตกทางเกาะปีนังใน มาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งมีจำนวนเฉลี่ยปีละ 30,000 ลำ
5. การโจมตีโดยโจรสลัดซึ่งกำลังทวีขึ้นอย่างรวดเร็วจากรายงานโดยวิทยุโทรทัศน์อัลลายาซีร่า (Alyazeera) รายงานเมื่อวันที่ 5-6 ธันวาคม พ.ศ. 2558 โดยนักข่าว Step VASSEN ได้ชี้ให้เห็นว่าอัตราการปล้นจี้เรือในช่องแคบมะละกามีปริมาณสูงกว่าการปล้นจี้ในน่านน้ำประเทศโซมาเลีย ตั้งแต่ พ.ศ.2557 เป็นต้นมา การปล้นจี้เหล่านี้ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ เนื่องจากประเทศสิงคโปร์ไม่ต้องการให้นักเดินเรือในโลกตื่นตระหนกต่ออัตราการเพิ่มของโจรสลัดในช่องแคบมะละกา

อุบัติเหตุเรือชนกันเนื่องจากกระแสน้ําในช่องแคบมะละกา
6. ช่องแคบมะละกาประกอบด้วยเกาะแก่งหลากหลายง่ายแก่การซุ่มโจมตีโดยผู้ก่อการร้ายจากการศึกษาโดยองค์กรคลังสมองของสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2557 ปรากฏว่าเกาะแก่งในช่องแคบมะละกาหลายจุดเหมาะสำหรับการแฝงตัวของผู้ก่อการร้ายใช้จรวดรัศมีทำการสั้น สามารถโจมตีเรือสินค้าได้ง่ายและยากแก่การป้องกัน

RAND corporation study 2014
Ground-Launched Anti-Ship Missiles Currently in Indonesia and Malaysia
อะไรจะเกิดขึ้นหากการเดินเรือในช่องแคบมะละกาจะต้องหยุดชะงักลง[6]
ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางการเดินเรือระหว่างประเทศ (SLOC-Sea Lane of Communication) ที่สำคัญที่สุดของโลก การค้าระหว่างประเทศมากกว่า 15% ใช้ช่องแคบมะละกาเป็นทางผ่าน ถ้าช่องแคบมะละกาถูกบล็อค ด้วยสาเหตุหนึ่งสาเหตุใดก็ตาม การค้าของโลกจะได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง อาจจะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจระดับโลกได้
1. ผลกระทบในระยะสั้น
1.1 ราคาค่าขนส่งน้ำมันจะทวีขึ้นประมาณ 3 เท่าตัวในทันที
1.2 สินค้าต่าง ๆ จำนวนมากจะติดค้างอยู่ในท่าเรือต่าง ๆ ทั่วโลก
1.3 สินค้าตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือต่าง ๆ ท่าเรือเซี่ยงไฮ้, ท่าเรือสิงคโปร์, ท่าเรือ ฮ่องกง, ท่าเรือเซินเจิ้น, ท่าเรือภูซานในเกาหลี, ท่าเรือโยโกฮาม่าในญี่ปุ่น
ท่าเรือเชนไนในประเทศอินเดียรวมกันมีปริมาณคอนเทนเนอร์มากกว่า 250 ล้านตู้ (TEUS) การขนส่งเหล่านี้จะต้องหยุดชะงักลงในทันที ความเสียหายจะเกิดขึ้น มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ US$ เมื่อเปิดการขนส่งอ้อมผ่านช่องแคบลอมบ๊อกหรือสุนดา ค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าก็จะทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว
1.4 การขนส่งสินค้าพลังงาน เช่น น้ำมัน ถ่านหิน จะถูกระงับ รถยนต์หลายสิบล้านคันที่จะต้องพึ่งพาพลังงานจากตะวันออกกลางจะต้องหยุดวิ่งชั่วคราว โรงงานอุตสาหกรรมจะต้องระงับการผลิต เนื่องจากขาดแคลนพลังงาน
2. ผลกระทบในระยะยาว
ช่องแคบมะละกาถูกบล็อคเป็นระยะเวลานานสืบเนื่องจากอุบัติเหตุรุนแรงหรือการโจมตีโดยผู้ก่อการร้าย และเรือสินค้าขนาดใหญ่ได้รับความเสียหาย
2.1 ท่าเรือสิงคโปร์จะลดความสำคัญโดยทันที ในปัจจุบันสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า (Transshipment Center) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีเรือใหญ่น้อยเข้าเทียบท่าปีละ 130,000 ลำ คิดเป็นระวางสินค้า 2,000 ล้านตันต่อปี ศูนย์กลางการขนส่งสินค้าจะต้องเปลี่ยนไปอยู่บนเส้นทางเดินเรือของโลกแห่งใหม่
2.2 ราคาค่าโลยีสติกของการขนส่งสินค้าเชื้อเพลิง ก๊าซและน้ำมันและถ่านหิน จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4 % ส่วนสินค้าคอนเทนเนอร์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2%
2.3 ความเจริญเติบโตในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค จีดีพี (GDP) จะได้รับผลกระทบเนื่องจากสัดส่วนของค่าใช้จ่ายด้านโลยีสติก/ จีดีพี จะสูงขึ้น
ในทั้งสองกรณี คลองกระจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแม้ว่าจะต้องใช้เวลาก่อสร้างคลอง ประมาณ 10 ปี หากพิจารณาว่าช่องแคบมะละกาจะรับเรือได้เต็มที่อีกประมาณ 10-15 ปีข้างหน้า คลองกระจะเป็นคำตอบของการขนส่งทางทะเลบนเส้นทางการขนส่ง (SLOC-Sea Lane of Communication) ได้ดีที่สุด เพื่อประกันความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียน และประเทศในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค
เอกสารอ้างอิง :
- ภักดี ธนะปุระ, “คลองกระ เส้นทางเดินเรือนานาชาติเพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมทางทะเล”, คลองกระ-ไทย : มรดกทางยุทธศาสตร์ของชาติ Kra Canal : Strategic Heritage of Thailand (กรุงเทพ : ฟองทองเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด, 2560), 71-84.
[1] ราชอาณาจักรสยามและราษฎรสยาม บันทึก โดย เซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง พ.ศ. 2391-2400 (ค.ศ. 1848-57) จัดแปลและพิมพ์โดย มูลนิธิโตโยต้า ประเทศไทย พฤศจิกายน 2550, หน้า 44-45.
[2] D.G.E-Hall, A History of South East Asia, หน้า 742.
[3] ศาสตราจารย์ กนต์ธีร์ ศุภมงคล ในหนังสือ “คลองกระกับอนาคตของประเทศไทย จัดพิมพ์โดย อชวท. สังกัดสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย เสนอในการประชุมสัมมนาทางวิชาการ “คลองกระกับการพัฒนาประเทศ” ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 30-31 มีนาคม 2532, หน้า 10.
[4] HM Ibrahim and Mansaureh, Maritime Institute of Malaysia “Analysis of Carrying Capacity and Critical Governance Strategies of the Straits of Malacca.
[5] Capt. Fadzlom Strasselink, Collision Safety in the Malacca Straits and Singapore Waters, Singapore.
[6] John H Noer, Chokepoint, Maritime Economic Concerns in Southeast Asia, National Defense University, Institute for National Strategic Studies.