“การจัดทำ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับนี้...เราคาดว่านักเขียนหลายคนของเราในเล่มนี้ คงจะได้พยายามถามคำถามและหาคำตอบเกี่ยวกับการปฏิวัติ 2475 อย่างมีอคติน้อยที่สุด ถ้าหากจะมีปฏิกิริยาจากผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์จริง ๆ เขียนมาชี้แจง เพื่อหาแนววิเคราะห์ในทางประวัติศาสตร์ต่อไป เราจะปลาบปลื้มไม่น้อย”
บรรณาธิการ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ มิ.ย. 2515
ปกวารสาร “สังคมศาสตร์ปริทัศน์” ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515
ภายใต้ชื่อ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
สารบัญเนื้อหาในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
ภายหลังจากผู้นำคณะราษฎรคนสุดท้ายถูกโค่นล้มโดยระบอบของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และกลุ่มอนุรักษนิยมในปีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ เรื่องราวของคณะราษฎรและการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ค่อย ๆ ถูกผลักให้เลือนหายไปจากพื้นที่สาธารณะ สื่อกระแสหลักหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงชื่อของปรีดี พนมยงค์ ผู้ลี้ภัยอยู่หลังม่านไม้ไผ่ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้พำนักอยู่ในดินแดนอาทิตย์อุทัย ขณะที่รัฐธรรมนูญถูกฉีกทิ้งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ประเทศไทยต้องใช้เวลายาวนานกว่าทศวรรษจึงจะกลับมามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และจัดให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งในปี พ.ศ. 2512 ทว่าระบอบประชาธิปไตยที่เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานกลับถูกสั่นคลอนอีกครั้งด้วยรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2514 เหตุการณ์ดังกล่าวได้ซ้ำเติมความตึงเครียดทางสังคมและการเมือง สั่งสมความไม่พอใจในหมู่ประชาชน นักศึกษา และปัญญาชนรุ่นใหม่ จนปะทุเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
ในบรรยากาศที่ประเทศไทยกลับมามีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2512 เพียงหนึ่งปีถัดมา ปรีดี พนมยงค์ ได้ย้ายจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมายังกรุงปารีสในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 ซึ่งตรงกับวาระอายุครบ 70 ปีของท่าน หลังต้องลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนยาวนานถึง 21 ปี ชื่อของรัฐบุรุษอาวุโสกลับมาเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และผู้ใฝ่หาความรู้ จนถึงขั้นที่จอมพลประภาส จารุเสถียร เอ่ยเปรยอย่างติดตลกว่า “เวลานี้ใครไปปารีสแล้ว ก็ดูเหมือนจะถือเป็นแฟชั่นที่จะต้องไปพบนายปรีดี” กระแสความสนใจดังกล่าวได้ส่งแรงสะเทือนไปถึงแวดวงหนังสือ สุพจน์ ด่านตระกูล ยามนั้นได้เริ่มต้นเขียนและจัดพิมพ์ชีวประวัติ ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2514 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจนต้องพิมพ์ซ้ำภายในปีเดียวกัน
ปี พ.ศ. 2514 ยังเป็นปีที่ “สองเสือคณะราษฎร” กลับคืนสู่หน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อ นรนิติ เศรษฐบุตร และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้ร่วมกันจัดพิมพ์ บันทึกพระยาทรงสุรเดช ควบคู่กับการตีพิมพ์หนังสือ ชีวิตทางการเมืองของ พ.อ. พระยาฤทธิ์อัคเนย์ ทหารเสือปฏิวัติ 2475 โดย เสทื้อน ศุภโสภณ สิ่งพิมพ์ทั้งสองเล่มนี้ได้เปิดพื้นที่ให้สังคมไทยหันกลับมาทบทวนบทบาทของคณะราษฎรอย่างจริงจังอีกครั้งในรอบกว่าสองทศวรรษ และเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางความทรงจำทางการเมืองในหมู่นักวิชาการและปัญญาชนร่วมสมัย
ที่สำคัญคือในปี พ.ศ. 2515 ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคมเพียงหนึ่งปี วารสาร สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ซึ่งถือเป็นสนามอักษรสำคัญของปัญญาชนไทยยุคใหม่ ก่อตั้งโดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เมื่อ พ.ศ. 2506 โดยขณะนั้นได้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นบรรณาธิการหนุ่มไฟแรง ได้จัดพิมพ์ฉบับพิเศษในเดือนมิถุนายน เนื่องในวาระครบรอบ 40 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ภายใต้ชื่อที่ท้าทายว่า “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?” ฉบับนี้นับเป็นสิ่งพิมพ์ชุดสำคัญที่รวบรวมบทความทางประวัติศาสตร์ การเมือง และบันทึกความทรงจำว่าด้วย “การอภิวัฒน์ 2475” ไว้อย่างครอบคลุมที่สุดในรอบหลายปี ทั้งจากนักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ และดุษฎีบัณฑิตรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง ซึ่งบางท่านยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน
บทความนี้จึงมุ่งหมายพาผู้อ่านย้อนกลับไปสำรวจ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับสำคัญดังกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจว่า “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?” ซึ่งบรรณาธิการในปี พ.ศ. 2515 เคยตั้งคำถามไว้นั้น หมายถึงอะไรในสายตาของยุคนั้น และเราจะอ่านคำถามเดียวกันนี้อย่างไรในวาระรำลึก 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ครึ่งศตวรรษให้หลังจากวันที่ปัญญาชนรุ่นก่อนสงสัยว่าประชาธิปไตยไทยได้ “ตาย” ไปแล้วจริงหรือไม่ ทว่าเรื่องราวและการศึกษาเกี่ยวกับคณะราษฎรกลับยังคงมีชีวิตอยู่ และส่งเสียงใหม่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในสังคมไทยร่วมสมัย
“ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?” สังคมศาสตร์ปริทัศน์ มิถุนายน พ.ศ.2515
เบื้องต้น ขอคัดบทนำของบรรณาธิการในหัวเรื่อง “ในเล่ม” และ “บทนำ” โดยคงต้นฉบับไว้ทั้งหมด เนื่องด้วยยังคงมีความร่วมสมัยกับความง่อนแง่นของประชาธิปไตยทุกวันนี้ ดังต่อไปนี้
บทบรรณาธิการ “ในเล่ม”
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
ในเล่ม
จาก พ.ศ. 2475 มาจนถึงปีนี้ ก็นับรวมได้ 40 ปีแล้วที่คณะราษฎร์ได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และตั้งแต่นั้นมาวิวัฒนาการที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ในบ้านเราก็เริ่มต้นอย่างล้มลุกคลุกคลาน เต็มไปด้วยกบฏ ปฏิวัติ และรัฐประหาร ช่วงชิงอำนาจกันมิหยุดหย่อน สิ่งเหล่านี้ยิ่งนานวันเข้าก็จะกลายเป็นประเพณี ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตีความหมายและให้คุณค่าอย่างใกล้เคียงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเท่าที่จะทำได้ เพื่อการศึกษาและเปรียบเทียบของอนุชนรุ่นต่อ ๆ ไป
การจัดทำ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับนี้ เป็นการเตรียมการที่ค่อนข้างปัจจุบันทันด่วน-หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่าจะเป็นเรื่องเด่นในฉบับ เช่นการเข้าถึงตัวผู้ก่อการ 2475 ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อขอสัมภาษณ์ เราก็ทำไม่ได้เพราะมีเวลาเตรียมไม่ทัน แต่กำหนดออกหนังสือกลับกระชั้นเข้ามาดังนั้นเรื่องภายในเล่มนี้จึงเป็นข้อเขียนในเชิงการศึกษาของคนรุ่นใหม่ที่หันไปมองเหตุการณ์เมื่อ 40 ปีก่อน เราคาดว่านักเขียนหลายคนของเราในเล่มนี้ คงจะได้พยายามถามคำถามและหาคำตอบเกี่ยวกับการปฏิวัติ 2475 อย่างมีอคติน้อยที่สุด ถ้าหากจะมีปฏิกิริยาจากผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์จริง ๆ เขียนมาชี้แจง เพื่อหาแนววิเคราะห์ในทางประวัติศาสตร์ต่อไป เราจะปลาบปลื้มไม่น้อย
เดือน ๆ นี้อากาศช่างร้อนอบอ้าวเสียจริง อารมณ์ขันทางกองบรรณาธิการไม่ค่อยมีมากนัก ถ้าท่านจะถือว่าฉบับนี้มุ่งพาท่านกลับไปหาเหตุการณ์เมื่อ 40 ปีก่อน ว่าเขาปฏิวัติรัฐประหารกันอย่างไร สำเร็จแค่ไหน ล้มเหลวอย่างไร แล้วนำมาเป็นอุทาหรณ์กับชีวิตและเหตุการณ์ในปัจจุบัน ก็คงจะช่วยให้เรานึกถึงอนาคตได้บ้างกระมัง
ฉบับนี้เนื่องจากเรามีเรื่อง 2475 ลงเต็มที่จนเล่มหนามากกว่าเดิม ทำให้เนื้อหน้าของคอลัมน์กำแพงลมต้องขาดหายไปท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนคำสิงห์ ศรีนอก โปรดรอคอยเขาในเล่มหน้าเถิด เราสัญญาว่าคงมีข่าวคราวจากเขามาบอกท่านบ้าง
กอง บ.ก.
บทนำจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
บทนำจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
บทนำ
สันติเพื่อประชาธรรม
40 ปีแห่งความพยายามในการนำระบอบประชาธิปไตยมาสู่สังคมไทย ถ้าจะกล่าวเปรียบเทียบเวลาและความสำเร็จในการนำระบอบดังกล่าวมาใช้ ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ เวลาที่ผ่านไป ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักเพียงใด ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเครื่องวัดความสำเร็จได้ เพียงแต่อาจช่วยเตือนให้ระลึกถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย หรือย่ำอยู่กับที่ได้เสมอ เมื่อวิเคราะห์ดูจากพฤติกรรมของบุคคลหรือคณะบุคคลในอดีต การกระทำที่ผ่านมาจึงย่อมเป็นหน้าที่ของคนรุ่นหลังที่จะต้องพิจารณา ว่าได้มีการกระทำเพื่อเป้าหมายสำหรับการปกครองในระบอบที่มุ่งหวังไว้สักเพียงใด แค่ไหน อย่างไร
คำว่าประชาธิปไตย เป็นคำซึ่งบัญญัติขึ้นโดยวิธีสนธิ ระหว่างประชาชนและอธิปไตย ซึ่งก่อให้เกิดความหมายที่ว่า อำนาจในการปกครองนั้นย่อมมาจากประชาชน ประชาชนเป็นแหล่งที่มาของอำนาจ รูปการปกครองของประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าอยู่ในโลกเสรีหรือโลกคอมมิวนิสต์ ต่างก็อ้างว่าฝ่ายตนมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น จะแตกต่างกันก็เพียงว่าการจัดการเพื่อนำผลไปสู่จุดหมายปลายทางนั้นไม่เหมือนกัน ทุกประเทศ และทุกสังคมย่อมมีปัญหาและลักษณะของตนเอง การแก้ปัญหาจึงย่อมผิดแผกกันไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะยอมรับกันกว้าง ๆ ก่อน ก็ย่อมอาจกล่าวได้ว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ทุกฝ่ายจะต้องยึดมั่นในค่านิยมทางประชาธิปไตยเสียก่อน เพื่อปลูกฝังนิสัยและความชื่นชมต่อวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยให้เกิดมีขึ้น ตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของสังคม เราต้องเชื่อเสียก่อนว่าวิถีทางแห่งประชาธิปไตยเป็นวิธีทางที่เหมาะสมในการที่จะตกลงแก้ไขปัญหาของส่วนรวม โดยยอมรับให้สังคมมีกติกา เพื่อให้มีการแข่งขันกันโดยเสรี ในทางความคิดเห็น ให้ทุก ๆ ฝ่ายมีสิทธิและหน้าที่ ยอมรับนับถือในเสียงข้างมากและสิทธิของเสียงข้างน้อยที่คัดค้าน ระบอบการปกครองใด ๆ ก็ตาม จะประสพผลได้ย่อมต้องมีจุดหมายเป็นอุดมการณ์นำ ไม่ว่าวิธีการที่นำมาใช้จะเปลี่ยนแปลงไปในรายละเอียดตามสภาพการใด ๆ ก็ตาม อุดมการณ์อาจจะยังคลุมเครืออยู่ แต่หลักการนั้นพอจะมองหาได้กว้าง ๆ ว่า ธรรมนั้นควรอยู่ที่ประชาชน การใช้อำนาจในการปกครอง ควรถือเอาธรรมเป็นอำนาจ มิใช่อำนาจเป็นธรรม เมื่อเราถือกติกาดังกล่าว กฎหมายจึงย่อมเป็นใหญ่เหนือตัวบุคคล มิใช่ตัวบุคคลเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย กติกาที่วางรากฐานให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม จึงควรอยู่ที่ความสำเร็จในการสร้างสรรค์และส่งเสริมสถาบันทางการเมืองต่างๆ ที่เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย อันได้แก่รัฐสภา พรรคการเมือง และกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ในสังคม ให้ดำเนินอยู่ในสังคมต่อไป
ในบทนำ ฉบับคนหนุ่ม ว่าด้วย ‘คำประกาศของความรู้สึกใหม่’ เราเคยกล่าวไว้ว่า “...ถ้าหากเราเกิด ระหว่างหรือหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เราก็มีอายุอยู่ในราว 35 ปี ถ้าหากเราเกิดระหว่างหรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2488 เราก็มีอายุอยู่ในราว 25 ปี เราได้พบและได้ยินเรื่องของการปฏิวัติรัฐประหารซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยมาแล้วรวม 32 ครั้ง...เราพบว่ามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ทั้งที่เป็นฉบับชั่วคราว ถาวร และแก้ไขเพิ่มเติม และแก้ไขเพิ่มเติม มาแล้วถึง 15 ครั้ง...” และถ้าจะกล่าวต่อ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือรัฐบาลของเราตั้งแต่ 2475 มาจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนมากมักจะเข้ามาเป็นรัฐบาลโดยการปฏิวัติรัฐประหารมากกว่าการเลือกตั้งตามกติกา เมื่อพิจารณาต่อไป เราก็ได้ข้อเท็จจริงว่าคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นประกอบด้วยคณะทหาร 289 นาย พลเรือน 387 นาย แม้จำนวนพลเรือนจะมีมากกว่าทหาร แต่เสถียรภาพของคณะรัฐบาลทหารก็มีความมั่นคงกว่าเสถียรภาพของรัฐบาลพลเรือน เพราะรัฐบาลทหารได้เข้าปกครองประเทศเป็นระยะเวลานานถึง 36 ปี ส่วนรัฐบาลพลเรือนได้เข้าปกครองประเทศนับเป็นระยะเวลารวมกันเพียง 4 ปี แต่ทั้งนี้ถ้าจะให้เราพิจารณาเสถียรภาพของประเทศโดยส่วนรวมแล้ว ก็ต้องขอกล่าวว่าคณะรัฐบาลโดยทั่วไปแล้วมีเสถียรภาพค่อนข้างคลอนแคลนมาก เพราะในช่วง 40 ปี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ถ้าหากเราจะยึดกติกาให้รัฐบาลอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี (ตามลักษณะของกฎหมายรัฐธรรมนูญ) เราก็ควรมีการเปลี่ยนรัฐบาลโดยการเลือกตั้งเพียง 9 ครั้งเท่านั้น แต่นี่ปรากฏว่าเรากลับมีการเปลี่ยนรัฐบาลถึง 32 ครั้ง การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งเท่าที่ผ่านมาในอดีตจึงทำให้เราตกอยู่ในบรรยากาศที่สับสน ค่านิยมแบบประชาธิปไตยที่เราต้องการปลูกฝังให้เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของคนส่วนรวมก็พลอยต้องหวั่นไหวไปด้วย ภาวะยุ่งเหยิงและการแก่งแย่งอำนาจของผู้บริหารประเทศ สังคมของเราจึงพลอยเป็นคนไข้หนักที่ตกอยู่ใน สภาพกดดัน ต้องถูกควบคุมในบางลักษณะและถูกปล่อยปละละเลยในบางลักษณะ การใช้อำนาจเด็ดขาดภายใต้ภาวะกฎอัยการศึก ทำให้บรรยากาศซึ่งจะก่อให้เกิดแนวคิดสร้างสรรค์ในแง่ต่าง ๆ กลายเป็นอัมพาต เพราะประชาชนถูกห่อหุ้มอยู่กับภาวะความกลัว คอยหวาดระแวงไปเสียทุก ๆ ทาง ยิ่งสังคมไทยในปัจจุบัน ผู้คนได้รับการเสริมสร้างให้มีประสิทธิภาพในการบริโภคแบบตะวันตก เงินจึงกลายเป็นพระเจ้า เงินสำคัญมากกว่าอุดมการณ์ เงินซื้อได้ทุกอย่าง เงินเป็นรากฐานที่มาแห่งอำนาจ ทำให้คนไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน รอแต่จะให้เบื้องบนคอยบันดาล คนเราอาจหมดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ ถ้าหากบรรยากาศทางสังคมที่มีอยู่ถูกครอบงำด้วยภาวะอันไม่แน่นอน แม้จะมีผู้ใฝ่ในเสรีภาพ อยากจะพูด อยากจะเรียกร้อง แต่เขาก็ไม่สามารถมาร่วมกันแสดงออกมาได้ แม้ว่าจะต้องการสิทธิเสรีภาพกลับคืนมาอย่างมากก็ตาม
เราอาจสรุปเมืองไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้ว่า พื้นฐานทางการเมืองยังตั้งอยู่บนรากฐานที่คลอนแคลน ยังยึดถือกลุ่มและพวกพ้องของตนมากกว่าประชาชนส่วนรวม ความสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของนักการเมือง ในอันที่จะสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติมักจะถูกบดบังและขัดแย้งกันเองในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย ตามความเป็นจริงแล้วควรถือเป็นเพียงการเปลี่ยนตัวบุคคลผู้เข้ามาปกครองมากกว่าอย่างอื่น เพราะอำนาจทางการเมืองยังคงอยู่ที่ชนชั้นผู้ปกครอง ซึ่งได้แก่ข้าราชการทหารและพลเรือนชั้นนำบางคนมากกว่าจะเคลื่อนลงมาถึงประชาชนอย่างแท้จริง เหตุที่กลุ่มข้าราชการกลายเป็นที่มาแห่งอำนาจ ไม่ใช่ประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ก็เพราะเราไม่มีกติกาแน่นอนที่จะให้กลุ่มชนชั้นอื่น ๆ ได้มีพลังเข้มแข็งจนสามารถเข้ามาคัดค้านกับกลุ่มอิทธิพลเดิมและสับเปลี่ยนการใช้อำนาจใหม่ ยิ่งกว่านั้นเราอาจสรุปได้อีกว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา มักจะเข้าใจว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดการปกครองประเทศเสียเอง ยึดถือเอาความคิดของตนเป็นสรณะ ดังนั้นการวางกติกาจึงมักมีลักษณะโน้มเอียงไปในทางที่ให้สอดคล้องกับการที่จะส่งเสริมให้ตนรักษาอำนาจได้ตลอดไป ส่วนประชาชนนั้นกลับเป็นผู้ตามอยู่เสมอ จะเอาอย่างไรก็เอากัน ให้เลือกตั้งก็เลือก ไม่ให้เลือก ก็ไม่เลือก แม้จำนวนร้อยละของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 จนถึงครั้งสุดท้ายเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2512 จะ อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนพลเมืองของประเทศ แต่เราจะดูถูกประชาชนได้อย่างไร การเลือกตั้งเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2500 เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่า จำนวนร้อยละของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งได้เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งถึง 57.50% (ที่มาจากกรมการปกครอง) ดังนั้น จะไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ถ้าเหตุผลในการปฏิวัติรัฐประหารแต่ละครั้ง ผู้เสวยอำนาจจะผลักความรับผิดชอบเกี่ยวกับความล้มเหลวทางการเมืองไปให้แก่ประชาชน
เราจึงอยากขอวิงวอนไว้ ณ ที่นี้ว่า การปกครองที่มีกติกานั้น ยังสามารถนำมาใช้ได้ในบ้านเราโดยชอบธรรม และ สันติวิธีแห่งกฎหมาย ถ้าหากเราจะร่วมมือกันค้นหาจุดอ่อนของกระบวนการเมืองของไทย ภายใต้กติกานั้น ๆ ให้พบโดยไม่จำเป็นต้องยุบเลิกแต่อย่างใด เราเชื่อว่ากติกาแห่งหลักสันติประชาธรรม จะสร้างความผูกพันทางจิตใจระหว่างรัฐบาลกับประชาชนได้อย่างดีที่สุด และจะช่วยปูพื้นฐานความอยู่รอดให้แก่ประเทศชาติของเรา ก่อนที่จะสายเกินไป
เปิดฉาก
“แตกเนื้อหนุ่มเมื่อ พ.ศ. 2475” โดย ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
บทความที่เกี่ยวเนื่องกับ “การปฏิวัติ 2475” ในฉบับนี้เปิดด้วยเรื่อง “แตกเนื้อหนุ่ม เมื่อ พ.ศ. 2475” โดย ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งเป็นบันทึกสะท้อนประสบการณ์ของคนหนุ่มในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 24 มิถุนายน 2475 ผู้เขียนเล่าย้อนถึงชีวิตตนเองจากเดิมที่เป็นเพียง “ไทยมุง” ไม่ใส่ใจการเมือง สนใจแต่การเรียนและอนาคตของตน กระทั่งได้สัมผัสบรรยากาศแห่งความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคนั้น ทั้งการเรียนปรัชญาที่ปลุกสำนึกเรื่องเสรีภาพ และการสไตรก์ของนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ ได้เปลี่ยนทิศทางความคิดและตั้งคำถามต่อ “เสถียรภาพ” ของสังคม เมื่อได้ศึกษางานของนักปรัชญาตะวันตก เช่น รูสโซ วอลแตร์ และมิล จึงเริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย แม้ภายหลังจะยอมรับว่าเคยเฉยชาต่อการเมือง แต่ก็เตือนคนรุ่นหลังให้เลิกนิสัยเพิกเฉย หันมาเป็น “ไทยสน ไทยร่วม ไทยเสรี ไทยเรียกร้อง แล้วไทยจะเจริญ” เพื่อร่วมกันยกระดับชีวิตของชาติ พร้อมเสนออุดมคติของบ้านเมืองที่พึงปรารถนาไว้ 4 ประการ คือ สมรรถภาพ เสรีภาพ ความยุติธรรม และเมตตากรุณา โดยอุทิศข้อคิดทั้งหมดแด่ ดร. พร้อม วัชรคุปต์ เพื่อนผู้ปลุกสำนึกเรื่องเสรีภาพแก่ตน
“เหตุการณ์ในหนึ่งวัน : ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕” โดย เสทื้อน ศุภโสภณ
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
ต่อด้วยบทความ “เหตุการณ์ในหนึ่งวัน : 24 มิถุนายน 2475” โดย เสทื้อน ศุภโสภณ ซึ่งสรุปเหตุการณ์วันปฏิวัติอย่างกระชับและเป็นลำดับ เหตุการณ์เริ่มขึ้นย่ำรุ่งเมื่อคณะราษฎร ทั้งทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ใช้ “แผนลวงฝึกรบ” ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก่อนเข้ายึดสถานที่สำคัญ เช่น ไปรษณีย์โทรเลข คลังแสงบางกระบือ และสถานที่ราชการหลายแห่ง พร้อมตั้งกองบัญชาการที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศยึดอำนาจและ “หลักหกประการ” ต่อหน้าฝูงชนที่มาชุมนุมแน่นขนัด มีการเชิญเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไว้เป็นประกัน เหตุปะทะมีเพียงเล็กน้อย ผู้บาดเจ็บสาหัสหนึ่งรายคือ พระยาเสนาสงคราม ขณะเดียวกัน ที่หัวหินมีการประชุมระหว่างทูลกระหม่อมและแม่ทัพนายก เพื่อพิจารณาว่าจะ “สู้” หรือ “หนี” แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือก “ไม่สู้ไม่หนี” เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด จึงเปิดทางเจรจาและส่งเรือรบไปรับเสด็จกลับพระนคร ภายในวันเดียวกันมีการชักธงชาติขึ้นยอดโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมแทนธงตราครุฑ ออกประกาศควบคุมสื่อและสั่งการราชการทั่วประเทศ พร้อมกระจายเสียงประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยไม่ใช้เพลง “สรรเสริญพระบารมี” ตามธรรมเนียม เหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เกือบไร้การนองเลือด และแม้รัฐบาลสฤษดิ์ในปี 2503 จะยกเลิกสถานะ “วันชาติ” ของวันที่ 24 มิถุนายน แต่ความหมายในฐานะวันแห่งการปฏิวัติที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยยังคงดำรงอยู่ในความทรงจำของสังคม
มุมมองที่แตกต่างระหว่าง 2 นักรัฐศาสตร์ “กมล สมวิเชียร” และ “ชัยอนันต์ สมุทวณิช”
บทความที่สะท้อนมุมมองทางรัฐศาสตร์ต่อ “การปฏิวัติ 2475” ในฉบับนี้มีลักษณะเปรียบเทียบอย่างชัดเจนระหว่างสองนักวิชาการ คือ กมล สมวิเชียร และ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ซึ่งต่างนำเสนอภาพของคณะราษฎรจากมุมมองที่แทบจะอยู่ตรงข้ามกัน
“การปฏิวัติของสามัญชน” โดย กมล สมวิเชียร
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
เริ่มจากบทความ “การปฏิวัติของสามัญชน” โดย กมล สมวิเชียร ซึ่งถือเป็นงานเขียนที่แสดงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคณะราษฎรมากที่สุดในเล่มนี้ ผู้เขียนอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 มิได้เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่เป็นผลสะสมจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความอึดอัดของคนหนุ่มผู้มีการศึกษาที่ไม่อาจยอมรับระบอบเจ้าขุนมูลนายและความเหลื่อมล้ำทางศักดิ์ศรีได้อีกต่อไป การปฏิวัติจึงมิได้เกิดจากความทะเยอทะยานทางอำนาจ แต่จาก “ความรักชาติและศักดิ์ศรีของสามัญชน” ซึ่งเริ่มตื่นรู้ถึงคุณค่าความเสมอภาค หลักฐานที่กมลยกมาคือคำให้การของ พลโท ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งสะท้อนความขมขื่นของผู้ถูกระบบหมอบคลานกดทับ การได้รับการศึกษาในยุโรปทำให้กลุ่มคณะราษฎรตระหนักว่าประเทศไทยต้องปฏิรูปให้เท่าเทียมอารยประเทศ การปฏิวัติครั้งนั้นจึงเป็น “การจับเสือมือเปล่า” ของกลุ่มนายทหารและพลเรือนผู้มีอุดมการณ์ แม้จะสำเร็จในเชิงการเมือง แต่ยังไม่บรรลุในทางสังคม เพราะความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบทยังดำรงอยู่ และประชาธิปไตยยังไม่หยั่งรากในชีวิตประจำวัน กมลสรุปว่า หากประชาธิปไตยไม่เติบโตจากฐานรากของสามัญชน การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นเพียง “การเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนมือ” มิใช่ “การปฏิวัติที่แท้จริง” ดังอุดมคติของคณะราษฎร
หลังบทความของกมล วารสารยังได้จัดทำ “ไทม์ไลน์การรัฐประหารในประเทศไทย” ไล่เรียงเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงรัฐประหารครั้งล่าสุดก่อนการตีพิมพ์ฉบับนี้ในปี 2515 ซึ่งแสดงให้เห็นวงจรอำนาจทางการเมืองไทยที่ผันผวนไม่สิ้นสุด ทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมเนื้อหาไปสู่บทความถัดมาอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านตระหนักว่า “การปฏิวัติ” ของคณะราษฎรนั้นถูกสืบทอดและแปรรูปซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชื่อของ “รัฐประหาร” ที่ไร้อุดมการณ์ทางสังคม
“การปฏิวัติที่ไร้ขบวนการ” โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
เนื้อหาจึงดำเนินต่อด้วยบทความของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช เรื่อง “การปฏิวัติที่ไร้ขบวนการ” ซึ่งเสนอว่า “การปฏิวัติ 2475” ล้มเหลวในความหมายของการปฏิวัติทางการเมืองที่แท้จริง เพราะเกิดขึ้นโดยปราศจากขบวนการรองรับ เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของชนชั้นนำในหมู่ข้าราชการและกลุ่มอำนาจในเมืองหลวง โดยไม่ได้ปลุกระดมและถ่ายทอดอุดมการณ์สู่มหาชน จึงแตกต่างจากประเทศที่มีการต่อสู้ทางการเมืองยืดเยื้อและมีฐานมวลชนรองรับ ผู้ก่อการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ขาดอุดมการณ์ร่วมที่ชัดเจน ซ้ำวิพากษ์ไว้ว่าอย่างดุเดือดว่า “คณะราษฎร์ไม่ได้พยายามที่จะให้มีการพัฒนาการเมืองไปสู่ระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” และหลังยึดอำนาจก็เกิดความแตกแยกทันที โดยเฉพาะเมื่อหลวงประดิษฐ์ฯ เดินหน้าโครงการเศรษฐกิจตามหลักหกประการ ขณะเดียวกันคณะราษฎรยังควบคุมคู่แข่งทางการเมือง คัดคนของตนเข้าสภา ใช้กฎหมายพิเศษและศาลพิเศษปราบฝ่ายเห็นต่าง ทำให้สถาบันการเมืองไม่แข็งแรง พรรคการเมืองไม่เกิด และรัฐสภาถูกครอบงำ ผลที่ตามมาคือการเมืองไทยพึ่งพาอำนาจอาวุธมากกว่าความชอบธรรมจากประชาชน
ในมุมของชัยอนันต์ “การปฏิวัติ 2475” จึงไม่ใช่พลังของสามัญชนอย่างที่กมลมอง แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงจากเบื้องบนที่ไร้ฐานรองรับ ไม่มีขบวนการ ไม่มีอุดมการณ์ร่วม และลงเอยด้วยการสถาปนาอำนาจรัฐที่จำกัดเสรีภาพทางการเมือง บทสรุปของชัยอนันต์จึงมอง 2475 เป็น “บทเรียนแห่งความล้มเหลวของการปฏิวัติที่ไร้ขบวนการ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเปราะบางของประชาธิปไตยไทยในเวลาต่อมา ขณะที่ในสายตาของกมล สมวิเชียร การปฏิวัติ 2475 ยังคงเป็นการลุกขึ้นของสามัญชนผู้ปรารถนาศักดิ์ศรีและเสรีภาพที่สังคมไทยยังคงต้องสานต่อให้ถึงที่สุด
หลากทัศนะผ่านบทสัมภาษณ์
หลังบทความทางรัฐศาสตร์ของกมล สมวิเชียร และชัยอนันต์ สมุทวณิช วารสารได้พาไปอ่านหลากบทสัมภาษณ์ของนักคิดและนักการเมืองร่วมสมัยจำนวน 5 คน เพื่อสะท้อนทัศนะที่หลากหลายต่อ “การปฏิวัติ 2475” ซึ่งช่วยให้ภาพรวมของฉบับนี้เปิดกว้างและรอบด้านยิ่งขึ้น
บทสัมภาษณ์ของนักคิดและนักการเมืองร่วมสมัยจำนวน 5 คน
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
บทสัมภาษณ์ของนักคิดและนักการเมืองร่วมสมัยจำนวน 5 คน
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
บทสัมภาษณ์ของนักคิดและนักการเมืองร่วมสมัยจำนวน 5 คน
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
สนิท เจริญรัฐ หนึ่งใน “คณะสุภาพบุรุษ” นักหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้าและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มองการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ว่าสามารถตีความได้หลากหลายแง่มุม ทั้งในมุมผลประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มที่สูญเสียอำนาจและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในมุมผลประโยชน์ส่วนรวมซึ่งเห็นว่าเป็นการวางรากฐานใหม่ให้ประเทศก้าวหน้าและให้ประชาชนได้เรียนรู้การเมืองด้วยตนเอง และในมุมมองต่างประเทศที่เห็นว่าการอภิวัฒน์ครั้งนั้นสะท้อนการตื่นตัวของชาตินิยมไทยอย่างชัดเจน จนประเทศมหาอำนาจยอมปรับสนธิสัญญาที่เคยจำกัดอธิปไตยของไทยให้เป็นธรรมและเสมอภาคมากขึ้น
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ให้ความเห็นว่าการปฏิวัติ 2475 เป็น “รัฐประหาร” มากกว่าการปฏิวัติ เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนจากราชาธิปไตยมาเป็นอำมาตยาธิปไตย มิได้ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สมุดปกเหลือง” ที่ควรเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ถูกนำไปปฏิบัติจริง อำนาจไม่เคยตกอยู่ในมือราษฎร แม้จะยอมรับว่าระบอบเดิมมีข้อบกพร่อง แต่คณะราษฎรส่วนใหญ่คิดถึงอำนาจมากกว่าประชาชน และไม่เข้าใจวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง
ปราโมทย์ นาครทรรพ มองว่าเป็น “การปฏิวัติที่ล้มเหลว” ซึ่งแม้จะยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในทางทฤษฎี แต่โครงสร้างอำนาจยังตกอยู่ในมือ “ขุนนาง” ผู้เขียนวิจารณ์ว่าคณะก่อการไม่ยึดมั่นในอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย เตรียมการไม่รอบคอบ ออกแบบสถาบันทางการเมืองไม่ดี และมีจิตใจแบบขุนนาง กีดกันประชาชน อีกทั้งแตกแยกเพราะการแบ่งปันอำนาจมากกว่าความเห็นเชิงนโยบาย
นิตย์ พิบูลสงคราม บุตรชายคนเล็กของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้สัมภาษณ์ว่าสนับสนุน “การปฏิวัติ 2475” โดยเห็นว่าเป็น “การเริ่มต้นใหม่จากศูนย์” ของสังคมไทยในยุคที่ผู้มีการศึกษาจากต่างประเทศเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการมอบอำนาจทางการเมืองให้ประชาชน เขาชี้ว่าคณะราษฎรต้องเริ่มต้นท่ามกลางความว่างเปล่าทางโครงสร้าง จึงหลีกเลี่ยงข้อบกพร่อง ความขัดแย้ง และความไม่พร้อมไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือการวางรากฐานของรัฐธรรมนูญและการปกครองภายใต้หลักนิติรัฐ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ
ต่อข้อวิจารณ์ที่ว่าคณะราษฎรมิได้ปฏิวัติวัฒนธรรม นิตย์ให้เหตุผลว่าในเวลานั้นสมาชิกส่วนใหญ่ยังเคารพสถาบันกษัตริย์และต้องการให้การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปโดยไม่กระทบต่อระบอบเดิม พร้อมยกถ้อยคำของบิดามาเป็นพยานว่า “คุณพ่อผมเอง (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ก็เคยกล่าวอยู่เสมอว่า ในชั่วชีวิตของท่าน ยังมองไม่เห็นว่าประเทศไทยจะดำเนินการรุนแรงถึงขนาดเลิกระบบกษัตริย์ได้” เขามองว่าการใช้กำลังทหารในช่วงนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายพลเรือนยังไม่มั่นคงพอที่จะค้ำจุนระบอบใหม่ และย้ำว่าคณะราษฎรส่วนใหญ่กระทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ มิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อให้ประเทศมีระบบการปกครองที่เป็นธรรมและมั่นคงยิ่งขึ้น
สุรพงษ์ ชัยนาม มองว่าการปฏิวัติ 2475 ปูพื้นฐานประชาธิปไตยและเปิดพื้นที่ให้สามัญชนเข้ามามีส่วนร่วม แม้ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ เพราะผู้ก่อการขาดอุดมการณ์ก้าวหน้าและยัง “ลงสู่ประชาชน” ไม่พอ เขาเห็นว่าการปฏิวัติจากเบื้องบนเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในประเทศด้อยพัฒนา จึงควรสานต่อด้วยการปลูกฝังแนวคิดให้ประชาชนตระหนักว่า “ประชาธิปไตยเป็นกรรมสิทธิ์ของประชาชน” การปฏิวัติยังไม่เสร็จสิ้น หากแต่ต้องต่อยอดผ่านการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของพลเมืองในระบอบใหม่
ความขัดแย้งของสองหัวหน้าใหญ่คณะราษฎร
“สองเสือนักปฏิวัติ : ความขัดแย้งทางอุดมการ” โดย สืบแสง พรหมบุญ
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
สืบแสง พรหมบุญ นักประวัติศาสตร์ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน และขณะนั้นเป็นอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอข้อวิเคราะห์ในบทความนี้ว่า ปัญหาหลักของประชาธิปไตยไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มิได้เกิดจากแรงต้านของระบอบเดิมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ความไร้อุดมการณ์ร่วม” ภายในคณะราษฎรเอง แม้ผู้ก่อการจะมีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ทว่าขาดการถกเถียงและกำหนดอุดมการณ์ร่วมกันก่อนการยึดอำนาจ ทำให้หลังความสำเร็จทางการเมืองเพียงระยะสั้นก็เกิดความระแวงและแตกแยกภายในกลุ่มผู้นำ
ผู้เขียนใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง “พระยาพหลพลพยุหเสนา” และ “พระยาทรงสุรเดช” เป็นกรณีศึกษาเพื่ออธิบายความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในคณะราษฎร โดยเห็นว่าพระยาพหลฯ เป็นผู้นิยมแนวประนีประนอม ส่วนพระยาทรงฯ เป็นนายทหารที่เด็ดเดี่ยวและมุ่งปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย เมื่อความเห็นและบุคลิกไม่สอดคล้องกัน ความไม่ไว้วางใจจึงเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความขัดแย้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะกรณี “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่กลายเป็นชนวนให้กลุ่มทหารแยกขั้วกันชัดเจน จนนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็น “จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาทางการเมืองไทยด้วยกำลังมากกว่าสันติวิธี”
บทสรุปของสืบแสงสะท้อนมุมมองของนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 แม้เป็นก้าวสำคัญในการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ประชาธิปไตยไทยกลับไม่อาจหยั่งรากได้เต็มที่ เพราะขาดอุดมการณ์ร่วมเป็นหลักยึด และความขัดแย้งส่วนบุคคลในหมู่ผู้นำได้กลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมการเมืองแบบพึ่งอำนาจ มากกว่าการอาศัยฉันทามติและสถาบันประชาธิปไตย
บทความของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์การเมือง
“คณะราษฎร์ : ความขัดแย้ง และรูปแบบเพื่อการครองอำนาจ” โดย เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นบรรณาธิการข่าวในประเทศของหนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์ และผู้เขียนหนังสือ การปฏิวัติ 2475 งานเขียนของเขาเน้นการวิเคราะห์พัฒนาการทางการเมืองไทยผ่านโครงสร้างอำนาจและบทบาทของชนชั้นนำ โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเขามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรอำนาจที่ยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน
เกียรติชัยเห็นว่า แม้เวลาจะผ่านมากว่าสี่ทศวรรษ ประชาธิปไตยไทยยังมิได้พัฒนาไปไกลจากจุดเริ่มต้นของคณะราษฎร เพราะโครงสร้างอำนาจแทบไม่เปลี่ยน กลุ่มชนชั้นนำยังหมุนเวียนใช้อำนาจกันเอง ขณะที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเป็นเพียง “ความพอใจของผู้มีอำนาจ” มากกว่าฉันทามติของประชาชน เขาอธิบายว่าคณะราษฎรเป็นกลุ่มชนชั้นกลางผู้ได้รับการศึกษาตะวันตก ก่อการขึ้นท่ามกลางสภาวะสุกงอมทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ภายในกลับแตกแยกตั้งแต่ต้น ระหว่างทหารอาวุโส ทหารหนุ่ม และพลเรือน ความขัดแย้งเรื่อง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ของปรีดี พนมยงค์ นำไปสู่การแตกคอกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา การปิดสภา การออกกฎหมายคอมมิวนิสต์ และการยึดอำนาจกลับของพระยาพหลพลพยุหเสนา จนเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้รูปแบบการครองอำนาจของคณะราษฎรถูกสถาปนาขึ้นผ่านกลไกกฎหมาย ศาลพิเศษ และสมาชิกสภาประเภทแต่งตั้ง ซึ่งต่อมารัฐบาลยุคหลังนำมาใช้ซ้ำ
เขาสรุปว่า ประเทศไทยติดอยู่ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ ไม่เคยมีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสรีอย่างแท้จริง การอ้างว่าประชาชน “ยังไม่พร้อม” กลายเป็นข้ออ้างถาวรของผู้มีอำนาจในการรวบอำนาจไว้กับตน ความล้มเหลวของคณะราษฎรจึงอยู่ที่การสร้างประชาธิปไตยจากบนลงล่าง โดยไม่ปลุกให้เกิดพลังจากล่างขึ้นบน ส่งผลให้การเมืองไทยยังหมุนอยู่ในวงจรการแย่งชิงของชนชั้นนำ และประชาธิปไตยยังคงเป็นเพียงแบบจำลองที่รับใช้ผู้ปกครอง มากกว่าจะเป็นของราษฎรอย่างแท้จริง
นรนิติ เศรษฐบุตร ในวัยหนุ่ม ต่อมุมมอง “ปฏิวัติ 2475”
“อ่านปฏิวัติ ๒๔๗๕” โดย นรนิติ เศรษฐบุตร
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
“อ่านปฏิวัติ ๒๔๗๕” โดย นรนิติ เศรษฐบุตร
ภาพจากวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”
นรนิติ เศรษฐบุตร นักวิชาการแนวหน้าด้านรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์การเมืองไทย ขณะเขียนบทความนี้ยังเป็นอาจารย์หนุ่ม บทความ “อ่านปฏิวัติ 2475” ในครั้งนั้นชักชวนผู้อ่านกลับไปอ่านเอกสารและหนังสือต้นทางหลายเล่ม แล้วสรุปสาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากงานของเกียรติชัย พงษ์พาณิชย์และคำบันทึกของพระยาทรงสุรเดช ทั้งแรงผลักจากคนหนุ่มนักเรียนนอกที่มองเห็นความล้าหลังของสมบูรณาญาสิทธิราช ความอ่อนแอของระบอบเดิม ความกระทบกระทั่งส่วนบุคคลที่ขยายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ตลอดจนความน้อยใจของนายทหารสามัญชนในระบบอุปถัมภ์ จากนั้นเล่ากระบวนการปฏิบัติการอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การถกเถียงแผนยึดอำนาจและการเลื่อนวันปฏิบัติการ ไปจนถึงยุทธวิธีระดมกำลังน้อยแต่จัดขบวนให้ผู้บังคับบัญชาเดิมสั่งทหารของตนไม่ได้ จนนำไปสู่ความสำเร็จในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 บทความนรนิติได้คัดลอกต้นฉบับ “ประกาศคณะราษฎร” ประกอบโดยไม่ตัดตอน ก่อนปิดท้ายด้วยการเกิดรัฐธรรมนูญชั่วคราว การตั้งสภาและรัฐบาลแรก แล้วชักชวนให้กลับไปหาอ่านเอกสารให้มากขึ้นเพื่อเข้าใจหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ช่วงนี้
ข้อเขียนของนรนิติสะท้อนท่าทีที่ให้พื้นที่แก่เหตุปัจจัยเชิงโครงสร้างมากกว่าการจับผิดบุคคล และยืนยันความเป็นไปได้ของการปฏิวัติในฐานะโครงการสร้างรัฐอธิปไตยของราษฎร เขาเน้นความสามารถเชิงยุทธศาสตร์ของคณะผู้ก่อการ การจัดทัพที่แม่นยำ และนำเสนอสาระของประกาศคณะราษฎรกับหลักหกประการเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่าน มากกว่าจะลดทอนเหตุการณ์ให้เหลือเพียงความบกพร่องหรือความแตกแยกภายใน พร้อมแนะนำหนังสือให้ไปอ่านเองสี่ห้าฉบับ
บทวิจารณ์หนังสือเกี่ยวกับปรีดี 2 เล่มส่งท้าย
สังคมศาสตร์ปริทัศน์ฉบับนี้ปิดท้ายด้วยบทวิจารณ์หนังสือเกี่ยวกับปรีดีสองเล่ม โดยวิชัย โชควิวัฒน และชาญวิทย์ เกษตรศิริ วิชัยทบทวน “ชีวิตและงานของ ดร. ปรีดี พนมยงค์” ของสุพจน์ ด่านตระกูล ย้ำคุณูปการของปรีดีทั้งด้านกฎหมาย การคลัง การต่างประเทศ การก่อตั้งธรรมศาสตร์ และบทบาทเสรีไทย แต่ติงหนักว่าหนังสือเอนเอียงเชิดชูเกินไป คลุมเครือและมีข้อบิดเบือนหลายตอน ยังไม่ตอบโจทย์เรื่อง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ และมักอ้างสรุปโดยไร้หลักฐานชัด พร้อมเสนอว่าควรจัดโครงสร้างเล่มให้เป็นสัดส่วนอ่านง่ายกว่านี้ ส่วนชาญวิทย์รีวิว “บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2” (รวมงาน หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล, ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และบันทึกของปรีดี) ชี้ให้เห็นเจตนาหนังสือที่ต้องการหักล้างภาพว่า “ปรีดีแอนตี้เจ้า” โดยโชว์ความสัมพันธ์และบทบาทผู้สำเร็จราชการ/เสรีไทย แต่ก็ยอมรับว่าเป็นรวมเกร็ดหลากชิ้น น้ำหนักไม่เท่ากัน บางตอนเหมือน “ดูหนังไม่จบ” มีการไม่เอ่ยนามบุคคล และเข้าถึงยากเพราะพิมพ์แจกจำกัด
สถานะปัจจุบัน อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สมควรได้รับเครดิตในฐานะนักประวัติศาสตร์ผู้ขับเคลื่อนการศึกษาว่าด้วย 2475 อย่างต่อเนื่อง ทั้งการวิจัย เผยแพร่แหล่งข้อมูล และผลักดันบทสนทนาสาธารณะ จนทำให้การอ่านและตีความคณะราษฎรและปรีดี พนมยงค์ ก้าวหน้าและเข้าถึงผู้คนกว้างขวางยิ่งขึ้น
บทสรุป
เมื่อย้อนกลับไปอ่านวารสาร สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จะเห็นว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของพัฒนาการความคิดทางสังคมและการเมืองไทย ก่อนกระแส “14 ตุลา” จะมาถึงเพียงปีเศษ เนื้อหาภายในเล่มว่าด้วย “การปฏิวัติ 2475” สะท้อนการปะทะกันของความคิดระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายที่วิจารณ์คณะราษฎร บางบทเชิดชู บางบทตั้งคำถามอย่างเคร่งเครียด ทว่าภาพรวมของเล่มกลับเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนความสนใจต่อคณะราษฎรหลังยุคเงียบงันภายใต้ระบอบสฤษดิ์ และเป็นบันไดสู่การศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับ “2475” ในเวลาต่อมา
ใน พ.ศ. 2515 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ยังมิได้คลายทิฐิและอคติที่มีต่อปรีดี พนมยงค์ จนกระทั่งได้อ่านงานของสุพจน์ ด่านตระกูล ว่าด้วยกรณีสวรรคต จึงเริ่มตระหนักถึงความไม่เป็นธรรมที่ปรีดีต้องเผชิญ และภายหลังได้เดินทางไปขออโหสิในปีวาระฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่รัฐบุรุษอาวุโสจะถึงแก่อสัญกรรมเพียงหนึ่งปี ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ในวารสารฉบับดังกล่าว คำว่า “คณะราษฎร” ถูกสะกดว่า “คณะราษฎร์” (มีการันต์) แทบทุกแห่ง ซึ่งเข้าใจได้ว่าในยุคนั้นเป็นรูปสะกดที่ใช้กันทั่วไป จนปรีดีต้องออกมาชี้แจงว่าแท้จริงแล้วอ่านว่า “คณะราษฎร” (คะ-นะ-ราด-สะ-ดอน) โดยไม่ต้องมีการันต์ อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปดูเอกสารร่วมสมัยในยุค ๒๔๗๕ ก็ยังพบว่ามีการสะกดด้วยการันต์อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ภายหลังจากวารสารฉบับนี้ออกเผยแพร่ได้ไม่นาน แวดวงหนังสือและวิชาการไทยก็เริ่มหันกลับมาสนใจและพูดถึงคณะราษฎรอย่างกว้างขวางอีกครั้ง ในปีเดียวกันนั้น ปราโมทย์ พึ่งสุนทร ได้จัดพิมพ์ปาฐกถาของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่อง บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎร ขึ้นเผยแพร่ ขณะที่ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้มีการจัดพิมพ์หนังสือ เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2518 หลังจากพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2490 หรือเว้นว่างไปเกือบสามทศวรรษ พร้อมกับการนำผลงานนวนิยายชุด แลไปข้างหน้า ของศรีบูรพา ซึ่งสะท้อนอุดมการณ์ 2475 อย่างใกล้ชิด กลับมาจัดพิมพ์ใหม่ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีหนังสือ ชีวิตห้าแผ่นดินของข้าพเจ้า ของประยูร ภมรมนตรี ซึ่งออกในปี พ.ศ. 2518 จนเป็นเหตุให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องสั่งฟ้องให้เรียกเก็บออกจากตลาดหนังสือ ในด้านงานวิชาการก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วิทยานิพนธ์ของธวัช มกรพงศ์ ที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา พ.ศ. 2505 ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ History of the Thai Revolution: A Study in Political Behaviour ในปี พ.ศ. 2515 และในช่วงทศวรรษถัดมา วงวิชาการต่างประเทศก็ได้ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อสำนักพิมพ์ออกซฟอร์ดจัดพิมพ์หนังสือ The End of Absolute Monarchy ของเบนจามิน เอ. แบตสัน (Benjamin A. Batson) ซึ่งได้ตอกย้ำการศึกษาการปฏิวัติ 2475 ในบริบทสากลอย่างเด่นชัด
หนังสือ “History of the Thai Revolution : A Study in Political Behaviour”
โดย ธวัช มกรพงศ์ ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2515
หนังสือ “The End of Absolute Monarchy”
โดย เบนจามิน เอ. แบตสัน (Benjamin A. Batson)
ในหมวดเอกสารประวัติศาสตร์ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ได้สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่เขียนเป็นหนังสือเล่มสำคัญชื่อ “รัฐสภาไทยในรอบ 42 ปี (พ.ศ. 2475-2517)” ด้านประเภทอนุสรณ์งานศพ หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) ผู้ก่อการสายทหารเรือคนสำคัญ ปรากฏการตีพิมพ์อัตชีวประวัติและคำไว้อาลัยจากปารีสโดยปรีดีเองในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจศพระยะเดียวกันนี้ ส่วนในแวดวงมหาวิทยาลัย ฝ่ายคัดค้านคณะราษฎรอย่างชัยอนันต์ สมุทวณิช ก็ผลิตศิษย์จำนวนมากที่ศึกษาหัวข้อเกี่ยวกับ 2475 ขณะเดียวกัน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็วางรากฐานการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่อย่างเป็นระบบ เห็นได้จากวารสารธรรมศาสตร์ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ที่รวบรวมบทความของนักวิชาการรุ่นใหม่ เช่น นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จนเมื่อปรีดีถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 งานรื้อฟื้นเกียรติภูมิของท่านก็ยิ่งได้รับการยอมรับและแพร่หลาย
“วารสารธรรมศาสตร์” ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525
การอ่าน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับวันชาติปี พ.ศ. 2515 ทำให้เห็นบรรยากาศทางความคิดในช่วงรอยต่อระหว่างยุคสฤษดิ์กับยุค 14 ตุลาฯ ซึ่งสังคมไทยยังเข้าใจ “คณะราษฎร” ได้อย่างจำกัด ทั้งถูกมองด้วยความระแวงจากสองขั้ว ฝ่ายขวายังคงรังเกียจในฐานะผู้โค่นล้มระบอบเดิม ส่วนฝ่ายซ้ายในเวลานั้นก็ยังไม่แยกแยะระหว่างรัฐทหารยุคหลังกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยของ 2475 จึงมักโยงระบอบ “สฤษดิ์–ถนอม–ประภาส” เข้ากับมรดกคณะราษฎรโดยเหมารวม กระนั้น เมื่อเวลาผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ การศึกษาว่าด้วย “2475” ได้ขยายตัวทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และความคิดทางการเมือง นักวิชาการรุ่นใหม่ได้ชำระหลักฐาน เปิดมุมมองใหม่ และทำให้คณะราษฎรถูกเข้าใจในฐานะจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมไทยอีกครั้ง การกลับไปอ่านวารสารฉบับนี้จึงเป็นเหมือนการมองเห็นต้นทางของการตีความยุคคณะราษฎรอย่างมีมิติรอบด้านยิ่งขึ้น
บรรณานุกรม :
- *สังคมศาสตร์ปริทัศน์*, “ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?”, ปีที่ 10 ฉบับที่ 6 (มิถุนายน 2515).
- ปาจารยสาร, ปีที่ 8 ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2524).
- วารสารธรรมศาสตร์, ปีที่ 11 เล่มที่ 2 (มิถุนายน 2525).
- Thawatt Mokarapong. *History of the Thai Revolution: A Study in Political Behaviour.* Bangkok: Chalermnit, 1972. (Adapted from the author’s doctoral dissertation “The June Revolution of 1932 in Thailand”* submitted to Indiana University, 1962.)
- Benjamin A. Batson. *The End of the Absolute Monarchy in Siam. Oxford: Oxford University Press, 1983.
- กษิดิศ อนันทนาธร. “9 ทศวรรษ ส.ศิวรักษ์: 9 เรื่องของปัญญาชนสยามท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง.” เข้าถึงได้จาก https://www.the101.world/9-decade-of-sulak-sivaraksa
- นิฌามิล หะยีซะ. “สังคมศาสตร์ปริทัศน์กับบทสนทนาว่าด้วย ‘จักรวรรดินิยมทางภูมิปัญญา’.” เข้าถึงได้จาก https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/530
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์. “ปวัตติยานุกรมหนังสือชีวประวัติ ‘ปรีดี พนมยงค์ (พ.ศ. 2443–2526)’.” เข้าถึงได้จาก https://pridi.or.th/th/topics/ปวัตติยานุกรม
- สังคมศาสตร์ปริทัศน์
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์
- ประชาธิปไตยตายเสียแล้ว?
- 14 ตุลาคม 2516
- คณะราษฎร
- การอภิวัฒน์สยาม 2475
- การศึกษาประวัติศาสตร์
- การต่อสู้ทางความคิด
- พัฒนาการความคิดทางสังคมและการเมือง
- สุชาติ สวัสดิ์ศรี
- ป๋วย อึ๊งภากรณ์
- เสทื้อน ศุภโสภณ
- กมล สมวิเชียร
- ชัยอนันต์ สมุทวณิช
- สนิท เจริญรัฐ
- สุลักษณ์ ศิวรักษ์
- ปราโมทย์ นาครทรรพ
- นิตย์ พิบูลสงคราม
- สุรพงษ์ ชัยนาม
- เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์
- นรนิติ เศรษฐบุตร
- วิชัย โชควิวัฒน
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ