Focus
- “Mongrel” คือการสะท้อนความทุกข์ยากของแรงงานข้ามชาติในไต้หวัน ที่ต้องเผชิญกับการถูกเอารัดเอาเปรียบ การค้ามนุษย์ และการไร้สิทธิขั้นพื้นฐานในชีวิตและการทำงาน ผ่านตัวละคร “อุ้ม” แรงงานไทยที่ต้องเลือกระหว่างการอยู่รอดกับการรักษาคุณธรรมส่วนตัว ภายใต้ระบบที่ไม่เป็นธรรม ภาพยนตร์จึงตั้งคำถามต่อสังคมเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเรียกร้องความเข้าใจต่อปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ซ่อนอยู่ในแรงงานไร้เสียงเหล่านี้

Mongrel : (Baiyi cang gou 2024/128 min)
“MONGREL” (Baiyi cang gou-ไป๋อี้ชางโกว) ภาพยนตร์ร่วมทุนสร้างระหว่าง ไต้หวัน สิงคโปร์ ฝรั่งเศส เปิดตัวที่ประเทศไทยใน "เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 16" (7-17 พฤศจิกายน 2567) ภายใต้ชื่อธีมงาน "New Horizons" การกลับมาครั้งนี้มีโปรแกรมพิเศษเพียง 5 รอบ เท่านั้น ที่ House Samyan เริ่มฉายวันแรงงานสากลเมื่อ 1 3 , 4 , 10 , 11 พฤษภาคม 2568 เพื่อสร้างความตระหนักถึงสิทธิแรงงานและปัญหาแรงงานต่างด้าว เป็นผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกที่ เจียงเว่ยเหลียง (Chiang Wei Liang) ชาวสิงคโปร์ เขียนบท และกำกับการแสดงร่วมกับ โหยวเฉียวอิน ( Yin You Qiao ) ผู้กำกับหญิงชาวไต้หวัน
Chiang Wei Liang เติบโตและมีพัฒนาการสร้างผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่องด้วยภาพยนตร์สั้น ที่เชื่อมร้อยถึงฝันร้ายของผู้ใช้แรงงานอย่างยาวนานหลายเรื่อง เช่น “ANCHORAGE PROHIBITED” (2015) ได้รับรางวัล Audi Short Film Award ในงาน Berlinale ครั้งที่ 66
- “Jin zhi xia mao” (2016) เล่าเรื่องราวของแรงงานอพยพสองคนที่กำลังมองหาทางออกบนเกาะที่ห้ามจอดเรือ
- “Luzon” ถังเก็บขยะนิวเคลียร์ของจีนดึงชาวประมงชาวไต้หวันและชาวประมงชาวฟิลิปปินส์เข้าสู่ความขัดแย้งของกฎหมายน่านน้ำทางทะเล
- ภาพยนตร์สั้นล่าสุดอย่าง “LUZON” (2017), “NYI MA LAY” (2017)
- ภาพยนตร์สั้น VR เรื่อง “ONLY THE MOUNTAIN REMAINS” (2018) เข้าแข่งขันในงาน Venice Film Festival ครั้งที่ 76 เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้อพยพชาวไทยที่ตั้งครรภ์ซึ่งหลบหนีจากพื้นที่ตอนกลางของไต้หวันตอนใต้และขอความช่วยเหลือจากชาวอินโดนีเซียที่หลบหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาพ่อของลูกเธอ

Production Note : “Mongrel”
- กำกับการแสดง โดย Chiang Wei-liang และ Yin You-qiao
- เขียนบท โดย Chiang Wei-liang
- ถ่ายภาพ โดย Michaël Capron
- วัลลภ รุ่งกำจัด (Wanlop Rungkumjad) รับบทเป็น อุ้ม ผู้ดูแลกลุ่มแรงงานผิดกฎหมายจากประเทศไทยในไต้หวัน มือขวาของนักเลงแก๊งค้าแรงงาน
- กัว ชู่เหว่ย (Kuo Shu-wei) รับบทเป็น ฮุ่ย (Hui) ผู้พิการที่อยู่ในความดูแลของอุ้ม
- แดเนียล ฮ่อง (Daniel Hong) รับบทเป็น ชิง (Hsing) นักเลงค้าแรงงานผิดกฎหมาย
- Lu Yi-ching รับบทเป็น เหมย (Mei) แม่แก่ของ ฮุย (Hui)
- อัจฉรา สุวรรณ (Atchara Suwan) รับบทเป็น ไหม เพื่อนของอุ้มและเพื่อนแรงงานไทยในไต้หวัน
- Akira Chen รับบทเป็น พี่เต๋อ หัวหน้าแก๊งค้าแรงงานผิดกฎหมายลูกพี่ของชิง
Producer
- Lai Wei-jie
- Lynn Chen
- Chu Yun-ting
- Marie Dubas
- Elizabeth
“MONGREL” มีเป้าหมายชัดเจนเจาะจงเน้นปรากฏการณ์แรงงานข้ามชาติชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไต้หวันตอนใต้ ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบและทารุณกรรม เจียงเว่ยเหลียงเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2017 พัฒนาบทภาพยนตร์ในช่วงปลายปี 2018 และเขียนร่างแรกเสร็จพร้อมกับเตรียมงานสร้างในช่วงต้นปี 2020 ก่อนเริ่มถ่ายทำในช่วงปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023 สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบทภาคตะวันออกของไต้หวัน

“Mongrel” ด้านมืดของแรงงานอพยพ ได้รับเลือกโดย Quinzaine des Cinéastes ให้เข้าฉายรอบปฐมทัศน์โลกในงาน Director’s Fortnight ครั้งที่ 56 ณ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (2024 Cannes Film Festival) ครั้งที่ 77 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ในงานนี้ Chiang Wei Liang ได้รับรางวัล Special Mention Camera d'Or (Golden Camera - Special Mention) รางวัลนี้มอบสำหรับภาพยนตร์คุณภาพยอดเยี่ยม (สายรอง) ได้รับเสียงวิจารณ์ในเชิงบวกจากนักวิจารณ์สูงมาก โดยเฉพาะ theme ที่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าวในไต้หวัน tone ของภาพยนตร์ การแสดง การกำกับ การถ่ายภาพ รวมทั้งได้รับทั้งคำชมคำวิจารณ์จากกลุ่มผู้ชม และที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นพิเศษคืองานด้านการถ่ายภาพ โดย Michaël Capron
“Mongrel” ได้รับรางวัลม้าทองคำ ครั้งที่ 61 (61st Golden Horse Awards in Taipei, Taiwan - Taipei Golden Horse Film Awards 2024) ถึง 7 สาขา
- Best Leading Actor for Wanlop Rungkumjad (ดารานำชาย ชาวไทย วัลลภ รุ่งกำจัด)
- Best Supporting Actor for Hong Yu-hong
- Best Supporting Actress for Lu Yi-ching
- Best New Director for Chiang Wei Liang & Yin You Qiao
- Best Cinematography for Michaël Capron
- Best Art Direction for Ye Tzu-wei
- Best Sound Effects for R.T Kao, Lim Ting Li, Chen Yung
ตามมาด้วยรางวัล Special Mention จากเทศกาล Tokyo FILMeX 2024 และ Best Cinematography จาก Asia Pacific Screen Awards 2024
“Mongrel” ปิดท้ายปี 2567 ด้วยรางวัลใหญ่ของเอเชียอย่างสมศักยภาพ ‘ภาพยนตร์เอเชียยอดเยี่ยม’ (Best Asian Feature Film) จาก เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสิงคโปร์ (SGIFF2024) ครั้งที่ 35 เมื่อ 28 พฤศจิกายน ถึง 8 ธันวาคม 2567 (SGIFF - Singapore International Film Festival เป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของงานภายใต้แบร์นดหลักคือ Singapore Media Festival (SMF) ซึ่งประกอบด้วย Asia TV Forum & Market (ATF), Singapore Comic Con (SGCC) และ Nas Summit Asia (NAS) / SMF จัดขึ้นโดย Infocomm Media Development Authority (IMDA - คณะกรรมการตามกฎหมาย ภายใต้ กระทรวงการพัฒนาดิจิทัลและข้อมูล (MDDI) ของสิงคโปร์)

จักรวาลแรงงานข้ามชาติ
ชิง นายหน้าแก๊งค้าแรงงานผิดกฎหมายในชนบทของไต้หวันตอนใต้ เขาไม่จ่ายเงินให้คนงานติดกันมาเป็นเวลาสองเดือน ทำให้ทุกคนไม่พอใจ อุ้ม มือขวาคนโปรดของชิงรับหน้าที่ดูแลแรงงานอพยพคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกันจากเมืองไทย เขาช่วยเจรจาจนทำให้ฝูงชนสงบลงพร้อมคำสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้เร็ว ๆ นี้ ทันใดนั้นหนึ่งในฝูงชนชื่อ อินดรี ผู้ดูแลคนงานชาวอินโดนีเซีย เกิดอาการหมดสติล้มลงกลางวงขณะการเจรจากำลังเคร่งเครียด อุ้มตรวจเช็คอาการแล้วแจ้งกับทุกคนว่าเธอป่วย ทำให้ทุกคนกังวลที่จะต้องทำงานแทนในกะของเธอ เพื่อป้องกันการทะเลาะเบาะแว้งจากความขัดแย้งทั้งปวง อุ้มจึงอาสาทำงานแทนอินดรี แล้วแบ่งเงินให้กับทุกคน เรื่องบาดหมางจึงตกลงกันได้
เมื่อชิงบอกกับคนงานว่าไม่สามารถจ่ายเงินให้พวกเขาได้ตามที่รับปากไว้ อนุญาตให้บางคนลาออกและหางานอื่นให้ แล้วเลือกเอาไว้กับเขาเพียง 6 คน อุ้มพยายามเตือนผู้ดูแลที่คุ้นเคยกันแต่เขาไม่สนใจ และชิงยังยืนยันรับเพียง 6 โควตา ตามที่ต้องการ ชิงและอุ้มนำคนงานที่เหลือทั้งหมดไปบาร์คาราโอเกะในเมือง แจ้งว่าความจริงแล้วพวกเขากำลังขายแรงงานอพยพให้กับองค์การค้ามนุษย์ นำโดย เต๋อ เป็นหัวหน้าแก๊ง ขณะรับเงินจากเต๋อชิงกลับพบว่าเขามีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งไม่สามารถจะชำระเองได้ อุ้มกลับหอพักพบว่า อินดรี ผู้ดูแลคนงานที่ป่วยเสียชีวิตแล้ว ตามคำสั่งของชิง เขาจึงต้องกำจัดร่างของเธอด้วยการนำไปซ่อนไว้ในป่าให้ลับสายตาผู้คน
ไหม เป็นตัวแทนผู้ดูแลชาวไทยมาเผชิญหน้ากับโอม ทวงถามถึงผู้ดูแลที่ป่วยวันนั้นและเงินเดือนที่รับปากไว้ซึ่งทุกคนคาดว่าจะได้รับ แต่เกินกำหนดมานานแล้ว และเรียกร้องให้อุ้มบอกความจริง เนื่องจากเขาเคยสัญญาว่าพวกคนงานจะไว้ใจพึ่งเขาได้เมื่อมาถึงไต้หวัน อุ้มบอกเธอเพียงว่าไม่ต้องกังวล คืนนั้น ไหมในฐานะผู้ดูแลคนงานรู้สึกสิ้นหวัง จึงตัดสินใจเก็บข้าวของออกเดินทางไปตายเอาดาบหน้า อุ้มรู้สึกผิดจึงไม่หยุดยั้งพวกเขาไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อชิงมาถึงหอพักแล้วพบว่าเหลือเพียงอุ้มคนเดียวเท่านั้นจากทั้งหมด 6 คนที่เลือกไว้(แต่ไม่ได้จ่ายเงิน) จึงตัดสินใจไปรับคนงานกลุ่มใหม่มาแทน ตามแผนปฏิบัติการค้ามนุษย์ของเต๋อ ทำให้อุ้มต้องจำใจเข้าร่วมขบวนการชั่วร้ายเพื่อช่วยชิง เพราะเขาสัญญาว่าจะให้อุ้มทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้าย
อุ้มดูแล ฮุย ผู้ป่วยสมองพิการ กับ เหมย แม่ของเขาซึ่งอายุมากแล้ว เหมยให้อุ้มพาฮุยไปส่งที่สถานดูแลคนพิการ และตัดสินใจจะทิ้งเขาไว้ที่นั่น แต่ฮุยร้องไห้อย่างสิ้นหวังและไม่ยอมอยู่ต่อ เหมยถูกบังคับให้พาฮุยกลับบ้าน แต่เธอแอบถามอุ้มเป็นการส่วนตัวว่า เขาสามารถฆ่าฮุยได้หรือไม่ … ขณะดูแลคนไข้ตามปกติอุ้มพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในบ้านโดยไม่มีกุญแจ อาม่า คนไข้สูงอายุมีอาการสาหัสเกินกว่าที่เขาจะช่วยเหลือได้ เข้าข่ายประสบเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ จึงโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน แต่เจ้าหน้่าที่ไม่สามารถเข้าบ้านได้ ต้องแจ้งลูกสะใภ้ของคนไข้เพื่อปลดล็อกประตู เมื่อชิงมาถึงที่เกิดเหตุเขาโกรธที่อุ้มแจ้งรถฉุกเฉิน จึงทำร้ายอุ้มเจ็บปางตาย เพราะกลัวตำรวจสืบสวนเรื่องราวสาวมาถึงงานผิดกฎหมายของเขา
เหมยไม่สบายมากอุ้มพาเหมยไปโรงพยาบาล ระหว่างทางกลับบ้าน เหมยต้องการขับรถเองแม้อุ้มอาสาแต่ไม่ยอม จึงเกือบเกิดอุบัติเหตุตกเหวเพราะอาการป่วยและเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา เมื่อตระหนักชัดแล้วว่าครอบครัวไม่สามารถดูแลฮุยต่อไปได้ อุ้มตัดสินใจบอกเหมยว่าเขาได้พิจารณาคำแนะนำของเธอแล้ว และตกลงใจที่จะทำตามคำขอ เพราะไม่แน่ใจในชะตากรรมของตัวเอง หากขาดเขาไปฮุยจะอยู่อย่างไรในโลกที่ไร้การดูแล อุ้มทำตามที่รับปากด้วยความอดสูใจแต่ก็ไร้ทางเลือก…

ผีน้อย “MONGREL”
“MONGREL” ภาพยนตร์ร่วมสร้างระหว่าง 3 ชาติ ไต้หวัน สิงคโปร์ และฝรั่งเศส หนึ่งในหนังเด่นของ เทศกาล 16th World Film Festival of Bangkok 2024 ครั้งล่าสุดในปีที่ผ่านมา ทำให้หลายคนซึ่งไม่เคยสนใจในประเด็นแรงงานข้ามชาติ หันมาตั้งคำถามด้วยความประหลาดใจใน ‘ทางเลือก’ ที่ผู้เลือกให้เหตุผลว่า ‘เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว’ แม้จะต้องทำผิดกฎหมายแรงงานต่างด้าว แต่สิ่งโน้มน้าวให้ต้องก้าวเผชิญคือ ‘ช่องว่างระหว่าง ความถูก กับ ความผิด’ ที่เปิดโอกาสให้คิดเล่นเกมส์เสี่ยงดวง ด้วยความหวังว่า น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าหากินในบ้านเกิด
สำนักข่าว TODAY[1]” รายงานปรากฏการณ์ ‘ผีน้อย’ ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนแรงงานต่างชาติในไต้หวันประเทศที่ฟรีวีซาสูงเฉียด 800,000 คน แต่มีจำนวนคนไทยลดลงมากจากที่เคยเป็นกลุ่มซึ่งมีจำนวนสูงสุด (หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เมื่อช่วงแรกเปิดรับแรงงานในปี 2544 สูงถึงประมาณกว่า 180,000 คน เกือบ 200,000 คน) แต่ปัจจุบันลดลงเป็นจำนวนต่ำสุดเมื่อเทียบกับแรงงานจากเพื่อนบ้าน อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ตามลำดับ ปัจจุบัน มีแรงงานไทยเดินทางเข้าไปทำงานอย่างถูกกฎหมายในไต้หวัน ราว 73,000 คน เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาคการผลิต อยู่ในโรงงาน และภาคการก่อสร้าง ที่มีสวัสดิการรองรับตามสิทธิทางกฎหมาย แม้ได้ค่าจ้างจะสูงกว่าในไทยไม่มากนักก็ตาม (เพื่อแลกกับสวัสดิภาพของชีวิตแรงงาน)
สำหรับแรงงานผิดกฎหมายที่เคยเป็นปัญหาว่านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง หรือได้งานไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ เป็นเหตุให้เหล่าผู้ใช้แรงงานต้องการกลับประเทศ จึงหาวิธีติดคุกเพื่อรอส่งกลับอย่างเป็นทางการโดยไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางการมีจำนวนมากจนได้รับการเพิกเฉยจากตำรวจเพราะรู้ทันเทคนิคการใช้ช่องว่างพรางตัว แม้มีกฎหมายใหม่ให้สิทธิ์มอบตัวโดยไม่มีความผิด เมื่อ 1 ก.พ.-30 มิ.ย. 2566 โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไต้หวัน ได้เปิด ‘โครงการมอบตัวด้วยตนเอง สำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในไต้หวันเกิดกำหนด’ โดยใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น ไม่กักขัง ใช้โทษปรับระวางต่ำสุด และไม่มีการควบคุมระยะเวลาห้ามเดินทางเข้าไต้หวัน เพื่อผลักดันให้มีการมอบตัวแทนการถูกจับกุม
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 1 มีนาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ไต้หวันได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งมีการเพิ่มบทลงโทษ โดยชาวต่างชาติที่อยู่ในไต้หวันแบบผิดกฎหมาย ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า พร้อมปรับโทษการจำกัดสิทธิ์การเดินทางเข้าไต้หวันจาก 3 ปี เป็น 7 ปี จึงทำให้จำนวนแรงงานไทยลดลงไปมาก และได้ฝากตำนานชีวิตไว้ให้เป็นบทเรียน เพื่อคนรุ่นต่อไปได้ศึกษางานผ่านภาพยนตร์ บนเนื้อหาที่ถูกถ่ายทอดโดยผู้สร้าง 3 ประเทศ จากเจตจำนงร่วมกัน 3 ประการ คือ ‘ปลุกระดม’ ‘ให้ความรู้’ และ ‘จัดตั้ง’ ซึ่งมาจากนโยบายของขบวนการแรงงานในอังกฤษ และขบวนการแรงงานโลก

เพราะเธอคือพลัง
“ขอบคุณนักแสดงและผู้ชม คุณคือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ “Mongre” ยังคงมีอยู่ในโลกใบนี้อย่างเงียบงันแต่มั่นคง” เจียงเว่ยเหลียง ผู้กำกับ บอกเล่าถึงความรู้สึกในการทำงานร่วมกับนักแสดงนำในหนังยาวเรื่องแรกของเขา…
“ผมรู้จักวัลลภครั้งแรกจากหนังเรื่อง “ที่รัก” (Eternity) ความนุ่มนวลอ่อนโยนที่เขาถ่ายทอดผ่านตัวละครนั้นยังติดตรึงอยู่ในใจผมเสมอ แล้วก็บังเอิญดีที่ ‘อุ้ม’ ชื่อเล่นของเขา มันหมายถึงการประคองดูแลด้วย
ผมรู้สึกตั้งแต่ก่อนเขียนบทแล้วว่าตัวละครนี้ต้องเป็นคนไทย ถ้าย้อนไปในประวัติศาสตร์ไต้หวัน ปลายยุค 80 ถึงต้นยุค 90 ที่เป็นช่วงเปิดตลาดแรงงาน แรงงานจากประเทศไทยนี่แหละที่เป็นประเทศแรกที่ถูกนำเข้ามาเพื่อสร้างถนนหนทาง เพราะงั้นสำหรับผม ตัวละครนี้จะต้องเป็นคนไทยมาตลอด
ผมเขียนบทโดยที่มีภาพของเขาอยู่ในหัวมาตลอดแม้ไม่เคยเจอกัน จนพอได้เจอก็รู้สึกว่าเราเข้ากันได้ทันที วัลลภเป็นนักแสดงที่กล้าเปิดเผยความรู้สึก จนผมรู้สึกว่าคนที่จะมาเล่นร่วมกับเขาก็ต้องมีพลังงานใกล้เคียงกัน
อาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่ใครก็เชื่อมโยงได้ ทุกคนเคยป่วย เคยดูแลใครสักคน เคยมีใครมาดูแลด้วยเหมือนกัน อะไรแบบนี้แหละที่คนที่มีหัวจิตหัวใจอย่างเขาจะสามารถเข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกนั้นได้ทันที”
Chiang Wei Liang
เรียบเรียงส่วนหนึ่งจาก : bit.ly/4ir5uip
[2]”

photo : Chiang Wei Liang ผู้กำกับ “Mongrel”
ความหวังในโลกที่ไร้หวัง
1. หัวใจของภาพยนตร์ที่จะสามารถกวาดรางวัลได้ในระดับโลก ต้องมีแนวคิดที่เชื่อมโยงกับความอยู่รอดของมนุษย์ชาติ และต้องไม่ขาดเป้าหมายปลายทางเพื่อสร้างคุณธรรมค้ำจุนโลก ด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันตั้งแต่ระดับปัจเจกไปจนถึงมหภาค ไม่ว่าจะ present จากมุมมองไหน เทคนิคการเล่าเรื่องอย่างไร ก็ต้องให้ ‘มิติของความจริง’ ได้อย่างสมจริง แม้ว่าจะเป็นเรื่องแต่งเพื่อเติมเต็ม Theme ก็ตาม ด้วยภาพรวมของทั้งงานสร้างและตรรกะของเนื้อหา “Mongrel” สามารถสอบผ่านโจทย์มหาหินได้ด้วยหลายปัจจัยที่เอื้อให้ประสบความสำเร็จ แม้เป็นเรื่องยาวก้าวแรกของผู้กำกับหนุ่มหน้าใหม่ในเวทีโลก
หนังทุนสร้าง 3 ประเทศ ไต้หวัน สิงคโปร ฝรั่งเศส ผลงานการกำกับของ Chiang Wei Liang กับแนวทางการทำงานที่เปี่ยมอุดมการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสม่ำเสมอตลอดมา ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต้องการเป็นกระบอกเสียงช่วยแรงงานต่างด้าว เพราะความไม่ปลอดภัยในชีวิตของคนตัวเล็กชั้นล่างที่ห่างบ้านเกิด และเรียกร้องการช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงแก้ไขในโครงสร้างของระบบ จากหน่วยงานของรัฐตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ อันว่าด้วย ‘สิทธิแรงงานข้ามชาติ’
หนังเปิดเรื่องฉากแรกกระแทกความรู้สึกด้วยด้านหลังของคนป่วยติดเตียง นอนเอียงตัวก้นเลอะอุจจาระมี ‘พระเอก’ กำลังบรรจงเช็ดทำความสะอาดให้อย่างอ้อยอิ่งนิ่งนานเพื่อสื่อสารความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปจากปกติวิสัยของสามัญชน บน Theme ที่ต้องการบอกความกดดันรันทดตั้งแต่เริ่มเปิดตัว แล้วคลุมโทนตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องแบบไม่หลุดให้หยุดถามถึงความยุติธรรมเลยก็ตาม

photo : Michaël Capron Cinematographer
2. “Mongrel” โดดเด่นในการออกแบบภาพโดย Michaël Capron ที่ตั้งใจให้คนดูรู้สึก poor จนมัวหม่นท้นทุกข์ ให้ผู้ชมไม่เป็นสุขกับการเป็น “ผู้สังเกตการณ์” เหมือนงานสารคดีทุนต่ำ แต่ล้ำเทคนิคสร้างสรรค์ในแบบ Less for More น้อยแต่มาก กล้องนิ่งระดับสายตาเหมือน ‘ตาตามิ shot’ ของ คุโรซาวา present ความจริงที่หม่นมัวของเมืองทั้งเมืองเหมือนตกอยู่ในม่านหมอก ‘นอกกฎหมาย’ หลายครั้งที่ตัวละครหันหลังให้กล้องทำในสิ่งที่คนดูอยากเห็น ภาพกับเนื้อหาเรียกร้องให้สนใจ แต่ไม่ได้ถ่ายให้เห็นรายละเอียด แทนสายตาที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ อย่าง ‘คนนอก’ แช่ภาพนิ่งนานจนผู้ชมรู้สึกอึดอัด จัดให้ร่วมรับรู้รับผิดชอบต่อชะตากรรมร่วมกัน ทุกวันอยู่ในความพร่าเลือนเหมือนไร้ทางออก บอกสภาพชีวิต จิตใจ เสมือนไร้อนาคต หดหู่ สิ้นหวัง …
จากเรื่องราวที่ร้ายแรงอยู่แล้ว ร่วมบีบคั้นภาวะอารมณ์ให้ดิ่งจมขมขื่นไร้ความรื่นรมย์ ข่มขืนโสตด้วยเสียงของความจริงสิ่งกดดันรอบด้าน (แสง Ambient - Noise Pollution - Visual Pollution) บางช่วงใช้ ‘เสียงแห่งความเงียบงัน’ กดดันให้รู้สึกเหมือนหม่นหมองครองโศกไปตลอดศกได้ โดยใช้จิตวิทยาเรียกร้องความสนใจในบางเหตุการณ์ แต่ไม่ต้องการเปิดภาพทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นในบางช่วง แต่เฉลยตามมาเมื่อ … เสียงอาม่าร้องขอความช่วยเหลือเมื่อป่วยหนักกลางดึก ให้เห็นอุ้มลุกไปช่วย แต่กล้องไม่เคลื่อนตาม แต่แทนสายตาคนดูเฝ้ามองนั่งอยู่อีกห้องไม่ข้ามเขต แล้วเฉลยตาม หลังเรียกกู้ภัยมารับไปก่อนโทรหา ชิง นายจ้าง เป็นเหตุให้เขาถูกซ้อมปางตาย (เพราะชิงกลัวตำรวจสาวมาถึงงานผิดกฎหมายขายแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย) แต่อุ้มยังอุตส่าห์กลับมาดูแลคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อันหมายถึงความหนักหน่วงถ่วงอนาคต หรือนี่คือ ‘ความหมายแท้จริง’ ของ ‘ความเป็นคนดี’
Michaël Capron ผู้กำกับภาพ present ‘โลกแคบ’ ด้วยมุมที่แคบคับอับจน ไร้หนทางสู้เหมือนอยู่ในคุกที่ถูกรุกฆาตด้วยมุมภาพแคบของผนังห้อง มองไปทางไหนก็เจอแต่คนป่วยติดเตียงที่ช่วยตัวเองไม่ได้เข้าข่าย ‘แรงงานทาส’ แต่คือพื้นที่ซึ่ง ‘คนไร้ตัวตน’ มีความหมายในสายตาคนอื่น แม้แค่นายจ้างที่เห็นตัวเองไม่ต่างจาก ‘สุนัขรับใช้’ แต่ความเป็นความตายของครอบครัวนี้ฝากไว้ที่ อุ้ม คนเดียวเท่านั้น ทั้งดูแลคนป่วย ดูแลบ้าน ช่วยงานผิดกฎหมาย ชิง เองก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนงานที่ใช้คุ้ม ทุ่มใจ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ลีลาเนิบนิ่งในการเคลื่อนไหวของนักแสดงกับกล้อง สอดคล้องกับ ‘น้ำเสียง’ ในการเล่าเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนต้องการรายละเอียดของอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะในฉากสุดท้ายขณะอุ้มนอนอยู่บนเตียงสุนัขมาปลุก เขางัวเงียเหมือนไม่อยากลุกใช้เวลาแบบ Real Time ที่วัลลภบอกถึงความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกเหมือนกึ่งจริงกึ่งฝัน”
ความงามเดียวอันเป็นตัวแทนของ ‘จิตประภัสสร’ (ซึ่งเกิดมาพร้อมแรกกำเนิดของมมนุษย์ที่ยัง บริสุทธิ์และเป็นอิสระ) ที่แว็บวาบอาบเอิบใจอยู่ในหนังคือ เด็กคนเดียวของบ้านที่ผ่านเข้ามาท่ามกลางแสงละมุน ให้อุ้มได้มีรอยยิ้มอบอุ่นครุ่นคิด วาบความหวัง นั่งเล่นกับเด็กที่ยังไม่รู้ประสาด้วยแววตาอ่อนโยน ยื่นโทรศัพท์มือถือให้เด็กดู เด็กน้อยถามว่า “นี่อะไร” หนังมีนัยเตือน(ภัย)ใจมนุษย์ … ให้ต้องทำความเข้าใจว่า เทคโนโลยีคือสิ่งหนึ่งที่กำหนดชีวิตมวลชน ให้เติบโตเป็นคนขับเคลื่อนโลกทั้งใบทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต้องเรียนรู้ที่จะใช้มัน ไม่ให้มันใช้คนบนความยินยอม

3. วัลลพ รุ่งกำจัด เติบโตมากับภาพยนตร์อิสระสายส่งประกวดในเวทีต่างประเทศและระดับโลก เช่น เรื่อง “ไฮโซ” (HI-SO) โดย อาทิตย์ อัสสรัตน์ , “36” โดย นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ได้รางวัล New Currents Award (ผู้กำกับหน้าใหม่) จาก เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน เกาหลีใต้ , “เวลา” โดย จักรวาล นิลธำรงค์ และในปี 2024 อีกครั้งกับจักรวาลเรื่อง “อรุณกาล” (Regretfully at Dawn) , “ที่รัก” (Eternity) ปี 2010 โดย ศิวโรจณ์ คงสกุล , วัลลภเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากเรื่อง “กระเบนราหู” (Manta Ray) xu 2561 เป็นหนังยาวเรื่องแรกของ พุทธิพงษ์ อรุณเพ็งหนัง ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในสาย Orizzonti ที่ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส ครั้งที่ 75 ปี 2018 ก่อนตามมาด้วยหนังของผู้กำกับคนเดียวกันในปี 2023 เรื่อง “มอร์ริสัน” (Morrison)
ทุกเรื่องล้วนสื่อภาพลักษณ์ของ คนนอก คนชายขอบ ชนชั้นล่าง ที่สร้างให้เขา ‘เกิด’ ได้อย่างสง่างามกับความเป็น ‘พระเอก’ ในความหมายแท้จริงของภาษาไทย ที่นอกจากจะมีสถานะเป็น ‘ตัวเอก’ ของภาพยนตร์แล้ว ยังมีความเป็น ‘พระ’ ที่มีเพศเป็น ‘ชาย’ ซึ่งมาพร้อมกับ ‘วรรณะ’ ของ ‘พระ’ ผู้ที่ต้องรักษาศีลเหนือฆราวาส ครองตนอยู่เหนืออำนาจของ ‘อัตตา’ และมีความเมตตาสูงสุดเป็นสรณะ การแสดงสนับสนุนบทให้เด่นเช่น “กระเบนราหู” ฯลฯ จนล่าสุด Mongrel อุ้มถ่ายทอดจากเนื้อแท้อย่างอ่อนโยน สุขุม สอดรับการกำกับที่ไม่เน้น drama นับเป็น ‘นามธรรม’ ที่ประหนึ่ง ‘ธรรมะจัดสรร’ เมื่อถึงวันที่ “A star is born” อย่างเต็มตัวใน ‘กระแสหลัก’ ของหนัง ‘กระแสรอง’ ที่สมควรถูกยกย่องให้เป็น ‘ตัวแทนแรงงาน’ ในประเด็นความคิดและการขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก
ชื่อของตัวละคร ‘อุ้ม’ ในเรื่องมาจากชื่อจริงที่ผู้กำกับให้สิทธิ์นักแสดงเลือกเพื่อเชื่อมโยงความรู้สึกกับตัวละครให้มีความ real อย่างสมจริงมากขึ้น ไปตรงกับความหมายในภาษาไทย ทั้งคำนามและคำกริยา ต่างบอกถึงการ โอบอุ้ม ประคับประคอง ช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งตรงกับบทบาทของนักแสดงตามบทที่กำหนดไว้ วัลลพถอดหัวใจใส่วิญญาณผ่านสายตา กริยา ไปเป็นตัวละครได้อย่างนิ่งเนียนประหนึ่งผู้ชมกำลังนั่งมองชีวิตกรรมกรแรงงานในมุมที่ไม่มีใครต้องการจะให้เห็น แต่เราสามารถรับรู้ได้มากกว่าที่ภาพนำเสนอคือ ความอ่อนโยน จากหัวใจที่มีให้เพื่อนมนุษย์ ส่วนหนึ่ง ซึ่งมีพื้นกำเนิดจากเนื้อแท้ในตัวตนของคนถ่ายทอด ไม่ต่างจากอีกหลายเรื่องที่วัลลพรับบทแตกต่างกันจนคนดูแทบจำไม่ได้ แต่ในความคล้ายคือ ‘เมตตา’ กับ ‘ดวงตา’ ที่บอก ‘วิญญา’ จากภายใน
ในด้าน ‘รูปธรรม’ ภาพยนตร์คุณภาพทุกเรื่องที่ผ่านทำการ ‘แปลงโฉม’ ให้วัลลพมีสารรูปที่ตรงข้ามกับตัวจริงอย่างชัดเจนและสิ้นเชิง สิ่งที่เหมือนกันคือเขาแบกหนังทั้งเรื่องด้วยบทบาทของ คนตัวเล็ก ด้อยโอกาส คนนอก ที่บอกด้วยความสามารถจากวิญญาณของการเป็นนักแสดง เขาดูเป็นชนชั้นแรงงาน บ้านนอก ชอกช้ำ กรำประสบการณ์ เป็นงานที่ตรงข้ามกับตัวจริงราวฟ้ากับเหว แต่เขาทำให้เราเชื่อว่ากำลังนั่งดูสารคดีชีวิตแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย และ ‘อุ้ม’ ใน “Mongrel” เป็นคนดีที่ยอมจำนนต่อความเป็นคนไร้หวัง ไร้ทางเลือก เขาอยู่ตรงกลางระหว่าง คุณธรรม และสำนึกในบุญคุณที่ค้ำคูณหนุนชีวิตจากสองฝ่ายคือ เพื่อนร่วมชะตากรรม กับ นายจ้าง บทบาทการแสดง และสำนึกของตัวละครทำให้คนดูเชื่อว่า นี่ไม่ใช่เพราะ ‘การเลือกเพียงเพื่ออยู่รอด’ เท่านั้น
ทุกตัวละครสนับสนุนที่แวดล้อมต่างเข้ามาเสริมความเป็น Realistic ให้ภาพยนตร์โดดเด่นเหมือนเป็น ‘สารคดี’ (ที่มีความจริงเป็นหัวใจในงานสร้าง) โดยเฉพาะ ‘ไหม’ เมื่อนายจ้างไม่จ่ายเงินหลายงวดเพื่อนทุกคนต่างรออย่างทรมาน เพราะต้องอยู่กินส่งเงินกลับบ้าน ไหมเป็นตัวแทนมาทวงถามความรับผิดชอบจากอุ้มในฐานะผู้นำกลุ่ม ที่กลายเป็นผู้กุมชะตากรรมต้องทำอย่างไรเพื่อให้ทุกคนรอดตาย “เถ้าแก่เขาเป็นไรกับพี่วะ ทำไมพี่ถึงยอมทำลายพวกเราให้เขาได้วะ” เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ แม้มันทำให้อุ้มรู้สึกผิดต้องคิดถามตัวเองเช่นกัน…

4. อะไรคือปัจจัยสำหรับ ‘ทางเลือก’ ของปัจเจก ระหว่างการทำงานในประเทศ (ที่ไม่มีทางให้เลือก?) กับการยอมเผชิญโชค (ร้าย) ในต่างแดน หาสิ่งทดแทนอย่างคนที่ฝากความหวังไว้ในความไร้หวังทั้งปวง…?
เงื่อนไขสุดท้าย… แม้อุ้มไม่อยากต้อนนักท่องเที่ยวที่หลบหนีเข้าเมืองไปเป็นแรงงานอพยพ ที่ทำให้เขาลำบากใจเพราะไม่ต่างอะไรกับการ ‘ค้ามนุษย์’ ซึ่งเขารับรู้ด้านมืดของมันดี แต่ชิงขอให้ช่วยเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ชมรู้สึกลุ้นหวาดคาดการณ์ กลัวงานเดิมพันครั้งสุดท้าย … อุ้มต้องทำทั้งที่รู้สึกผิด ชิงมีมิตรจิตแสดงออกด้วยของกำนัลเป็นรางวัล ทั้งบุหรี่ หูฟังไร้สาย (อุ้มชอบใช้หูฟังสร้างโลกส่วนตัวขึ้นภายใน เพื่อหนีความจริงปวดใจจากภายนอก คือทางออกเดียวที่เยียวยา ช่วยให้เขาหาความสุขได้จากชีวิตประจำวัน) พาไปเที่ยวบาร์ ดูเหมือนนายให้ลูกน้องตามธรรมดา แต่ล้วนอบายมุข ‘สุขเทียม’ ล่อปลาให้ติดเหยื่ออย่างเหนือชั้น เทียบกันไม่ได้กับอิสรภาพที่เสียไปทั้งภายในและภายนอก
อุ้มถูกเหมยขอให้ช่วยฉีดยาฆ่าฮุยเพื่อปลิดชีวิตจากความพิการซึ่งทรมานและเป็นภาระ ในขณะที่คนขอให้ช่วยก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องฉีดอินซูลินทุกวัน อุ้มตัดสินใจทำลงไปเพราะมองไม่เห็นอนาคตที่ใครคิดจะฝากชีวิตได้ หนังทิ้งคำถามปลายเปิด อุ้มเป็นคนดีที่ทำทุกอย่างเพื่อหนีความอดอยากจนต้องฝากชีวิตไว้กับ ‘ความเป็นผี’ ทั้งที่ยังไม่ตาย? อาจมีเหตุผลขัดแย้งกับความเป็นคนดีที่ปูพื้นมาแต่ต้นเรื่อง ย้อนแย้งกับจุดจบซึ่งเลือกจะลำบากต่อไปเหมือนไม่มีทางไหนให้เลือกอีกแล้ว หรือนี่คือคุณธรรมสูงส่งเมื่ออุ้มตระหนักแล้วว่า ไม่มีใครยอมช่วยคนที่ลำบากกว่าได้ และเพื่อนที่มาจากไทยต้องหนีไปกันหมดแล้ว
และเกี่ยวเนื่องกับสัญชาติญาณการเอาตัวรอด เมื่อถึงที่สุดมนุษย์จำเป็นต้องเลือกที่จะรักตัวเอง ในขณะเดียวกันหนังก็ให้คำตอบว่านี่คือ ‘คุณธรรม’ กับ ‘ความเป็นมนุษย์ที่แท้’ แม้มี ‘สีเทา’ แต่เขาเหมาะจะช่วยเหลือครอบครัวนี้ที่ชิงอาจติดคุก เหมยอายุมากเป็นคนป่วยที่ช่วยเหลือใครไม่ได้) หรือการกลับบ้านเกิดคือความไร้หวังยิ่งกว่า? เพราะความเหลื่อมล้ำนำมาซึ่งการ ‘ปิดโอกาสทั้งปวง’ ฝากดวงไว้บนห่วงโซ่ของระบบ ถูกกลบด้วยอำนาจที่เหนือกว่าชะตาชีวิต อำมหิตยิ่งกว่าการค้ามนุษย์ที่ยังเปิดโอกาสให้เสี่ยง เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องมาตายเอาดาบหน้า ต้องกล้าเผชิญ!!

5. ความ Real ของหนัง เพิ่มพลังให้ความหดหู่ชวนคนดูคิดไปว่า นี่แค่ตัวอย่างแบบเบา ๆ จากความจริงของ ‘ชีวิตผี’ ในข่าวยังมีที่โหดกว่านี้อีกมากนัก ใครต้องรับผิดชอบ ‘กฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ’ เพื่อคุ้มครอง ‘ทาส’ ที่อยู่ใต้อำนาจของ ‘นายจ้าง’ หรือกฎหมายแรงงานเป็นเพียงคัมภีร์ที่อยู่บนหิ้ง เพราะมันคือสิ่งสวยงามตามความฝัน แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกประเทศที่เป็นสามชิกของ ILO (International Labour Organization - องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ปฏิบัติต่อแรงงานเหล่านี้อย่างดีแค่ไหน ทั้งเข้าไปอย่างถูกกฎหมาย และพวกผิดคิดไปตายเอาดาบหน้า หามาตรการปกป้องพี่น้องแรงงานไว้อย่างไร? เพราะเหนืออื่นใด รัฐสวัสดิการดูแลแรงงานในประเทศคือเกราะป้องกันทุกระดับ[3]” ทั้งสมองไหลและแรงงานเลื่อนลอยเป็น ‘ผีน้อย’ ในต่างแดน ได้ปรับแผนงานให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมใหม่ที่เปลี่ยนไปหรือยัง?
มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิแรงงานข้ามชาติ[4]”
บทที่ 3. สิทธิของแรงงานข้ามชาติ
1.2 อิสรภาพจากการเป็นแรงงานบังคับ การทำงานต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจและด้วยสิ่งจูงใจ มิใช่เกิดจาการบังคับหรือข่มขู่ ยกตัวอย่างเช่น
- แรงงานข้ามชาติจะต้องไม่ถูกกดดันให้ทำงานด้วยการข่มขู่หรือการบีบบังคับ
- แรงงานข้ามชาติจะต้องไม่ถูกกักขัง
- แรงงานข้ามชาติจะต้องสามารถยุติการจ้างงานของตนได้ โดยแจ้งล่วงหน้าต่อนายจ้างตามที่กฎหมายของประเทศกำหนด
- การลงโทษแรงงานข้ามชาติ (เช่นในกรณีที่ทำผิดระเบียบความปลอดภัย และสุขอนามัยของสถานที่ทำงาน) จะต้องไม่กระทำโดยบังคับให้ทำงานเพิ่ม
- แรงงานข้ามชาติที่เข้าร่วมในการนัดหยุดงานอย่างถูกกฎหมายจะต้องไม่ถูกบังคับ ให้กลับเข้าทำงาน
หลักการนี้ใช้สำหรับแรงงานทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด อย่างไรก็ตาม แรงงานข้ามชาติมักจะเสี่ยงต่อการถูกบีบบังคับให้ทำงานลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น งานอันตราย การทำงานล่วงเวลามากเกินควร หรือแม้แต่งานที่ผิดกฎหมาย (เช่น งานในอุตสาหกรรมบันเทิง) โดยมากสิทธิของแรงงานข้ามชาติทำให้แรงงานข้ามชาติยอมทำงานเพราะถูกข่มขู่ว่าจะส่งกลับประเทศ (ในกรณีที่เป็นแรงงานที่ไม่ได้จดทะเบียน) นอกจากนี้ การข่มขู่มักจะมาในรูปแบบของการทำร้ายร่างกายหรือลงโทษ ไม่ยอมจ่ายค่าแรง และยึดเอกสารประจำตัวไว้
เหตุเพราะแรงงานข้ามชาติมีความเสี่ยงที่จะถูกบังคับให้ทำงาน ในปี 2001 คณะ กรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติใช้อนุสัญญาและข้อแนะ (Committee of Experts on the Application of Conventions and Recommendations หรือ CEACR) ได้ตั้งข้อสังเกตทั่วไป (general observation) ขอให้รัฐบาลของทุกประเทศบรรจุข้อมูลเรื่องมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์เพื่อนำไปหาประโยชน์ ไว้ในรายงานประเทศที่ทางรัฐบาลจะต้องส่งให้องค์การแรงงานระหว่างประเทศภายใต้พันธกรณีใน อนุสัญญาการเกณฑ์แรงงานหรือแรงงานบังคับ พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) (ฉบับที่ 29) ทางคณะ กรรมาธิการฯได้ขอให้บรรจุข้อมูลดังต่อไปนี้โดยเฉพาะ
- มาตรการด้านกฎหมายและการบังคับใช้เพื่อต่อต้านการเกณฑ์แรงงานบังคับในแรงงานข้ามชาติ ทั้งที่ได้จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียน โดยเฉพาะในโรงงานนรก งานขายบริการทางเพศ งานคนรับใช้ในบ้าน และงานในภาคการเกษตร
- มาตรการในทางปฏิบัติ รวมทั้งมาตรการที่จำเป็นในการดำเนินคดีความชั้นศาล มาตรการเพื่อสนับสนุนให้ผู้เสียหายเข้ามาขอความช่วยเหลือจากทางการ (เช่น การอนุญาตให้อยู่ในประเทศนับจากขั้นตอนการเริ่มคดีความถึงเมื่อจบสิ้นคดีความได้ อย่างน้อยในช่วงที่มีการพิจารณาคดี และให้ความคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพ) และมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างการสืบสวนเครือข่าย อาชญากรรมอย่างจริงจัง
4.3 สุขภาพและความปลอดภัย แรงงานข้ามชาติมีสิทธิ์ที่จะได้รับความคุ้มครองด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงาน เช่นเดียวกับแรงงานพลเมืองของประเทศ แรงงานข้ามชาติมักถูกรับเข้าไปในประเทศเพื่อให้ทำงานที่ สกปรก อันตราย และ ไร้ศักดิ์ศรี ซึ่งพลเมืองในประเทศไม่ต้องการจะทำ ด้วยเหตุนี้ แรงงานข้ามชาติจึงจัดว่าเป็นกลุ่มที่ ‘มีความเสี่ยง’ ทางอาชีวอนามัย ข้อแนะสำหรับแรงงานอพยพ พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) (ฉบับที่ 151) ได้ขอให้ประเทศสมาชิก “ใช้มาตรการที่ เหมาะสมทั้งปวงเพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานอพยพต้องมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเป็นพิเศษ” แรงงานข้ามชาติควรได้รับประโยชน์จากมาตรการพิเศษต่าง ๆ นอกเหนือจากมาตรการที่มีผลกับแรงงานทั่วไปด้วย รวมถึงมาตรการที่จะคุ้มครองแรงงานกลุ่มนี้ จากความเจ็บป่วยซึ่งไม่มีอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตน ซึ่งตนไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ นอกจากนี้ แรงงานยังควรได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลือในปัญหาทางจิตใจ ที่เกิดจากการมาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย รวมทั้งในเรื่องการอบรมและให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุและโรคภัยในการทำงาน แรงงานข้ามชาติที่เป็นผู้ลี้ภัย หรือหลบหนีการทำร้ายทารุณในครอบครัวหรือประเทศบ้านเกิด อาจเป็นผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้วด้วย
4.4 โอกาสในการทำงานและเสรีภาพในการเปลี่ยนงาน หลังจากที่ได้พำนักอยู่ในประเทศเจ้าบ้านเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำงานเป็นเวลาสูงสุดถึง 2 ปีแล้ว แรงงานข้ามชาติควรจะได้รับสิทธิ์ที่จะเลือกงานได้ หากประเทศเจ้าบ้านอนุญาตให้มีการทำสัญญาจ้างงานที่มีกำหนดเวลาตายตัวน้อยกว่าสองปี ควรอนุญาตให้แรงงานมีอิสระที่จะ เปลี่ยนงานได้หลังหมดอายุสัญญาว่าจ้างฉบับแรกแล้ว ประเทศจะสามารถจำกัดประเภทงานหรือหน้าที่ซึ่งอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติทำได้ หากมีความจำเป็นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศนั้น (มักเป็นงานราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานความมั่นคงและการป้องกันประเทศ)
4.5 ความมั่นคงในการทำงาน แรงงานข้ามชาติทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ ‘การปฏิบัติที่เท่าเทียม’ เรื่องความมั่นคงในการทำงาน แม้ว่าจะไม่มีมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศข้อใด ที่กำหนดให้แรงงานข้ามชาติมีสิทธิสมบูรณ์แต่เพียงผู้เดียวในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่แรงงานข้ามชาตินั้นไม่ควรถูกกีดกัน ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่จะต้องมีการปลดคนงานออกเนื่องจากมีแรงงานมากเกิน จำเป็น แรงงานข้ามชาติที่ถูกปลดออกไม่ควรเสียสิทธิ์ที่จะพำนักอยู่ในประเทศหรือสิทธิ์ในการที่จะทำงานไปด้วย แต่ควรได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อเป็นเวลาเพียงพอที่จะหางานใหม่ได้

Exclusive Talk
หลังชม “Mongrel” หนังรางวัลจาก Cannes มีกิจกรรมร่วมวงพูดคุยกับนักแสดง เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568 หลังรอบฉาย 16.30 น. แลกเปลี่ยนความเห็นกับ 2 นักแสดงนำในหนัง อุ้ม - วัลลภ รุ่งกำจัด (รับบทเป็น อุ้ม) นักแสดงที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ จากผลงานหนังอิสระคุณภาพหลายเรื่อง Anatomy of Time (เวลา) , Manta Ray กระเบนราหู , 36 (Eternity ที่รัก) ฯลฯ / และ อ๋อ - อัจรา สุวรรณ์ (รับบทเป็น ไหม) นักแสดงหญิงจากไทยอีกคนที่เคยฝากผลงานไว้แล้วในเรื่อง ดาวคะนอง (By the Time It Gets Dark) ดำเนินการสนทนาโดย จีน - ธัญวรัตม์ สมบัติวัฒนา สมาชิกสหภาพแรงงานสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย (Creative Workers Union Thailand หรือ CUT) และ สหภาพคนทำงาน ผู้ประสานงานประจำประเทศไทยใน UNI Global Union และโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์อิสระ ผลงานล่าสุดคือ Breaking the Cycle (อำนาจ ศรัทธา อนาคต) เป็นวงสนทนาที่เห็นได้ชัดว่าคือกลุ่มผู้ชมรุ่นใหม่ (คนมีความเป็นนักดูหนังที่ทั้งวิเคราะห์และวิจารณ์อย่างคนที่มีมุมมองลึกซึ้ง เฉียบคม เข้าถึงเนื้อหาของเรื่องและงานสร้าง) ซึ่งนับวันจะเพิ่มขึ้น น่าภูมิใจในพัฒนาการของผู้ชมกลุ่มนี้ ที่ไม่ได้เรียกร้องต้องการเพียงความบันเทิง เพราะ “Mongrel” กระตุ้นให้ทุกคนเกิดสำนึกร่วมทั้งประเด็นของความเป็นปัจเจก และปัญหาระดับมหภาคที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอีกด้วย
อ๋อ อัจรา - มาเห็นตัวเองในภาพยนตร์เยอะ ๆ แล้วตื่นเต้น ดีใจไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ ดีใจที่ได้เห็นภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะมีประเด็นที่น่าสนใจ ส่วนหนึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง sensitive กับเราด้วย
อุ้ม วัลลภ - ขอขอบคุณผู้ชมที่มาชมในรอบนี้และก่อนหน้านี้มากนะครับ เราฉายรอบน้อยมาก แต่ก็สละเวลามากันขอบคุณมากนะครับ แล้วก็ดีใจมากที่หนังเรื่องนี้มีโอกาสมาฉายในประเทศของเรา ซึ่งความสำคัญก็คือมันมีเรื่องให้เราพูดคุยมาก ในแง่แรงงานไทย คนไทย คนเวียตนาม ฟิลิปปิน อินโดที่ไปทำงานที่ไต้หวันก็น่าสนใจครับ
จีน ธัญวรัตม์ - มีประเด็นที่เป็นความจริงกับหนังที่ทับซ้อนกันเยอะ พี่อุ้มในเรื่องก็ชื่อ อุ้ม ด้วย เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ พวกเราในแง่หนึ่งก็ไปทำงานในไต้หวันในฐานะแรงงานข้ามชาติที่ไปนำเสนอด้วยเหมือนกัน อยากให้พี่เล่าประสบการณ์ตัวละครกับประสบการณ์ของเราในฐานะนักแสดงมันทับซ้อนกันยังไง แตกต่างกันยังไงบ้างคะ
อ๋อ อัจรา - ขอเริ่มจากที่เรามาแคสการแสดงก่อนนะคะ พี่สร้อยพี่ทิพย์ เป็นคนชวนมาแคสโดยที่ยังไม่รู้ว่าบทมันคืออะไร แต่พอมาถึงหน้างานจริง ๆ ก็รู้สึกว่าใกล้เคียงกับช่วงชีวิตที่กำลังใช้อยู่ ณ ขณะนั้น คือตอนนั้นเราทำงานประจำด้วย แล้วก็มีเพื่อนที่เป็นแรงงานต่างด้าว บทสนทนาในบทกับสถานการณ์ต่าง ๆ ค่อนข้างใกล้เคียงกัน เราก็เลยรู้สึกว่ามันมีความ sensitive กับเรา ตอนที่เราอยู่กับบท
จีน ธัญวรัตม์ - มีความแตกต่างกันไหมระหว่างเราที่เป็นนักแสดงในกองถ่าย กับแรงงานข้ามชาติที่เป็นตัวละครของเราในหนัง
อ๋อ อัจรา - พอไปรับงานเป็นนักแสดงมันก็จะเหมือนเป็นแรงงานข้ามชาติ เพราะเราไปทำงานที่อื่นอีกทีหนึ่ง แต่การเป็นนักแสดงกับแรงงานข้ามชาติในความรู้สึกเรามันต่างกัน ในเรื่องของการได้รับการยอมรับ แล้วก็มุมมองจากคนข้างนอกที่มองเข้ามาก็จะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ในขณะที่คนเป็นแรงงานข้ามชาติก็จะมีอีกมุมมองหนึ่งค่ะ
อุ้ม วัลลภ - ของเราไม่ต่างกันมาก ไม่ว่าทำงานอะไรก็เป็นแรงงานอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใช้แรงกายหรือแรงสมองก็เลยรู้สึกไม่ต่าง ตัวบทมันทำให้เราต้องไปศึกษาไปทำความเข้าใจแรงงานจริง ๆ จังหวะที่ไปหาข้อมูลพูดคุยกับแรงงานเหล่านั้น น่าจะเป็นช่วงที่ทำตัวซ้อนทับ
จีน ธัญวรัตม์ - อยากให้พี่อุ้มเล่าต่อเลยว่าช่วงที่เราเตรียมตัวเล่นบทนี้ ซึ่งมีประสบการณ์ไม่เหมือนกับเรา ได้มีการรีเสิร์ชยังไงบ้าง แล้วอะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้แล้วเอารีเสิร์ชมาใช้ในการแสดงของเราคะ
อุ้ม วัลลภ - สำหรับ Mongrel หนังเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวกับการบ้านหลายอย่างมากเลย ข้อแรกต้องไปพูดคุย ไปแคมป์ ไปสถานที่มีแรงงานจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปคุยกับคนฟิลิปปินส์ อินโด เวียตนามแล้วบันทึกสิ่งที่ชีวิตเขาทำ ถามจุดมุ่งหมายของเขา สภาพชีวิตเขาเป็นยังไง เขาส่งเงินกลับบ้านยังไง ในแต่ละที่ที่ไป ไปกินไปใช้ชีวิตกับเขาหนึ่งวัน พยายามเก็บรายละเอียดที่เราคิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบมาใช้ในการแสดง แล้วก็ต้องไป work shop กับสุนัขน้องหมา ทำการบ้านกับซูเหว่ย คนที่รับบทเป็น อาฮุย เราอาจดูว่าเขาเป็นคนพิการ แต่จริง ๆ เขาทำอะไรได้มากกว่านั้น มันผ่านการแสดงของเขา เป็น character ตัวละคร
อ๋อ อัจรา - ของอ๋อจะเริ่มต้นจากการที่ผู้กำกับมอบหมายให้ไปออกแบบตัวละคร รู้จักน้อยมาก เขาจะถามว่าเราอยากใช้ชื่อตัวเองในภาพยนตร์ไหม หรือว่าอยากใช้ชื่ออื่น แต่ว่าเลือกชื่อที่ไม่ใช่คนที่เราเคยรู้จักในชีวิต หมายถึงว่าในช่วงชีวิตหนึ่งพอจะเลือกชื่อขึ้นมาได้ เลยขอเลือกใช้ชื่อ ‘ไหม’ เพราะคนใกล้ตัวไม่ค่อยมีคนชื่อไหม ก็เลยเหมือนกับว่าทำให้อ๋อออกแบบตัวละครได้มากขึ้นค่ะ อยากให้ไหมเป็นคนแบบไหนก็ใส่เข้าไป ทำให้ทำงานง่ายขึ้น
แล้วการรีเสิร์ชเกี่ยวกับพวกแรงงานข้ามชาติจริง ๆ ของเราไม่ได้รีเสิร์ชข้อมูลเชิงวิชาการเหมือนที่พี่อุ้มต้องทำ เพราะว่าเราอยู่ใกล้ชิดกับเขา เพราะเราทำงานร่วมกับแรงงานต่างด้าว พอเราเป็นคนไทยในที่ทำงานนั้นก็จะมีมุมมองคนละอย่าง เราก็จะรับรู้ชีวิตเขามากขึ้น อย่างเช่นมีคนอายุ 16 เข้ามาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งโดยไม่มีเอกสารอะไรเลย แล้วเอารายได้ในแต่ละวันไปผ่อนจ่ายเพื่อทำเอกสาร ถึงแม้จะได้มาแต่ว่าเขาไม่ให้เก็บไว้กับตัว จะมีคนเก็บเอาไว้ไม่สามารถไปทำอย่างอื่นได้
จีน ธัญวรัตม์ - พี่อ๋อมีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันใกล้ชิดกับคนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ เป็นวัตถุดิบให้เราในการสร้างตัวละครยังไงบ้างคะ
อ๋อ อัจรา - พอเห็นคนที่อยู่ตรงนั้นที่เป็นแรงงานข้ามชาติจากบ้านจากเมืองไปไกล จำเป็นต้องส่งเงินกลับมาที่บ้าน เข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง คือเหมือนเขาเลือกไม่ได้เหมือนกัน หรือ เป็นทางเลือกเดียวที่เขาต้องเลือก ไม่มีตัวเลือกอื่นให้เลือกอีกแล้ว ทางบ้านเขาก็จำเป็นต้องใช้เงิน ถึงแม้ว่าเขาไม่ทำตรงนี้เขาก็ต้องไปทำที่อื่นอยู่ดี ถ้าเขาไม่ได้ทำงานอยู่ที่บ้านตรงนั้นก็ไม่สามารถมีรายได้อะไรเลย
จีน ธัญวรัตม์ - การที่เราต้องแสดงเป็นภาพแทนของแรงงานข้ามชาติ เรารู้สึกว่ามันมีภาระอะไรไหมคะ ที่ต้องเล่นเป็นบทที่เราไม่มีประสบการณ์ร่วม
(อ๋อ อัจรา ทำหน้าคิดหนักกับคำถาม)
อุ้ม วัลลภ - เรารู้สึกมีความรับผิดชอบไหม (ช่วยขยายความ) เหมือนเป็นตัวแทน
อ๋อ อัจรา - รู้สึกรับผิดชอบไหมเหรอ… มันเราคนเดียวเหรอที่ต้องรับผิดชอบ มันไม่ใช่ภาระ เราไปอยู่ตรงนั้นก็คือเราทำงาน เราเป็นนักแสดงแค่ถ่ายทอดบทที่ผู้กำกับเขียนมา แต่มันบังเอิญแค่ว่าประสบการณ์ชีวิตของเรามันตรงกับตรงนั้นเฉย ๆ ก็เลยเหมือนดึงข้อมูลที่เรามีอยู่มาใช้ได้ แต่ถามว่าเรารับผิดชอบตัวละครไหม คือเรารับผิดชอบในหน้าที่การงานที่เราต้องทำ แต่ถามว่าต้องรับผิดชอบกับแรงงานต่างด้าวหรืออะไรที่มันเป็นความทุกข์ของเขา เราทำเต็มที่ได้แค่ถ่ายทอดเล่าให้คนอื่นฟังว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง ๆ แล้วมันอาจไกลตัวเกินกว่าที่เราจะนึกออก
จีน ธัญวรัตม์ - พี่อุ้มมองยังไงบ้างคะ
อุ้ม วัลลภ - ไม่รู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบเดียวก็คือเป็นตัวละคร เพราะว่าสิ่งนี้อยู่ในเนื้อหาของหนังอยู่แล้ว คิดว่าเป็นหน้าที่ของหนัง เราทำหน้าที่แค่รับผิดชอบตัวละคร

จีน ธัญวรัตม์ - ได้ดูสัมภาษณ์ของเว่ยเลี่ยงผู้กำกับ เขาขบคิดเยอะเรื่องบทบาทของภาพยนตร์ ว่าหนังจะมีประโยชน์กับโลกนี้กับสังคมนี้ได้ยังไง ในสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งเขาก็ถามคำถามนี้กับ เค็นโรช เป็นผู้กำกับหนังสารคดีชาวอังกฤษ ได้คำตอบเป็นสามคำคือเราต้อง “Educate Agitate Organize”[5]” คือ ให้ความรู้ ปลุกระดม จัดตั้ง ซึ่งสามคำนี้มาจากขบวนการแรงงานในอังกฤษ และขบวนการแรงงานโลกด้วย
[การใช้คำขวัญดังกล่าว เกิดขึ้นครั้งแรกโดย สหพันธ์สังคมประชาธิปไตย (SDF) องค์กรสังคมนิยมของสหราชอาณาจักรที่มีสมาชิกได้แก่ เอเลนอร์ มาร์กซ์ และวิลเลียม มอร์ริส SDF ในแผ่นพับที่มีชื่อว่า Socialism Made Plain, the Social and Political Manifesto of the Democratic Federation เมื่อปี ค.ศ. 1883 ดังนี้
“เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ สหพันธ์ประชาธิปไตย อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว ความสำเร็จสามารถบรรลุได้ด้วยความพยายามที่เป็นระบบเท่านั้น:
“จงให้การศึกษา เราต้องใช้สติปัญญาทั้งหมดของเรา
จงปลุกเร้า เราต้องใช้ความกระตือรือร้นทั้งหมดของเรา
จงจัดระเบียบ เราต้องใช้กำลังทั้งหมดของเรา”]
ความที่เขาทำเกี่ยวกับขบวนการแรงงานด้วยก็เลยรู้สึกเชื่อมโยงมาก ๆ กับงานของเว่ยเลี่ยง ในประสบการณ์ของพี่ ๆ ที่ทำงานกับผู้กำกับที่คิดเรื่องนี้ คิดว่าหนังเรื่องนี้กำลังทำบทบาทของการ ปลุกระดม ให้ความรู้ จัดตั้ง ยังไงบ้าง
อ๋อ อัจรา - สำหรับเราในฐานะนักแสดงพูดตรง ๆ คือเราก็ sensitive กับความการไปทำงานที่อื่นจากบ้านจากเมืองแล้วถูกเอาเปรียบมันก็แย่พออยู่ ถ้าในฐานะคนดูเรารู้สึกว่า … ถ้ารู้ว่ามาตายก็ไม่มารึเปล่า? อะไรอย่างนี้ คือมันถูกเอารัดเอาเปรียบเกินความเป็นคนด้วยกัน ทุกคนก็ต้องทำงานแหละเราเข้าใจ มันมีกฎระเบียบเพื่อไม่ให้คนเราเอาเปรียบกันและกันอยู่ ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำให้คนคิดไปในแนวทางเดียวกันได้ แต่พอสุดท้ายแล้วเราจะทำยังไงกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่เราคิดได้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ เราดูจบแล้วเราไปไหนต่อ ทำอะไรกับมันได้บ้าง? เราโกรธเราเกลียดแล้วยังไงต่อ จริง ๆ แล้ว ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงมันก็จะดีค่ะ
อุ้ม วัลลภ - ของเราแยกเป็นสองส่วน ตอนแรกที่เราได้มีโอกาสอ่านบทรู้สึกว่า บทเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกหดหู่ ด้วยความรู้สึกถูกปลุกระดม กระตุ้นให้เรารู้สึกอะไรบางอย่าง เราจะต้องอยู่ในโปรเจ็คนี้ให้ได้ เพราะว่าเราอยากเป็นตัวแทนของการพูดประเด็นนี้กับคนดูกับโลกใบนี้ พอกระบวนการถ่ายทำพอเสร็จสมบูรณ์ในฐานะคนดูก็รู้สึก… เมื่อเราดูหนังจบมันกระตุ้นคำถามเยอะแยะมากมายในหลาย ๆ ภาคส่วน เราอาจะเป็นด้วยไม่เห็นด้วย แน่นอนมันจุดไฟความคิด จุดให้เราพูดคุยสนทนากันในหลายประเด็นในหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ระดับครอบครัว ระดับชุมชน หรือว่าใหญ่กว่านั้นในระดับสาธารณะสุขของชาติก็ได้
ธัญจีน วรัตม์ - มันจุดประกายความโกรธแล้วให้เราคิดต่อกับเรื่องนี้ใช่ไหมคะ ว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง มีใครอยากถามเชิญเลยนะคะ (คุยกับผู้ร่วมเสวนา)
ผู้ชม 1 - การฉายหนังเรื่องนี้ในที่อื่น ๆ ในแง่ความรู้สึกของชาติอื่นที่ได้ดูเรื่องนี้ มี feedback ยังไง เพราะโดยส่วนตัวจริง ๆ เราไม่ค่อยได้ดูหนังที่พูดถึงแรงงานข้ามชาติที่เป็นคนไทย น้อยมาก ถ้าเกิดเป็นหนังในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นเมียนมาร์ เราดูเรื่องผีน้อยที่นี่ในเวลานี้ในฐานะที่เราเป็นคนไทย มันก็มีความรู้สึกบางอย่างแล้วก็สงสัยว่า ถ้าเป็นชาติอื่นเขาจะคิดยังไงครับ
คำถามที่ 2 คำว่า Mongrel มันก็คือ ‘พันธุ์ทาง’- ‘พันธุ์ผสม’ ซึ่งคำนี้มันทำงานกับหนังในช่วงครึ่งแรก กับครึ่งหลัง ต่างกัน ครึ่งแรกเรารู้อยู่แล้วนะพันธุ์ทาง ผมรู้สึกครึ่งหลังมันเป็นภาวะของมนุษย์ที่ไปไกลกว่าครึ่งแรก ไกลกว่าความเป็นปัจเจก เลยอยากทราบว่า นักแสดงแต่ละคนมีความคิดยังไงกับคำนี้ รู้สึกยังไงกับการที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ขอบคุณครับ
อุ้ม วัลลภ - หนังเรื่องนี้ฉายที่ฝรั่งเศส เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย จริง ๆ feedback ในหลายประเทศก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ ชื่นชมในบางมุม ประเด็นที่คนรู้สึกว่ามันมีความเป็นสากลก็คือเรื่องของ การที่คนคนหนึ่งไปดูแลคนแก่ดูแลคนพิการ หรือแม้กระทั่งแรงงานข้ามชาติก็จะมีคนเดินเข้ามาหาเราแล้วบอกขอบคุณที่พูดถึงเรื่องนี้ ขอบคุณที่ชวนให้เราคิดเรารู้สึกเรื่องนี้
คำถามแรกที่ถามว่าอยู่ในเมืองไทยเรามักจะคุ้นชินกับแรงงานข้ามชาติที่เป็นชาวเมียนมาร์ จากแคมโบเดีย หรือจากเวียตนามก็ตาม เพราะว่าเส้นระดับสายตาของเรา เราดูถูกเขา แต่ว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเพราะหนังมันทำงานกับเรา ทำให้เราอยู่ในระดับเดียวกับเขา การที่ผู้กำกับทำให้เราอยู่ในระดับเดียวกับคนเหล่านี้ นี่คือประสบความสำเร็จมากในการที่เราจะเห็นมนุษย์ในระดับเดียวกัน
จีน ธัญวรัตม์ - ชื่อหนัง เราในฐานะนักแสดงตีความว่ายังไงบ้าง
อุ้ม วัลลภ - ต้องบอกว่ายาก / อ๋อ อัจรา - ยากค่ะ (นักแสดงสองคนตอบพร้อมกัน)
อ๋อ อัจรา - Mongrel เราขอนุญาตแปลตรงตัวเลย หมาพันธุ์ทางใช่ไหม สำหรับเราเรื่องนี้มันก็คือคนจากหลายแหล่งมาอยู่ในที่เดียว แล้วทำงานอย่างเดียวร่วมกันอย่างนี้
ผู้ชม - 2 ฟังจีนพูดครั้งแรกบอกว่ามันมีหลายพื้นที่ทับซ้อนกัน เราอยากทราบว่าในพื้นที่ของกองถ่ายผู้กำกับ concern ประเด็นแรงงาน อาจเห็นมีนักแสดง คนแก่ สัตว์ คนพิการ นักแสดงข้ามชาติจากประเทศไทย อยากทราบว่าเขา treat เราในฐานะแรงงานที่อยู่ในกองถ่ายเป็นอย่างไรคะ
จีน ธัญวรัตม์ - (ช่วยขยาย) ในฐานะที่เราเป็นลูกจ้างเขา เขาปฎิบัติต่อเรายังไงบ้าง
อ๋อ อัจรา - เราไปในฐานะนักแสดงกองถ่ายก็ปฏิบัติกับเราเหมือนนักแสดงหนึ่งคน ในมุมของ extra ต้องพูดตรง ๆ ว่าก็จะอีกแบบหนึ่งค่ะ มันหลีกเลี่ยงคำนี้ไม่ได้
อุ้ม วัลลภ - ขยายความจากพี่อ๋อ สำหรับผมรู้สึกว่าทีมงานและผู้กำกับด้วยความที่หนังมันตั้งคำถามถึงความเป็นคน ในแง่ของการทำงานทีมงานเขาให้ความสำคัญและการใส่ใจต่อทุก ๆ คน แน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้เชิงสร้างสรรค์แล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในความเป็นหนังมันเรียกร้องขีดความสามารถของทุกคนมาก ๆ เลย แต่ทีมงานดูแลดีครับ
ผู้ชม 2 - พี่เคยแชร์ว่า extra ในหนังก็เป็นแรงงานข้ามชาติด้วย อยากให้เล่าให้ฟังค่ะ
อ๋อ อัจรา - ใช่ค่ะ extra ก็เป็นแรงงานที่ทำงานอยู่ในไต้หวันจริง ๆ มีหลากหลายเชื้อชาติอย่างที่เราเห็นน่ะค่ะ มีทั้งคนไทย ฟิลิปปินส์ เวียตนาม
อุ้ม วัลลภ - จริง ๆ คือทุกคนเลย
อ๋อ อัจรา - ใช่รวมถึงเราด้วยค่ะ

photo : Common Move
ผู้ชม 3 - เราคิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญเพราะว่า ตัวละครในเรื่อง มีคนที่มีอำนาจน้อยกว่าเยอะมาก ๆ ไม่ใช่แค่ในบทบาทของแรงงานกับนายจ้างในฐานะแรงงานข้ามชาติ แต่มีทั้งเด็ก ผู้พิการ คนแก่ สุนัข เพราะฉะนั้นเราก็มีความคาดหวังเหมือนกันว่าจะมีการทำงานที่เป็นไปอย่างมีจริยธรรมมากที่สุดไหม ทำยังไงให้แสดงบทบาทได้อย่างบีบคั้นเหมือนในเรื่อง ขณะเดียวกันก็เคารพผู้แสดงด้วย อยากให้ขยายต่อในมุมมองของความเป็นคน เช่น อยากให้แสดงออกแบบไหนว่าผู้พิการที่ค่อนข้างมีบทบาทในนั้น เราค่อนข้างประทับใจที่เขาใช้ชื่อจริงของพี่ในการเล่าเรื่องตัวละคร มันซ้อนทับกันอยู่มาก ๆ ทั้งในฐานะนักแสดงที่เรากำลังเล่นบทบาทแรงงานที่ฉายให้คนได้มาดูด้วยกัน เราสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องใช้ชื่อตัวละครเป็นชื่อเดียวกันกับนักแสดง
อ๋อ อัจรา - อย่างที่พี่อุ้มพูดไปคือทีมงานใส่ใจทุกคนจริง ๆ พอมาเป็นเรื่องสัตว์ สุนัขมาจากศูนย์พักพิงในไต้หวัน หมาทุกตัวเขาฝึกได้หมดเลย คือเชื่อฟังคำสั่งของคนฝึกน้องฉลาดเก่งมากค่ะสั่งให้ทำอะไรก็ทำได้ ทีมงานใส่ใจดูแลดีมากไม่มีอะไรโหดร้ายเลย
อุ้ม วัลลภ - ชื่อของผมผู้กำกับถามว่าสะดวกใจที่จะใช้ชื่อนี้หรือเปล่า ๆ เว่ยเลี่ยงเขียนชื่ออุ้มไว้ในบทตั้งแต่เขาเริ่มเขียนบทด้วยตัวเอง ที่ผมสนใจก็คือเขาใช้ชื่ออุ้มแต่ผมรู้สึกว่าเขามีความเข้าใจความหมายของภาษาไทย อุ้ม ที่แปลว่า โอบอุ้ม ซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของหนังเหมือนกัน สำหรับผมเองในฐานะนักแสดง ไม่ว่าจะชื่ออะไรผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ผมก็เป็นตัวละคร เหมือนชีวิตจริงที่เรารู้ว่าตัวเองชื่ออะไรแต่เราก็ไม่ได้สนใจชื่อตัวเองขนาดนั้น ผมรู้สึกมันแยกกันขาดมากเลย ไม่รู้สึกว่า คนนี้เป็น อุ้ม-วัลลภ หรือ อุ้มตัวละคร ในเวลาที่ทำงานเป็นภาวะที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไรด้วย แต่คนอื่นจะดูจะเรียกเรา ขอบคุณครับ
จีน ธัญวรัตม์ - พี่อุ้มเคยเล่าว่าตัวละครที่เป็นไต้หวันเวลาเขาเรียกเราจะเป็น “อุ้ม”
อุ้ม วัลลภ - ผมชอบเวลาตัวละครที่เป็นต่างชาติพูดภาษาไทยคำว่า “อุ้ม” แต่จริง ๆ เขาไม่รู้ความหมายแปลว่าอะไร ผมชอบความไม่รู้ตรงนั้นดี ‘เรียกร้อง’ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเรียกร้อง (ขณะตัวละครที่เป็นคนป่วยในความดูแลของอุ้มต้องการความช่วยเหลือ แม้พูดไม่ถนัดแต่เวลาเรียกชื่ออุ้มจะเสียงดังฟังชัด) ก็เลยคิดว่าผมแยกง่าย ผมแยกขาด ผมรู้สึกว่าอยากเคารพในไอเดียความคิดของเขา ผู้กำกับต้องการอะไรจากตัวละคร ต้องมีการสื่อสารระหว่างนักแสดงกับผู้กำกับ
ผู้ชม 4 - ผมเรียนปี 2 อยากถามเรื่องการออกแบบตัวละครกับนักแสดงเพราะว่า เวลาเขียนบทก็มี concept แต่จะหยุดทุกอย่าง แล้วไปสร้าง category ออกแบบตัวละครก่อน เลยอยากรู้ว่าจากมุมมองของนักแสดง category ที่ดี มี detail จุดไหนควรเป็นจุดที่มากที่สุดที่จะทำให้นักแสดงเข้าถึงตัวละครได้มากที่สุดครับ?
อ๋อ อัจรา - สำหรับเราในฐานะนักแสดงถ้าให้บทมาก็คงต้องอ่านให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วคุยกับผู้กำกับหรือคนเขียนบทที่สามารถบอกได้ว่าตัวละครเป็นใคร มาจากไหน อยู่ในสถานการณ์แบบไหน ต้องการอะไร และจะทำอะไรต่อไป พี่อุ้มน่าจะกระจ่างกว่า
อุ้ม วัลลภ - story ของตัวละครเวลาที่เขียนบทใช่ไหมครับ ผมไม่ได้เป็นผู้กำกับแล้วก็ไม่ได้เขียนบท แต่พอรู้ว่าบทที่ให้มาเราเห็นเป็นรูปร่างของมนุษย์คนนี้มากน้อยแค่ไหน เวลาอ่านจะรู้สึกว่ามีความเป็นมนุษย์ เราเห็นภาพประมาณสัตว์ที่ประเสริฐ 40 % แต่ถ้าสมมุติว่าเยอะหน่อยเราก็จะเห็นอณูความเป็นมนุษย์ เวลาอ่านบทเราเห็นภาพเขากินข้าวยังไง เขาเดินยังไง ลักษณะหายใจยังไง
แต่ถ้ากรณีที่เราเริ่มต้นเขียนบท จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจออกแบบออกแบบตัวละคร แต่ว่าผมจะให้เวลากับการอ่านและหาข้อมูลของตัวละครเยอะ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นนักแสดงหรือเปล่า แต่ว่าผมเป็นนักลอกเลียนแบบ ‘ผีน้อย’ ที่ไปเจอ นำข้อมูลที่ได้มาประกอบเป็นตัว ‘ผี’ แล้วยืมมาเข้าร่าง ผมต้องพยายามทำผีให้คนเห็นภาพมากที่สุดครับ ถ้าเกิดเป็นแบบ story ของคน เราก็ต้องทำให้ (ผู้ชม) เห็นภาพไอ้ผีตัวนี้มากที่สุดครับ (ถ่ายทอดให้คนดูรับรู้ได้ชัดเจนและเข้าถึง) ระหว่างที่เราเขียนบทกับช่วงที่เรา prepro หรือว่าก่อนการถ่ายทำ เรายังแชร์แลกเปลี่ยนกับนักแสดงได้ เขาจะช่วยตีความได้ว่าเขาคิดอย่างนี้เขาคิดเห็นตรงกับเรา หรือคิดอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสนุกของการแลกเปลี่ยนมากเลย ผีตัวนั้นตอนอยู่ในบท 30-40-50 % ก็สวยงามแล้ว ที่เหลือก็คือพื้นที่ให้เราไปแลกเปลี่ยนกัน

ผู้ชม 5 - เมื่อกี้นั่งอ่านวิกิพีเดียดูเขาบอกว่าผู้กำกับได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริง ที่มีญาติต้องไปรับบริการจากผู้ดูแลเถื่อนเหล่านี้ ก็เลยสงสัยต่อไปว่าจริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้ base on ความจริงแค่ไหน โอเคล่ะเรื่องคนป่วยเรื่องการดูแลไม่ไหวมันก็เป็นเรื่องที่มีกันอยู่ทุกประเทศอยู่แล้ว / อยู่ดี ๆ คนวิ่งหนีออกมาจากสนามบินแล้วขึ้นรถตู้นี่มันจริงแค่ไหน / คุณอุ้มที่เป็นนักแสดงเคยมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นของบทแค่ไหน เช่น บท คงไม่ได้เป็นภาษาไทยใช่ไหม เราออกแบบคำพูดเองหรือเปล่า / หรือว่าอย่างเพลงที่ร้อง “ยินดีไม่มีปัญหา” นี่มันย้อนแย้งกับเนื้อหาของหนังใครเป็นคนเลือก เราเลือกเองหรือเปล่าครับ
อุ้ม วัลลภ - ส่วนที่เป็นเรื่องจริงคือตัวละครที่อุ้มถูกลอ็คอยู่กับคนแก่ในบ้าน กับซีนที่อาอี๊ป่วยขับรถไม่ได้ แล้วก็มีผสมอยู่อีกประมาณหนึ่ง จุดที่เป็นต้นกำเนิดเชื้อของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มาจากการดูแลผู้ป่วยนี่แหละครับ เรื่องเพลง “ยินดีไม่มีปัญหา” ( โดย อัสนี-วสันต์ โชติกุล ปี 2532) เป็นความตั้งใจของผู้กำกับเลยครับ ที่ต้องการให้สองตัวละครนี้ร้องเพลงเดียวกันแต่คนละความหมาย เพลงนี้มี version ไทยก่อน แล้วถึงมี version จีน ความหมายของ version จีน ก็อย่างที่ทุกคนเห็นใน subtitle นะครับ ความหมายมันย้อนแย้งกันสุด ๆ เลย
ส่วนเรื่องบท ผมเคารพบทของเขา แต่ว่าสิ่งที่ผมทำได้ก็จะเป็นการเพิ่มเติม improvise หรือว่าบางจังหวะที่ผมจำเป็นต้องพูดภาษาจีน ทำจริง ๆ น้อยมากผมต้องเริ่มใหม่ ถ้าผมรู้สึกว่าตัวละครจะพูดอะไรแบบนี้ก็จะสังเกตว่าเขาพูดยังไง บางทีผู้กำกับเขาเห็นผมทำยังงี้บ่อย ๆ จนวันรุ่งขึ้นก็บอกให้พูดแบบนี้นะ บททั้งหมดจะมี 4 version ฝรั่งเศส จีน อังกฤษ ไทย ผมอ่านบทได้ 2 ภาษา ไทยกับอังกฤษ ผมอ่านจีนไม่ได้ จริง ๆ ผมอยากจะอ่านให้ได้ เข้าใจว่ามันมีเชื้อบางอย่างที่เป็นความคิด ความรู้สึก ของผู้กำกับที่ใกล้เคียงกับภาษาจีน
จีน ธัญวรัตม์ - แปลว่าพี่อุ้มก็อาจจะปรับภาษาไทยบ้าง โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวเทียบความหมายอย่างนี้ใช่รึเปล่าคะ
อุ้ม วัลลภ - ครับ แต่ผมรู้สึกว่าบทอันนี้มันควรจะถูกอ่านในสายตาของคนที่ไม่ใช่คนไทย ทุกคนถามจริงจังจังเลยครับ
ผู้ชม 6 - อันนี้อาจะเป็นคำถามเฉพาะพี่อุ้มในฐานะที่ต้องรับบทร่วมงานกับนักแสดงที่เป็นผู้พิการ สื่อสารกันยังไงให้เขาแสดงมุม sensitive ออกมาโดยที่เขาไม่รู้สึกถูกขุดคุ้น ให้เขารู้สึกว่ายังได้รับความเคารพอยู่ครับ
อุ้ม วัลลภ - ทำยังไงให้เขารู้สึกว่าเขาได้รับเกียรติ สนุกกายสบายใจที่จะทำงานด้วยใช่ไหมครับ ทีมงานทุกคนเรามีการให้เกียรติกันเต็ม ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วก็ทำซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นมีการทำแบบฝึกหัดที่เราจะเข้าสู่ขบวนการของการแสดงแล้วครับ ซูเหว่ย (แสดงเป็น ฮุย ผู้พิการ) เขาเป็นคนสนุกแล้วก็ตลกมากครับ เขาไม่สามารถพูดเป็นประโยคเต็ม ๆ ได้ เช่นสมมุติเขาจะบอกว่า “อุ้ม หิวข้าวแล้ว” เขาอาจจะพูดว่า “หิว” หรือ “ข้าว” ถ้าจะให้เป็นประโยคในชีวิตจริงเขาจะใช้ไอแพดพิมพ์ว่า “อุ้ม หิวข้าวแล้ว” แต่ว่าในบทของ ‘อาฮุย’ เขาจำเป็นต้องแสดงแบบลดความสามารถลง แล้วเขาสามารถทำเพิ่มได้ในบทการแสดง ซูเหว่ยเก่งมากครับ

ผู้ชม 7 - ตัวละคร อุ้ม มีหูฟัง แล้วฟังอยู่เรื่อย ๆ จริง ๆ แล้วฟังไหม มันมากับบทหรือว่าเป็นการ design ข้างในหูกับข้างนอก
อุ้ม วัลลภ - คำถามนี้มีมาทุกประเทศเลย (หัวเราะ) ไม่แน่ใจว่าสังเกตกันรึเปล่ามันมีความต่าง ช่วงซีนแรก ๆ จะเป็นหูฟังแบบมีสาย หลังจากนั้นจะได้หูฟังแบบไร้สายมาทีหลัง (ชิง ลูกพี่ที่เขารับใช้ ให้เป็นรางวัลความดีความชอบที่ทำงานให้ถูกใจ) ถ้าถามผมในฐานะนักแสดง ผมคิดว่าตัวละครน่าจะฟังอะไรซักอย่างหนึ่งถ้าเขาฟัง ในฐานะนักแสดงผมจำเป็นต้องสร้างให้ตัวเองเชื่อในสิ่งนี้ ผมก็เลยสร้างสปิริตขึ้นมาให้ตัวละครเพื่อส่งต่อให้ทีมงานว่า ตัวละครนี้ถ้าเกิดเขาฟังเพลงเขาจะฟังอะไรประมาณนี้ แต่ว่าถ้าเกิดเป็นคนดู ตอบในฐานะคนดูผมไม่แน่ใจว่าเขาฟังหรือไม่ฟัง หรือฟังอะไร เขาอาจไม่ฟังอะไรก็ได้เพราะต้องการความเงียบที่สุด เพราะเขารู้สึกว่าอยากจะหนีอะไรไปซักที่ ก็เลยขอตอบแบบกลาง ๆ ว่า ไม่แน่ใจ (ผู้ชมฮาครืน) ถ้าเกิดอยากลองเข้าไปฟัง ลองค้นหาใน Spotify ก็ได้ คำว่า Mongrel ขอบคุณครับ
ผู้ชม 8 - มีฉากที่เด็กตัวละครถามมือถือว่า คืออะไร เขาไม่รู้จักเลยหรือว่ายังไงครับ
อุ้ม วัลลภ - การที่เด็กในเรื่องถามว่า “นี่คืออะไร” ไม่ใช่เขาไม่รู้จักมือถือ ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึง “นี่เกมอะไร” อาจเป็นเกมใหม่ที่เขาไม่รู้จัก แล้วก็อาจไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้มือถือ
ผู้ชม 9 - อยากเข้าใจความรู้สึกของตัวละครอุ้มว่า พาร์ทการดูแลตัวละครในเรื่อง กับการไล่ผีน้อยตอนทำงานมีความรู้สึกยังไง ภายใต้การเงียบนิ่ง ความรู้สึกภายในหัวเกิดอะไรขึ้นบ้างสำหรับตัวละคร
อุ้ม วัลลภ - ก็ไม่รู้ลึก ๆ นะ (เปรยเบา ๆ ) จริง ๆ แล้ว ผมว่าแต่ละคนคงมีความรู้สึกบางอย่างหรือตั้งคำถามว่า ตอนนี้ตัวละครรู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ ก็อาจจะเป็นความรู้สึกเดียวกับคนดูครับ
ผู้ชม 10 - พอดูก็ชื่นชมครับเพราะน้อยเรื่องที่ตัวเอกจะมีบทบาทครอบคลุมขนาดนี้ ครอบคลุมทุกซีนไม่มีใครมาแย่งเรา แต่ดู ๆ แล้ว เอ๊ะ! มันดีเกินไปน่าจะมีเลวบ้างบางส่วนนะ นี่ดูดีไปหมดเชิดชูพระเอกมากเกินไป ผมติดใจที่เอาเงินไปให้เขา มันเป็นเงินจริงเหรอครับ ตั้งใจสื่อจะสื่ออะไรครับ แต่ผมชื่นชมมาก ๆ นะครับ อีกส่วนการดูแลคนไข้ต้องเทรนเยอะใช่ไหมครับ ที่โรงพยาบาลมีหมอมาช่วยคุมดูแลด้วยใช่ไหมครับ
อุ้ม วัลลภ - ซีนที่ดูแลผู้สูงอายุต้องไปเรียนมาก่อน แต่มาแปลงเป็นคนที่ไม่ได้ผ่านการเทรนมา ทำเป็นบางอย่าง บางอย่างก็ทำไม่เป็นบ้าง ทำในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวละคร แต่ว่าฉุกเฉินก็เรียกรถพยาบาลมีพนักงานดูแลครับ
ใครที่คิดว่าตัวละครเป็นคนดี๊คนดีเลยยกมือครับ (ผู้ชมร่วมออกเสียงยกมือบางส่วน) ขอบคุณครับ ใครคิดว่าเทา ๆ ครับ (ยกมือเยอะ) ใครคิดว่าเป็นคนไม่ดีครับ (ยกมือน้อยมาก) เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เทา ๆ บางคนอาจจะเห็นว่าเขาเลวมากเลยที่ทำกับคนไทยคนเวียตนามขนาดนี้ บางคนอาจคิดว่าเขาแบกรับทุกอย่าง ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับเรามองยังไง ผมว่านี่คือความสวยงามของการตีความครับ

ผู้ชม 11 - ฉากที่ผ่านยากสุด เทคเยอะสุด กับ เขาใช้กล้องทำงานกับนักแสดงยังไงบ้าง ฉากถ่ายใกล้ ไกล มีการวาง design มาแล้วตั้งแต่แรกอะไรยังไงบ้างครับ
อ๋อ อัจฉรา - ฉากถ่ายยากสุดของเราน่าจะเป็นวันสุดท้ายที่ไหมกำลังเก็บของ หลายเทคมากเพราะว่าต้องทำยังไงให้รู้สึกว่าเราลำบากใจที่จะต้องออกไปจากตรงนั้น แล้วในขณะเดียวกันอุ้มก็เดินออกมาเจอพอดี มันยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก ถ้าเป็นเราคนเดียวที่หนีไปก็คงเข้าใจ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนไปหมดเลย เหมือนภาระตกอยู่ที่เขามันคือความทุกข์อย่างที่สุด จำได้ว่าหกเทคเพราะเป็นซีนอารมณ์เยอะมาก ที่เห็นนั่นคือเสี้ยวเดียวที่ทำมาทั้งหมด แล้วเราทุ่มเททุกเทคก็เลยรู้สึกว่ายากสุดแล้ว
อุ้ม วัลลภ - เป็นซีนจบที่เราทำงานกับสัตว์เกือบยี่สิบเทค ปกติเขาจะเทคไม่เยอะครับ
ผู้ชม 12 - อยากรู้ว่าเวลาเทคเยอะคิดว่าผู้กำกับเขามองหาอะไรอยู่ครับ
อ๋อ อัจฉรา - เราต้องสื่อสารกับเขาด้วย บางทีซีนนี้เขาพอใจแต่ว่าเราขอเพิ่มก็มี แบบขออีกเทคได้ไหม เราคิดว่าเทคที่เราขอน่าจะดีที่สุด แล้วเขาก็คิดว่าเราน่าจะสุด ๆ อีกรอบอะไรแบบนี้ค่ะ อย่างที่พี่อุ้มบอกว่าผู้กำกับไม่ได้เทคเยอะมาก แต่คุยหนักมากค่ะก่อนแสดงเราสื่อสารกันแบบสุด ๆ เลย
อุ้ม วัลลภ - ใช่ครับเทคไม่เยอะแล้วก็จากการที่เราคุยกันเยอะมากช่วง prepro เราเห็นภาพใกล้เคียงกัน เกือบเหมือนกันเลย วันถ่ายคือวันที่เราทำให้เกิดภาพจริงขึ้นมา ระหว่างที่มีเทคเยอะหรือมากกว่า 1-2 เทค แน่นอนว่ามันมีเรื่องของเทคนิคบางอย่าง ส่วนเรื่องการแสดงเราก็ ผมกับเว่ยเลี่ยงจะมีรหัสกันอยู่ว่า โดยส่วนใหญ่ผมรู้ว่าภาพที่เขาอยากได้มันเป็นยังไง ผมก็จะทำภาพนั้นให้เขาก่อน เมื่อเขาโอเคแล้วผมก็ทำ freedom take ของผม บางทีเขาก็จะบอกก่อนเลย “วัลลภ อันนี้ freedom” แล้วค่อยมาปรับกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละซีนนั้น แต่ภาพจะชัดมาก เราคุยกันน้อยมากช่วง production แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากจะคุยกับเขา ก่อนถ่ายจะแยกไปนั่งมุมโน้นจะถ่ายค่อยเรียก
ผู้ชม 13 - ในฐานะนักแสดงอะไรสนุกที่สุดในการทำหนังเรื่องนี้ครับ
อ๋อ อัจฉรา - จริง ๆ เราก็เอ็นจอยกับการถ่ายทำค่ะ บทที่ได้รับด้วยความที่เป็นเรื่องใกล้ตัว เลยอยากทำให้เต็มที่มากกว่า บทพูดบางประโยคจริงๆ ในความรู้สึกเรามันก็สื่อสารได้ครอบคลุมอยู่ ตอนที่ไหมบอกว่า “เรามีสิทธิ์เลือก” แต่ถ้ามองในมุมกลับกันก็อาจจะเลือกไม่ได้เลย สำหรับเราตรงนี้เป็นจุดสรุปแล้วทำยังไงให้คนรู้สึกคิดกับมันได้ด้วย นอกเหนือจากการทำงานแล้วก็ชอบไต้หวันตรงที่เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเที่ยวด้วย เอ๊ย!! ไม่ใช่ ไปทำงานค่ะ (ผู้ชมขำคิกคัก)
อุ้ม วัลลภ - สำหรับผมตั้งแต่อ่านบทแล้วผมจะทำทุกวิถีทางให้ได้ทำงานกับโปรเจ็คนี้ สิ่งที่ผมรู้สึกดีใจประทับใจก็คือ เราในฐานะตัวแสดงทำสิ่งที่มันเป็นตัวหนังสือให้มันมีชีวิต แล้วถ่ายทอดให้คนดูรู้สึกเหมือนตอนที่ดู พาหนังไปให้คนดูตั้งคำถาม หาคำตอบ จุดนี้คือความประทับใจครับ
ผู้ชม 14 - เมื่อกี้พูดถึงตัวละครอุ้ม ผมอยากถาม พี่อุ้ม ตอนที่ไปทำงาน ตัวเรื่องมันมีความเข้มข้นของการถ่ายทำแล้วก็ตัวเนื้อเรื่องด้วยใช่ไหมครับ พี่อุ้มเองมีวิธีการผ่อนคลายระหว่างที่ไปทำงานไต้หวันยังไงบ้างครับ
อุ้ม วัลลภ - คำถามดีมาก เยี่ยมเลยครับ หนังเรื่องนี้มีคิวถ่าย 33 วัน วันที่เราเคลื่อนตัวออกไปทำงาน 55 วัน ผมใช้เวลาในการเตรียมตัวจนถึงถ่ายทำเสร็จประมาณ 4 เดือน ที่ไต้หวัน ทุก ๆ วันเข้มข้นมาก ๆ สิ่งที่ทำให้ผมผ่อนคลายได้หลังจากหนึ่งวันผ่านก็คือ ทุกวันก่อนเข้าที่พักผมแวะซื้อเบียร์ (ผู้ชมขำคิกคัก) ถ้าวันไหนรู้สึกเข้มข้นแบบเบา ๆ ผมก็จะซื้อเบียร์แบบเบาสุดชื่อ ‘TAIWAN BEER’ แต่ถ้าวันไหนเจ้มจ้นมาก ๆ ก็จะอีกยี่ห้อ แต่ละวันสามารถวัดได้จากเบียร์ที่ผมกิน นี่คือวิธีผ่อนคลายของผม แล้วอาบน้ำก็ช่วยได้ครับ ขอบคุณคำถามสนุกครับ
ผู้ชม 15 - ในวันหยุดพี่อุ้มไปที่ไหนและประทับใจอะไรที่ไต้หวันครับ
อุ้ม วัลลภ - จริง ๆ วันหยุดผมก็กินเบียร์ จำได้ว่า 4 เดือน ที่ไปทำงาน ผมมีวันเที่ยวแค่ 1 วันที่ไม่มีอะไรเลยที่เหลือก็ทำแต่งาน
ปิดการสนทนาในวันนั้นด้วยคำถามเบา ๆ ถูกใจนักแสดง ก่อนแยกย้ายจากกันด้วยคำถามหนักอีกมากมายภายในสมองของคนเสพศิลป์ที่อินไปกับ ‘โจทย์ในใจ’ ที่มีให้กับ “Mongrel” ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะตอนจบแบบปลายเปิดของหนัง ที่ไม่ใช่เพียงประเด็นปัญหาในเนื้อหา แต่ทว่ารวมไปถึงการแสดง การถ่ายภาพ และสัญลักษณ์ที่เร้นอยู่ในทุกองค์ประกอบของแต่ละ shot ที่โชว์วิธีทำและบอกวิธีคิด ของคนที่เปี่ยมอุดมการณ์ มั่นคงต่อเจตจำนงในการสร้างงานศิลปะ ไม่ละเลยการสื่อสารอย่างแยบยลผ่าน ‘คนพันธุ์ทาง’ ผลกระทบจึงอยู่ที่ว่ารัฐ ‘เลือกจะวางเฉย’ หรือละเลยต่อการทำความเข้าใจใน ‘ต้นเหตุที่แท้จริง’ เพื่อป้องกันสิ่งเลวร้ายรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในทุกด้าน เพราะเป็นปัญหาที่หมักหมมมานาน และต้องการแผนงานแก้ไขในอีกระดับที่ไม่ธรรมดาสำหรับโจทย์ที่โหดขึ้นทุกวันในปัจจุบันสมัย.

ผลงานล่าสุดของ อุ้ม วัลลภ คือ “A Useful Ghost (ผีใช้ได้ค่ะ)” ภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของ รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับคัดเลือกให้ฉายรอบปฐมทัศน์โลก และเข้าประกวดในสาย Critics' Week ของ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 78 (Cannes Film Festival 2025 ) นับเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในรอบ 10 ปี ที่ได้เข้าชิงในสายนี้ และได้รับรางวัล AMI Paris Grand Prize รางวัลสูงสุดที่คณะกรรมการจะมอบให้กับภาพยนตร์ขนาดยาวยอดเยี่ยมประจำปี ของสายประกวด Semaine de la Critique ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2025 นำแสดงโดย นำแสดงโดย ดาวิกา โฮร์เน่, อาภาศิริ นิติพนม, วิศรุต หิมรัตน์ และ วัลลภ รุ่งกำจัด อำนวยการสร้างโดย คัทลียา เผ่าศรีเจริญ และ โสฬส สุขุม จากบริษัท 185 Films ร่วมกับบริษัท Kliff Capital, Cinema22, N8, New Narratives และ TSixtySix ร่วมทุนสร้างกับบริษัทฝรั่งเศส Haut les Mains และสิงค์โปร์ Momo Film Co
หมายเหตุ
- ขอขอบคุณภาพและข้อมูลข่าวจาก MONGREL
[1] Paris Jitpentom , แรงงานไทยผิดกฎหมายในไต้หวัน, สืบค้น 1 พฤษภาคม 2568, https://workpointtoday.com/illegal-thai-workers-in-taiwan-760712/.
[2] เจียงเว่ยเหลียง Chiang Wei Liang , Common Move , สืบค้น 5 พฤาภาคม 2568, https://www.facebook.com/search/top/?q=Mongrel&locale=th_TH.
[3] “เพราะแรงงานทุกคนคือคนสำคัญ” , Mirror Thailand , สืบค้น 1 พฤษภาคม 2568, https://www.facebook.com/MirrorThailandOfficial/videos/3394785290771503/.
[4] มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิแรงงานข้ามชาติ , สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ, สืบค้น 1 พฤษภาคม 2568, https://www.ilo.org/sites/default/files/wcmsp5/groups/public/@asia/@ro-bangkok/documents/publication/wcms_bk_pb_187_th.pdf.
[5] The meaning of ‘Educate, Agitate, Organize!’, a magazine of socialist ideas in action, สืบค้น 1 พฤษภาคม 2568, https://springmag.ca/the-meaning-of-educate-agitate-organize .