Focus
- สัญญะของคณะราษฎรที่พบได้ในบริเวณ “ตึกคณะราษฎร” หรือ ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลังเก่า ผ่านการสะท้อนหลัก 6 ประการ และที่มาของการพัฒนาเกาะเมืองอยุธยาให้มีความร่วมสมัย
(๑) บทนำและความเป็นมา
เมื่อแรกเริ่มการอภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๕ คณะราษฎรได้ยกเลิกระบบการปกครองภูมิภาคแบบมณฑลเทศาภิบาล เปลี่ยนมาให้ “จังหวัด” เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแทน นำมาสู่การจัดตั้งเทศบาลขึ้นเพื่อให้ดูแลชุมชนเมืองในแต่ละท้องถิ่นควบคู่กัน ในส่วนของพระนครศรีอยุธยาได้มีการออก “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา” ขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๔๗๘[1]
แต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในระยะแรกเริ่ม ไม่มีศาลากลางประจำจังหวัด อยู่จนกระทั่ง ๘ ปีหลังการอภิวัฒน์จึงได้สร้างอาคารศาลากลางจังหวัดขึ้นที่บริเวณพื้นที่ที่ต่อมาเรียกกันว่า “สนามราษฎร์” ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ก่อนหน้านั้น (ช่วงระหว่างพ.ศ.๒๔๗๕-๒๔๘๓) หน่วยงานราชการส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาใช้สถานที่อยู่ที่พระราชวังจันทรเกษม ตำบลหัวรอ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นศูนย์ราชการบริหารของ “มณฑลกรุงเก่า” มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕[2]
อาคารศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งนี้ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในหมู่ “คนยุดยา” ว่า “ตึกศาลากลางหลังเก่า” บางครั้งก็เรียกกันตรงๆ ว่า “ตึกคณะราษฎร” หรือ “ตึกคณะราษฎร์” ที่เรียกว่า “...หลังเก่า” ก็เพราะตั้งแต่เมื่ออยุธยาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อพ.ศ.๒๕๓๔ ก็ได้เกิดแนวคิดที่จะย้ายศูนย์ราชการจังหวัดออกไปตั้งอยู่ที่ริมถนนสายเอเชีย และได้มีการสร้างศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งใหม่ขึ้นแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเป็นทางการเมื่อพ.ศ.๒๕๓๙
“ตึกศาลากลางหลังเก่า” เป็นอาคารตึกสีขาว รูปตัว T สถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น สูง ๒ ชั้น รูปทรงแบบเดียวกับอาคารศาลฎีกาที่กรุงเทพฯ ในเกาะเมืองอยุธยายังเหลืออาคารแบบนี้อีก ๒ แห่ง คือ “ตึกสิริมงคลานันท์” ที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย (อยว.) กับ “ตึกกองกำกับการ” (หลังเก่า) ที่สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา
เมื่อเลิกใช้งานเป็นศาลากลางจังหวัดไปแล้วเมื่อพ.ศ.๒๕๓๙ ได้มีการปรับปรุงเป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวและหอศิลปะ ภายในมีนิทรรศการจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอยุธยา สนามราษฎร์ทั้งพื้นที่ด้านหน้าและด้านเหนือของอาคาร เคยเป็นที่จัดกิจกรรมของการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันอาคารได้ปิดปรับปรุงอย่างไม่มีกำหนด กลายเป็นอาคารว่างเปล่า ภายในเริ่มผุพัง เนื่องจากไม่ได้รับการซ่อมบำรุงมานาน
ทั้งๆ ที่เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของพระนครศรีอยุธยา แต่กลับไม่มีแม้แต่ป้ายแนะนำ มีป้าย (ทำใหม่) ติดกับตัวอาคารด้านหน้าและแท่นริมถนนสุดทางถนนปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นป้ายมรดกโลก ไม่มีข้อความบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่ตามอย่างที่ควรมีสำหรับพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งสะท้อนความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อประวัติศาสตร์อยุธยา เพราะงานประวัติศาสตร์นิพนธ์ว่าด้วยอยุธยาตลอดช่วงที่ผ่านมามักมุ่งเน้นแต่เฉพาะ ๔๑๗ ปีนั้น ทั้งๆ ที่หลังจากเสียกรุง พ.ศ.๒๓๑๐ เป็นต้นมา อยุธยาก็เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาสืบมาจนปัจจุบัน ไม่ใช่เมืองร้างอย่างสัมบูรณ์ดังที่นักวิชาการของบางหน่วยงานรัฐ มักจะสร้างความเข้าใจที่ผิดเพี้ยน
เมื่อประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นเช่นนั้นก็พาให้มองโบราณสถาน ศิลปวัตถุ และสถานที่ต่างๆ ในอยุธยา เห็นและให้ความสำคัญกันแต่ของที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ ๔๑๗ ปีนั้น สิ่งที่เรียกว่า “มรดกโลกอยุธยา” กลายเป็นเพียง “มรดก ๔๑๗ ปี” คำถามก็คือแล้วอีกกว่า ๒๕๘ ปี (๒๓๑๐-๒๕๖๘) อยู่ตรงไหนในมุมประวัติศาสตร์แบบข้างต้นนี้ คงไม่จำเป็นต้องอธิบายว่า การมีความรับรู้และความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์พอ นำมาสู่อัตลักษณ์ที่บิดเบี้ยวเพียงใด บทความนี้จะพยายามเติมเต็มโดยการนำเอาบางเรื่องราวเข้ามาแทรกลงในส่วนที่ขาดนี้หายไปจากความทรงจำรับรู้ดังกล่าวนี้
(๒) แรกเริ่มพัฒนาเมืองพระนครศรีอยุธยาหลัง ๒๔๗๕
ข้อเท็จจริงก็คือเกาะเมืองอยุธยาหลัง ๒๓๑๐ ไม่ได้ร้าง ยังมีชุมชนผู้คนอยู่อาศัยตามสองฝั่งแม่น้ำที่ล้อมรอบเกาะเมือง และชุมชนก็เริ่มขยายใหญ่มากขึ้นเมื่ออยุธยาเป็นศูนย์กลางมณฑลกรุงเก่า สภาพการคมนาคมของภาคกลางที่ยังคงใช้แม่น้ำลำคลองเป็นหลักมาอีกเกือบ ๒๐๐ ปี ทำให้อยุธยาที่เป็นชุมทางของแม่น้ำลำคลองเป็นศูนย์กลางการคมนาคมไปด้วยในตัว เมื่อมีการคมนาคมก็ย่อมมีการค้าและมีตลาด มีผู้คนอยู่อาศัยเป็นธรรมดา
ทั้งนี้อยุธยาบริเวณตอนในของเกาะเมือง มากลายเป็นที่รกร้างจริงๆ ก็มีสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อทรงประกาศให้บริเวณดังกล่าวนี้เป็นเขตวัดร้าง ห้ามไม่ให้ราษฎรจับจองเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ให้สร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาตั้งร้านค้าขายของ ยกเว้นแต่สถานที่ราชการที่อนุญาตให้ตั้งที่ทำการได้ แต่ก็ต้องไม่สร้างทับที่โบราณสถาน[3] ส่วนหนึ่งที่ผู้คนที่อยุธยาสมัยนั้นต้องอยู่เรือนแพและริมฝั่งแม่น้ำลำคลอง นอกจากเพราะความสำคัญของแม่น้ำลำคลองในฐานะเส้นทางคมนาคมตลอดจนเป็นวิถีชีวิตแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องกฎหมายที่หวงห้ามพวกเขาไว้ไม่ให้ขึ้นไปอยู่บนบกอีกด้วย
“มณฑลกรุงเก่า” ประกอบด้วยหัวเมืองต่างๆ คือ กรุงเก่าหรืออยุธยา, อ่างทอง, พุทธบาท, สระบุรี, พรหมบุรี, อินทร์บุรี, สิงห์บุรี, ลพบุรี เป็นต้น (ตอนหลังรวมพุทธบาทไปขึ้นกับสระบุรี และรวมพรหมบุรีกับอินทร์บุรีไปขึ้นกับสิงห์บุรี)[4] แค่มณฑลกรุงเก่าก็เห็นแล้วว่ารวมศูนย์อำนาจมากเกินไป ไม่เหมาะกับยุคสมัย (ให้ลองนึกดูว่าถ้าทุกวันนี้คนลพบุรี คนสระบุรี คนสิงห์บุรี จะติดต่อราชการยังต้องเดินทางข้ามจังหวัดมาที่อยุธยาอยู่ จะเป็นอย่างไร สาหัสสากรรจ์แค่ไหน) เพราะงั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงได้ยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ให้แต่ละจังหวัดเป็นอิสระต่อกัน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัดมีอำนาจในพื้นที่จังหวัดของตนเอง[5]
ทั้งนี้อยุธยาเป็นพื้นที่พิเศษแตกต่างจากที่อื่นอยู่อย่าง ตรงที่เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของประเทศ สมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อต้องการอนุรักษ์ความเป็นเมืองโบราณเอาไว้ จึงได้ประกาศให้เกาะเมืองอยุธยาเป็นพื้นที่วัดร้าง แต่แม้จะมีกฎหมายห้ามไว้อย่างนั้น ก็ห้ามชาวบ้านไม่ได้ อีกทั้งที่จริงพวกเขาส่วนหนึ่งก็อยู่ที่เกาะเมืองมาแต่เดิมก่อนประกาศกฎหมายนี้แล้วด้วย เรื่องนี้จึงเกิดเป็นปัญหาคาราคาซังตกมาจนถึงช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ และเพิ่งจะได้รับการแก้ไขเมื่อปีพ.ศ.๒๔๘๑
เมื่อมีสถานที่ราชการตั้งอยู่ภายในเกาะเมือง ก็มีร้านค้าและตลาด ตำบลหัวรออันเป็นที่ตั้งของที่ทำการมณฑลกรุงเก่าก็เลยกลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา แต่อย่างไรก็ตาม ราษฎรส่วนใหญ่มักตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองสองฝั่งรอบเกาะเมือง บ้างปลูกเป็นเรือนยกพื้นสูงเพื่อหนีน้ำในฤดูน้ำหลาก บ้างอยู่เรือนแพจอดอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลอง ตลาดหัวรอเองก็มีทั้งตลาดบกและตลาดแพที่มีการผูกแพต่อกันเดินหากันได้
เมื่อมีประกาศหวงห้ามสงวนไว้เป็นที่วัดร้าง บริเวณตอนในของเกาะเมือง อยุธยาก็กลายสภาพเป็นประดุจเมืองร้างขึ้นมาจริงๆ ผิดกับสภาพความคึกคักของบริเวณย่านริมแม่น้ำ สภาพเช่นนี้คงอยู่และดำเนินมาจนหลัง ๒๔๗๕ จึงได้เกิดแนวคิดที่จะพัฒนาปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยาใหม่ เมื่อคณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีชาวอยุธยาอยู่ถึง ๓ คน คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์) และนายเฉลียว ปทุมรส
ทั้งนี้แผนการปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยา เริ่มมีมาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ ดังจะเห็นได้จากรัฐบาลได้มีคำสั่งให้กรมศิลปากรดำเนินการสำรวจวัดร้างแล้วจัดทำรายงานประเมินผลกระทบต่อโบราณสถานที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัฒนาเกาะเมือง มาตั้งแต่เมื่อพ.ศ.๒๔๗๖ การสำรวจและจัดทำรายงานนี้สำเร็จเสร็จสิ้นลงในอีก ๑ ปีต่อมา[6] ผลการสำรวจและจัดทำรายงานในครั้งนี้กรมศิลปากรยืนยันว่า การพัฒนาเกาะเมืองตามแผนงานที่รัฐบาลมีนโยบายนั้นสามารถกระทำได้โดยไม่เกิดผลกระทบต่อโบราณสถาน เพราะอาคารที่จะสร้างสูงเพียง ๒ ชั้น ไม่บดบังโบราณสถาน เพียงแต่ต้องสร้างบนที่ดินที่ไม่ใช่วัดร้าง การณ์นี้กรมศิลปากรยังขอให้กั้นรั้วลวดหนามสงวนเขตพระราชวังโบราณเอาไว้ เพื่อไม่ให้มีการรุกล้ำเท่านั้น
นอกจากนี้การสำรวจและจัดทำรายงานของกรมศิลปากรครั้งนั้นยังมีศึกษาหาพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การสร้างศาลาเทศบาลกับศาลากลางจังหวัดอีกด้วย ศาลาเทศบาลได้พื้นที่เกาะเมืองด้านตะวันออกติดกับตลาดเจ้าพรหม จึงได้มีการสร้างศาลาเทศบาลและประกาศพระราชกฤษฎีการจัดตั้งเทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ มีผลยกเลิกสุขาภิบาลกรุงเก่าที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ พร้อมกันนั้นได้มีประกาศอนุญาตให้ข้าราชการและราษฎรสามารถเข้ามาตั้งบ้านเรือนและร้านค้าขายอยู่ในเกาะเมืองใกล้ศาลาเทศบาลด้วย[7]

ส่วนศาลากลางจังหวัด แม้จะได้พื้นที่เหมาะสมแล้วเช่นกัน และก็มีแผนงานสร้างศาลากลางจังหวัดแล้วเช่นกัน แต่โครงการมีอันต้องพับไปเพราะผู้สนับสนุนหลักคือ ปรีดี พนมยงค์ ประสบเหตุต้องลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศครั้งแรก เนื่องจากชนชั้นนำระบอบเก่ามีความไม่พอใจต่อ “สมุดปกเหลือง” (ภายหลังรู้จักกันในชื่อ “เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์”) แต่ต่อมาเมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้นำกำลังยึดอำนาจคืนจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ตามมาด้วยชัยชนะของฝ่ายคณะราษฎรในการปราบปรามกบฏกษัตริย์นิยมนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช เมื่อพ.ศ.๒๔๗๖
ปรีดี พนมยงค์ ก็ได้กลับมา แต่ก็ยังไม่ได้สานต่อโครงการพัฒนาเกาะเมืองโดยทันที จนเมื่อได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาลคณะราษฎรนำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยแรก (พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๘๗) โครงการถึงได้รับการนำมา “ปัดฝุ่น” นำไปสู่การปฏิบัติอีกครั้ง และครั้งนี้เองเป็นที่มาของการสร้างศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๔๘๓ แล้วเสร็จและเปิดใช้งานเป็นทางการเมื่อพ.ศ.๒๔๘๔
(๓) เมื่อ “ประเทศเป็นของราษฎร” & การพัฒนาเกาะเมืองอยุธยา สมัยปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยแรก)
นอกจากการเมืองที่ส่วนกลางแล้ว อีกสาเหตุที่ทำให้การสร้างศาลากลางจังหวัดตลอดจนแผนพัฒนาเกาะเมืองต้องล่าช้า เพิ่งจะดำเนินการได้จริงจังก็หลังพ.ศ.๒๔๘๒ ไปแล้ว ก็เพราะปัญหาทางด้านกฎหมายที่มีการประกาศให้พื้นที่เกาะเมืองเป็นเขตวัดร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ บริเวณที่ตั้งที่เหมาะสมที่กรมศิลปากรเสนอไว้ตามรายงานแผนเมื่อพ.ศ.๒๔๗๗ นั้นคือบริเวณเกือบกึ่งกลางเกาะเมือง ต่างจากที่ตั้งของศาลาเทศบาล ซึ่งยึดโยงอยู่กับตลาดเจ้าพรหม ยังคงเป็นย่านชุมชนริมน้ำที่ได้รับการอนุญาตและผ่อนปรนให้มาแต่เดิม
ต่อมาในสมัยปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อพ.ศ.๒๔๘๑ จึงได้เสนอการปรับปรุงกฎหมายนี้ก่อนเป็นลำดับแรก นำมาสู่ “พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้าง ภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑” มีผลบังคับใช้ในอีก ๑ ปีต่อมา (พ.ศ.๒๔๘๒)[8] ผลทางการกฎหมายของพระราชบัญญัติฯ นี้คือการยกเลิกการสงวนที่ดินบริเวณเกาะเมืองเป็นเขตวัดร้าง อนุญาตให้ราษฎรมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์เอกชนได้ ทั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้องตามหลักการที่เคยได้แถลงไว้ประกาศคณะราษฎรไว้ด้วยว่า “ประเทศเป็นของราษฎร”
เมื่อ “ประเทศเป็นของราษฎร” โดยหลักการแล้ว เกาะเมืองอยุธยาก็ต้อง “เป็นของราษฎร” ได้ด้วยเช่นกัน การออกพระราชบัญญัติฯ นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาเพื่อความทันสมัย (Modernization) ในเขตพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างแท้จริง เพราะหลังจากนั้นมาการพัฒนาเกาะเมืองก็เริ่มต้นขึ้นใหม่ ทำให้ตอนในของเกาะเมืองอยุธยาหลุดพ้นจากสภาพเป็นเมืองร้างที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ในปีเดียวกับที่สร้างอาคารศาลากลางจังหวัด ยังได้มีการสร้าง “โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา” ขึ้นในพื้นที่แนวถนนใกล้กับที่ตั้งของอาคารศาลากลางจังหวัดนี้[9]
นอกจากนี้ยังมีการตัดถนนเชื่อมระหว่างเกาะเมืองทางด้านตะวันออกไปยังถนนพหลโยธินที่อำเภอวังน้อย เดิมเรียกว่า “ถนนอยุธยา-วังน้อย” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ถนนโรจนะ” และในส่วนของเกาะเมืองช่วงเชิงสะพานปรีดี-ธำรง ถึงหน้าศาลากลางจังหวัด ใช้ชื่อว่า “ถนนปรีดี พนมยงค์” และยังตั้งชื่อซอยริมถนนสายนี้ว่า “ซอยปรีดี พนมยงค์” อีกด้วย รอบเกาะขนานกับแนวกำแพงเมืองเก่ายังมีการตัดถนนล้อมรอบด้วยเรียกว่า “ถนนอู่ทอง” (ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ กษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา) พร้อมกันนั้นก็ได้มีการสร้างสะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำป่าสักที่บริเวณกึ่งกลางระหว่างวัดกล้วยกับวัดพิชัย ไปเชื่อมกับถนนปรีดี พนมยงค์ ที่เกาะเมืองอีกด้วย
ถนน สะพาน โรงพยาบาล และอาคารศาลากลางจังหวัดที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ได้เริ่มเป็นสิ่งกระตุ้นให้ราษฎรเข้ามาตั้งร้านค้าขายของและตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย โดยเฉพาะบริเวณสองฝั่งถนนปรีดี พนมยงค์ ตั้งแต่เชิงสะพานปรีดี-ธำรง จนถึงหน้าศาลากลางจังหวัด บริเวณด้านหลังศาลากลางจังหวัดยังมีการสร้างบ้านพักข้าราชการ และที่สำคัญคือจวนผู้ว่าราชการจังหวัด แรกเริ่มเดิมทีก็อยู่ตรงนั้นด้วย (ปัจจุบันจวนผู้ว่าฯ ได้ย้ายมาอยู่ริมถนนปรีดี พนมยงค์ ข้างโรงเรียนจิระศาสตร์ บริเวณซึ่งเชื่อกันว่าเดิมเป็นที่ตั้งของบ้านเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ไม่เหลือซากแล้ว)
(๔) “ตึกคณะราษฎร” ในฐานะสัญลักษณ์ความเจริญรุ่งเรืองหลังการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
ดังที่กล่าวแล้วว่า แนวคิดที่จะสร้างศาลากลางแห่งใหม่ย้ายที่ทำการจังหวัดออกจากพระราชวังจันทรเกษม ซึ่งเป็นที่แออัดและไม่เหมาะสมไปแล้วในสมัยนั้น มีมาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ อย่างน้อยถ้าใช้เอกสารลายลักษณ์อักษณ์เป็นหลักฐานก็ต้องบอกว่าเริ่มต้นตั้งแต่จากที่มีคำสั่งให้กรมศิลปากรทำการสำรวจและจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาลระบอบใหม่ ตั้งแต่เมื่อพ.ศ.๒๔๗๖ แล้ว และนอกจากตึกศาลากลางจังหวัด ยังมีแนวคิดสร้างศาลาเทศบาลประจำจังหวัด ซึ่งสร้างเสร็จไปแล้วตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๘
การสร้างตึกศาลากลางจังหวัดเมื่อพ.ศ.๒๔๘๓ เป็นผลงานการสนับสนุนช่วยเหลือผลักดันโดยปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังนั้น ทางจังหวัดจึงได้ให้เกียรติเชิญปรีดี พนมยงค์ มาเป็นประธานในพิธีวางรากฐานอาคารศาลากลางแห่งนี้เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๓ พร้อมกับเชิญปลัดกระทรวง อธิบดีกรมมหาดไทย และอธิบดีกรมโยธาเทศบาล มาร่วมในพิธีอีกด้วย[10]
หลวงบริหารชนบท (ส่าน) ข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของอาคารตึกแห่งนี้ในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองที่จะมีต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลังจากนั้นสืบมา อีกทั้งการณ์นี้หลวงบริหารชนบท (ส่าน) ยังได้กล่าวคำขอบคุณต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม และปรีดี พนมยงค์ ที่ได้สนับสนุนช่วยเหลือผลักดันจนนำมาสู่การสร้างอาคารแห่งนี้ได้สำเร็จไว้บางช่วงตอนของคำกล่าวรายงาน เช่นว่า:
“ณ บัดนี้ ศุภมงคลฤกษ์ได้มาถึง ซึ่งเปนเครื่องหมายแสดงว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองสืบไป ด้วยรัฐบาลปัจจุบันนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) และมีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นที่อุปการะปรับปรุง”[11]
อีกแห่งในเอกสารเดียวกัน หลวงบริหารชนบท (ส่าน) ก็ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ดังนี้:
“การสร้างศาลากลางจังหวัด ซึ่งจะเป็นสำนักงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของจังหวัด จะได้ดลบันดาลให้ปรากฏขึ้นในกาลบัดนี้ โดยความอุปการะของรัฐบาล (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ความอุปการะในการนี้”[12]
อนึ่ง เป็นที่น่าเสียดายว่าเอกสารหอจดหมายเหตุในส่วนนี้ไม่มีร่างคำกล่าวของปรีดี พนมยงค์ เมื่อครั้งมาเป็นประธานในพิธีวางรากฐานอาคารศาลากลางหลังนี้ เอกสารหมวดนี้จัดทำเตรียมขึ้นก่อนถึงวันงานพิธี จึงมีแต่ร่างคำกล่าวของหลวงบริหารชนบท (ส่าน) และผู้เกี่ยวข้องคนอื่นๆ หรือไม่ที่ไม่มีคำกล่าวของปรีดีในเอกสารหมวดนี้อาจเพราะเป็นคำกล่าวสดโดยไม่มีการสคริปต์ร่างเอาไว้ก็เป็นได้ การไม่มีสคริปต์ร่างดังกล่าวนี้เลยทำให้ไม่อาจทราบได้ว่า เมื่อครั้งมาเป็นประธานในพิธีดังกล่าวนี้ปรีดีได้พูดถึงความสำคัญของตึกศาลากลางหลังนี้ตลอดจนการพัฒนาเกาะเมืองอยุธยาในยุครัฐบาลคณะราษฎรไว้อย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีบทบาทในการสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดแห่งนี้ แถมตัวตึกเองยังมีประติมากรรมแสดงสัญลักษณ์สื่อถึงอุดมการณ์ของคณะราษฎร (อย่างหลัก ๖ ประการ) โดยตรงอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ตึกนี้จะเป็นที่ทรงจำและรับรู้ในหมู่คนกรุงเก่าอยุธยาในฐานะ “ตึกคณะราษฎร” รวมถึงพื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเองก็ถูกเรียกใหม่ว่า “สนามราษฎร” หรือ “สนามราษฎร์” ในเวลาต่อมา
(๕) “สนามราษฎร์” (ไม่มีในสมัยกรุงศรีอยุธยา) มาจาก “สนามคณะราษฎร”

พื้นที่ที่ได้รับเลือกให้สร้างอาคารแห่งนี้ก็นับว่าสำคัญและเนื่องจากมีชื่อเรียกเตะตาที่ว่า “สนามราษฎร์” เป็นที่มาของการถกเถียงทางวิชาการเล็กๆ ในหมู่นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอยุธยา ว่าคำนี้มาจากไหน อย่างไร มีความเชื่อหลักกันว่า “สนามราษฎร์” เป็นชื่อพื้นที่แห่งนั้นเนื่องจากอยู่ติดกับ “สนามหลวง” หรือ “ท้องพระเมรุ” สมัยอยุธยา
แต่จากที่ผู้เขียนตรวจสอบหลักฐาน ไม่พบคำนี้ (สนามราษฎร์) ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาเลย อีกทั้งพื้นที่ที่เรียกว่า “สนามหลวง” ยังย้ายจากบริเวณหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์กับวิหารพระมงคลบพิตร ไปเป็นสนามด้านทิศเหนือของพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ในเขตพระราชวังหลวงไปแล้วตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง “สนามหลวง” สมัยอยุธยาเลยมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “สนามหน้าจักรวรรดิ” (ภายหลังเป็นต้นแบบให้แก่ “สนามหลวง” กรุงเทพฯ)
นอกจากนี้บริเวณพื้นที่สนามราษฎร์ ยังเคยเป็นที่ตั้งของวัดเก่าสมัยอยุธยา จากแผนที่เก่าจะเห็นว่าบริเวณนี้มีวัดรัก, วัดป่ามอ, วัดชนะมาร, วัดทอง และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ แต่ปรากฏซากเหนือพื้นดินอยู่เพียงวัดรักกับเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ สองแห่งเท่านั้น วัดรักตั้งอยู่ข้างที่ทำการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ตั้งอยู่ข้างติดกับศาลหลักเมือง (เพิ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๙) ส่วนอีกสามวัด (วัดป่ามอ, วัดชนะมาร, วัดทอง) คาดว่าสูญไปตั้งแต่ก่อนการสร้างอาคารตึกศาลากลางฯ นานแล้ว
การเป็นที่ตั้งของโบสถ์พราหมณ์เก่าสมัยอยุธยา ทำให้ทราบว่าบริเวณนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนแขกพราหมณ์และแขกพุทธ หมายถึงชนชาวอยุธยาที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียใต้จากรัฐกุจราต วัดเหล่านี้น่าจะร้างและสูญไป ตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งทรงให้ย้ายชุมชนแขกพราหมณ์ในย่านนี้ไปอยู่ย่านถนนชีกุน ทางทิศตะวันออกของวัดมหาธาตุจรดถึงถึงคลองนายก่าย (ในไก่)[13]
หลังรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ก็ไม่ปรากฏว่าบริเวณนี้ได้มีการพัฒนาหรือสร้างทำอย่างใดอีก ส่วนชุมชนแขกซึ่งไปตั้งอยู่ย่านชีกุน มีวัดเสาชิงช้าเป็นศูนย์กลาง (ปัจจุบันเป็นวัดร้างอยู่ในพื้นที่สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา) ก็รุ่งเรืองและขยายตัวใหญ่ไปทางตะวันออกจรดแม่น้ำป่าสัก จนเกิดตลาดเจ้าพราหมณ์ (ที่ตลอดหลังเพี้ยนเป็น “ตลาดเจ้าพรหม” สืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน)
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ยกกำลังออกจากพระราชวังจันทรเกษม เพื่อจะไปบุกพระราชวังหลวงยึดอำนาจจากพระศรีสุธรรมราชา ก็ได้ทรงแวะประทับอยู่ที่ย่านถนนแขกชีกุนนี้ และพระองค์ยังได้กำลังสนับสนุนเพิ่มจากชุมชนแขกที่นี่ เมื่อยึดอำนาจสำเร็จจึงทรงตอบแทนชุมชนแขกโดยการสร้างเทวรูปพระราชทานให้แก่โบสถ์พราหมณ์ที่วัดเสาชิงช้าด้วย
อนึ่งเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพฯ ที่สร้างสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ได้ต้นแบบมาจากโบสถ์พราหมณ์เก่าที่สนามราษฎร์และวัดเสาชิงช้านี้ด้วย อีกทั้งพราหมณ์กรุงเทพฯ ยังมีความเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์อยุธยา ซึ่งมีเทอกเถาเหล่ากอเคยอยู่ที่นี่มาก่อนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญสำหรับในที่นี้ก็คือ เมื่อเป็นที่ที่เคยมีวัดและเป็นชุมชนแขกเชื้อสายชาวอินเดียใต้ ก็สอดคล้องกับที่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกพื้นที่นี้ว่า “สนามไพร่” หรือ “สนามราษฎร์” แต่อย่างใด อีกทั้งถนนที่คั่นกลางระหว่างสนามหน้าวิหารพระมงคลบพิตรกับฝั่งสนามราษฎร์ ยังเป็นถนนใหม่ เพิ่งตัดเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ดังนั้น คำว่า “สนามราษฎร์” น่าจะมีที่มาจาก “สนามราษฎร” หรือ “สนามคณะราษฎร” เนื่องจากเป็นที่ตั้งของ “ตึกคณะราษฎร” นั่นเอง
แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เกิดทีหลังถูกนำเอาไปพัวพันเป็นชื่อในอดีตด้วย ความทรงจำรับรู้ของคนเราก็แบบนี้คือมันสับสน ลบเลือน และหรือบิดเบี้ยวได้ แต่ถึงกระนั้นคำว่า “สนามราษฎร์” เองเป็นสิ่งสะท้อนความสำคัญที่สืบเนื่องจากการเป็นที่ตั้งของอาคารศาลากลางจังหวัดที่ดูแปลกตาเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนี้ด้วย
(๖) ประติมากรรมสื่อสัญลักษณ์หลัก ๖ ประการของคณะราษฎร

นอกจากพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งซึ่งอยู่เกือบจะกึ่งกลางเกาะเมืองอยุธยาแล้ว ที่ตัวอาคารด้านหน้ายังมีสิ่งสำคัญสำคัญที่ไม่พบเห็นที่ใด แต่เป็นสิ่งสะท้อนและนำเสนออุดมการณ์ของคณะราษฎรโดยตรงอีกด้วย คือประติมากรรมรูปอดีตกษัตริย์และพระมเหสีสมัยอยุธยาและธนบุรี แบบลอยตัวครึ่งตัว เรียงรายกันอยู่เหนือยอดเสาอาคาร ๖ เสา จำนวน ๖ รูป พร้อมทั้งมีรูปครุฑแดง สยายปีกบิน ไม่ใช่ครุฑยุดนาค และไม่มีพระนารายณ์เหยียบบ่าหรือขี่คอ เป็นครุฑแบบที่นิยมในสมัยคณะราษฎร
ทั้ง ๖ รูปนี้ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี เป็นการนิยามความหมายใหม่ให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ากับระบอบใหม่ (กษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ) เป็นหลักการนิยามสถาบันพระมหากษัตริย์แบบเดียวกับที่ปรีดี พนมยงค์ เคยเสนอไว้ในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”[14] ซึ่งเป็นภาพยนตร์สร้างในยุคเดียวกับตึกอาคารศาลากลางแห่งนี้
อดีตกษัตริย์และพระมเหสีที่ถูกเลือกมาเป็นตัวแทนสื่อสัญลักษณ์หลัก ๖ ประการของคณะราษฎร ณ ตึกอาคารศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งนี้ เรียงจากซ้ายไปขวา มีดังนี้:
(๑) สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง (หลักเอกราช)

(๒) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (หลักการศึกษา)

(๓) สมเด็จพระสุริโยทัย (หลักความเสมอภาค)

(๔) สมเด็จพระนเรศวร (หลักอิสรเสรีภาพ)

(๕) สมเด็จพระนารายณ์ (หลักเศรษฐกิจ)

(๖) สมเด็จพระเจ้าตากสิน (หลักความปลอดภัย)

“สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง” หรือชื่อตามพระราชพงศาวดารคือ “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑” (ครองราชย์ พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๑๒) ประติมากรรมทำเป็นรูปพระหัตถ์ซ้ายถือปราสาท และในปราสาทมีรูปพานรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย ตามเนื้อเรื่องในพระราชพงศาวดาร กษัตริย์พระองค์นี้เป็นผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อพ.ศ.๑๘๙๓ ทรงสร้างพระมหาปราสาทขึ้นที่บริเวณใต้ต้นหมันแห่งหนึ่ง
เนื่องจากใต้ต้นหมันนี้ขุดพบหอยสังข์ปทักขิณาวัตร (สังข์ก้นวนขวา ซึ่งพราหมณ์ใช้ประกอบพิธี เพราะถือเป็นสังข์ของพระนารายณ์) บริเวณดังกล่าวนี้คือพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ตอนหลังในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ยกวังเป็นวัด แล้วสร้างวังขึ้นใหม่ในพื้นที่พระราชวังหลวง ซึ่งอยู่ตอนเหนือถัดจากวัดพระศรีสรรเพชญ์
อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษ ๒๔๘๐ นั้นนักประวัติศาสตร์ยุคนั้นมองว่า การสถาปนากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นั้นนัยหนึ่งคือการประกาศเอกราชไม่ขึ้นกับเขมรพระนคร และสิ่งอันจะเป็นหลักประกันความมีเอกราชอธิปไตยก็คือรัฐธรรมนูญ[15] ดังนั้น เรื่องการสร้างพระมหาปราสาท (ซึ่งดัดแปลงให้มีรูปพานรัฐธรรมนูญอยู่ในพระมหาปราสาทอีกต่อหนึ่ง) ตลอดจนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาของพระองค์จึงถือว่าเข้ากันได้ดีกับ “หลักเอกราช” ของคณะราษฎร
“สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ” (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ประติมากรรมทำเป็นรูปพระหัตถ์ทั้งสองถือประมวลกฎหมาย บทบาทสำคัญของพระองค์คือการปฏิรูปการปกครอง โดยอาศัยหลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายเก่าที่นักศึกษาประวัติศาสตร์รู้จักกันดีอย่างเช่น “กฎหมายตราสามดวง” ซึ่งรวบรวมและชำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้นคือกฎหมายที่มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
การปกครองบ้านเมืองด้วยหลักกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญที่คณะราษฎรพยายามจะสื่อ การปกครองด้วยกฎหมายเป็นหลักประกันพื้นฐานว่าการปกครองจะอำนวยให้เกิดประโยชน์สุข เนื่องจากให้ความยุติธรรมเสมอหน้า และกฎหมายยังถือเป็นเครื่องรับรองคุณภาพการมีชีวิตที่ดี เพราะสัมพันธ์กับระบบการศึกษาอย่างเข้มข้น คนจะเข้าถึงกฎหมายได้ต้องอ่านออกเขียนได้ด้วย จึงมีการทำรูปสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในพระอิริยาบถขณะกำลังอ่านประมวลกฎหมาย ตรงนี้เองทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเหมาะสำหรับนำเสนอเป็นตัวแทนของ “หลักการศึกษา” ของคณะราษฎร
“สมเด็จพระสุริโยทัย” ประติมากรรมทำเป็นรูปพระหัตถ์ขวาถือพระแสงของ้าว พระหัตถ์ซ้ายถือพระมาลา (หมวก) สมเด็จพระสุริโยทัยทรงเป็นวีรสตรีผู้ออกรบกับข้าศึกบนหลังช้างเมื่อ พ.ศ.๒๐๙๓ และสละพระชนม์ชีพไปในศึกครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกที่มีการให้ความสำคัญและปั้นรูปพระสุริโยทัย การออกศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชสวามี (คือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) เป็นสิ่งที่เข้ากันได้กับ “หลักความเสมอภาค” ของคณะราษฎร เพราะรัฐธรรมนูญฉบับแรก (ฉบับพ.ศ.๒๔๗๕) ร่างโดยปรีดี พนมยงค์ ให้สตรีมีสิทธิเลือกตั้ง หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง เท่ากับผู้ชาย
“สมเด็จพระนเรศวร” (ครองราชย์ พ.ศ.๒๑๓๓-๒๑๔๘) ประติมากรรมทำเป็นรูปพระหัตถ์ขวาถือพระแสงของ้าว พระหัตถ์ซ้ายถือพระมาลา (หมวก) ในท่วงท่าพระอิริยาบถคล้ายคลึงกับสมเด็จพระสุริโยทัย เพียงแต่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระแสงของ้าวในลักษณะเอาพระแสงพาดบ่าไหล่ ขณะที่สมเด็จพระสุริโยทัยถือพระแสงของ้าวในลักษณะเหมือนท่ายืนตรง
สมเด็จพระนเรศวรตามประวัติศาสตร์นิพนธ์ทรงเป็นผู้กอบกู้อิสรภาพให้แก่กรุงศรีอยุธยา จากการตกเป็นประเทศราชของพม่า โดยการทำศึกยุทธหัตถีได้รับชัยชนะต่อสมเด็จพระมหาอุปราชามังสาเกียด ส่งผลทำให้พม่าต้องถอยทัพและไม่ได้มารุกรานอยุธยาอีกนานนับร้อยปีหลังจากนั้น เรื่องราวตรงนี้ทำให้สมเด็จพระนเรศวรเข้ากับ “หลักอิสรเสรีภาพ” ของคณะราษฎรได้เป็นอย่างดี
“สมเด็จพระนารายณ์” (ครองราชย์ พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) ประติมากรรมนำเสนอในท่าพระอิริยาบถพระหัตถ์ทั้งสองถือพระราชสาส์น อ้างอิงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากที่ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ยุคสมเด็จพระนารายณ์ถือเป็นยุครุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจการค้ามากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา สืบเนื่องจากที่ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวาง จึงทำให้พระองค์เหมาะที่จะนำเสนอเป็นตัวแทนของ “หลักเศรษฐกิจ” ของคณะราษฎร
“สมเด็จพระเจ้าตากสิน” (ครองราชย์ พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๒๕) ประติมากรรมอยู่ในท่วงท่าอิริยาบถพระหัตถ์ขวาถือพระแสงดาบพาดไขว้ไปทางพระหัตถ์ซ้าย ทรงเป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ สร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ผู้คนในอาณาจักร เป็นรากฐานให้แก่กรุงเทพมหานคร พระองค์จึงเหมาะที่จะนำเสนอเป็นตัวแทน “หลักความปลอดภัย” ของคณะราษฎร
ประติมากรรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่อาคารศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งนี้ ยังมีความสำคัญในแง่ที่เป็นประติมากรรมเพียงไม่กี่แห่งที่สร้างขึ้นมาก่อนหน้าที่ศิลป์ พีระศรี จะปั้นรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่วงเวียนใหญ่ กรุงเทพฯ ซึ่งรูปที่ศิลป์ปั้นจะกลายเป็นรูปมาตรฐานของประติมากรรมสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ
นอกจากที่นี่แล้ว ยังมีรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่วัดลุ่มมหาชัยชุมพล อ.เมือง จ.ระยอง อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นรูปประติมากรรมสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่มีมาก่อนหน้าศิลป์ พีระศรี เช่นกัน สร้างในสมัยคณะราษฎรเช่นกัน แต่ก่อนหน้าอาคารศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่เล็กน้อย คือสร้างเมื่อพ.ศ.๒๔๗๗ จากที่ผู้เขียนเคยนำเอารูปทั้งสองมาเปรียบเทียบกันแล้ว พบว่าไม่เหมือนกันเท่าไหร่ เป็นคนละฝีมือช่างกัน
นอกจากนี้สมัยคณะราษฎรยังเป็นยุคที่มีการฟื้นฟูเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ยกใหญ่ เนื่องจากเคยถูกข้อครหาว่าทรงพระสติวิปลาส แต่ในยุคนี้ไม่เพียงสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไม่ทรงวิปลาส หากยังทรงเป็นวีรกษัตริย์ที่มีวีรกรรมกอบกู้บ้านเมือง อีกทั้งจากที่ทรงมีพื้นเพมาจากสามัญชน ยังเข้ากันได้ดีกับบทบาทของคณะราษฎร
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้ให้ความสำคัญและนับถือสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาก เมื่อตัดถนนอยุธยา-วังน้อย (ปัจจุบันเรียกว่า “ถนนโรจนะ”) ซึ่งเป็นเส้นทางออกจากอยุธยาไปหัวเมืองตะวันออกของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ พอดี จอมพล ป. จึงเคยเสนอให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขึ้นที่บริเวณหน้าเจดีย์วัดสามปลื้ม (คนยุดยาเรียก “เจดีย์นักเลง” เพราะตั้งอยู่กลางแยกถนน และเคยมีเหตุการณ์กลุ่มนักเลงกรุงเก่าได้รวมตัวกันประท้วงไม่เห็นด้วยที่จะรื้อเจดีย์นี้) แต่ไม่ได้สร้าง ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สะท้อนความพยายามให้ความสำคัญแก่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
(๗) บทสรุปและส่งท้าย

“ตึกคณะราษฎร” หรือ “อาคารศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (หลังเก่า)” ถือเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการส่วนภูมิภาคของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งใหม่หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ แทนที่ศูนย์กลางเก่าที่เคยใช้เป็นที่ปฏิบัติงานมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเช่นที่พระราชวังจันทรเกษม ตำบลหัวรอ (อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เพราะที่เดิมแออัดและไม่เหมาะกับยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่จังหวัดเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินแทนที่มณฑลเทศาภิบาลในอดีต
แม้ว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะมีแนวคิดที่จะสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดขึ้นเป็นที่ปฏิบัติงานของตนแยกต่างหากจากพระราชวังจันทรเกษม มาตั้งแต่หลังอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เกิดขึ้นใหม่ๆ หมาดๆ แล้วก็ตาม กระนั้นก็ต้องรออีก ๘ ปีต่อมา จนถึงสมัยปรีดี พนมยงค์ มีอำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุครัฐบาลคณะราษฎรนำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยแรก) การสร้างตึกนี้จึงเกิดขึ้นเป็นจริงดังหวัง
อนึ่ง ต้องบอกกล่าวกันไว้ตรงนี้ด้วย ในประเด็นที่มีการสร้างข้อครหาว่าการพัฒนาเกาะเมืองในสมัยปรีดี พนมยงค์ ทำให้เกิดสภาพอยุธยาที่แตกต่างจากแหล่งโบราณสถานเมืองเก่าอื่นๆ โดยมีเมืองเก่าสุโขทัยเป็นตัวแบบเปรียบเทียบนั้น:
ข้อแรก, ข้อเท็จจริงก็คือการเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเกาะเมืองไม่ได้เริ่มในสมัยปรีดี พนมยงค์ หากแต่มีมาตั้งแต่สมัยยังเป็นมณฑลกรุงเก่าแล้ว เพียงแต่เดิมอยู่รอบๆ สถานที่ราชการและย่านตลาดการค้า เช่น ที่ตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม ตลาดป้อมเพชร (ปัจจุบันตลาดนี้ไม่มีแล้ว) เป็นต้น
ข้อสอง, การสร้างศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถนน สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก โรงพยาบาล ตลอดจนสิ่งสาธารณูปโภคที่จำเป็นสำหรับเมืองสมัยใหม่ จนก่อให้เกิดจุดกระตุ้นให้ราษฎรเข้ามาจับจองที่ดินบริเวณตอนในของเกาะเมือง เปิดร้านค้าขายของ ตลอดจนตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย เป็นความเรียกร้องต้องการของราษฎรชาวกรุงเก่ามาแต่เดิมก่อนหน้าสมัยรัฐบาลคณะราษฎรแล้ว ปรีดีและจอมพล ป. เพียงแต่ทำตามข้อเรียกร้องต้องการดังกล่าวของราษฎรในพื้นที่เท่านั้น
ข้อสาม, การที่คนสามารถอยู่ร่วมกับโบราณสถานได้ อีกทั้งประชาชนคนท้องถิ่นยังสามารถได้ประโยชน์จากแหล่งโบราณสถาน ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการความคิดฝันของวงการโบราณคดีมาช้านานมิใช่หรือ? จะให้เป็น “เมืองร้าง” มีเพียงซากอิฐปูนไว้รอนักท่องเที่ยวอย่างเดียว ไม่มีวิถีชีวิตผู้คน ไม่มีประวัติศาสตร์หลังจากยุคโบราณ (ในที่นี้คือ ๔๑๗ ปีนั้น) ได้อย่างไร
แต่แน่นอนการรุกล้ำโบราณสถานทำลายแหล่งประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรสนับสนุนอยู่แล้ว เพียงแต่ทำอย่างไร คนกับโบราณสถานถึงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วทำลายอีกอย่าง การมีพื้นที่แสดงประวัติศาสตร์หลัง ๔๑๗ ปีนั้นก็สำคัญ มีความหมาย และควรสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ส่วนที่ขาดหายไปของอยุธยาได้
“ตึกคณะราษฎร” ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “สนามราษฎร์” ซึ่งมาจาก “สนามคณะราษฎร” อีกทั้งตัวอาคารยังแสดงออกถึงความเป็นสถาปัตยกรรมแบบสมัยคณะราษฎรอย่างมาก ตั้งแต่ตัวตึกหัวตัดสะท้อนความเรียบง่ายไม่เน้นอาคารยอดบนหรูหราอลังการเหมือนอย่างสถาปัตยกรรมก่อนหน้า ทั้งนี้เพราะคณะราษฎรเป็นผู้นำสามัญชน จึงไม่จำเป็นต้องแสดงตัวเป็นผู้มีบุญบารมีหรือเป็นเทพมาจุติ ที่ทำให้ต้องสร้างสิ่งยกย่องจำลองสวรรค์ชั้นฟ้ามาไว้บนโลกมนุษย์
ต่อมาคือประติมากรรมที่ปัจจุบันมีอยู่ที่เดียว ที่มีการสร้างประติมากรรมรูปอดีตกษัตริย์เป็นสื่อสัญลักษณ์สะท้อนอุดมการณ์ของคณะราษฎรทั้ง ๖ หลักประการ (เอกราช, การศึกษา, ความเสมอภาค, เสรีภาพ, เศรษฐกิจ, ความปลอดภัย) คงเพราะที่นี่คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้เกิดการนำเอาสัญลักษณ์ของท้องถิ่นมาผสานเข้ากับอุดมการณ์ของส่วนกลางที่นำโดยคณะราษฎรได้อย่างลงตัว
แม้ว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะมีศาลากลางแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่ริมถนนสายเอเชีย ปัจจุบันขนาดข้างด้วยห้างเซ็นทรัลอยุธยากับห้างโลตัสและโรบินสัน (ที่เรียกรวมกันว่า “อยุธยาปาร์ค”) แต่ศาลากลางหลังเก่าที่เกาะเมือง ก็เป็นของสำคัญที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้คู่กับ “มรดกโลกอยุธยา” สำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้และเที่ยวชมได้ต่อไป เพราะประวัติศาสตร์อยุธยาไม่ได้มีแค่ ๔๑๗ ปีนั้น (ถ้าไม่เข้าใจประเด็นนี้ ออเจ้าก็ลองกลับไปกินหมาก ขี่เกวียน ใช้นกพิราบสื่อสาร ฯลฯ ดูเอาเองล่ะกันนะขอรับ)
หมายเหตุ: ขอขอบคุณ อ.โย (รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์) ที่คอยกระตุ้นเตือนให้ผู้เขียนเขียนประเด็นบทบาทคณะราษฎร ปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีต่อเมืองพระนครศรีอยุธยา สมศักดิ์ ศิริครุฑ, อชิรวิชญ์ อันธะพันธุ์, พัฑร์ แตงพันธ์, และปองพล วิชาดี ที่กรุณาตอบข้อซักถาม ชวนไปดูโน่นดูนี่ที่อยุธยาอยู่ตลอด ตลอดจนการให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะแก่ผู้เขียนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเสมอมา
หมายเหตุ :
- คงอักขรและการสะกดตามหลักฐานชั้นต้น และต้นฉบับของนักเขียน
[1] “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พุทธศักราช ๒๔๗๘” ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๕๒ (๒๔๗๘), หน้า ๑๖๙๒.
[2] หจช. ร.๕ ม. ๒๐/๒ (๒๔๔๒) เรื่องกรมหลวงดำรงราชานุภาพกราบบังคมทูลถวายรายงานแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
[3] หจช. ร.๕ ม. ๒๐/๑ (๒๔๔๒) เรื่องมณฑลกรุงเก่า
[4] เรื่องเดียวกัน.
[5] หจช. มท. ๕.๑๖.๖/๕ (๒๔๗๘-๒๔๗๙) เรื่องรายงานประจำปีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
[6] หจช. ศธ. ๐๗๐๑.๒๖ (๒๔๗๖-๒๔๗๗) เรื่องการเดินทางไปตรวจวัดร้างที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา
[7] หจช. มท. ๕.๑๖/๒๙ (๒๔๗๘) เรื่องตำแหน่งที่สร้างศาลาเทศบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
[8] “พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้าง ภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑” ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๕๖ ภาค ๑ (๒๔๘๑), หน้า ๓๙๙.
[9] ผู้เขียนเห็นว่า ควรเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาลแห่งนี้เป็น “โรงพยาบาลปรีดี พนมยงค์” และควรมีอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน เช่นเดียวกับที่ชาวกาญจนบุรีมี “โรงพยาบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา” และมีอนุสาวรีย์พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าโรงพยาบาล เป็นเกียรติแด่พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญสำหรับประวัติศาสตร์กาญจนบุรี
[10] หจช. มท. ๒.๒.๓ (๒๔๘๓) เรื่องข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอเชิญปลัดกระทรวง อธิบดีกรมมหาดไทย และอธิบดีกรมโยธาเทศบาลไปในการทำพิธีวางรากตึกศาลากลางจังหวัดและสมโภชพระพุทธรูป
[11] เรื่องเดียวกัน.
[12] เรื่องเดียวกัน.
[13] อ่านเรื่องราวของพ่อค้าและพราหมณ์จากอินเดียใต้ในอยุธยาได้ใน กำพล จำปาพันธ์ และโมโมทาโร่. Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษา และโลกาภิวัตน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์. (กรุงเทพฯ: มติชน, 2566), หน้า ๑๗๙-๑๘๒.
[14] ดูการนิยามความหมายใหม่ที่ปรีดี พนมยงค์ นำเสนอผ่านภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก ได้จาก กำพล จำปาพันธ์. “พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปรีดี พนมยงค์ & “อยุธยาใหม่” ในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”” https://pridi.or.th/th/content/2025/04/2422 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568).
[15] ดูแนวคิดนี้ของคณะราษฎรและปรีดี พนมยงค์ ได้ใน สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. “ปรีดี พนมยงค์ กับ ปัญหาเอกราช” รัฐศาสตร์สาร. ปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๑ (๒๕๔๓), หน้า ๒๖-๔๘.