ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

หลักการ สิทธิ เสรีภาพ ภายหลังปฏิวัติตุลาคม 2516

26
ตุลาคม
2568

 

เสน่ห์ จามริก (พ.ศ. 2470 - 2565)

 

ท่านที่เคารพทั้งหลาย ก่อนอื่น ผมใคร่ขอขอบพระคุณ คณะกรรมการมูลนิธิโกมล คีมทอง ในการที่กรุณาให้เกียรติแก่ผมมาทำการบรรยายในโอกาสนี้ อันเป็นการแสดงความระลึกถึงคุณโกมล คีมทอง ผู้ล่วงลับไปเมื่อสี่ปีก่อน ผมเองนั้นมิได้รู้จักมักคุ้นกับท่านผู้นี้เป็นการส่วนตัว แต่ก็ทราบและตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญเกี่ยวกับชีวิต กิจกรรม และเกียรติคุณของคุณโกมล คีมทอง อย่างน้อยก็เท่าที่ได้ติดตามสดับรับฟังจากแวดวงของบรรดามิตรสหาย ซึ่งมีอยู่หลาย ๆ ท่านด้วยกันในที่ประชุมนี้ที่ผมเคารพนับถือว่าเป็นคนดี

จุดประสงค์ของมูลนิธิฯ ดังที่กล่าวขวัญถึงกันเมื่อสักครู่มานี้บอกว่า มุ่งเพื่อ “การกระตุ้นเตือน ส่งเสริม รักษา และช่วยให้บุคคลสำนึกในความเสียสละเพื่อสังคม ใฝ่หาความรู้ มีอุดมคติ มีความกล้าหาญ และมีความเป็นผู้นำในทางที่ถูกต้อง” นั้น โดยสาระก็คือการเสริมสร้างคนดีนั่นเอง ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า คนดีนั้นคืออย่างไร ในทัศนะของผม คุณโกมล คีมทอง จัดได้ว่าเป็นแบบฉบับของคนดี กล่าวคือเป็นคนมองเห็นธรรมแล้วก็ปฏิบัติธรรมดีทั้งทางจิตใจและด้วยการประพฤติปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เอาดีแต่ตัวเอง หรือดีเพียงแต่การวัดฐานะวงศ์ตระกูล ยศสมบัติ หรือตำแหน่งอำนาจ ซึ่งมักหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นคุณค่าสูงสุดกันทุกวันนี้ ถ้าหากเราจะเข้าใจคุณค่าความสำคัญของคนดีกันให้ถ่องแท้ ก็จะต้องมองกันให้กว้างขวาง ให้กระจ่างชัด ไม่ใช่เอาแต่ยกย่องสรรเสริญกันเป็นส่วนตัว เป็นมุโขโลกนะ แต่ทว่าจะต้องเพ่งเล็งไปถึงคุณความดีอันพึงบังเกิดแก่สังคมส่วนรวม และผมก็แน่ใจว่าความเป็นคนดีของคุณโกมล คีมทอง นั้น มีส่วนที่เป็นคุณค่าต่อสังคมอย่างอเนกอนันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคสมัยที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญยิ่งยวด และก่อให้เกิดปัญหาประเด็นเกี่ยวข้องถึงหลักการสิทธิเสรีภาพ ในแง่ที่เป็นหลักค่านิยมทางสังคมใหม่ ซึ่งผมตั้งใจจะเสนอเป็นข้อคิดไว้ในโอกาสนี้ อย่างน้อยที่สุด พอให้เห็นเป็นเค้าแนวของปัญหาบ้านเมืองในยุคปัจจุบัน ซึ่งตามความเข้าใจของคนสอนหนังสืออย่างผมเชื่อว่าจะมีความหมายสำคัญเกี่ยวกับชะตาอนาคตการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

ตามความรู้ความเข้าใจของเรา ไม่แต่เพียงเราจะรู้ว่าคนเป็นสัตว์สังคมเท่านั้น หากเรายังอยากจะเชื่อกันอีกด้วยว่า คนซึ่งได้แก่พวกเรา ๆ นี่เองเป็นสัตว์อันประเสริฐ ถ้าเป็นเช่นนั้น สัญชาตญาณของเราเองก็น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติกันบ้างว่า อันการเป็นคนดีนั้นย่อมไม่อาจแยกต่างหากออกไปจากความจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตสังคมที่ดี ผมใคร่ขอรบกวนเวลาของท่านที่เคารพอีกสักน้อยในตอนต้นนี้ในเรื่องของคนดี หรือชีวิตแห่งความดี เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับเนื้อหาสาระที่เราจะพูดถึงกันต่อไป และในที่นี้ผมก็ขออ้างถึงธรรมกถาเรื่อง พุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี[1] (ปัจจุบันดำรงฐานะเป็นพระราชวรมุณี) ซึ่งแยกแยะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างห่างไกลระหว่างชีวิตสองรูปแบบด้วยกัน กล่าวคือ ชีวิตแห่งปัญญาแบบหนึ่ง และอีกแบบหนึ่งเป็นชีวิตแห่งความยึดมั่นถือมั่น สำหรับชีวิตแบบหลังนี้ ผมไม่ประสงค์จะสาธยายอะไร เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ดาษดื่นรอบ ๆ ตัวเรา แต่ใคร่ตั้งข้อสังเกตเพียงสั้น ๆ ในที่นี้ว่า แนวโน้มของสังคมไทยไปในทางประพฤติปฏิบัติในแบบอย่างเช่นว่านี้ กำลังจะกลายเป็นสมัยนิยมหลงผิดบิดเบือนชีวิตสังคมให้ห่างเหินออกไป กฎแห่งสัจธรรมทุกวันนี้นั้น อาจถึงจุดที่เป็นพิษเป็นภัยต่อความเจริญก้าวหน้าและในที่สุดต่อความมั่นคงอยู่รอดของบ้านเมืองโดยส่วนรวมได้ เราได้เห็นตัวอย่างมามากแล้วในข้อนี้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติทั้งอดีตสมัยและในชั่วชีวิตของเรานี้เอง เพราะฉะนั้นเราจะประมาทไม่ได้เลย ไม่ว่าใคร ผู้ใด หรือฝ่ายใดจะมองและเข้าใจชีวิตในเชิงของการต่อสู้อย่างไรก็ตามที แต่ทางออกที่แท้จริงขึ้นอยู่กับแนวทางที่มนุษย์และสังคมมนุษย์จะเลือกเดินชีวิตของตนเอง อันได้แก่วิถีชีวิตแห่งปัญญา แนวทางของปัญญานี้คืออย่างไร ก็คือแนวทางของชีวิตที่อุดมด้วยความเป็นอิสระเสรีในจิตใจและความนึกคิด พ้นจากความยึดมั่นถือมั่น พ้นจากความเป็นทาสของอัตตาอารมณ์ เห็นแก่ประโยชน์ความต้องการเฉพาะส่วนตนและพวกพ้องบริวารในวงแคบ ชีวิตของคนและสังคมซึ่งอาศัยจิตใจอิสระเสรีนี้เอง เป็นเครื่องส่งเสริมให้สามารถเข้าใจและมองทะลุเห็นชีวิตและประโยชน์สุขที่กว้างใหญ่ไพศาล สอดคล้องกับสภาวะของเหตุและผลตามหลักธรรมอันมีสั่งสอนอยู่ในพุทธศาสนาที่ว่า “เอก ธมฺโม ภิกุขเข โลเก อุปฺปชฺบมาโน อุปฺปชฺชติ พาหุชน หิตาย พาหุชนสุขาย พาหุโน ชนสฺส หิตาย สุขาย” ซึ่งแปลความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแห่งชนเป็นอันมาก เพื่อความต้องการ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสำราญแห่งชนเป็นอันมาก” (จากเอกนิบาตคัมภีร์ อิติวุตตกะ)

ท่านที่เคารพทั้งหลาย เมื่อพูดมาถึงหลักธรรมเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่อย่างนี้แล้ว ก็ขอให้เราลองหวนมาคิดพิเคราะห์ดูสถานการณ์ในสังคมไทยของเราดูบ้าง ซึ่ง ณ บัดนี้ เต็มไปด้วยปัญหาความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนระสำระสาย ความหวั่นไหวและชิงชัง และความแตกแยกอยู่โดยทั่วไปและนับวันจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ในขณะเดียวกับที่ยิ่งนับวันผู้คนดูยิ่งพากันละเลยหลักธรรมประจำชีวิตข้อนี้มากขึ้น ๆ อย่างน่าวิตก แต่สิ่งที่น่าวิตกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จนบัดนี้หลังจากเหตุการณ์ ตุลาคม 2516 เราก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าจะเรียนรู้และฉลาดเท่าทันต่อชีวิตดีขึ้นไปกว่าเท่าที่เคยคิด เคยทำจำเจกันมา ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังสยบความคิดจิตใจของเราอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีทางที่จะคิดหรือเห็นอะไรได้เกินไปกว่าอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนและสมุนบริวาร ตรงนี้เองกระมังที่เป็นสมุฏฐานที่มาของความงมงายโง่เขลาต่อกฎธรรมดาสามัญที่สุดของชีวิต เขลาต่อกฎของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่มีคนใด สังคมใดสามารถหลีกเลี่ยงได้ และในที่สุด เขลาต่อการที่จะสามารถสร้างสรรค์พลังความคิดและพลังใจเพื่อควบคุมวิถีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปโดยราบรื่นตามแนวทางของเหตุและผล

ลำพังการเปลี่ยนแปลงในตัวของมันเอง คงจะไม่ใช่เป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นเท่ากับตัวเงื่อนไขปัจจัยที่ว่า เราพยายามเข้าใจถึงลักษณะธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงกันหรือไม่อย่างไร อันที่จริงปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเรานี้ก็ได้มีการพูดกัน วิจารณ์กันมามากมาย ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 ผมเพียงใคร่ขอย้ำถึงสองประเด็นสำคัญในที่นี้ พอเป็นแนวทางให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับหลักการทางสังคม ซึ่งสังคมไทยกำลังประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ กล่าวคือ ในประการแรก สภาวะเปลี่ยนแปลงขั้นมูลฐานในทางสังคมและเศรษฐกิจบังเกิดผลทำให้สังคมไทยเราผ่านพ้นจากสภาวะของความสัมพันธ์ในสังคมที่เคยกลมกลืนสมานฉันท์ มาสู่สภาวะของสังคมที่เกิดความลักลั่นแตกแยกและปัญหาขัดแย้ง เราจะนิยมชมชอบกับการที่สังคมของเราจะต้องมีปัญหาการขัดแย้งกันหรือไม่เพียงใดนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยเป็นเช่นนั้น ประการที่สอง หลักการทางสังคม กล่าวคือ หลักการความสัมพันธ์เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะเปลี่ยนแปลงได้ และนี่เป็นปัญหาวิกฤตของการเปลี่ยนแปลงซึ่งกำลังเผชิญกับเราอยู่ขณะนี้ หลักการทางสังคมที่เคยกำกับชีวิตความเป็นอยู่ของเรามาแต่อดีต ยึดถือระบบโครงสร้างอำนาจที่มีการแบ่งแยกกันแน่ชัด ระหว่างชนชั้นผู้ปกครองกับผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง เป็นระบบการปกครองแบบเจ้าคนนายคน ระบบการทำนองนี้สนองความต้องการของสังคมไทยตามสภาวะทางเศรษฐกิจสังคมสมัยก่อน แต่มาถึงสมัยปัจจุบัน ชีวิตเศรษฐกิจและสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป มีการสร้างอุตสาหกรรม การขยายตัวทางการค้า การขนส่ง การคมนาคม ฯลฯ ก่อให้เกิดชนอาชีพสาขาและกลุ่มชนต่าง ๆ มากมาย ปัจจัยเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของปัญหาความขัดแย้งแตกต่าง อันนับวันจะยิ่งทวีขึ้นในสังคมปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันอำนาจและหลักความสัมพันธ์ในสังคมไทยยังคงยึดติดอยู่กับระบบราชการเดิมแทบไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรนัก แม้แต่ภายหลังการปฏิวัติ 2475 ระบบเผด็จการทางทหารซึ่งตั้งต้นมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2490 ใช้ความพยายามอย่างหนักแน่นในอันที่จะขจัดและลบล้างปัญหาของการเปลี่ยนแปลงและการขัดแย้งเช่นว่านี้ด้วยกำลังอำนาจแต่แล้วก็ล้มเหลว เหตุการณ์ตุลาคม 2516 ควรจะเป็นบทเรียนได้อย่างดี ก่อนหน้านั้นผมได้เคยตั้งข้อสังเกตถึงระบบราชการของไทย[2] เราว่า เป็นกลไกบริหารที่กำลังแยกตนเองออกจากประชาชนและไม่อาจสนองความต้องการเรียกร้องและปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชนส่วนใหญ่ได้ แต่เมื่อมีการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มชนส่วนน้อยกลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทั้งในแง่ของกำลังอำนาจในทางเศรษฐกิจและในด้านความสามารถที่จะใช้อำนาจอิทธิพลของกลไกบริหารราชการให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนได้ “ระบอบปฏิวัติ” สมัยสฤษดิ์ – ถนอม - ประภาส ทำการปกครองด้วยระบบ “ประกาศคณะปฏิวัติ” ลิดรอนสิทธิเสรีภาพอันพึงมีพึงได้ของกลุ่มชนผู้ยากไร้ทั้งมวล ในอันที่จะรวมพลังทัดทานอิทธิพลของกลุ่มชนฝ่ายได้เปรียบในเชิงกำลังทางเศรษฐกิจ ท่านที่เคารพทั้งหลาย ถึงตอนนี้ที่ภาพพจน์และบทบาทฐานะของกลไกบริหารราชการไทยได้แปรเปลี่ยนไปจากภาพพจน์และบทบาทฐานะที่เป็นเจ้าคนนายคนดังเช่นในสมัยก่อน หากแต่กำลังกลายเป็นกลไกของการขูดรีดในทางเศรษฐกิจ อันเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ และเงื่อนไขปัจจัยนี้เป็นมูลเหตุรากฐานก่อให้เกิดการแบ่งแยก และช่องว่างเหลื่อมล้ำในระบบอำนาจ และความสัมพันธ์ภายในสังคมไทยเรามาถึงตลอดทุกวันนี้

ในสภาวะเสื่อมโทรมและกดขี่อันเรื้อรังและทวีความรุนแรงยิ่ง ๆ ขึ้นทุกขณะของการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบทางอำนาจและผลประโยชน์ภายในระบอบเผด็จการทางทหาร เฉพาะอย่างยิ่งหลัง “การปฏิวัติ” ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2501 ย่อมไม่เป็นที่น่าประหลาดอะไรที่จะเกิดการดิ้นรนต่อสู้ ซึ่งสะท้อนปรากฏออกมาในรูปของขบวนการทางปัญญาความคิด เริ่มต้นจากกลุ่มปัญญาชนในวงการนักเขียนและสถาบันอุดมศึกษาบางส่วน จนในที่สุดแพร่ขยายไปยังกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ถ้าเราสังเกตงานเขียนและการอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงประมาณสิบปีที่ผ่านมาก็จะเห็นเป้าหมายขัดแย้งเป็นการมุ่งประท้วงโต้แย้งระบบอำนาจและความสัมพันธ์ในสังคม ในความเข้าใจของผม ขบวนการทางปัญญาความคิดเช่นว่านี้ นับเป็นสัญญาณให้รู้ถึงกระแสคลื่นของการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ ประเด็นมีอยู่ว่า เราจะให้ความเข้าใจกับกระแสคลื่นทางปัญญาความคิดนี้อย่างไรกัน เรายังอยากเข้าใจหรือป้ายสีให้เห็นเป็นเรื่องของ “มือที่สาม” หรือ “การบ่อนทำลายของคอมมิวนิสต์” ทำนองนี้อยู่ต่อไปอีกหรืออย่างไร ถ้าหากเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 จะให้บทเรียนอะไรแก่เราบ้าง ผมก็เชื่อว่าเราน่าจะยังมีเวลาและช่องทางที่จะมองหาความหมายของสิ่งเหล่านี้ด้วยวิชชา ด้วยจิตอันเที่ยงธรรม และด้วยความมุ่งหมายเพื่อสร้างสรรค์ ในแง่นี้ผมใคร่เสนอแนวความเข้าใจจากถ้อยคำของปอล ริเกอร์ ซึ่งเขียนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับขบวนการนักศึกษาในฝรั่งเศสไว้ในหนังสือพิมพ์ เลอมองค์ ว่า

 

“มันเป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ก็เพราะเป็นการโต้แย้งต่อโลกทัศน์ ต่อหลักความคิดเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง และระบบความสัมพันธ์ทั้งหมดของมนุษย์ การปฏิวัตินี้โจมตีระบบนายทุน ไม่แต่เพียงเพราะเหตุว่าระบบนายทุนล้มเหลว ไม่สามารถทำให้บังเกิดความยุติธรรมทางสังคมขึ้นได้เท่านั้น แต่เพราะเหตุว่า ระบบนายทุนสามารถทำได้ดีจนเกินไป ในการชักจูงผู้คนให้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับการกินดีอยู่ดีในเชิงปริมาณ (การปฏิวัติ) โจมตีกลไกบริหารบ้านเมือง ไม่แต่เพียงเพราะเหตุว่าเป็นเครื่องถ่วงและทำงานไม่ได้เรื่องเท่านั้น แต่เพราะเหตุว่ากลไกบริหาร ทำให้คนตกอยู่ในบทบาทเยี่ยงทาสในความสัมพันธ์ ในระบบโครงสร้างอำนาจและระบบความสัมพันธ์ทั้งหมด ซึ่งคนเหล่านี้รู้สึกชิงชัง ประการสุดท้าย (การปฏิวัตินี้) โจมตีความไร้หลักการของสังคม ซึ่งทำนองเดียวกับเนื้อร้ายมะเร็ง มันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรมากไปกว่านี้ที่จะเกิดขึ้นมาเท่านั้นเอง ในสภาวะของสังคมที่ขาดจิตสำนึกเช่นนี้ การปฏิวัติทางวัฒนธรรมพยายามที่จะแสวงลู่ทางเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม สร้างสรรค์ความคิดและค่านิยมทั้งหลายอันสัมพันธ์ต่อจุดมุ่งหมายของสิ่งเหล่านี้ ภารกิจเช่นว่านี้เป็นเรื่องใหญ่ไพศาล จะต้องกินเวลาแรมปี หรือสิบ ๆ ปีหรือนับร้อย ๆ ปี...”[3]

 

ท่านที่เคารพทั้งหลาย ถ้าหากเราจะให้ความเข้าใจกับขบวนการนักศึกษา และขบวนการทางปัญญาความคิดโดยทั่วไปในบ้านเมืองไทยของเรา เป็นทำนองปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมเช่นที่เป็นไปในประเทศฝรั่งเศส ผมคิดว่าจะช่วยทำให้เราเข้าใจความหมายของเหตุการณ์ ซึ่งผมใช้เรียกว่าปฏิวัติตุลาคมเมื่อปี 2516[4] ได้ดีขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น และขอเรียนเสียก่อนว่าแนวทัศนะที่เสนอในที่นี้ ท่านที่เคารพอาจไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยผมก็เห็นว่ามันเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ปลดเปลื้องความนึกคิดจิตใจของเรา ให้หลุดพ้นจากแอกของความลุ่มหลงมัวเมาจากคำโฆษณาชวนเชื่อ โป้ปดมดเท็จทั้งหลาย เพื่อจะได้เข้าถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงขัดแย้งและความเป็นธรรมกันอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขบวนการนักศึกษาและมวลชนส่วนใหญ่เรียกร้องแสวงหากันอยู่ทุกวันนี้

การปฏิวัติตุลาคม 16 ดังที่เห็นกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการปฏิวัติในความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป หากเป็นขบวนการซึ่งไม่ได้มีผู้นำมุ่งต่อสู้เพื่อแสวงและเสวยอำนาจ และในประการสำคัญ เป็นการปฏิวัติที่ไม่ได้เสนอทางออกให้กับสังคมในเชิงของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกี่ยวกับอำนาจและระบบความสัมพันธ์ในสังคมไทย ในแง่นี้ปฏิวัติตุลาคมจัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมมุ่งประท้วงโจมตีต่อหลักการปกครองและความสัมพันธ์แบบเจ้าคนนายคน ซึ่งผมขอใช้เรียกว่าเป็นหลักการของอภิสิทธิ์ หลักการอันนี้เป็นหลักการที่ไม่สามารถตอบสนองปัญหาการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันได้ดังที่เหตุการณ์และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าตุลาคมพิสูจน์ให้เห็น สังคมไทยอยู่ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในทางสังคมและเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้มีผลกระทบอย่างสำคัญยิ่งต่อระบบวัฒนธรรมอันเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพและความสัมพันธ์ในทางอำนาจและผลประโยชน์ในสังคมไทย เหตุการณ์ประท้วงโจมตีระบอบถนอม ประภาส โดยรากฐานเป็นการประท้วงโจมตีต่อหลักการทางสังคมแบบเก่า ซึ่งไม่สามารถกำหนดความสัมพันธ์ของบุคคลและกลุ่มชนต่าง ๆ ให้อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ยิ่งไปกว่านั้นหลักการของอภิสิทธิ์ชนยังนำมาซึ่งความแตกแยก ความชิงชัง และความเป็นปฏิปักษ์ เพราะเหตุที่ว่า หลักการของอภิสิทธิ์ชนนี้เองที่กลายเป็นเกราะคุ้มกันการกอบโกยแสวงอำนาจและขูดรีดผลประโยชน์ของระบบราชการและนายทุนเหนือประชาชนส่วนใหญ่ผู้ยากไร้ อริสโตเติล ปราชญ์กรีกเคยตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจถึงสังคมแบบที่คนมีมีมากเกินไป คนจนก็จนเกินไป ซึ่งก็จะเต็มไปด้วยคนพวกหนึ่งที่เอาแต่ถืออำนาจถือตนเป็นใหญ่ ไม่รู้จักเคารพกฎเกณฑ์อะไร กับคนอีกพวกหนึ่ง ไม่รู้จักปกครองแม้แต่ตนเอง เอาแต่อยู่ใต้บังคับของผู้อื่น

 

“ผลก็คือ รัฐที่มีแต่นายกับทาส ไม่ใช่รัฐของเสรีชน หากเป็นรัฐที่มีแต่ความริษยาของฝ่ายหนึ่ง กับความเหยียดหยามจากอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่มีอะไรที่จะฝืนต่อเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพหรือความพอประมาณของประชาคมทางการเมืองยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ประชาคมย่อมขึ้นอยู่กับมิตรภาพ และเมื่อใดเกิดมีความเป็นปฏิปักษ์ขึ้นมาแทนที่มิตรภาพ คนย่อมจะไม่ร่วมในวิถีทางเดียวกัน รัฐหนึ่ง ๆ พึงมุ่งให้เป็นสังคมที่ประกอบไปด้วยคนเสมอเท่าเทียมกัน เท่าที่จะเป็นไปได้...”[5]

 

ท่านที่เคารพ ข้อสังเกตของอริสโตเติลเมื่อกว่าสองพันปีที่ล่วงมา นับว่ามีส่วนที่อธิบายสภาพบรรยากาศภายในสังคมไทยเป็นอย่างดีทั้งก่อนและหลังตุลาคม 2516 กล่าวคือ ความรู้สึกอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกันทั้งในเชิงสถานภาพ อำนาจ และผลประโยชน์ ขบวนการนักศึกษาและประชาชนที่ทำการประท้วงและโค่นระบอบเผด็การทางทหารลงไป แต่ในขณะเดียวกันไม่ได้มีเป้าหมายที่จะขึ้นเสวยอำนาจหรือเสนอทางเลือกให้แก่มหาชนนั้น โดยพฤติการณ์เป็นการเรียกร้องต้องการหลักทางสังคมใหม่เพื่อการอยู่ร่วมกันโดยสันติและเพื่อร่วมกันเผชิญปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งของสังคมสมัยใหม่ หลักการเช่นว่านี้คือหลักการของสิทธิเสรีภาพ และนี่คือความหมายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนถึงการเรียกร้องต้องการของมวลชนในอันที่จะให้ได้มีการรับรู้รับรองในฐานะความเสมอทัดเทียมและสิทธิเสรีภาพ หลักการสิทธิเสรีภาพในสภาพการต่อสู้ทางวัฒนธรรม เมื่อเดือนตุลาคม 2516 และสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการแสดงออกของบรรดากลุ่มชนที่อยู่ในฐานะเสียเปรียบของสังคม อย่างเช่น กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา หลักการสิทธิเสรีภาพหลังปฏิวัติตุลาคมจึงทำให้ความแตกต่างห่างไกลกับประกาศสิทธิเสรีภาพที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองเดือนมิถุนายน 2475 หลักการเดียวกัน ซึ่งเคยมีค่าเป็นเพียงเครื่องมือต่อสู้ทางการเมืองเฉพาะภายในแวดวงของอภิสิทธ์ชนนั้น มา ณ บัดนี้เป็นสิ่งที่กำลังตื่นตัว แสวงหา และเรียกร้อง และประการสำคัญที่สุดเป็นเรื่องธุระเกี่ยวโยงโดยตรงต่อปัญหาปากท้องทุกข์สุขและศักดิ์ศรีของมหาชนส่วนใหญ่การตื่นตัวต่อสู้ของพลังมวลชนหลังปฏิวัติตุลาคมนี้ย่อมเป็นพลังคุกคามโดยตรงต่อฐานะอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มอภิสิทธิ์ชน การแข็งขืนต่อต้านและตอบโต้ย่อมจะเกิดขึ้นตามมา ดังที่กระทำกันอยู่ขณะนี้ และทำท่าว่าจะขยายตัวและความรุนแรงยิ่ง ๆ ขึ้นตามลำดับ ช่วงเวลาหลังจากปฏิวัติตุลาคมเท่ากับเป็นเครื่องทดสอบครั้งสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของสังคมไทยว่า เราจะมีพลังปัญญาสามารถพอหรือไม่เพียงใด ในอันที่จะผ่อนคลายปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองให้เป็นไปโดยสันติวิธี สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมสงครามกลางเมืองอย่างเช่นที่ประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงของเราประสบอยู่ในเวลานี้ ซึ่งไม่มีทางที่จะคาดกันได้ว่าจะจบสิ้นกันอย่างไร และจะมีอะไรที่เป็นคุณค่าเหลือไว้ให้แก่เราและลูกหลานต่อ ๆ ไปบ้าง ความพยายามที่จะต้านเพื่อคงสถานภาพเก่า ๆ รังแต่จะเร่งให้บ้านเมืองเบนเข้าสู่ทิศทางของความรุนแรง ซึ่งคงมีไม่กี่คนที่คงต้องการเช่นนั้น ทางเลือกที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงตามหลักเหตุและผล ตามความเข้าใจของผมยังมองไม่เห็นลู่ทางอื่นใด นอกจากการยอมรับเอาหลักการของสิทธิเสรีภาพเข้ามาในระบบชีวิตของสังคมไทย ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ และระบบความสัมพันธ์ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ในแง่หลักการ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 นับว่าบรรจุหลักการสิทธิเสรีภาพไว้อย่างเต็มภาคภูมิในหมวด 3 (มาตรา 27 - 53) เรียกได้ว่าเกือบจะคัดเอามาจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนทั้งคุ้นทีเดียว หลักการเหล่านี้แสดงถึงเจตนารมณ์และความพยายามส่วนหนึ่งที่จะสนองตอบปัญหาเรียกร้องความต้องการของสังคมปัจจุบัน แต่จะบังเกิดผลจริงจังในทางปฏิบัติหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องคอยดูกันต่อไป และขึ้นอยู่กับว่าพลังต่าง ๆ ในสังคมเราจะมีขันติธรรมและกำลังปัญญาสามารถมองเห็นการณ์ไกลพอที่จะพยายามแสวงหาแนวทางร่วมกันได้หรือไม่ ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนเวลาอันค่อนข้างจำกัด และเพื่อประกอบเป็นแนวประเมินปัญหาสำคัญยิ่งในข้อนี้ ผมก็ขอแยกแยะหลักการสิทธิเสรีภาพออกเป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. หลักการด้านปัจเจกภาพและความเสมอภาคในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หลักข้อนี้แสดงออกในรูปที่เป็นการเรียกร้องยืนยันว่า คนเรานั้นเกิดมาเป็นอิสระและเสมอกันในเกียรติ ในสิทธิ ในเหตุผลและมโนธรรม หรือว่าคนเราย่อมมีสิทธิอิสรภาพ โดยไม่มีการกีดกันเพราะเชื้อชาติ เพศ ภาษา ศาสนา ตลอดจนหลักการที่บอกว่าคนทุกคนย่อมมีสิทธิในการดำรงชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงของตนเอง รัฐธรรมนูญของเราก็ให้การรับรู้ในหลักทำนองเดียวกัน เฉพาะอย่างยิ่งความเสมอภาคทัดเทียมระหว่างหญิงกับชาย แต่ในทางปฏิบัติ แม้แต่หลักเบื้องต้นอย่างนี้ก็ยังถูกคว่ำไปได้ ท่านที่เคารพทั้งหลายคงได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิของสตรีมาแล้ว ซึ่งผลที่สุดเมื่อถึงคราวเอาจริงเอาจังเข้า ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตกไปในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประสบการณ์เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นว่า หลักการที่บัญญัติชัดไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง ก็ยังอาจถูกโต้แย้งและฝ่าฝืนได้เหมือนกันในกระบวนการบัญญัติกฎหมายธรรมดา

2. สิทธิเสรีภาพเกี่ยวกับครอบครัวและทรัพย์สิน เป็นหลักการที่รับรองกรรมสิทธิ์ รับรองถึงความสำคัญของสิทธิในครอบครัว และการประกอบอาชีพ หลักการข้อนี้ดูจะสอดคล้องกับประเพณีนิยมอยู่แล้วปัญหามีอยู่เพียงว่าจะกลายเป็นอุปสรรคลักลั่นต่อเป้าหมายการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงซึ่งรัฐธรรมนูญนี้ได้กำหนดเป็นหลักการไว้ เป็นต้นว่า ปัญหาลักลั่นระหว่างสิทธิในการสืบมรดก (มาตรา 39 วรรค 2) กับเป้าหมายของรัฐที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ (มาตรา 79) ฯลฯ

3. สิทธิเสรีภาพทางการเมือง กล่าวคือ ในทางความคิดเห็นความเชื่อ การรวมเป็นสมาคม การตั้งสหภาพแรงงาน และการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมือง หลักการเหล่านี้มีบัญญัติไว้อย่างบริบูรณ์เช่นเดียวกันในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน แต่แล้วเมื่อมาถึงตัวกฎหมายสำหรับปฏิบัติการให้เป็นไปตามหลักการเหล่านี้ สิทธิเสรีภาพเช่นว่านี้กลับถูกบั่นทอนจำกัดลงไป ดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ และพระราชบัญญัติพรรคการเมืองเป็นตัวอย่าง นอกจากนั้น ผมเองยังมีประสบการณ์น่าสนใจเป็นส่วนตัว จากการอภิปรายกันในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ถึงประเด็นเรื่องเสรีภาพในทางความคิดและความเชื่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศทางปัญญาความคิดในวงการของบรรดาผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลายขณะนี้ว่า ยังคงมองเห็นว่าเสรีภาพในเรื่องความคิดและความเชื่อเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้กับศัตรูบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมมิวนิสต์ แล้วใครก็ตามที่เห็นดีเห็นงาม สนับสนุนหลักการข้อนี้แล้วไซร้ ก็คือศัตรูสำคัญของชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน ประสบการณ์ทำนองนี้ส่อถึงความคับแคบ ขาดขันติธรรม ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นในอันที่จะสร้างเสริมให้หลักการสิทธิเสรีภาพให้บังเกิดผลอย่างจริงจังขึ้นมาได้ในที่สุด

4. สิทธิเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สิทธิที่จะหางานทำ ที่จะประกอบอาชีพ สิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม สิทธิประการหลังที่กล่าวถึงนี้ มีข้อสังเกตว่าเป็นหลักการที่มิได้กำหนดไว้โดยตรงในรัฐธรรมนูญหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ หากแต่นำไประบุไว้ในหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายแห่งรัฐ (มาตรา 89) ซึ่งชวนให้คิดว่าสิทธิข้อนี้ยังต้องอาศัยความพยายามผลักดันของรัฐอยู่ และถ้าเป็นเช่นนั้น การกำหนดอัตราค่าแรงงานที่เป็นธรรมก็ยังจะต้องเป็นปัญหาขัดแย้งต่อสู้กันต่อไปอีก

5. สิทธิเสรีภาพทางการศึกษา นับเป็นหลักการใหม่ซึ่งเสริมด้วยการกำหนดภาระหน้าที่ของรัฐที่จะ “พึง” ส่งเสริม และบำรุงการศึกษาตลอดจนช่วยเหลือผู้ยากไร้ในเรื่องทุนและปัจจัยต่าง ๆ ในการเล่าเรียน (มาตรา 72 และ 73 ตามลำดับ)

6. สิทธิเสรีภาพเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นหลักประกันหลักการสิทธิเสรีภาพให้มั่นคงถาวรในสังคมไทยต่อไป อาทิเช่น รับรองฐานะความเสมอภาคของบุคคลภายใต้กฎหมายหลักที่ว่า คนทุกคนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน เหล่านี้มีหลาย ๆ อย่าง ที่จัดว่าเป็นหลักกฎหมายโดยทั่วไป หรือไม่ก็เป็นเรื่องกระบวนวิธีการพิจารณาคดีตามธรรมดา ๆ แต่บรรดานักกฎหมายทั้งหลายคงจะเห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะนำไปกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทางศาลมีหลักประกันมั่นคงขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ เมื่อมาพูดกันถึงกรณีของศาลทหาร (มาตรา 211) ซึ่งกำหนดไว้อย่างหละหลวมอันจะเป็นผลแบ่งแยกคนไทยด้วยกันให้ต้องอยู่ภายใต้อำนาจศาลต่างระบบกัน คือระหว่างศาลทหารกับศาลยุติธรรมธรรมดา ดูไม่ผิดอะไรกับระบบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตสมัยก่อน ซึ่งคนในบังคับต่างชาติไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของศาลไทย บทบัญญัติอันเป็นผลยกเว้นสำคัญต่อหลักความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย อันหมายความว่า ทุกคนอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายฉบับเดียวกัน และศาลยุติธรรมเดียวกันเช่นว่านี้ หาได้รับความสนใจใยดีจากบรรดาท่านผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ผมจึงไม่สู้จะแน่ใจนักว่า ต่อ ๆ ไปกระบวนการยุติธรรมของเราจะถูกปล่อยให้เกิดมีอภิสิทธิ์ยกเว้นกันได้อีกเพียงใดหรือไม่

ท่านที่เคารพทั้งหลาย เท่าที่ผมนำเอาข้อสังเกตสิ่งละอันพันละน้อยมาประกอบเป็นแนวทางพิจารณาถึงหลักการสิทธิเสรีภาพประเภท ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็คงพอทำให้เห็นภาพพจน์ของปัญหาความลักลั่นรวนเรทั้งหลาย ซึ่งยังจะมีตามมาอีกมากมายระหว่างทฤษฎีกับปฏิบัติ ดังที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วในแง่ที่ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นประหนึ่งแรงเจตนารมณ์ส่วนหนึ่ง ที่จะพยายามตอบสนองปัญหาในสังคมไทยสมัยนี้ ด้วยเหตุนี้ นอกเหนือไปจากข้อบัญญัติ หลักการที่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแล้ว รัฐธรรมนูญของเรายังมีส่วนสะท้อนภาพปัญหาของสังคมไทยอีก โดยเฉพาะอย่างเช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลในการที่จะยื่นเรื่องราวในการร้องทุกข์ หรือฟ้องร้องให้หน่วยราชการรับผิดชอบ (มาตรา 50 - 51) แต่กระบวนการยุติธรรมด้านนี้จะแก้ปัญหาการใช้อำนาจบาทใหญ่และทุจริตในหน้าที่ราชการได้แค่ไหนนั้นเห็นจะเป็นความหวังอันเลือนลางเต็มที ตราบเท่าที่การควบคุมและรับผิดชอบทางการเมือง และความเป็นกลางของข้าราชการประจำ ซึ่งก็เป็นหลักการที่รับรู้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันยังไม่สัมฤทธิผลความเลื่อนลอยขัดข้องทำนองเดียวกัน จะเห็นได้ยิ่งขึ้นจากบทบัญญัติที่มุ่งเสริมหลักการสิทธิเสรีภาพในรูปแนวนโยบายแห่งรัฐด้านต่าง ๆ ทางสังคมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม (หมวด 5 มาตรา 62 - 94) อย่างเช่น ประกันความเสมอภาคทางการศึกษา บริการการศึกษาภาคบังคับโดยไม่คิดมูลค่าปณิธานที่จะลดความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจและสังคม การปฏิรูปที่ดิน การประกันการมีงานทำและค่าแรงงานที่เป็นธรรม ฯลฯ หรือว่าความมุ่งมาดปรารถนาที่จะปฏิรูปกลไกบริหารให้กระจายอำนาจออกไปสู่ท้องถิ่นตามหลักการปกครองตนเอง (หมวด 9 การปกครองท้องถิ่น มาตรา 214 - 217) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้หมายถึงการที่จะต้องกำหนดและใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารต่อระบบอภิสิทธิ์ผูกขาด ซึ่งคงมีอยู่ดาษดื่นหลังตุลาคม 2516 หนทางที่จะดำเนินไปอย่างจริงจังตามหลักแนวทางของสิทธิเสรีภาพจะเต็มไปด้วยขวากหนามและการต่อต้านตอบโต้ ตลอดจนการกล่าวหาว่าร้ายดังเช่นที่ประสบกันอยู่ สายทางเดินที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักการทางสังคมมาสู่แนวทางของสิทธิเสรีภาพคงจะต้องสร้างความปวดร้าวขัดเคืองจากความขัดแย้งและการเผชิญหน้าของพลังทางสังคม - เศรษฐกิจต่าง ๆ และจะต้องอาศัยความขันติอดทนและเสียสละอย่างสูง แต่เมื่อเทียบกับวิถีทางเลือกอื่น ๆ แล้ว ค่างวดของการสูญเสียจากผลของการใช้กำลังรุนแรง ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด หรืออุดมการณ์ใดก็ตาม เป็นสิ่งที่บรรดาผู้รักความสร้างสรรค์พึงหลีกเลี่ยง ตรงกันข้ามหลักการสิทธิเสรีภาพเป็นวิถีทางของเหตุผลและปัญญาที่จะร่วมมือร่วมใจกันพยายามเข้าใจกันถึงสภาพปัญหาของการเปลี่ยนแปลงและความหมายของชีวิตมนุษย์ในวงกว้างและอย่างอิสระเสรี ความอดทน ความเสียสละและปัญญาที่จะคิดและปฏิบัติด้วยความตระหนักชัดในสภาวะความเป็นจริงของชีวิตและยึดมั่นในหลักธรรมเพื่อประโยชน์สุขของชนส่วนใหญ่นี้ คือ ปัญหาท้าทายของยุคนี้ ซึ่งเราท่านทั้งหลายจะต้องเผชิญร่วมกัน ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะให้ความเข้าใจอย่างไรแก่การปฏิวัติทางวัฒนธรรมในเดือนตุลาคม ตลอดจนเสียงเรียกร้อง ความตื่นตัวรวมกลุ่ม การชุมนุมประท้วง การนัดหยุดงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่มวลชนผู้ยากไร้ กรรมกร และชาวนาเหล่านี้ เราจะเข้าใจและปฏิบัติเพราะเห็นเป็นเพียงพลังหรือขบวนการที่ไปสร้างความแตกแยกบ่อนทำลายสังคม หรือว่าจะถือเป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ถึงความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่งปรับเปลี่ยน และแก้ไขสมุฏฐานความเจ็บไข้ภายในสังคมของเราเอง เพื่อเป็นโอกาสสร้างสรรค์สังคมที่เป็นธรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเองที่จะเลือกเอาระหว่างวิถีทางของการใช้กำลังอำนาจหรือวิถีทางของเหตุผลตามหลักการสิทธิเสรีภาพ

ในท้ายที่สุด สำหรับผู้ที่คลางแคลงสงสัยในปัญญาความสามารถของสังคมไทยที่จะฟันฝ่ากระแสคลื่นการเปลี่ยนแปลงและปัญหายุ่งยากทั้งมวลดังพรรณนามานี้ ผมก็ใคร่ขออ้างธรรมกถาของท่านเจ้าคุณศรีสุทธิโมลีอีกครั้งหนึ่ง ถึงประเด็นที่ว่าหลักธรรมในพุทธศาสนา “แสดงให้เห็นท่าทีของพุทธธรรมต่อชีวิตของสังคม ยืนยันว่าพุทธธรรมมองเห็นชีวิตด้านในของบุคคลโดยสัมพันธ์กับคุณค่าด้านนอก (คือ) ทางสังคมด้วยและถือว่าคุณค่าทั้งสองด้านนี้เชื่อมโยงเนื่องถึงกันไม่แยกจากกันและสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”[6]

ในแง่นี้ ความเข้าใจทั่ว ๆ ไปที่ว่าพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมคำสั่งสอนเพียงเพื่อการแสวงหาทางรอดเฉพาะบุคคล จึงไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่แท้จริง ในทางตรงกันข้าม ดังที่ธรรมกถานี้ได้แยกแยะความหมายของพุทธศาสนาไว้สองแง่ ในแง่หนึ่งของพุทธศาสนาเป็นสัจธรรม กล่าวคือ เป็นการสอนที่เกี่ยวกับกฎธรรมชาติหรือสภาวะที่เป็นจริง อีกแง่หนึ่งของพุทธศาสนาคือ แง่ที่เป็นจริยธรรม “เป็นการถือเอาประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจในสภาวะของความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย แล้วก็นำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์”[7]

ท่านที่เคารพทั้งหลาย ผมเชื่อว่าถ้อยคำจากธรรมกถานี้คงจะเป็นกระจกเงาส่องให้เราท่านทั้งหลายได้มองเห็นตัวเราได้ดีตามสมควรว่าเรามีและควรจะต้องมีท่าทีอย่างไรต่อสภาวะและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในปัจจุบันนี้ เรายังจะพอมีเวลาและโอกาสตั้งความหวังกันได้หรือไม่ว่า หลักธรรมแห่งพุทธศาสนาจะช่วยเป็นประทีปส่องทางให้เราสามารถมองชีวิตและปัญหาด้วยความเข้าใจอันถ่องแท้ และเผชิญชะตากรรมร่วมกันด้วยความถ่อมตน และขันติธรรมต่อกัน ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่าเราทั้งหลายสมัครใจที่จะใช้ชีวิตกันด้วยปัญญาความรู้ หรือว่าด้วยอารมณ์ที่มองเห็นแต่ประโยชน์สุขเฉพาะตัว

ขอบคุณครับ
(2518)


หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ 
  • แก้ไขคำผิดเล็กน้อยโดยกองบรรณาธิการ

บรรณานุกรม :

  • เสน่ห์ จามริก, หลักการสิทธิ เสรีภาพ ภายหลังการปฏิวัติตุลาคม 2516, สิทธิมนุษยชน เกณฑ์คุณค่าและฐานความคิด (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2542), น. 125-144.
     

[1] พระศรีวิสุทธิโมลี “พุทธธรรม” ใน วรรณไวทยากร ชุมนุมบทความทางวิชาการ ถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์ ในโอกาสที่พระชนม์ครบ 80 พรรษาบริบูรณ์ (โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทยกรุงเทพฯ, 2514) เล่ม 1 หน้า 47-52.

[2] เสน่ห์ จามริก “การเปลี่ยนแปลงและอนาคตของสังคมไทย” ใน เอกลักษณ์ของสังคมไทยในอนาคต, (สมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม, พ.ศ. 2514) หน้า 105-128.

[3] คัดแปลจาก Paul Ricoeur ใน Le Monde อ้างใน Noam Chomsky, For Reasons of State (Fortuna, 1973) หน้า 96.

[4] เสน่ห์ จามริก "การเมืองไทยกับปฏิวัติตุลาคม" (วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 3 เล่มที่ 3, พฤษภาคม 2517) หน้า 160-180.

[5] คัดแปลจาก Emest Barker, The Politics of Aristotle, Oxford, The Clarendon Press, 1952 หน้า 181.

[6] "พุทธธรรม” หน้า 187.

[7] “พุทธธรรม” หน้า 11.