ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

นายพลผึ้ง หรือ เยนเนอรัล บี “พึ่ง ศรีจันทร์” กับวีรกรรมเสรีไทยในเขตงานภาคเหนือตอนล่าง

15
พฤษภาคม
2568

Focus

  • “พึ่ง ศรีจันทร์” หรือที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกว่า “เยอเนอรัล บี” (General Bee) กับบทบาทสำคัญในขบวนการเสรีไทยบริเวณเขตภาคเหนือตอนล่าง ในการจัดตั้งและฝึกพลพรรคต้านญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนจากเสรีไทยนอกประเทศทั้งสายอังกฤษ (Force 136) และอเมริกา (OSS) ทำให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ

 


นายพึ่ง ศรีจันทร์

 

ตั้งแต่กลางปี 2486 เป็นต้นไปการสงครามทั้งในยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ฝ่ายอักษะซึ่งเข้าเกียร์เดินหน้าอย่างเต็มที่ในระยะเริ่มสงครามจนฝ่ายสัมพันธมิตรต้องถอยร่นไปตาม ๆ กัน แต่มาบัดนี้สถานการณ์กับเป็นตรงกันข้าม ฝ่ายที่เข้าเกียร์เดินหน้าไปเรื่อย ๆ คือฝ่ายสัมพันธมิตร และในทางกลับกันฝ่ายอักษะต้องถอยร่นทุกแนวรบ

โดยเฉพาะในเอเชีย กองทัพสัมพันธมิตรออกทำงานอย่างหนัก เครื่องบินทิ้งระเบิดได้ออกไปทำความเสียหายให้แก่ฐานทัพนอกประเทศของญี่ปุ่นทั้งในนิวกินี เกาะราบอน เกาะกิลเบิต และเกาะมาร์แชล  เรือรบของญี่ปุ่นได้ถูกจมหลายลำกองทัพอากาศและกองทัพเรือของสัมพันธมิตรยิ่งแข็งกล้าขึ้นเพียงใด เส้นทางลำเลียงของญี่ปุ่นก็ยิ่งถูกรบกวนมากขึ้นเพียงนั้น ในที่สุดฐานทัพต่าง ๆ ของญี่ปุ่นก็ตกอยู่ในฐานะคับขัน

ครั้นถึงต้นปี 2487 สัมพันธมิตรได้ทำการรุกใหญ่ในภาคแปซิฟิกและกระทำต่อเนื่องไปจนได้ชัยชนะเด็ดขาด ในขณะเดียวกันกองทัพของหลอดเมาท์แบตแต้นท์และของนายพลสติลเวลก็ลุกญี่ปุ่นในพม่าหนักขึ้นจนต้องถอยร่นเข้าไทย และตลอดเวลาที่ผ่านมาลุงก็ได้เวียนไปพบท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ทำเนียบท่าช้างอยู่เป็นประจำตามที่ท่านสั่งไว้ครั้งแรก แต่ท่านก็ยังไม่ได้สั่งการอะไรให้ลุงปฏิบัติ จนกระทั่งวันหนึ่งต้นปี 2487 ท่านได้สั่งให้เตรียมสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับฝึกอาวุธ โดยท่านทราบมาก่อนแล้วว่าลุงมีไร่อ้อย ท่านจึงต้องการจะส่งคนไปฝึกอาวุธโดยให้อยู่ในคราบของคนงานไร่อ้อยท่านสั่งให้ลุงเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ต่อเดือนสำหรับคน 50 คน ลุงรับคำสั่งของท่านไปปฏิบัติด้วยความสงสัยว่าคน 50 คนจะไปรบกับญี่ปุ่นได้อย่างไรกัน แต่ลุงก็เก็บความสงสัยไว้ในใจคนเดียวไม่กล้าที่จะซักถามอะไรท่าน เพราะเชื่อมั่นในความปรีชาสามารถของท่านและก็เป็นความจริงเช่นนั้นเมื่อลุงได้รับคำสั่งจากท่านในเวลาต่อมา ให้เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดตั้งพลพรรคต่อสู้ญี่ปุ่นในภาคเหนือตอนล่างอันมีเขตงาน 4 จังหวัด คือพิษณุโลก อุตรดิตถ์ สุโขทัย  และตาก

พลพรรคที่ลุงจัดตั้งขึ้นนั้นในตอนแรก ๆ ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เรียกกันแต่ว่าพวกต่อต้านญี่ปุ่น เพิ่งจะมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในตอนหลังว่า เพิ่งจะมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในตอนหลังว่า ขบวนการเสรีไทย เมื่อพวกต่อต้านนอกประเทศและฝรั่งฝ่ายสัมพันธมิตรได้ลักลอบเข้ามาภายในประเทศโดยการกระโดดร่มลงมาบ้าง โดยการมาทางเรือดำน้ำบ้างและโดยการเดินเข้ามาทางบกบ้าง

เสรีไทยนอกประเทศที่เข้ามานี้ได้รับการฝึกฝนในการใช้อาวุธสมัยใหม่เป็นอย่างดี มีความรู้ในทางทหารพอที่จะเป็นผู้บังคับหมวดหรือผู้บังคับกอง และบางคนก็มีความรู้ช่างเคาะวิทยุสื่อสารมีความรู้ในการเข้าโค้ดและถอดโค้ด

เสรีไทยนอกประเทศเหล่านี้แบ่งเป็น 2 สาย คือ สายอังกฤษและสายอเมริกา และต่างฝ่ายต่างมีฐานเป็นศูนย์ประสานงานนอกประเทศแยกจากกัน ฐานหรือศูนย์ประสานงานของอังกฤษเรียกว่า “หน่วยกำลัง 136” ส่วนของอเมริกาเรียกว่า “โอ.เอส.เอส.” แต่ทั้ง 2 สายนี้ เมื่อเข้ามาภายในประเทศแล้วก็ขึ้นต่อกองบัญชาการเสรีไทยภายในประเทศ ซึ่งมีท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำ แต่ขนาดนั้นชื่อของท่านผู้นำขบวนการเสรีไทย “ปรีดี พนมยงค์” ถูกปกปิดเป็นความลับ โดยใช้ชื่อเป็นโค้ดหรือรหัสแทน ครั้งแรกทางอังกฤษเรียกชื่อท่านเป็นโค้ชว่า “บี.บี.885” ส่วนอเมริกาเรียกชื่อท่านว่า “รู้ธ” แต่ตอนมาภายหลังทางอังกฤษก็ได้ใช้ชื่อ “รู้ธ” เช่นเดียวกับอเมริกา และใช้ชื่อนี้ติดต่อกับท่านในฐานะผู้นำของขบวนการเสรีไทยตลอดมา จะมีคนที่อยู่ในระดับนำจำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้ว่า รู้ธคือ ท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้นำขบวนการเสรีไทย

 


นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

 

คำว่ารู้ธ (RUTH) นี้มาจากคำภาษาอังกฤษ TRUTH ที่แปลว่า ความจริง, ซื่อสัตย์ อเมริกันผู้ตั้งชื่อรหัสให้ท่าน มั่นใจในตัวท่านที่มีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์ จึงใช้คำว่า TRUTH แต่ตัดตัว T ออกไปจึงกลายเป็น RUTH (รู้ธ) ผู้นำรองจากท่านลงไปมีชื่อรหัสว่า พูเลา ซึ่งเป็นที่เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า พูเลา คือ พล.ต.อ.หลวงอดุลเดชจรัส และมีคณะบัญชาการอันประกอบด้วย นายทวี บุญยเกตุ นายดิเรก ชัยนาม หลวงนฤเบศร์มานิต พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ พล.ท.หลวงสินาดโยธารักษ์ และหลวงศุภชลาศัย

กองบัญชาการเสรีไทยจัดส่งพวกเสรีไทยนอกประเทศทั้งสายอังกฤษและอเมริกา แยกย้ายกันไปปฏิบัติงานร่วมกับเสรีไทยภายในประเทศอันเป็นกำลังพื้นฐานในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ และที่มีกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่

ในเขตความรับผิดชอบของลุงที่เรียกว่า “หน่วยสุโขทัย-อุตรดิตถ์” ซึ่งมีเขตงานอยู่ 4 จังหวัด คือ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สุโขทัย และตาก มีเสรีไทยนอกประเทศถูกส่งเข้าไปร่วมปฏิบัติงานด้วยหลายคน รวมทั้งนายทหารฝรั่งฝ่ายสัมพันธมิตร นายทหารฝรั่งเหล่านั้นเรียกลุงพึ่งว่า เยนเนอราลบี (GENERAL BEE) หรือนายพลผึ้ง และนามนั้นก็สมกับความรับผิดชอบของลุงจริงๆ ที่มีความรับผิดชอบในพลพรรคนับจำนวนหมื่นในเขตงานภาคเหนือตอนใต้

 

 

พลพรรคจำนวนมากมายเหล่านั้นที่รู้จักลุงว่าเป็นใครกำลังทำอะไรและมีความสำคัญอย่างไร มีจำนวนไม่มากนัก จึงไม่ต้องไปพูดถึงว่าพวกเขาเหล่านั้นจะรู้ว่าใครเป็นหัวหน้าใหญ่ของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น แต่ที่พวกเขาเข้าร่วมในขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นก็เพราะด้วยความรักชาติ รักความเป็นไทย

พวกเขาตะหนักเป็นอย่างดีว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ญี่ปุ่นได้รุกรานประเทศไทย และประชาชนไทยได้ทำการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นทุกจุดที่รุกล้ำดินแดนไทยเข้ามาและได้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อนรักอธิปไตยของไทยจนถึงที่สุด ถึงแม้ว่าภายหลังรัฐบาลไทยจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และถึงกับประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 มกราคม 2485 ก็ตาม แต่ประชาชนไทยก็ยังเห็นว่าญี่ปุ่นเป็นผู้รุกรานอยู่นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อมีผู้ชักชวนให้ร่วมต่อต้านญี่ปุ่นและสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร ประชาชนไทยที่ถูกชักชวนเหล่านั้นจึงยินดีเข้าร่วมพลีชีพเพื่อชาติ โดยไม่สนใจที่จะรู้ว่ามีใครเข้าร่วมบ้างและมีใครเป็นหัวหน้าใหญ่ พวกเขารู้จักแต่เพียงคนที่มีมาชักชวนเขาซึ่งเป็นคนที่เขาเชื่อถือเท่านั้นด้วยเหตุนี้กระบวนการเสรีไทยจึงสามารถรักษาความลับไว้ได้เป็นอย่างดีตลอดเวลาสงคราม

บรรดาเสรีไทยนอกประเทศที่กองบัญชาการการส่งไปร่วมปฏิบัติงานกับลุง เท่าที่พอระลึกได้ก็มี นายประยูร อรรถจินดา เสรีไทยจากอเมริกา นายทศพันธุเสน นายที่ได้บุญส่ง พึ่งสุนทร ม.จ.จิรีนัย กิติยากร นายอรุณ สรเทศ ม.จ.การวิ จักรพันธุ์ เสรีไทยจากอังกฤษ เป็นอาทิ รวมทั้ง ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัฒน์ พระเชษฐาของพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ที่ได้เข้าไปอำนวยการในเขตรับผิดชอบของลุงเยนเนอราลบี

ภาระหน้าที่ของเสรีไทยนอกประเทศเหล่านี้ มีทั้งการช่วยฝึกสอนการใช้อาวุธสมัยใหม่แก่พลพักเสรีไทยภายในประเทศการหาข่าวการเคาะวิทยุส่งข่าวความเคลื่อนไหวของทหารญี่ปุ่นให้ฐานหรือศูนย์ประสานงานนอกประเทศทราบกับคอยรับอาวุธหรือเสรีไทยนอกประเทศที่จะมากระโดดร่ม

 


นายปรีดี พนมยงค์ และ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้รับเชิญจาก Lord Mountbatten
ให้ไปพำนัก ณ คฤหาสน์ Broadlands ประเทศอังกฤษ (มิถุนายน 2513)

 

อาวุธที่ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งให้นั้น นอกจากจะโดยทิ้งร่มลงมาแล้ว ลุงยังต้องลงไปขนขึ้นจากกรุงเทพฯ ด้วย อาวุธที่ขนขึ้นมาจากกรุงเทพฯเป็นอาวุธที่ฝรั่งขนมาให้ทางเรือดำน้ำ เพราะลำพังทิ้งร่มลงมาให้นั้นไม่เพียงพอกับกำลังพลพักของเสรีไทยที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ๆ ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบ็ตแต้นท์ ผู้รับผิดชอบสูงสุดในการปลดปล่อยเอเชียอาคเนย์จากการยึดครองของญี่ปุ่น ได้พูดถึงการขยายตัวของกำลังพลเสรีไทยไว้ในหนังสือพิมพ์ไทม์  ฉบับประจำวันที่ 22 ธันวาคม 1946 ว่าดังนี้

“ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 เขา ( ท่านปรีดี) ได้ส่งหัวหน้าสำคัญแห่งขบวนการต่อต้าน ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีต่างประเทศสยามคนปัจจุบัน (ดิเรก ชัยนาม) เพื่อปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าที่เมืองแคนดี เราให้เขาออกมาและส่งเขากลับโดยเครื่องบินทะเลเรือโดยเรือบิน (ชนิดที่ต่อเป็นลำเรือไม่ใช้ทุ่น) ในระหว่างการสนทนาเราได้วางแผนการที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปฏิบัติการภายหน้า เพื่อให้เชื่อมสนิทกับพลังหนักสำคัญแห่งยุทธภูมิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองได้เคยใคร่ครวญอย่างไม่ระวางตลอดมาถึงความจำเป็นที่จะให้ประดิษฐ์ (ปรีดี) บินออกมาในกรณีที่เกิดฉุกเฉิน ตราบจนตอนปลายสงครามเขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อการบ่อนทำลายและจัดตั้งกำลังพลพักประมาณ 8 หมื่นคน (ที่พร้อมจะจับอาวุธลุกขึ้นทำการสู้รบ) กับทั้งผู้สนับสนุนแบบสู้อย่างสงบไม่หวั่นไหวอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่อยู่ในตำแหน่งแห่งที่อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ๆ ในสยาม และก็พร้อมอยู่เสมอที่จะลงมือโจมตี”

ลุงได้ลงไปขนอาวุธจากกรุงเทพฯ หลายเที่ยว โดยขนไปทางเรือล่องไปตามลำน้ำเจ้าพระยาไปขึ้นที่พิษณุโลก คุณประสาทสุขุม เจ้าของบริษัทเดินเรือบางบัวทอง (บ.บ.ท.) เป็นผู้จัดการเรือพาหนะ คุณปราโมทย์ พึ่งสุนทร คุณพินิจ ปทุมรส คุณทวีตะเวทิกุล เป็นฝ่ายจัดการเรื่องขนถ่ายอาวุธ บุคคลที่กล่าวนามมานี้เป็นคนของศูนย์การกองบัญชาการเสรีไทยที่กรุงเทพฯ

ทุกเขตรับผิดชอบของลุงได้รับความร่วมมืออย่างลับ ๆ จากข้าหลวงประจำจังหวัดรวมทั้งฝ่ายตำรวจด้วย ทั้งนี้เพราะทั้งผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของข้าหลวงและตำรวจต่างก็อยู่ในกองบัญชาการของเสรีไทย นั่นก็คือหมายถึง หลวงศุภชลาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพล.ต.อ.หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น จึงทำให้การเคลื่อนไหวจัดตั้งของขบวนการเสรีไทยขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางและกว้างขวางห้องตัวเอาไปมากยิ่งขึ้น เมื่อ นายทวี บุณยเกตุ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่ในรัฐบาลเดียวกัน สมาชิกของขบวนการเสรีไทยภายในประเทศจึงนอกจากจะมีมวลชนธรรมดาเป็นกำลังพื้นฐานแล้ว ยังประกอบไปด้วยข้าหลวงประจำจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ลงไปถึงกำนันผู้ใหญ่บ้านและครูประชาบาล แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดถูกปิดลับอย่างเคร่งครัดภายใต้การจัดตามองของญี่ปุ่นอย่างไม่กระพริบ

ในการที่หลวงศุภฯ และนายทวีฯ ได้เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลนั้นด้วย ก็เนื่องมาจากได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาเป็นรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ ในการปี 2487  โดยที่สภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติพระราชกำหนด 2 ฉบับ ที่รัฐบาลจอมพล ป.ฯ ได้ออกมาใช้บังคับในระหว่างปิดสมัยประชุมสภาฯ คือ พระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ และพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล จึงทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีต้องกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2487

การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล ป.ฯ ครั้งนี้ ก็โดยที่ท่านคิดว่าและมั่นใจว่าจะได้กลับเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง คงไม่มีใครหาญกล้าขึ้นมาแข่งบารมีกับท่าน ท่านคิดว่าถึงท่านจะกลุ่มสภาฯ ไม่ได้เสียแล้ว แต่ท่านก็ยังกลมกองทัพอยู่ทั้ง 3 เหล่าทัพในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด

แต่ท่านคิดผิด เพราะท่านปรีดีฯ และหลวงอดุลฯ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ได้ดำเนินการริดรอนอำนาจของท่านอย่างละมุนละม่อมจนถึงที่สุด

ปัญหาเกิดขึ้นภายในรัฐบาลว่ามตินั้นจะถือว่าเท่ากับเป็นการไม่ให้ความไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ รัฐมนตรีส่วนมากยืนยันว่าตามมรรยาทรัฐบาลต้องลาออก แต่สภาฯ อาจแนะนำคณะผู้สำเร็จราชการให้ตั้งใหม่ได้ จอมพล ป.ฯ จึงได้ยื่นใบลาออกต่อคณะผู้สำเร็จราชการ

คราวนี้พระองค์อาทิตย์ยังไม่ส่งลงพระนามอนุมัติให้จอมพล ป. ลาออก โดยเชิญประธานสภาฯ มาแจ้งให้ไปทาบทามสมาชิกสภาฯ ก่อนว่าจะเสนอผู้ใดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจึงจะพิจารณาใบลานั้น ผู้แทนราษฎรที่เป็นชั้นหัวหน้ามาถามข้าพเจ้าว่าสมควรให้ท่านผู้ใดเป็นนายกฯ ข้าพเจ้าแนะนำว่าขอให้ไปทาบทามพระยาพหลฯ ต่อมาประธานสภาฯ ได้นำความเห็นส่วนข้างมากของผู้แทนราษฎรเสนอคณะผู้สำเร็จราชการว่าพระยาพหลฯ ควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ครั้นคณะผู้สำเร็จฯ เชิญพระยาพหลฯ มาถามความสมัครใจท่านก็ปฏิเสธ

ครั้นแล้วผู้แทนราษฎรส่วนที่เข้ามาร่วมขบวนการเสรีไทยแล้ว ได้มาปรึกษาข้าพเจ้าว่าสมควรเป็นผู้ใดที่จะให้ความสะดวกแก่ขบวนการเสรีไทย ส่วนมาก เห็นว่านายทวีบุณเกตุ มีลักษณะสมควรเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับที่ผู้แทนราษฎรได้เคยลงมติให้นายทวีฯ เป็นประธานสภาฯ มาก่อนแล้ว แต่ถูกจอมพล ป.ฯ ขัดขวาง นายทวีฯ เป็นคนซื่อตรงและสามารถและมีอาวุโสในคณะราษฎร เพราะเป็นผู้เข้าร่วมในคณะราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2470 ขนาดยังศึกษาอยู่ในปารีส (นายควงฯ นั้นเพิ่งเข้าร่วมในคณะราษฎร เมื่อ พ.ศ. 2475 ก่อนวันที่ 24 มิถุนายนไม่กี่เดือน) แต่นายทวีฯ เป็นผู้ตรงไปตรงมาจึงเป็นการยากที่นายทวีฯ จะตีหน้ากับฝ่ายญี่ปุ่นได้ ฉะนั้นจึงเห็นกันว่า ให้ลองทาบทามนายควงฯ ดูว่าจะรับเป็นนายกฯ เพื่อตีหน้ากับญี่ปุ่นได้หรือไม่ ส่วนการงานของรัฐบาลนั้นมอบให้นายทวีฯ เป็นผู้สั่งราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าจึงเชิญนายควงฯ มาพบถามความสมัครใจ นายควงฯ ยอมตกลงตามเงื่อนไขนั้น

ครั้นแล้วผู้แทนส่วนมากได้ลงมติลับเป็นการภายในเสนอให้ประธานสภาฯ นำเรื่องไปเสนอคณะผู้สำเร็จราชการให้ตั้งนายควงฯ เป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์เจ้าอาทิตทรงเอียงไม่ยอมตั้ง โดยขอดูนโยบายและรัฐมนตรีที่นายควงฯ จะเชิญเข้าร่วมในรัฐบาล นายควงฯ ทูนว่าขอให้คณะผู้สำเร็จราชการตั้งนายควงฯ เป็นนายกก่อนแล้วจึงจะเสนอชื่อรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ฝ่ายข้าพเจ้าก็ยันให้ตั้งนายควงฯ เป็นนายกฯ ก่อน เรื่องไม่ลงรอยกันหลายวัน

วิญญูชนมีสติย่อมคิดว่าระหว่างเวลาที่จอมพล ป.ฯ ยื่นใบลาออกกับการที่จะตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ญี่ปุ่นจะนิ่งเฉยกระนั้นหรือ ความจริงญี่ปุ่นยื่นมือเข้ามา ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นระแวงจอมพล ป. ฯ ว่าเล่นไม่ซื่อต่อตน โทษทหารบกและทหารเรือมาหาข้าพเจ้าที่ทำเนียบท่าช้างด้วยมรรยาทอันดี เพราะญี่ปุ่นเคารพพระมหาจักรพรรดิฉันใด ก็แสดงเคารพข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ไทยฉันนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างไรในการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนจอมพล ป.ฯ ข้าพเจ้าตอบว่าควรเป็นไปตามระบบรัฐธรรมนูญของไทย ขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นถือว่าเป็นกิจการภายในของไทยเถิด คนไทยจึงจะเข้าใจว่าญี่ปุ่นไม่แทรกแซงกิจการภายในของไทย อันจะเป็นเกียรติคุณแก่ญี่ปุ่นเอง ฝ่ายญี่ปุ่นจึงกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ข้าพเจ้าดำเนินตามรัฐธรรมนูญของไทยเถิดญี่ปุ่นจะไม่เกี่ยวข้องด้วย ขอให้คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นต่อไปเถิด แล้วฝ่ายญี่ปุ่นถามข้าพเจ้าว่า นายควง อภัยวงศ์ เป็นคนอย่างไรฝ่ายข้าพเจ้าไม่รู้จัก ข้าพเจ้าตอบว่าเขาเป็นคนร่าเริง นิสัยดี หวังว่าเขาจะร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นได้

ดังนั้นวิญญูชนพอจะเข้าใจได้ว่า ถ้าไม่ได้ทำความเข้าใจกับญี่ปุ่นไว้ก่อนดังกล่าวแล้ว ไปญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศไทยอยู่จะยอมให้ฝ่ายไทยเปลี่ยนรัฐบาลอย่างง่ายๆหรือ

ฝ่ายพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ยังทรงยืนกรานไม่ยอมลงพระนามตั้งนายควงฯ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุดพระองค์ได้ทรงขอลาออกจากตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยเข้าพระทัยว่านายควงฯ จะไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ไม่ช้าจอมพล ป. ก็จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

สภาผู้แทนราษฎรจึงลงมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว

ในวันนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ลงนามประกาศพระบรมราชโองการในพระบรมพิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล ตั้งพันตรีควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการตามระเบียบ

นายควง อภัยวงศ์ ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยมีรัฐมนตรีหลายนาย และโดยเฉพาะได้มี นายทวี บุณยเกตุ เข้าร่วมด้วยตามที่นายควงฯ ได้ตกลงกับข้าพเจ้าไว้ คือ นอกจากนายทวีฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ก็เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย โดยมีหน้าที่ดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีอยู่เบื้องหลังนายควงฯ กิจการใดอันเกี่ยวกับขบวนการเสรีไทย ซึ่งนายทวีฯ เป็นผู้บัญชาการพลพรรคในประเทศไทยนั้น ถ้าจะต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลอย่างใดแล้ว นายควงฯ ก็อนุญาตตามที่ตกลงกันไว้ก่อนว่าให้นายทวีฯ ปปรึกษาตกลงกับข้าพเจ้าโดยตรง โดยนายควงฯ ไม่ขอรับรู้ด้วย นอกจากที่จะต้องทำเป็นกฎหมายหรือแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นมีหลายเรื่องที่นายทวีฯ ได้ปรึกษาข้าพเจ้าจัดทำขึ้นก่อนแล้วจึงแจ้งให้นายควงฯ รับไปปฏิบัติการ…”

เกี่ยวกับการริดรอนอำนาจของจอมพล ป.ฯ นั้น ท่านปรีดีฯ ได้เล่าไว้อีกตอนหนึ่งว่า

“เรามิได้ทำหักโหมแก่จอมพล ป.ฯ เพราะไม่พึงประสงค์ให้มีการลบลาค่าฟันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นเมื่อจอมพล ป.ฯ . ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ ก็ขออนุมัติให้ลาออกได้ตามใบลานั้นซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดยังให้จอมพล ป.ฯ ครองตำแหน่งนั้นอยู่ มิได้ประกาศปลดจากตำแหน่งนั้นในทันทีทันใด

แต่จอมพล ป.ฯ ได้ไปรวบรวมทหารตั้งมั่นอยู่ที่ลพบุรี ซึ่งเป็นการคุกคามรัฐบาลใหม่ พล.ร.ท.สินธุ กมลนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารเรือ จึงได้มาหาข้าพเจ้าว่าจะต้องรีบจัดการประกาศปลดจอมพล ป.ฯ จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยขอให้ พล.อ.พระยาพหลฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ และพล.ท.ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ เป็นรองแม่ทัพใหญ่ เมื่อได้ทาบทามพล.อ.พระยาพหลฯ กับพล.ท.ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ ตกลงรับตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ฝ่ายทหารเรือจึงได้จัดรถพยาบาลเชิญตัว พล.อ.พระยาพหลฯ ซึ่งเกิดป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหันไปอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพเรือที่พระราชวังเดิม เป็นการลับ

ส่วนข้าพเจ้านั้นเพื่อความปลอดภัยได้ไปนอนค้างอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นการลับ ได้ลงนามในประกาศพระบรมราชวงศ์การปลดจอมพล ป.ฯ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสูง หากแต่ไม่ได้บังคับบัญชาทหาร และได้ลงนามในประกาศพระบรมราชโองการตั้งพล.อ.พระยาพหลฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ เพื่อรักษาความลับอย่างเข้มงวด จึงให้เรื่องนี้รู้เฉพาะนายควงฯ ซึ่งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และนายทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นผู้ร่างพระบรมราชโองการ และรับผิดชอบในการเตรียมประกาศวิทยุเวลาเช้า โดยให้ นายไพโรจน์ ชัยนาม เป็นผู้รับมอบหมายเตรียมวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการไว้ให้พร้อม ครั้นถึงรุ่งเวลาเช้าวิทยุนั้นก็ได้กระจายเสียงตามแผนการดังกล่าวแล้ว

พล.อ.พระยาพหลฯ แม่ทัพใหญ่ ก็ได้ประกาศคำสั่งให้บรรดานายทหารที่อยู่ในเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีไปชุมนุมที่บริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้นถึงกำหนด บรรดานายทหารดังกล่าวก็ได้มาชุมนุมพร้อมกัน พล.ท.ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ ได้แถลงชี้แจงแทนแม่ทัพใหญ่ ขอให้บรรดานายทหารฟังคำสั่งแม่ทัพใหญ่และให้ทุกคนตั้งอยู่ในความสงบ บรรดานายทหารก็เชื่อฟังคำสั่งแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพใหญ่ เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดนองเลือดระหว่างคนไทยด้วยกันเองจึงไม่เกิดขึ้น

ส่วนจอมพล ป.ฯ ก็ได้ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการและได้ย้ายจากลพบุรีไปอยู่ที่อำเภอลำลูกกาจนตลอดสงคราม ข้าพเจ้าในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ได้สั่งเจ้าหน้าที่พระราชวังให้อำนวยความสะดวกแก่จอมพล ป.ฯ ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินตามควรแก่ฐานะทุกประการ”

ลุงเล่าว่า ลุงได้รับทราบการต่อต้านญี่ปุ่นและได้เข้าร่วมการต่อต้านญี่ปุ่นกับท่านปรีดีฯ มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2484  คือ ตั้งแต่วันไปพบท่านและได้รับมอบหมายให้เตรียมการหาเส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ แต่สถานการณ์ทางการเมืองภายในเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่สามารถปฏิบัติตามแผนนั้นได้ แล้วเรื่องก็เงียบไปสำหรับด้านของลุง จนกระทั่งมาได้รับคำสั่งจากท่านอีกครั้งในปี 2487  ให้จัดตั้งพลพรรคเสรีไทย จัดฝึกอาวุธสร้างสนามบินลับ จนกระทั่งเสรีไทยนอกประเทศกระโดดร่มลงมาและสัมพันธมิตรส่งอาวุธมาให้

แต่สำหรับทางด้านท่านปรีดีฯ ลุงได้ทราบในเวลาต่อมาว่าท่านได้ดำเนินการในหนทางต่อต้านญี่ปุ่นตลอดมา ตั้งแต่ 8 ธันวาคม 2484  โดยมอบหมายให้ผู้ติดตามท่านแต่ละคนหรือแต่ละหน่วย ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและนอกสภาฯ แบ่งงานการปฏิบัติเป็นส่วนๆ ในเงื่อนเวลาที่เหมาะสม โดยแต่ละคนหรือแต่ละหน่วยต่างมีวินัยและรักษาความลับไว้อย่างเคร่งครัด ดังคำกล่าวของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตแต้นท์ อดีตผู้บัญชาการทหารของสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ ที่หนังสือบางกอกท็อปซีเคร็ดของเซอร์แอนดรูว์ กิลคริสต์ นำไปเปิดเผยมีความตอนหนึ่งว่า

“...ความเคร่งเครียดของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมและการเสี่ยงภัยที่ท่านต้องเผชิญอยู่มากกว่า 3 ปี เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แต่ความมีวินัยของท่านเองและสานุศิษย์ของท่าน ซึ่งเกิดจากแรงดลใจของท่านทำให้ท่านสามารถประสบความสำเร็จ ท่านไม่เคยทำให้เราผิดหวัง…”

เมื่อแต่ละคนหรือแต่ละหน่วยปฏิบัติภารกิจที่ได้มอบหมายสมบูรณ์แล้ว โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่ท่านปรีดี ท่านจึงแจ้งให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบว่ากระบวนการเสรีไทยพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นกวาดล้างญี่ปุ่น ดังเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อความสัมพันธ์ต่างประเทศของสหรัฐ ได้เปิดเผยโทรเลขรับด่วนมากของท่านปรีดีฯ มีถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกาและโทรเลขตอบของรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาถึงท่านปรีดีในนามของรู้ธว่าดังนี้

“ขบวนการต่อต้านของไทย ในการดำเนินกิจคลำทั้งหลายนั้นได้ปฏิบัติตามเสมอมาซึ่งคำแนะนำของผู้แทนอเมริกานี้ให้ปฏิบัติการใด ๆ ในการต่อสู้ศัตรูล้ำหน้าก่อนถึงเวลาอันสมควร”

แต่ในขณะที่ข้าพเจ้าเชื่อว่ากำลังใจรบของญี่ปุ่นจะลดน้อยลงไป ถ้าขบวนต่อต้านไม่คงอยู่ภายในฉากกำบังอีกต่อไป ญี่ปุ่นจะถูกบีบให้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อสัมพันธมิตรเร็วขึ้น เพราะความสลายของสิ่งที่เรียกว่าวงไพบูลย์ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม เราได้ถือตามคำแนะนำว่าขบวนการต่อต้านจะต้องพยายามขัดขวางความช่วยเหลือที่ญี่ปุ่นจะได้จากประเทศไทย เราได้ดำเนินแนวทางนี้อย่างใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เป็นได้ แต่ท่านย่อมเห็นได้ว่าญี่ปุ่นได้มีความสงสัย (ขบวนต่อต้าน) มากยิ่งขึ้นตลอดมา

 


ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นประธานในพิธีสวนสนามเสรีไทย วันที่ 25 กันยายน 2488 โดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ยืนอยู่แถวหลัง

 

ที่มา : สุพจน์ ด่านตระกูล, พึ่ง ศรีจันทร์ นักประชาธิปไตยผู้ทรหด อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2490 (กรุงเทพฯ: ครีเอทีฟ พับลิชชิ่ง, 2536), น. 229-247.

หมายเหตุ :

  • ปรับการใช้คำบางแห่งโดยกองบรรณาธิการ
  • ตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ