Focus
- ย้อนรอยภาพยนตร์และละครเวทีเรื่อง “โหมโรง” ซึ่งถ่ายทอดประวัติศาสตร์ผ่านคีตศิลป์ โดยบันทึกเรื่องราวชีวิตของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ครูดนตรีไทยผู้ยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล 2568” แม้การแสดงจะปิดฉากลงแล้ว แต่ความประทับใจยังคงตราตรึงอยู่ในใจผู้ชมอย่างไม่เสื่อมคลาย
จักรวาลและการเดินทางของ “โหมโรง”
มีภาพยนตร์หรือละครเวทีสักกี่เรื่องที่เมื่อจบการแสดงแล้วผู้ชมตื้นตันใจร้องไห้กันกว่าครึ่งโรงทุกรอบ “โหมโรง” และ “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล” คือหนึ่งในนั้น บทบันทึกแห่งยุคสมัยในหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์คีตศิลป์ ผ่านชีวินประวัติของ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง 6 สิงหาคม 2424 – 8 มีนาคม 2497) [1] ครูเพลงผู้อุทิศชีวิตให้กับการพัฒนาดนตรีไทยในมิติสากล เป็นบุตรชายคนเล็กของ นางยิ้ม และ ครูสิน ศิลปบรรเลง (พระประดิษฐไพเราะ หรือ มี ดุริยางกูร ลูกศิษย์และคนทั่วไปเรียก ‘ครูมีแขก’) และ ขุนอินทร์ ยศจริงคือ พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน พ.ศ. 2409-92)[2] ได้รับการเชิดชูเกียรติสร้างสรรค์ซ้ำหลายศาสตร์ กำกับภาพยนตร์ โดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ เพราะพลังความชื่นชม ฉายชีวิต จิตวิญญาณ และศรัทธาในการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของบรรพชนและดนตรีประจำชาติ ประกาศเกียรติภูมิแผ่นดินผ่านศิลปะการแสดงในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ 2475 จากระบอบสมบูรณาฯ สู่ประชาธิปไตย
“โหมโรง” สร้างกระแสสำนึกชาตินิยม ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งปรากฎการณ์ ‘รัฐนิยมทับถมชาติ’ เมื่อขาดความเข้าใจว่าทำไมดนตรีไทยถึงถูกรวบเข้าไปรวมอยู่ในหมวด ‘สิ่งต้องห้าม’ เพราะเกิดความเข้าใจผิดต่อวิธีคิดและการจัดระเบียบของผู้นำ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ผู้ออกกฎบัญญัติ “รัฐนิยม 12 ประการ” ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในช่วงปีประกาศใช้ พ.ศ 2582-2585 คือประเด็นสำคัญทางสังคมที่ทำให้ “โหมโรง” ได้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนศิลปินที่มีเพียงคีตาเป็นอาวุธ พยายามหยุดการปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยสำนึกรักในอารยะประจำชาติ อาจหาญย้ำยืนยันอัตลักษณ์ ศักดิ์ศรี ผ่านดนตรีไทย ให้ยืนยงอย่างสง่างามจนถึงปัจจุบันนี้ จึงทำให้ไทยมีทั้งภาพยนตร์ ดนตรี ละครเวที ร่วมทำหน้าที่ปลุกจิตสำนึกรำลึกคุณแผ่นดิน ตามแนวทางการต่อสู้ของศิลปิน
ก่อนการก่อเกิดของ “โหมโรง” วงการโทรทัศน์ไทยได้สร้างปรากฏการณ์ ‘ละครก้าวหน้า’ ด้วยละครหลังข่าวเรื่อง “ระนาดเอก” [3] ผลิตโดย สถานีโทรทัศน์สี กองทัพบก ช่อง 7 ร่วมกับ มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ เป็นละครทีวีคุณภาพดีแห่งยุคสมัย ที่เป็นเสมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ชั้นดีเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยผู้กำกับกลุ่มคนหนุ่มหัวก้าวหน้าในยุคนั้นคือ ‘ครูช่าง’ ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง และ ยิ่งยศ ปัญญ / บทโทรทัศน์ โดย ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง, ภาสุรี ภาวิไล และ ละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล / นำแสดงโดย สินจัย หงษ์ไทย, ศรัณยู วงศ์กระจ่าง, ส.อาสนจินดา, สมพล กงสุวรรณ, ชาญวุฒิ พรหมสาขา ณ สกลนคร, ละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล, ราชิต ชูเมือง, ชนะ ชำนิราชกิจ, เฉลิมพร พุ่มพันธ์วงศ์, ศานติ เวชกุล, เธียรชัย อิครเดช, รัชนี ศิระเลิศ, ชนาภา นุตาคม ฯลฯ
“ระนาดเอก” เป็นละครทีวีที่ได้รับการรยกย่องให้เป็นสุดยอดละครโทรทัศน์ไทยแห่งปี 2528 สร้างชื่อให้ ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ได้แจ้งเกิดเป็นดาวรุ่งประดับวงการ พร้อมด้วยนางเอกตลอดกาล สินจัย หงษ์ไทย, รัชนี ศิระเลิศ และ ชนาภา นุตาคม ฯลฯ ประเสริฐสร้างสรรค์ภายใต้เนื้อหาล้ำหน้าแห่งยุค ปลุกใจผู้คนด้วยกลการประชันเพลงไทยของบรมครูทางระนาด 2 สายหลัก ระหว่าง จางวางขาว กับ จางวางดำ (ต้นเค้าแนวคิดเชื่อมโยงมาสู่ จางวางศร-ขาว กับ จางวางอิน-ดำ ซึ่งมี ‘ทางดนตรี’ ต่างกัน) ที่ล้วนค้นคิดประสิทธิ์ประสาทถ่ายทอดเพลงระนาดตามแนวทางทักษะของตน จากรุ่นบรมครูถ่ายทอดสู่รุ่นศิษย์ดนตรีไทยโดยนักดนตรีวง ครูสุพจน์ โตสง่า และวง กอไผ่ ดนตรีประกอบ โดย บรู๊ซ แกสตัน แรกสนุกและมีเสน่ห์ตรึงใจแฟนละครไทยเฉพาะกลุ่ม หลังออกอากาศได้ไม่นานเริ่มกระจาย ‘ทางหวาน’ ออกไปในวงกว้างอย่างรวดเร็วด้วยเสน่ห์ของดาราและดนตรีไทย


อาวุธแห่งกวี ดนตรีแห่งแผ่นดิน
“โหมโรง” (THE OVERTURE) แปลว่า ‘การประโคมดนตรีก่อนมหรสพเปิดการแสดง’ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2547 เขียนบทและกำกับการแสดงโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ (ร่วมเขียนบท โดย พีระศักดิ์ ศักดิ์สิริ และ ดลกมล ศรัทธาทิพย์) / ประพันธ์ดนตรี โดย ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า, วงกอไผ่, ชัยภัค ภัทรจินดา, ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์ / อำนวยการผลิตโดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ และ หม่อมกมลา ยุคล (ร่วมอำนวยการผลิตโดย นนทรีย์ นิมิบุตร, ดวงกมล ลิ่มเจริญ และ คุณากร เศรษฐี) / ควบคุมการผลิตโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์, พิศมัย เหล่าดารา / นำแสดงโดย อนุชิต สพันธุ์พงษ์, อดุลย์ ดุลยรัตน์, พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า, อาระตี ตันมหาพราน, ภูวฤทธิ์ พุ่มพวง, สุเมธ องอาจ, สมภพ เบญจาธิกุล และ สมชาย ศักดิกุล
แม้ช่วงแรกภาพยนตร์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ด้วยกระแสหลักในเวลานั้นให้ความสำคัญกับ ‘หนังนอก’ แต่ด้วยเนื้อแท้ที่มี content ดี บทมี theme ลุ่มลึกต่อสำนึกร่วมคือความเป็น ‘ชาติ’ ผ่านดนตรีไทยในงานสร้างที่ประณีตงาม มีความร่วมสมัยไม่ตกยุค ผ่านภาพยนตร์ย้อนยุค “โหมโรง” จึงเป็นต้นแบบงานคลาสสิคที่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการ แม้มีเนื้อหา ‘สาระหนัก’ ทวนกระแสหลักของตลาด แต่ได้สร้างให้เกิด ‘กระแสใหม่’ ที่ไม่ใช่เพียงถวิลอดีต แต่กลายเป็นจารีตกรีดสำนึกชาตินิยม ผู้ชมให้การรับการตอบรับดีมากเกินคาดหมาย เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ทำรายได้กว่า 50 ล้านบาท ประสบความสำเร็จระดับที่น่าพอใจในยุคนั้น ได้รับรางวัลทั้งในไทยและต่างประเทศมากมายเป็นประวัติการณ์ อาทิ
- รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 13 ประจำปี พ.ศ. 2547
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- ลำดับภาพยอดเยี่ยม
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง)
- ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
- รางวัล Audience Award (Popular Vote) จาก Miami International Film Festival 2005
- ตัวแทนภาพยนตร์จากประเทศไทย ส่งประกวด รางวัลออสการ์ ครั้งที่ 77 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ
- ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 70 เรื่อง “สุดยอดภาพยนตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 9” เมื่อปี พ.ศ. 2561
- ได้รับการขึ้นทะเบียน “มรดกภาพยนตร์ของชาติ” เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ
ฯลฯ

“โหมโรง” ยังคงความขลังเพิ่มพลังสืบสานนานต่อเนื่อง จึงในปี พ.ศ. 2558 จากบทเดิมเรื่องเดียวกันนี้ถูกนำมาสร้างสรรค์ใหม่ในรูปแบบของละครเวทีศาสตร์ที่ท้าทายด้วยจุดขายอีกระดับ ผู้ชมได้พบกับการแสดงดนตรีไทยแบบสด ๆ ใส่ชีวา ที่บอกถึงพัฒนาการของ ‘คนดนตรี’ ซึ่งมีความเพียรร่ำเรียนด้วยศรัทธามากกว่าคำว่า ‘วิชาชีพ’ โดยเฉพาะกับเครื่องดนตรีที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ราชาแห่งดนตรีไทย’ คือ 'ระนาด' ซึ่งมีสถานะเป็น ‘ตัวเอก’ ของ ‘โหมโรง’ ทุก version และมีช่วงเวลาพิเศษซึ่งโดดเด่นเป็นเสน่ห์เฉพาะที่ผู้ชมจะได้สดับรับเสพรสดนตรีสดของเรื่องคือ ฉากประชันระนาดระหว่าง ขุนอิน กับ ศร ที่ต่างเป็นสุดยอดในทางของตัวเองและเป็นที่ยำเกรงของคนดนตรี เมื่ออยู่บนเวทีการประชันฝีมือแบบแสดงสดคือโจทย์สำคัญของทีมทำงานทุกฝ่าย ที่ไม่ใช่เพียง ‘จุดขาย’ แต่คือ ‘ความหมาย’ ใน Theme เรื่อง ที่ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ความสำคัญไม่ได้จึงอยู่ที่การแข่งขัน แต่มันคือเจตจำนงที่ชัดเจนของงานการสืบสานและต่อยอด เพื่อสืบทอดเอกลักษณ์ไทย
การคัดสรรผู้แสดงนำในคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการจึงไม่ใช่เรื่องง่าย จนนาทีสุดท้าย… ปัญหาจบลงหลังทีมงานไหว้อธิษฐานขอให้งานราบรื่น แล้วเขาก็ปรากฎตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นคนสุดท้าย กรกันต์ สุทธิโกเศศ (อาร์ม) นักแสดงดาวเด่นของ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ผู้มีประสบการณ์ด้านละครเวทีระดับมืออาชีพมาแล้ว เป็นนักร้องรองชนะเลิศอันดับ 1 และ Popular Vote ของ KPN Award Thailand Singing Contest 2009 ครั้งที่ 19 และเป็นพิธีกรข่าวของ บริษัท Workpoint … ใกล้กว่าที่คิด เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลือกไว้ให้แล้ว เขาคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ละครเวที “โหมโรง” สำหรับบทสำคัญเป็น ศร หนึ่งในเซ็ทนักแสดงนำ ที่ทำงานร่วมกันในเรื่ิองนี้อีกถึง 3 ครั้ง ในวาระต่อมา คือ สาธิดา พรหมพิริยะ รับบท แม่โชติ, ทวีศักดิ์ อัครวงษ์ รับบท ขุนอิน และ สุประวัติ ปัทมสูต รับบท ท่านครู จึงทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนว่ากำลังได้ดูเรื่องราวการต่อสู้ในชีวิตจริงของนักดนตรีไทยในยุคนั้น
“โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ดำเนินงานสร้าง โดย Workpoint Entertainment ร่วมกับ บริษัทโต๊ะกลมโทรทัศน์ จำกัด ปัญญา นิรันดร์กุล - ประภาส ชลศรานนท์ ผู้บริหาร, สังข์-ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม (ผู้กำกับ) / ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Acting Coach และร่วมกำกับ, ครูเอ้-อัษฎาวุธ สาคริก ทายาทรุ่นเหลนของ หลวงประดิษฐไพเราะ ควบคุมวงดนตรีไทย ประพันธ์เพลงโดย พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์, บอย-ตรัย ภูมิรัตน์ และ ตู๋-ปิติ ลิ้มเจริญ (เพลง “เสียงนั้นเสียงหนึ่ง”[4] แต่งโดย พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ร้องโดย แนน-สาธิดา พรหมพิริยะ นักร้องชนะการแข่งขันจากเวที World Championships of Performing Arts 2011)
“โหมโรง เดอะมิวสิคัล” เป็นละครเรื่องแรกแหวกม่านเปิดพื้นที่ Art Community ของ เคแบงก์สยามพิฆเนศ บนชั้น 7 สยามสแควร์วัน กว่า 1,000 ที่นั่ง เปิดการแสดงครั้งแรก โดย Workpoint จัดการแสดงรอบปฐมฤกษ์เบิกโรงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558 แรกมีกำหนดจัดการแสดงใน วันที่ 4, 5, 23–26, 30 เมษายน และ 1–3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 จำนวน 15 รอบ เมื่อเสียงตอบรับดีจึงมีจัดเพิ่มอีก 12 รอบ ในวันที่ 7–17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 รวมทั้งสิ้น 27 รอบ

จัดการแสดงครั้งที่ 2 "โหมโรง เดอะ มิวสิคัล Restage" จากกระแสตอบรับของการแสดงครั้งแรกดีมากนำความภาคภูมิใจให้ผู้จัดวัดคะแนนนิยมกันอีกรอบ โดย นักแสดงและทีมงานชุดเดิม (ดำเนินงานสร้างร่วมกับ บริษัทโต๊ะกลมโทรทัศน์ จำกัด) สิ่งที่เพิ่มเติมคือ ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการในการเล่นระนาดของ นายศร, มีการเพิ่มเพลงแต่งใหม่ให้ผู้รับบท พันโทวีระ ขับร้อง 1 เพลง (“แสนคำนึง”) และ เพิ่มบทบรรยายภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารในวงกว้างกับต่างชาติ จัดการแสดงในวันที่ 6–8, 13–15 และ 20–22 -28-29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 รวมทั้งสิ้น 14 รอบ
จัดการแสดงครั้งที่ 3 "โหมโรง เดอะ มิวสิคัล 2561" ผลิตร่วมกับบริษัทโต๊ะกลมโทรทัศน์อีกครั้ง และมีการเปลี่ยนตัวนักแสดงบางส่วน แต่นักแสดงนำยังเป็นชุดเดิมอาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ, แนน-สาธิดา พรหมพิริยะ, พ่ออี๊ด-สุประวัติ ปัทมสูต, โย่ง อาร์มแชร์, เบิ่ง-ทวีศักดิ์ อัครวงษ์, แม่เม้า-สุดา ชื่นบาน และดารานักแสดงสมทบอีกมากมาย กำกับการแสดง โดย ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม จัดการแสดงใน วันที่ 5 พฤษภาคม–3 มิถุนายน พ.ศ. 2561 รวมทั้งสิ้น 11 รอบ

จากความสำเร็จของ “ระนาดเอก” และกระแสตอบรับสูงของ “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล” ส่งผลให้เกิดการต่อยอดจากศิษย์รุ่นล่าสุดในปี พ.ศ 2562 ด้วย “ระนาดเอกทางเปลี่ยน” หนังน้อยนอกกระแสผลงานของ 2 กลุ่ม “เกินกว่าบ้า” ภาพยนตร์ กับ ชุมขนละครมรดกใหม่ ยืนยันปณิธานการสร้างงานผ่านสโลแกนของเรื่องว่า “ศิลปินเมื่อเลือกแล้ว ไม่มีทางล้มเลิก ถ้าเลิกก็ไม่ใช่ศิลปิน” หนังได้รับการสนับสนุนโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, กลุ่มบริษัททิปโก้ และ มูลนิธิกุมุท จันทร์เรือง เปิดการแสดงเมื่อ วันที่ 5 - 6 - 7 - 8 กันยายน 2562 ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 อาคารทิปโก้ ถนนพระราม 6 กท. บัตรราคา 300 บาท และ 1,000 บาท ประกาศจุดประสงค์ชัดเจนว่า รายได้สนับสนุนการปรับปรุงโรงละครเพื่อการเรียนรู้ และโรงกิจกรรมกลางแจ้งชุมชน ของ บ้านเรียนละครมรดกใหม่
บันทึกเบื้องหลังการถ่ายทำของทีม “ระนาดเอกทางเปลี่ยน กระบวนการสร้างหนังของเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ประสีประสากับการถ่ายทำหนังใหญ่เอามาก ๆ แต่พวกเขาก็ค่อย ๆ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการได้ลงมือทำด้วยกัน โดยมีผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่เป็นมืออาชีพจริง ๆ ในสายวิชาทำหนังคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่าง ๆ ผิดก็ได้เรียนรู้แก้ไข ถูกก็ยึดเอาเป็นแบบอย่างแนวทาง นอกจากเป็นหนังที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เด็ก ๆ ในบ้านเรียนละครมรดกใหม่แล้ว ยังเป็นหนังที่ดึงเอาเครือญาติ-พี่น้อง-มิตรสหาย เข้ามาร่วมในขบวนการนี้ ตั้งแต่ผู้กำกับ นักแสดง คนทำอาหาร ยันคนแบกของ ทุกคนทุกตำแหน่งต่างมาช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เบื้องหน้าก็เบื้องหลัง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นความผูกพัน เป็นความอบอุ่น แบบพี่ ๆ น้อง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่หนังบ้า ๆ เรื่อง “ระนาดเอกทางเปลี่ยน” ดำเนินการถ่ายทำไปตามวิถีเหลวไหลของมัน” …

“โหมโรง” ถูกนำมาขยายรายละเอียดอีกครั้งในรูปแบบละครโทรทัศน์ทาง ไทย พีบีเอส ในรูปแบบละครซีรีย์ 17 ตอนจบ[5] เมื่อปี พ.ศ. 2555 (และนำมาออกอากาศย้อนหลังทั้งหมดเมื่อ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ 2564 - 22 พฤษภาคม พ.ศ 2564 ออกอากาศทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 20.15 - 21.10 น) โดยมี ธนาวุฒิ ศรีวัฒนะ รับบท ศร, นพพล โกมารชุน รับบท ท่านครู และ ทวีศักดิ์ อัครวงศ์ รับบท ขุนอิน เบิ่ง เป็นนักระนาดมือดีมีพัฒนาการเด่นเติบโตมากับ วงกอไผ่ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังบทบาทสำคัญคือการเป็นนักแสดงแทน (Stand in) ในการบันทึกเสียงตีระนาดของทั้งศรและขุนอิน ทั้งใน version ภาพยนตร์ และละครทีวีอีกด้วย ปัจจุบัน ครูเบิ่ง นักระนาดมือดีของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
จากบันทึกการทำงานของ ครูเอ้ อัษฎาวุธ สาคริก (Asdavuth Sagarik) ทายาทรุ่นเหลนของ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้บอกเล่าถึงเบื้องหลังการเตรียมงานส่วนของการบันทึกเสียงดนตรีไทย ในละครโทรทัศน์เรื่อง “โหมโรง” ของ ไทย พีบีเอส ไว้ที่ “เอ้ระเหยลอยชาย EP.538” [6] ว่า
เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 หลังจากการสรุปบท วางเพลง ออกแบบเพลง กำหนดบุคลิคของนักดนตรี เสียงดนตรี และอื่น ๆ อีกมากมายแล้ว วงดนตรี “กอไผ่” ก็ทำการบันทึกเสียงเพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง "โหมโรง" ที่จะทำการแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รวมทั้งหมด 17 ตอน ครั้งนั้นใช้ห้องบันทึกเสียง ROOMTONE STUDIO ทำการบันทึกเสียง แก้ไขรายละเอียดต่าง ๆ ยาวนานนับเดือน ในคลิปประกอบด้วย "พี่อิท" คุณอิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ “โหมโรง” มาช่วยแนะนำให้คำปรึกษา / "พี่ต้น" เจ้าของห้องอัดเสียง, "นิ้งหน่อง" วิศวกรเสียง / นักดนตรีวงกอไผ่ได้แก่ อานันท์ นาคคง, ชัยภัค ภัทรจินดา, ประสาร วงศ์วิโรจน์รักษ์, เลอเกียรติ มหาวินิจฉัยมนตรี, ทวีศักดิ์ อัครวงษ์, เกรียงไกร วรีวัฒน์, "ปุ๋ย" วัฒนา อ่อนสำลี / มาในคราวนี้มี ญา และ "เด" ธนาวุฒิ ศรีวัฒนะ ผู้รับบทเป็น "นายศร" โดยมีที่ปรึกษาดนตรี กับทีมประสานร้อยทิศ อยู่นอกกล้อง ( อัษฎาวุธ สาคริก, ทศพร ทัศนะ, นันทิภา ชั้นบุญ / บันทึกวิดิโอ โดย ทศพร ทัศนะ)

การแสดงครั้งที่ 4 ละครเวที ในวาระพิเศษ ครบรอบ 10 ปี แห่งการก่อตั้ง โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ และการกลับมาอีกครั้งในรอบ 10 ปี ของ Musical ที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของประวัติศาสตร์การละครไทย "โหมโรง เดอะ มิวสิคัล 2568" ละครเวทีที่มี ‘ดนตรี’ เป็น ‘ตัวเอก’ เรื่องราวของเสียงระนาดที่ไม่ใช่แค่บทเพลง แต่เป็นชีวิต จิตวิญญาณ และการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงรากเหง้าเผ่าพันธุ์ของความเป็นไทย ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ชีวิตของ “หลวงประดิษฐไพเราะ” บรมครูดนตรีไทยผู้ที่ได้ได้รับยกย่อว่าเป็น “มหาดุริยกวี 5 แผ่นดิน” ท่านไม่เพียงสร้างเสียงดนตรี แต่ยังสร้างคนบนรากฐาน ‘ดนตรีไทย’ ให้ดำรงคงอยู่ ท่ามกลางการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทั้งในยามรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงร่วงสู่ช่วงวิกฤตสุด ดนตรีไทยก็ยังคงอยู่อย่างองอาจประกาศความเป็นเอกราชคู่แผ่นดิน
นำแสดงโดย
นายศร รับบท กรกันต์ สุทธิโกเศศ
ท่านครู รับบท นพพล โกมารชุน
พันโท วีระ รับบท จ๋าย ไททศมิตร
ขุนอิน รับบท ทวีศักดิ์ อัครวงษ์
แม่โชติ รับบท แนน สาธิดา
ฯลฯ
จัดแสดงรอบละ 3 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 4, 10, 11, 12, 16, 17, 18 พฤษภาคม 2568 ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ปลุกจิตวิญญาณของดนตรีไทย รวมทั้งสิ้น 8 รอบ ราคาบัตร (ทุกที่นั่งยังไม่รวม Vat 7%) 4,000 / 3,400 / 2,800 / 2,200 / 1,600)
รับบท ท่านครู หลวงประดิษฐไพเราะในวัยชราคือ นพพล โกมารชุน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พ.ศ. 2564 แม้ผูกพันกับ “โหมโรง” มานานมากกว่าสิบปี (จากทีวีปี พ.ศ 2555) แต่ครั้งนี้เป็นการแสดงละครเวทีอย่างเป็นทางการเรื่องแรกของ ‘อาว์ตู่’ ซึ่งรอเวลานี้มานานจึงทุ่มเททำงานอย่างสุดกำลัง ทำให้มีอาการป่วยต้องงดการแสดงเพื่อรวบรวมพลัง (ทางโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศประกาศยกเลิกรอบการแสดงของ วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยเปิดรอบการแสดงเพิ่มเติมใน วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2568 รอบเวลา 19.00 น. แทน) ต่อให้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของนักแสดงวัย 72 ปี ก็จะยินดีกับการตายในหน้าที่เป็นที่สุด “ผมรักและศรัทธาอาชีพนี้มาก ผมพร้อมตายบนเวทีครับ” นพพล โกมารชุน กล่าวอย่างหนักแน่นจากใจจริง

“โหมโรง เดอะมิวสิคัล ๒๕๖๘”
ณ สยามประเทศ สมัยรัชกาลที่ 5 พุทธศักราช 2429 เด็กหนุ่มลุ่มน้ำอัมพวานามว่า ศร มีความผูกพันกับดนตรีไทยมาตั้งแต่เกิด ฉายแววอัจฉริยะด้านดนตรีมาตั้งแต่ 5 ขวบ แม้ ครูสิน ผู้เป็นพ่อมีแผลใจเรื่องลูกชายคนโตพี่ชายศร ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของคู่ปรับผู้พ่ายแพ้ในการดวลระนาด แต่ไม่อาจทนความใฝ่รู้ของลูกไม่ไหว จึงถ่ายทอดให้อย่างสุดความสามารถ ศรได้ฝึกปรือฝีมือจนมีชื่อเสียงร่ำลือในทางระนาด ด้วยความลำพองใจในฝีมือของตนจึงขอพ่อเข้าบางกอกด้วยความมั่นใจ ศรได้บทเรียนชีวิตจากความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก หลังการประฝีมือกับนักระนาดเอกทางดุนามอุโฆษ ขุนอิน จนสูญสิ้นความมั่นใจต้องหลบไปทบททวนแนวทาง
ศรกลับบ้านอย่างเสียศูนย์ หมดความลำพองภาคภูมิใจ ความมั่นใจถูกทำลายไปจนหมดสิ้น แต่ความสับสน ท้อแท้ สิ้นหวังกลับกลายเป็นพลังให้เกิดความมุมานะที่จะฝึกฝน จนสามารถคิดค้นเทคนิคการตีระนาดที่ไม่เหมือนใคร ชื่อเสียงของศรร่ำลือไกลไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง ศรได้รับการอุปถัมภ์ให้เป็นนักดนตรีประจำราชสำนัก จนได้พบรักกับ แม่โชติ สตรีผู้สูงศักดิ์ในวัง และได้กลายเป็นคู่ชีวิตในเวลาต่อมา ศรได้เข้าร่วมแข่งขันดนตรีกับขุนอินอีกครั้ง ฝีมือที่ฝึกปรือมาอย่างไม่ย่อท้อ ทำให้ศรมีสติปัญญาสามารถเอาชนะขุนอินคู่ปรับเก่าได้เป็นที่ชื่นชมยินดี
ศร จากวัยหนุ่มสู่วัยชรา เป็นช่วงเวลาถึง 4 แผ่นดิน จากรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 8 จนกลายมาเป็นครูดนตรีคนสำคัญของแผ่นดิน เดินทางผ่านยุคทองของดนตรีไทยในรัชกาลที่ 6-7 ช่วงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือจุดเปลี่ยนของบ้านเมือง ทั้งการปกครองและวัฒนธรรม เป็นยุคที่ผู้คนเข้าใจว่าดนตรีไทยถูกปิดกั้นจากรัฐบาล ซึ่งต้องการให้ประเทศไทยมีอารยะวัฒนธรรมใหม่ตามแบบตะวันตก สร้างความปวดร้าวให้กับคนดนตรีไทยทุกคนโดยเฉพาะ ท่านครู ผู้นำที่ยังยืนยันหาญกล้าฝ่าอำนาจ ใช้ดนตรีต่อสู้กู้ศักดิ์ศรี เพื่อให้ดนตรีไทยที่รักอยู่รอดจากการถูกทำลาย เพื่อไม่ให้กลายเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรม ตามที่ท่านผู้นำพยายามด้วยความไม่เข้าใจ

รัฐนิยม 12 ประการ กับงานจัดระเบียบวัฒนธรรม
หัวใจสำคัญของละครเพลงคือ บทเพลงและการบรรเลงดนตรี “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล” ไม่เพียงนำเสนอความไพเราะของดนตรีไทย บรรยากาศการประชันดนตรีที่เร้าใจ และความสามารถของเหล่านักดนตรีที่ร่วมกันบรรเลงสดให้รู้สึกฮึกเหิมเติมความรักชาติ (Nationalism) เท่านั้น แต่ยังบอกเล่าช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมือง ที่มีผลกระทบต่อวิถีดนตรีไทยในวงกว้าง เพราะสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อนโยบายสร้างชาติ นำไทยไปสู่ความเป็นอารยประเทศตามแนวทางตะวันตก โดย จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ด้วยการประกาศใช้ “รัฐนิยม 12 ฉบับ” ในปี 2482-2485 ซึ่งมีลักษณะเป็นแนวปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นข้อบังคับ และไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน แต่ในรายละเอียดของระเบียบปฏิบัติที่ (ฝืน) ไม่กลมกลืนไปกับวิถีชีวิตของคนไทย ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเท่าที่ควร
คณะรัฐมนตรีชุด (เดิม) ถัดมา คือ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 10 (พ.ศ. 2485–2487) ซึ่งมี จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 จึงหันไปผลักดันนโยบายสร้างชาติผ่านการออกกฎหมายบังคับแทน คือ “พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485” ซึ่งวางโทษทางอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืน นำไปสู่การถกเถียงอย่างกว้างขวางในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะจากสมาชิกสภาผู้ไม่เห็นด้วยกับการบีบบังคับใช้ เพราะมีที่มาจาก “บันทึกการประชุมกัมการวัธนธัมปรับปรุงและส่งเสิมการดนตรีและละคอน ในวันที่ 11 กันยายน 2485” เป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่ควรทำความเข้าใจร่วมกัน ตามที่ อติภพ ภัทรเดชไพศาล [7] นักวิจารณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยและสากลร่วมยืนยันไว้ใจความว่า
“บันทึกการประชุมกัมการวัธนธัมปรับปรุงและส่งเสิมการดนตรีและละคอน ในวันที่ 11 กันยายน 2485” ใน หจช. ศธ. 0701.5.1/15 การพิจารณาปรับปรุงกิจการเกี่ยวกับละคร และเครื่องสายไทย [พ.ศ. 2485-2488] อ้างใน พัฒนาการของ โนรา ภายใต้นโยบายทางวัฒนธรรมของรัฐไทย พ.ศ. 2485-2530 โดย รัฐกานต์ ณ พัทลุงโดยกรรมการวัฒนธรรมปรับปรุงและส่งเสริมการดนตรีและละครเริ่มประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2485 ก่อนจะเข้าประชุมร่วมกับข้าราชการกองสังคีต กรมศิลปากรในเวลาต่อมา แล้วได้ข้อสรุปแนวทางดำเนินงาน 4 ประการ คือ
1) ให้ตั้งโรงเรียนสอนการดนตรีและละคร โดยผู้ที่เรียนจบจะได้ประกาศนียบัตรเป็นศิลปิน เพื่อใช้ประกอบวิชาชีพอย่างเป็นทางการ
2) ปรับปรุงการแสดงละครของไทยให้มีความเป็นสมัยใหม่ ตัดการแสดงโขนให้สั้นลง ปรับปรุงการแต่งกาย เช่น ให้สวมรองเท้า เป็นต้น (แต่ในการประชุมครั้งต่อมาที่ประชุมเปลี่ยนมตินี้และตกลงให้การแสดงโขนคงรูปแบบเดิมไว้ เพียงแต่ให้สวมรองเท้า)
3) สำหรับดนตรีสากลให้จัดวงซิมโฟนี ออร์เคสตรา
4) ให้นักดนตรีไทยบรรเลงโดยการอ่านโน้ตแบบสากล และนั่งบรรเลงบนเก้าอี้

ในปีถัดมาหลังจากมีการออก “พระราชกริสดีกากำหนดวัธนธัมทางสิลปกัมเกี่ยวกับการบันเลงดนตรี การขับร้อง และการพากย์ พุทธสักราช 2486” แล้ว กรมศิลปากรได้อาศัยอำนาจในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ออกกำหนดระเบียบการขออนุญาตควบคุมการบันเลงดนตรีโดยเอกเทส การขับร้อง และการพากย์ ขึ้นใหม่ (เป็น “พระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมทางศิลปกรรมเกี่ยวกับการบรรเลงดนตรี การขับร้อง และการพากย์ พุทธสักราช 2486” ไม่ใช่รัฐนิยม ฉบับที่ 11) มีสาระสำคัญดังนี้
1) การบรรเลงดนตรีสากลทุกรูปแบบ รวมถึงวงโยธวาทิต แตรวง วงลีลาศ และการบรรเลงดนตรีไทยทั้ง ปี่พาทย์ เครื่องสาย มโหรี แตรสังข์ กลองชนะ สามารถจัดการบรรเลงได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร วงปี่กลองที่ใช้ในการกีฬาเช่นชกมวย และวงดุริยางค์ต่างชาติที่ใช้บรรเลงในงานต่าง ๆ ต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากรก่อนล่วงหน้าเป็นเวลา 2 วัน
2) การบรรเลงดนตรีทุกชนิด หากทางกรมศิลปากรเห็นว่าจัดบรรเลงโดยไม่ถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่เหมาะสมด้วยประการใด ๆ จะสั่งให้แก้ไขใหม่หรือระงับการบรรเลงเสียเลยก็ได้
3) การขับร้องบทที่แต่งใหม่ ต้องขออนุญาตก่อนเป็นเวลา 3 วัน และส่งบทประพันธ์ให้ทางกรมศิลปากรเป็นจำนวน 3 ชุดด้วย และหากทางกรมศิลปากรเห็นว่าสมควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ให้ผู้ประพันธ์ปฏิบัติตาม
4) ผู้บรรเลงดนตรี ผู้ขับร้อง และผู้พากย์ ต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามรัฐนิยม ห้ามนั่งบรรเลง ขับร้อง และพากย์บนพื้นราบ ต้องจัดที่วางเครื่องดนตรีให้สามารถนั่งบรรเลงได้โดยเหมาะสม
5) การบรรเลงดนตรีทุกครั้งต้องอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรเข้าชมได้ โดยเจ้าหน้าที่จะมีบัตรแสดงตัวเป็นสำคัญ
6) หน่วยงานรัฐต้องมีประกาศนียบัตรวิชาชีพศิลปิน ซึ่งออกโดยกรมศิลปากร หลังจากวันที่ 8 มิถุนายน 2486 ผู้บรรเลงดนตรีทุกประเภท ทั้งสากลและไทย (ที่ไม่ได้สังกัด)
7) ให้ข้าหลวงประจำจังหวัด (เว้นจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี) เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจในการอนุญาตและการควบคุมการบรรเลงดนตรี
จากข้อสรุปข้างต้น จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อไหน “ห้าม” บรรเลงดนตรีไทยแต่อย่างใด มีแต่เพียงบทบังคับให้ขออนุญาตหรืออยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเท่านั้น อีกทั้งระเบียบนี้ยังไม่เลือกปฏิบัติ เพราะระบุไว้ชัดเจนว่าการบรรเลงดนตรี “ทุกชนิด” ทั้งไทยและสากล ต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้อย่างเคร่งครัด
ขณะที่การบังคับให้นักดนตรีไทยนั่งบรรเลงบนเก้าอี้อาจถกเถียงกันได้ถึงความเหมาะสม แต่ประเด็นเรื่องให้นักดนตรีไทยบันทึกและอ่านโน้ตเพลงสากลนั้น เห็นได้ชัดถึงความพยายามที่จะอนุรักษ์ดนตรีไทยให้ยั่งยืนด้วยการบันทึกโน้ตซึ่งส่งผลดีอย่างแน่นอน เพราะทำให้บทเพลงจำนวนมากไม่ถูกหลงลืมสูญหายไปในปัจจุบัน
ส่วนเรื่องประกาศนียบัตรศิลปิน ทางกรมศิลปากรก็ตระเตรียมแก้ปัญหาด้วยการจัดอบรมให้ความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ให้ศิลปินมีความรู้เทียบเท่าหลักสูตรชั้นปีที่ 4 ของ โรงเรียนสังคีตศิลป ในสังกัดกรมศิลปากร การอบรมนี้ใช้เวลา 90 วัน แล้วจึงจัดการทดสอบความรู้ โดยผู้ที่ได้คะแนน 50% ขึ้นไปจะได้รับประกาศนียบัตร
การอบรมครั้งแรกจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2486 รับเฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพระนครและปริมณฑล ส่วนศิลปินที่มีความสามารถแต่อยู่ห่างไกล มอบอำนาจให้ข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้พิจารณาออกใบประกาศนียบัตรชั่วคราวให้ก่อน
แต่การอบรมกลับถูกต่อต้านโดยนักดนตรีไทยหลายคน เช่น พระยาภูมีเสวิน คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ และแน่นอนว่ารวมถึงหลวงประดิษฐไพเราะด้วย (ยืนยันโดย ณรงค์ เขียนทองกุล ในบทความ “การห้ามบรรเลงดนตรีในประวัติศาสตร์ดนตรีไทย” วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีที่ 9 พ.ศ. 2544)แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่สุดคือพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักในทางปฏิบัติ เพราะหลังจากที่จอมพล ป. พิบูลสงครามต้องลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2487 แล้ว นโยบายต่างๆ ที่วางไว้ก็ได้รับการยกเลิกทั้งหมด ซึ่งนั่นเท่ากับว่า พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้มีอายุเพียงปีเศษ ๆ เท่านั้น

ความคิดเห็นอีกด้านที่ตรงข้ามกับความเข้าใจของประชาชน คนดนตรี เมื่อเกิดวิกฤตดนตรีไทยในช่วงสงครามโลก และความเข้าใจผิดนั้นยังต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือแนวคิดอีกด้านที่นำอ่านเจตจำนงแท้จริงของรัฐที่พยายามจะจัดระเบียบวัฒนธรรม (ดนตรีไทย) ให้เข้าระบบ เพื่อเชื่อมโยงกับกระแสสากลที่มีความทันสมัย (Modernization) อันจะส่งผลถึงการปกป้องวัฒนธรรมของชาติซึ่งอาจถูกกลืนจากกระแสแห่ตามตะวันตก (Westernization) ในยุคล่าอาณานิคม และเพื่อให้เกิดการยอมรับจากนานาชาติ ไม่ใช่การกีดกันเพื่อกำจัดดนตรีไทยด้วยทัศนวิสัยที่เห็นว่าล้าสมัย ไม่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศอย่างที่เข้าใจในวงกว้างแต่อย่างใด เพราะใน “รัฐนิยม 12 ประการ” ฉบับที่ 11 เป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของคนไทย ไม่มีข้อห้ามเล่นดนตรีไทย แต่มีการตีความข้อห้ามให้เข้ากับรัฐนิยมฉบับที่ 11 เช่น บทความของ ดีพร้อม ใจน้อย บันทึกในงานวิจัยไว้ว่า
วิเคราะห์การสร้างรัฐนิยมที่ส่งผลต่อหน้าที่พลเมือง รัฐนิยม ฉบับที่ 11 หน้าที่ 14 [8] วารสารสันติสุขปริทรรศน์ ปีที่ 1 ฉบับที่1 (มกราคม-มิถุนายน 2563)
“ รัฐนิยม ฉบับที่ 11 เป็นฉบับที่เกี่ยวกับกิจประจำวันของคนไทยผลกระทบต่อพลเมือง ไทยอย่างมาก เนื่องจากเหมือนรัฐนิยมฉบับนี้ ตีตารางชีวิตให้พลเมืองไทยต้องปฏิบัติตามที่ประกาศ การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การกิน การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมหลังเลิกงาน รวมไปถึง การห้ามต่าง ๆ เช่น การห้ามเล่นดนตรีไทย และเปลี่ยนไปเล่นดนตรีสากลแทนเนื่องจากให้เหตุผลว่าดนตรีไทยมีความล้าสมัยเลยสั่งห้ามเล่นดนตรีไทยในสมัยนั้น ทำให้อาชีพนักดนตรีไทยรวมถึงผู้ที่สร้างประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยน้อยลงอย่างเช่นปัจจุบัน ถึงแม้จะเป็นรัฐนิยมฉบับที่เสริมสร้างให้พลเมืองชาวไทยมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่อาจทำให้เกิดความอึดอัดและไม่สู้จะส่งผลในทางปฏิบัติเท่าใดนัก”

และมีแนวคิดที่เป็นบทสรุปจากผู้รู้สองฝ่ายต่อ นโยบายรัฐนิยม โดย มานิตย์ นวลละออ ได้สรุปลักษณะสำคัญ 8 ข้อ ของนโยบายไว้ในหนังสือ “การเมืองยุคสัญลักษณ์รัฐไทย” หน้า 44, 96-97, 108 / และแนวคิดอีกด้านที่ให้เหตุผลการจัดระเบียบทางวัฒนธรรมของ จอมพล ป. โดย ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์ ในบทความ “รัฐบาลส่งเสริมหรือย่ำยีดนตรีไทย” ได้ยืนยันถึงสาเหตุแท้จริงการตกต่ำของดนตรีไทยไว้อย่างละเอียดใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2542 เป็นบันทึกของยุคสมัยในมิติสังคม-การเมืองซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และมีผลต่อ ‘ปัจจัยหลัก’ ให้ร่วมพิจารณาอีกด้านที่ต้องการความจริง (FACT)
ลักษณะสำคัญของ นโยบายรัฐนิยม ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
- ลัทธิชาตินิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ
- เป็นการพยายามแทนที่ด้วยการให้ความสำคัญต่อชาติในระบอบการปกครองแบบใหม่ แทนที่ความสำคัญของพระมหากษัตริย์ที่ยังคงอิทธิพลในสังคมไทย
- รักษาระบอบการปกครองแบบรัฐธรรมนูญให้เป็นแกนกลางในการปกครองประเทศ
- ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นหัวใจในการเปลี่ยนแปลงสังคม
- ยึดถือแนวทางตามแบบประเทศญี่ปุ่น และเยอรมัน
- วัฒนธรรมเดิมบางอย่าง ถือเป็นสิ่งล้าสมัย จำเป็นต้องขจัดและแทนที่ด้วยของใหม่ที่เป็นแบบตะวันตก
- ลัทธิชาตินิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ
- เป็นการพยายามแทนที่ด้วยการให้ความสำคัญต่อชาติในระบอบการปกครองแบบใหม่ แทนที่ความสำคัญของพระมหากษัตริย์ที่ยังคงอิทธิพลในสังคมไทย

รัฐบาลส่งเสริมหรือย่ำยีดนตรีไทย [9]
การศึกษาประวัติศาสตร์ดนตรีไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้จะเป็นความพยายามอธิบายภาพประวัติศาสตร์ดนตรีไทย โดยใช้หลักฐานชั้นต้น เพื่ออธิบายนโยบายของรัฐที่ทำให้ดนตรีไทยตกต่ำ แต่การศึกษาประวัติศาสตร์โดยใช้กรอบความคิดจากนักดนตรีไทย ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงในการประกอบอาชีพ และใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนกรอบความคิดนี้ ย่อมให้ภาพประวัติศาสตร์เพียงมุมมองเดียว การศึกษาความตกต่ำของดนตรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจำเป็นต้องศึกษาภาพรวมทางบริบทประวัติศาสตร์ ทั้งนโยบายของรัฐบาลต่อดนตรีไทย, สถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของคนไทย และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่ส่งผลต่อดนตรีไทยด้วย
เพราะการเติบโตหรือพัฒนาการของดนตรีไทย ตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนในสังคมไทย วิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนแปลงไป ในมุมมองหนึ่งจึงย่อมสะท้อนถึงบทบาทความสำคัญของดนตรีไทยต่อสังคมไทยซึ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วย และหากศึกษาภายใต้เงื่อนไขบริบททางประวัติศาสตร์ก็จะเห็นได้ว่าแท้ที่จริงรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่มีนโยบายห้ามเล่นดนตรีไทย หรือกีดกันดนตรีไทย แต่การขาดความเข้าใจในแบบแผนดนตรีไทย จึงทำให้นโยบายในการส่งเสริมดนตรีไทยของรัฐบาลไม่ส่งผลอย่างที่ควรจะเป็น และยังทำให้เกิดปัญหาในการประกอบอาชีพของนักดนตรีไทยขณะนั้น
นโยบายรัฐบาลต่อดนตรีไทย
วงวิชาการดนตรีไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่า นโยบายด้านดนตรีไทยของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดนตรีไทยตกต่ำ แต่หากศึกษานโยบายของรัฐบาลขณะนั้นจะพบว่า นโยบายในการปรับปรุงดนตรีไทยก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการปรับปรุงวัฒนธรรมของประเทศด้านอื่นๆ ตามอย่างวัฒนธรรมตะวันตก แต่เนื่องจากดนตรีไทยเป็นศิลปะที่มีแบบแผนและเอกลักษณ์เฉพาะ การปรับปรุงดนตรีไทยโดยใช้มาตรฐานของดนตรีตะวันตก ย่อมส่งผลด้านลบทั้งพัฒนาการของดนตรีและทัศนคติของผู้ประกอบวิชาชีพต่อนโยบายของรัฐบาล
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาภาพรวมจะพบว่า ทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสคัญต่อดนตรีไทยในลักษณะวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ และพยายามสนับสนุนดนตรีไทยในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะความพยายามในการปรับปรุงมาตรฐานดนตรีไทย

1. รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับการสนับสนุนดนตรีไทย
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วัฒนธรรมเป็นสื่อสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นเครื่องวัดความเจริญของประเทศ แม้แต่การทำสนธิสัญญาร่วมรบในสงครามก็ยังมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เมื่อรัฐบาลนำประเทศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเร่งรัดปรับปรุงวัฒนธรรม เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่ามีวัฒนธรรมระดับเดียวกับอารยประเทศ โดยกำหนดแนวทางปรับปรุงและส่งเสริมวัฒนธรรมหลาย ๆ ด้าน
ในส่วนวัฒนธรรมดนตรีไทย รัฐบาลได้ให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุนทั้งการมอบนโยบายในการปรับปรุงดนตรีไทย และมอบเงินส่วนตัวให้แก่กรมศิลปากรจำนวน 100,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนบำรุงวัฒนธรรมของประเทศ (2) สร.0201. 104/5) ทั้งนี้เงินทุนส่วนหนึ่งได้อนุญาตให้นำมาใช้สนับสนุนการดำเนินงานส่งเสริมดนตรีไทย เช่น “โครงการศิลปินสำรอง” ของกรมศิลปากร ซึ่งเป็นโครงการฝึกหัดศิลปินรุ่นเด็กให้มีคุณภาพ เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมดนตรีของชาติ ก็ได้ใช้เงินสนับสนุนจากเงินทุนนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามการใช้วัฒนธรรมตะวันตกเป็นมาตรฐานในการปรับปรุงวัฒนธรรมไทย ทำให้รัฐบาลเห็นว่าดนตรีไทยล้าหลัง ไม่มีแบบแผนหรือวิธีการที่แน่นอน จึงสั่งปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เข้ากับหลักสากลนิยม โดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่เสนอแนวคิดปรับปรุงดนตรีและละคร ในปี 2485 ชื่อว่า “คนะกัมการวัธนธัมปรับปรุงและส่งเสิมการดนตรีและละคอน”
แนวทางการปรับปรุงดนตรีไทย คณะกรรมการวัฒนธรรมฯ ได้ใช้เกณฑ์เดียวกับการปรับปรุงวัฒนธรรมทั่วไปที่ใช้วัฒนธรรมตะวันตกเป็นมาตรฐานในการปรับปรุง และผลจากการกำหนดแนวทางปรับปรุงดนตรีไทยของคณะกรรมการชุดนี้ทำให้ในปี 2486 มีประกาศ “พระราชกริสดีกากำหนดวัธนธัมทางศิลปกัมเกี่ยวกับการบันเลงดนตรี การขับร้องและการพากย์” ซึ่งครอบคลุมการปรับปรุงดนตรีไทยทั้งหมด (แต่พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไม่ครอบคลุมถึงดนตรีพื้นบ้าน)
“ลักษณะเฉพาะ” ที่ไม่เหมาะกับ “มาตรฐานทั่วไป”

1.1 การปรับปรุงดนตรีไทย
แนวทางปรับปรุงดนตรีไทย เน้นการสร้างมาตรฐานการบรรเลงให้อยู่ในระดับเดียวกับดนตรีตะวันตก และสามารถบรรเลงร่วมกันได้ โดยปรับปรุงระดับเสียง แบบแผนการบรรเลง และกำหนดมาตรฐานความสามารถของนักดนตรี
ก. การปรับปรุงระดับเสียงดนตรีไทย
การปรับปรุงระดับเสียงดนตรีไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปรับปรุงระยะห่างของเสียงดนตรีไทยที่มีเสียงอยู่ 7 เสียง ในระหว่างคู่ 8 เป็น 12 เสียง ในระหว่างคู่ 8 อย่างดนตรีตะวันตก เพราะเชื่อว่าจะทำให้บรรเลงร่วมกับดนตรีตะวันตกได้ และยังทำให้ดนตรีไทยมีพัฒนาการในการแสดงอารมณ์เพลงชัดเจนขึ้น ทั้งนี้แม้เพลงไทยจะมีเพลงที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกจำนวนหนึ่ง แต่เนื่องจากเครื่องดนตรีไทยไม่มีระดับเสียงมากเท่าดนตรีตะวันตก อีกทั้งยังไม่มีเสียงครึ่งอย่างดนตรีตะวันตก การแสดงออกด้านอารมณ์ของเพลงไทยจึงต้องอาศัยเนื้อร้องสำหรับถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก
กำหนดให้ปรับปรุงเครื่องดนตรีไทยทุกประเภทให้มีระดับเสียงอย่างดนตรีตะวันตก ใช้วัสดุหรือส่วนประกอบของเครื่องดนตรีให้ทันสมัยขึ้น แต่ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับรูปร่างลักษณะของเครื่องดนตรี ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของเครื่องดนตรีประจำชาติ เช่น ระนาดเอก ผืนระนาด และรางระนาด คงใช้วัสดุจากไม้ แต่ใช้ผืนระนาด 2 ผืนซ้อนกัน เป็นเสียงตรงตามปกติ 1 ผืน และเพิ่มผืนที่มีเสียงครึ่งอยู่บน ส่วนการบรรเลงกำหนดให้ยึดแบบแผนเก่าคือ ตีเป็นคู่ 8 แต่ใช้การรัวซอยสองมืออย่างระนาดฝรั่ง (Xylophone) จะเข้ ให้คงรูปทรงอย่างเดิม แต่เสริมโต๊ะให้สูงขึ้น ลดหย่องให้ต่ำลง และเพิ่มนมจาก 11 นม เป็น 18 นม เพื่อให้มีระดับเสียงอย่างสากล เป็นต้น (ศธ. 0701.29/23)
แนวคิดปรับปรุงระดับเสียงดนตรีไทยและเครื่องดนตรีดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมฯ มอบหมายให้กรมศิลปากรร่วมกับกองทัพอากาศจัดการปรับปรุงเพื่อใช้เป็นแบบแผนเครื่องดนตรีของชาติ และให้มีผลบังคับใช้เครื่องดนตรีตามแบบที่ปรับปรุงใหม่ทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2487 เป็นต้นไป

ข. การปรับปรุงแบบแผนการบรรเลง
แนวทางปรับปรุงแบบแผนการบรรเลงกำหนดให้ผู้บรรเลงต้องนั่งบรรเลงบนเก้าอี้ ตามวัฒนธรรมการนั่งเก้าอี้ ซึ่งปฏิบัติทั่วไปในสังคมไทยขณะนั้น และให้ใช้โน้ตเวลาบรรเลงเป็นแบบแผนเดียวกัน นอกจากบรรเลงเล่นตามลำพังอย่างอิสระแล้ว ในเชิงทฤษฎีจำแนกระบบการบรรเลงเป็น 2 ประเภทคือ บรรเลงเดี่ยว และบรรเลงรวมวง
การบรรเลงเดี่ยว เป็นการบรรเลงที่มุ่งแสดงออกถึงฝีมือความสามารถของผู้ประพันธ์และผู้บรรเลง เพลงที่บรรเลงแม้จะเป็นเพลงเดียวกันกับเพลงที่ใช้บรรเลงรวมวง แต่ผู้ประพันธ์จะประดิษฐ์วิธีการดำเนินทำนองของเพลงขึ้นใหม่ โดยสอดแทรกกลเม็ด หรือความวิจิตรพิสดารในรูปแบบการประพันธ์ เรียกว่า “เพลงเดี่ยว” ทั้งนี้ผู้บรรเลงเพลงเดี่ยวจะต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือความสามารถอย่างยิ่ง จึงจะบรรเลงเพลงเดี่ยวได้ถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์กำหนด และมีอรรถรสตามจุดประสงค์ของผู้ประพันธ์
การบรรเลงรวมวง จำแนกตามหลักการประสมเครื่องดนตรีเข้าเป็นวงได้ 3 ประเภทคือ วงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี ทั้งนี้แต่ละวงจะใช้บรรเลงในโอกาสที่แตกต่างกัน กล่าวคือ วงเครื่องสาย และวงมโหรี จะใช้บรรเลงในงานมงคลต่าง ๆ ส่วนปี่พาทย์ใช้บรรเลงได้ทั้งในงานมงคล งานอวมงคล รวมถึงประกอบการแสดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของวงปี่พาทย์
ในส่วนแบบแผนการบรรเลงรวมวง เครื่องดนตรีแต่ละชนิดจะบรรเลงในลักษณะเช่นไรขึ้นอยู่กับเพลงที่บรรเลง ซึ่งจำแนกกว้าง ๆ ตามรูปแบบการประพันธ์ เป็นเพลงบังคับทาง และเพลงดำเนินทำนอง แบบแผนการบรรเลง “เพลงบังคับทาง” ผู้บรรเลงจะต้องบรรเลงตามท่วงทำนองเพลง ซึ่งผู้ประพันธ์กำหนดไว้เป็นแนวทางเดียวกันทั้งหมด ส่วน “เพลงประเภทดำเนินทำนอง” ลักษณะวิธีการบรรเลงจะแตกต่างกัน ฆ้องวงใหญ่ทำหน้าที่บรรเลงทำนองหลักของเพลงตามที่ผู้ประพันธ์กำหนด ส่วนเครื่องดนตรีชนิดอื่น ผู้บรรเลงจะต้องตบแต่งทำนองเพลงด้วยสติปัญญาความสามารถ โดยคำนึงถึงหน้าที่ของเครื่องดนตรีที่บรรเลง เช่น “ระนาดเอก” จะประดิษฐ์ทำนองในลักษณะผู้นำการบรรเลง เป็นการตีทำนองถี่ ๆ “ฆ้องวงเล็ก” ทำหน้าที่สอดแทรกทำนองในทางเสียงสูง เป็นลักษณะตีเก็บถี่ ๆ มือละลูกบ้าง มือละหลายลูกบ้าง “จะเข้” จะดีดเก็บถี่ ๆ บ้าง ห่าง ๆ บ้าง เพื่อสอดแทรกทำนองให้เกิดความไพเราะ เป็นต้น
ท่วงทำนองเพลงประเภทดำเนินทำนอง จึงมีความแตกต่างกันตามความสามารถของผู้บรรเลง เช่น ผู้ที่มีความสามารถจะประดิษฐ์ทำนองเพลงได้ไพเราะ กลอนเพลงมีสัมผัสสอดคล้องชวนฟัง ขณะที่ผู้บรรเลงบางคนประดิษฐ์ท่วงทำนองไม่น่าฟัง กลอนเพลงไม่สัมผัสสอดคล้องกัน เป็นต้น
การเปิดโอกาสให้ผู้บรรเลงประดิษฐ์ตบแต่งท่วงทำนอง เพลงตามความสามารถ นับเป็นการแสดงออกทางศิลปะ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของดนตรีไทย แต่การบรรเลงในลักษณะเช่นนี้ยากที่จะปรับให้บรรเลงร่วมกับดนตรีตะวันตก อีกทั้งผู้บรรเลงอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับดนตรีตะวันตก ซึ่งผู้ประพันธ์จะกำหนดท่วงทำนองการบรรเลงของเครื่องดนตรีทุกชิ้น ทำให้การบรรเลงดนตรีไทยดูเหมือนไม่มีแบบแผนและมาตรฐาน

สาเหตุนี้จึงทำให้คณะกรรมการวัฒนธรรมฯ ให้ความสำคัญในการปรับปรุงแบบแผนการบรรเลงดนตรีไทยให้มีมาตรฐานเดียวกัน มีหลักปฏิบัติแน่นอนชัดเจน และสามารถบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีตะวันตกได้ โดยมอบหมายให้กรมศิลปากรคิดประดิษฐ์ท่วงทำนองการบรรเลงเครื่องดนตรีไทยชนิดต่าง ๆ และบันทึกเป็นโน้ตสากล เพื่อพิมพ์จำหน่ายเป็นแบบฉบับให้นักดนตรีใช้ตามเป็นแบบแผนเดียวกันทั่วทั้งประเทศ เพราะเชื่อว่าการใช้โน้ตจะทำให้การบรรเลงทุกครั้งจะมีความไพเราะเรียบร้อยเหมือนกัน ง่ายต่อการนำเพลงไทยมาจัดประสานเสียงตามหลักสากล อีกทั้งยังทำให้เพิ่มเครื่องดนตรีได้อีกจำนวนมาก แต่สามารถบรรเลงร่วมกันได้ดี อย่างเช่นวง Symphony ของตะวันตก
แนวทางการปรับปรุงดนตรีไทยทั้งด้านระดับเสียง และแบบแผนการบรรเลง สะท้อนถึงนโยบายของรัฐที่จะส่งเสริมและพัฒนาดนตรีไทยระดับหนึ่ง แต่นโยบายนี้กลับสร้างความไม่พอใจในหมู่นักดนตรีไทย เพราะการกำหนดแนวทางปรับปรุงดนตรีไทย บนพื้นฐานความคิดที่ว่าดนตรีไทยไม่มีมาตรฐานในการบรรเลง และล้าหลังกว่าดนตรีตะวันตก ย่อมทำให้แนวทางการปรับปรุงยึดดนตรีตะวันตกเป็นมาตรฐาน และพยายามปรับปรุงตามอย่างดนตรีตะวันตก โดยไม่เข้าใจถึงความแตกต่างของงานศิลปะ ซึ่งเป็นผลงานการสร้างสรรค์ในสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
การปรับปรุงดนตรีไทยตามแนวทางที่กำหนดขึ้นย่อมทำให้ดนตรีไทยกลายเป็นดนตรีที่ตามหลังดนตรีตะวันตก เป็นการลดคุณค่างานศิลปะชั้นสูงและสูญเสียเอกลักษณ์ความงดงามในศิลปะของชาติ
อย่างไรก็ตามแนวทางการปรับปรุงดนตรีไทยแม้จะกำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่รัฐบาลได้ผ่อนผันการบังคับใช้ เนื่องจากกรมศิลปากรซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการปรับปรุงดนตรีไทยร่วมกับกองทัพอากาศไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จภายในเวลาที่รัฐบาลกำหนดให้บังคับใช้ (วันที่ 1 มกราคม 2487) จึงปรากฏว่า พระราชกฤษฎีกาฯ ในส่วนการปรับปรุงดนตรีไทยไม่มีผลบังคับใช้ เพราะหลังจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ลาออกในเดือนกรกฎาคม 2487 รัฐบาลชุดต่อมาไม่ได้สานต่อแนวนโยบายนี้ แต่ความเข้าใจในประกาศของรัฐบาลสับสน ทำให้นักดนตรีไทยส่วนหนึ่งเข้าใจว่าพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลบังคับใช้ ความเข้าใจเช่นนี้ส่งผลให้นักดนตรีไทยส่วนหนึ่งเลิกประกอบอาชีพนักดนตรีไทย และบอกเล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ดนตรีไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

1.2 การกำหนดมาตรฐานความสามารถของนักดนตรี
การปรับปรุงและส่งเสริมดนตรีไทยเพื่อให้ได้ระดับมาตรฐานสากล จำเป็นต้องมีศิลปินที่มีความรู้ความสามารถได้มาตรฐานทั้งด้านวิชาชีพและวิชาสามัญ รัฐบาลจึงเห็นชอบให้จัดตั้ง “มหาวิทยาลัยละคอนและดนตรี” ในปี 2486 เพื่อยกระดับความรู้ของศิลปินตามแนวทางคณะกรรมการวัฒนธรรมฯ แต่ปัญหาเรื่องงบประมาณ และคุณวุฒิครูผู้สอน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการจัดตั้งได้ (สร.0201.14.1/10)
อย่างไรก็ตาม นโยบายรัฐบาลที่จะขยายการศึกษาวิชาดนตรีถึงระดับมหาวิทยาลัย ย่อมชี้ถึงความพยายามที่จะสนับสนุนวิชาชีพดนตรีไทย แต่เนื่องจากผู้ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาเพื่อเป็นนักวิชาการทางศิลปะ หรือศิลปินที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กรมศิลปากรกำหนดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ประกอบอาชีพนักดนตรีไทย รัฐบาลจึงกำหนดให้การปรับปรุงดนตรีไทยครอบคลุมถึงการปรับปรุงคุณภาพนักดนตรีอาชีพโดยทั่วไปด้วย เพราะผู้ประกอบอาชีพนักดนตรีไทยมีความรู้ความสามารถในระดับที่แตกต่างกัน มีทั้งผู้ที่ผ่านการศึกษาจากสำนักดนตรีหรือครูที่มีชื่อเสียง ผู้ที่ได้รับการอบรมจากผู้มีประสบการณ์มากกว่า และผู้ที่เรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์พอบรรเลงได้ก็รับงานบรรเลงทั้งที่ยังไม่มีความสามารถเพียงพอ เป็นต้น
แต่เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถกำหนดให้นักดนตรีเหล่านี้เข้าสู่ระบบการศึกษาเพื่อปรับปรุงดนตรีไทยตามแนวทางรัฐบาลได้ การปรับปรุงดนตรีไทยจึงกำหนดให้การควบคุมมาตรฐานศิลปินเป็นส่วนหนึ่งของ “ระเบียบการกรมสิลปากร ว่าด้วยการขออนุญาตและควบคุมการบันเลงดนตรีโดยเอกเทส การขับร้องและพากย์” (ศธ.0701.5.1/13) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพเป็นศิลปินอันได้แก่ ผู้บรรเลงดนตรี ขับร้อง และพากย์ ต้องมีบัตรประจำตัวศิลปินจึงจะสามารถประกอบอาชีพเป็นศิลปินได้ ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับบัตรประจำตัวศิลปินจะต้องผ่านการอบรมจากกรมศิลปากร เพื่อมิให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นศิลปินโดยอาชีพมีโอกาสหารายได้จากอาชีพศิลปิน
ดังนั้นแม้ว่านโยบายรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จะให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนวัฒนธรรมดนตรีไทย และควบคุมมาตรฐานความสามารถของศิลปิน แต่การปรับปรุงดนตรีไทยตามมาตรฐานดนตรีตะวันตก ย่อมทำให้นโยบายของรัฐบาลในมุมมองของศิลปินนักดนตรีไทยคือ การทำลายวัฒนธรรมดนตรีของชาติ

เหตุผลที่ทำให้ “โหมโรงฯ” เป็นงานของมวลชน
1. มีสงครามโลกครั้งที่ 2 กับชะตากรรมร่วมของชาวไทยกับชาวโลกเป็นฉากหลัง
2. ความไพเราะของดนตรีไทย และลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ที่ไม่อาจใช้มาตรฐานทั่วไปมาเป็นกฎเกณฑ์ให้ไม่เข้ากัน เป็นการปิดกั้นสัญลักษณ์
3. เนื้อหามีจุดร่วมระดับมหภาค ในยุคที่รัฐรณรค์นโยบายชาตินิยม จอมพล ป.พิบูลย์สงครามกับวิธีปฏิบัติที่ผิดทิศลืมคิดเรื่อง ลักษณธเฉพาะที่เป็น อัตลักษณ์ ศิลปินต้องสู้กับนโยบายล่าเมืองขึ้นทางวัฒนธรรม ในขณะที่รัฐกำลังสู้กับการล่าเขตอาณานิคมของตะวันตก จึงเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เมื่อฐานอำนาจเปลี่ยนขั้ว นักดนตรีไทยที่เคยได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากเจ้านาย ต่างพลัดกระจัดกระจายคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเดิมของตน / มีการยุบกรมมหรสพหลวงจัดตั้งเป็นกรมศิลปากรที่มาพร้อมกฎจำกัดรัดตัวมากมาย / และ วงการดนตรีไทยซบเซาตามสภาพเศรษฐกิจหลังสงครามโลกที่เลี่ยงไม่ได้
4. มีแนวร่วมใหม่พันธมิตรสร้างพันธกิจร่วมกัน ที่นับวันขยายกลุ่มผ่านรายการทีวี โดยเฉพาะ “คุณพระช่วย” และงานอบรมนักดนตรีไทย (เยาวชน) ก่อนคัดคนเข้าร่วมเล่นละคร คือการวางฐานประสานประชาชน บนการต่อสู้ของนักดนตรีกับวิถีศิลปิน ไม่สำคัญที่การแข่งขัน แต่คือการสืบสาน หากยังยืนยันยึดมั่นในอัตลักษณ์ คือชนะเลิศประเสริฐศักดิ์ศรีดนตรีไทย
5. โปรดักชันดีทุกด้านคืองานสร้างชาติ วาดเทคนิคภาพยนตร์บนเวทีละคร / ตัดสลับเรื่องอย่างมีนัยให้เห็นความต่างระหว่าง Generation / ภาพ bird eye view กับการเล่น mood ตัวละคร ย้อนส่งไปสู่ผู้ชม ฯลฯ
การออกแบบฉาก แสง แสดงองค์ประกอบศิลป์แนว MINIMAL น้อยแต่มากเหมาะกับ mood tone ที่ต้อง สวยสมถะ ศิลปะสมสมัย และใช้ให้เป็น เพื่อขับเน้นการใช้พื้นที่บนเวทีกว้างโชว์ทางแสง โฟกัสเฉพาะจุด ปล่อยพื้นที่ว่างให้มีที่ทางวางความคิด (space) แม้ในความมืดมิดก็มีแนวทางสว่างไสวอยู่ภายใน จากใจดวงเดียวกัน

จดหมายถึง ‘พี่ใหญ่’
คนวงการบันเทิงไทยในบางกลุ่ม กลุ้มรุมสุมหัวกันมานานถึงการทำงานของ WORKPOINT ENTERTAINMENT ว่า ในฐานะ ‘พี่ใหญ่’ ซึ่งมีบทบาทเด่นเป็นผู้นำของวงการที่มีฐานศักยภาพสูงในทุก ๆ ด้าน พร้อมจะบันดาลความเป็นไปในทางพัฒนาอย่างถาวร ไม่เดือดร้อนต่อเงื่อนไขในทางธุรกิจ (มากนัก) ทำไมไม่คิด ‘ช่วยชีวิตหนังไทย’ ให้พัฒนาไกลไปกว่านี้ (เท่าที่ทำอยู่!?!?) ได้รับรู้และเข้าใจในวันที่มี ‘ปรากฏการณ์โหมโรง’ เกิดขึ้นอย่าง ‘ผู้สร้างตำนาน’ เริ่มจากวงการภาพยนตร์จนมาถึงละครเวที หลังจากมีคำถามด้วยความไม่เข้าใจผ่านไปกว่า 10 ปี …
ผู้ที่เป็นเป้าให้เราโจมตีมากว่าทศวรรษคือ พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ผู้บริหารที่มีหุ้นเป็นเจ้าของบริษัทคู่กับ เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล และมีบทบาทสำคัญเป็นกุนซือถือบังเหียน ‘เซียนสร้างสรรค์’ ที่ประทับร่างอยู่หลังบัลลังก์ทองของ เวิร์คพอยท์ ตลอดมากว่า 14 ปี ที่ให้กำเนิด และปลุกปั้นให้เติบใหญ่ในจักรวาลบันเทิงไทย พี่อ่านเกมส์ก่อนก้าวอย่างสุขุมนุ่มลึกตกผลึกโดยไม่เคยต้องผันผวนรวนเร เพราะได้เลือกแล้วที่จะทำธุรกิจอย่างชาญฉลาดกับกลุ่มตลาดหลัก เพราะประจักษ์ในศักยภาพของความเป็น MASS ที่มากมายคุณูปการกับงานสร้างสรรค์มหรสพไทยให้ยกองคาพยพไปพร้อมกัน
เพราะพี่ใหญ่ชัดเจนกระจ่างใจว่าละครเวทีคืองานเฉพาะกลุ่มและหนังไทยยังไม่ไปไกลถึงตลาดโลก และอีกด้านของการทำธุรกิจต้องคิดให้รอบคอบว่าเลือกที่จะตอบโจทย์กลุ่มใด คุ้มไหมที่ต้องเสี่ยง พี่จึงเลือกที่จะเล่นอยู่ใน save zone ส่วนของทีวี และพื้นที่ของเวทีมี event เวียนเข้ามาอุ้มให้ได้ทุ่มพอประมาณ ขานรับโจทย์หลายด้านผสานกันไปไม่เจ็บตัว แต่หนังไทยพี่กลับถอยให้น้องคอยด้วยความหวัง จนวันนี้ละครเวที “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล” คือคำตอบที่ไม่ต่างจากการจัดระเบียบสังคมวัฒนธรรมโดยไม่มีรัฐนำทาง.

[1] หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) (พ.ศ. ๒๔๒๔-๒๔๙๗), sirindhornmusiclibrary.li.mahidol.ac.th, สืบค้น 1 พฤษภาคม 2568 https://sirindhornmusiclibrary.li.mahidol.ac.th/hall_of_fame/thai-musicians90/
[2] “แช่ม สุนทรวาทิน” ที่มาตัวตน “ขุนอินทร์”, ถาวร สิกขโกศล, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2555 https://www.silpa-mag.com/culture/article_66355
[3] เอ้ระเหยลอยชาย EP.2930 / ละครโทรทัศน์ “ระนาดเอก” ตอนที่ 1 พ.ศ.2528, เอ้ ระเหยลอยชาย, สืบค้น 1 พฤาภาคม 2568 https://youtu.be/WWD_mBofCBA?si=G3Eq800EhxHvAA2T
[4] เพลง เสียงนั้นเสียงหนึ่ง เพลงจากละครเวที โหมโรง เดอะมิวสิคัล, Bamboo Beat, สืบค้น 27 พฤษภาคม 2568 https://youtu.be/nK52pD2UyvM?si=p6JaWWAn5amzpZDd
[5] ละคร “โหมโรง”, ไทยพีบีเอส, สืบค้น 5 พฤษภาคม 2568 https://www.thaipbs.or.th/program/HomRong/episodes
[6] เอ้ระเหยลอยชาย EP.538 / เบื้องหลังการบันทึกเสียงดนตรีไทย ละครโทรทัศน์ "โหมโรง", เอ้ ระเหยลอยชาย, สืบค้น 5 พฤษภาคม 2568 https://youtu.be/Ujj8ctLyoEg?si=9rCSSwSIYvBS8Qob
[7] อติภพ ภัทรเดชไพศาล, จอมพล ป. กีดกันดนตรีไทยจริงหรือ?,atibhop.wordpress.com , สืบค้น 5 พฤษภาคม 2568 https://atibhop.wordpress.com/2015/05/29/may2015_matichon/
[8] ดีพร้อม ใจน้อย, การประกาศรัฐนิยมที่ส่งผลต่อหน้าที่พลเมืองในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม, วารสารสันติสุขปริทรรศน์ ปีที่ 1 ฉบับที่1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) | 25 สืบค้น 5 พฤษภาคม 2568
[9]ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์, รัฐบาลจอมพล ป. ส่งเสริม หรือย่ำยีดนตรีไทย, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2542, สืบค้น 5 พฤษภาคม 2568 https://www.silpa-mag.com/history/article_90540