
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ‘สถาบันปรีดี พนมยงค์’ จัดงานเสวนาทางวิชาการ PRIDI Talks #31: เอกราษฎร์ และอธิปไตย ยุคประชาธิปไตย 2475 ถูกท้าทาย โดยได้รับเกียรติจากผู้ร่วมการเสวนา ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และคุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิจัยอิสระ โดยมีผู้ดำเนินรายการเสวนา คุณธนกร วงษ์ปัญญา บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าวเดอะสแตนดาร์ด
ช่วงการนำก่อนที่จะเข้าสู่การเสวนา ร.ศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานเสวนาผู้รักชาติ, ประชาธิปไตย โดยเสนอให้เราทบทวนสถานะประชาธิปไตยไทยในวาระครบรอบ 93 ปีแห่งการอภิวัฒน์ 2475 โดยเน้นว่าแม้ระบอบประชาธิปไตยจะถือมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นตั้งแต่นั้น แต่นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 กองทัพยังคงมีอำนาจในการแทรกแซงทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ต่างจากประเทศอย่างอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ ที่สามารถลดบทบาทของกองทัพลงและส่งเสริมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงขึ้นได้ ตัวอย่างของอินโดนีเซียที่ยอมรับการสูญเสียติมอร์-เลสเต โดยไม่ใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร ถูกยกมาเทียบกับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งไม่จำเป็นต้องนำไปสู่สงคราม หากรัฐและกองทัพยึดหลักสันติภาพและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ใจความสำคัญยังอยู่ที่การเรียกร้องให้ประชาชนและรัฐยึดถือ “ประชาชาติ” แทนการนิยาม “ชาติ” ในแบบชาตินิยมแคบ ๆ ที่ถูกใช้โดยชนชั้นนำเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะการอ้างชาติและปลุกกระแส “คลั่งชาติ” ที่มักนำไปสู่สงครามและความเกลียดชัง ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ปรารถนาสันติภาพ เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรอย่างแท้จริง กองทัพควรเป็นกองทัพมืออาชีพที่ทำหน้าที่ปกป้องประชาชน มิใช่ก่อสงครามหรือปราบปรามประชาชนเอง
สุดท้าย ร.ศ. ดร.อนุสรณ์ เน้นย้ำว่า หากเราต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยไทยให้ยั่งยืน ต้องทำให้รัฐประชาธิปไตยมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อปัญหาของประชาชน และเปิดพื้นที่ให้มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจโดยสันติ หากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยไม่ต้องพึ่งการรัฐประหารหรือการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญที่บ่อนทำลายหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยในระยะยาว

ในช่วงเริ่มต้นงานเสวนา คุณธนกร วงศ์ปัญญา หรือคุณเอก ได้กล่าวทักทายผู้ร่วมงานถึงความสำคัญของการอภิวัฒน์สยามในอายุ 93 ปี ถ้าหากเป็นชีวิตมนุษย์ก็ต้องนับว่าเป็น “ปู่ทวด” ของชาวไทย และเราควรจะทำอย่างไรกับปู่ทวดท่านนี้ รวมถึงยังเริ่มตั้งคำถามชวนคิดกับผู้ชมว่า ทุกวันนี้เรามี “เอกราชแบบใด?” พร้อมโยนคำถามในประเด็นการเมืองไทย และปัญหาชายแดนที่ร้อนระอุ ท้าทายหลักเอกราชในตอนนี้ให้กับคุณพรรณิการ์

จากนั้น คุณพรรณิการ์ วานิช หรือ คุณช่อ ได้กล่าวในประเด็นเรื่องชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม (ethnic nationalism) และชาตินิยมแบบพลเมือง (civic nationalism) และการฉวยใช้ชาตินิยมเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำ โดยกล่าวว่าท่อนในเพลงชาติ “ประเทศไทยเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” คือชาตินิยมที่ผูกติดกับเชื้อชาติ ในขณะที่เอกราษฎร์ที่ผูกติดกับความรักชาติแบบพลเมืองที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันบนบนพื้นฐานของส่วนรวม นั่นคือความเป็นประชาชาติในความหมายของอาจารย์ปรีดี

แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของชาตินิยมและการรักชาติ อาจถูกบิดความหมายเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระวังอย่างยิ่ง ยังเน้นย้ำอีกครั้งว่าเราต้องรักษาเอกราชในความหมายแบบ “เอกราษฎร์” ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นในทางศาล ทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง
สำหรับกรณีกัมพูชา คุณช่อยังได้ยกกรณีคลิปเสียงฮุนเซ็นที่อ้างอิง “นายฮวด” ในการจับกุมพรรคฝ่ายค้านกัมพูชา ที่มีลักษณะแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเพื่อต่อต้านผู้ลี้ภัยในประเทศไทยที่สามารถสั่งการตำรวจไทยได้ โดยวิพากษ์ต่อถึงการความรักชาติที่ไม่แท้จริง มีการจับนักกิจกรรมระหว่างประเทศที่รัฐบาลไทยไม่สามารถพิทักษ์เอกราษฎร์ไว้ได้
และในช่วงสุดท้าย คุณช่อพูดถึงเรื่องการท้าทายและการช่วงชิงประชาธิปไตยที่คณะราษฎรได้วางรากฐานไว้ คุณช่ออภิปรายต่อว่าควรตั้งหลักด้วยหลักเอกราชในหลักหกประการอย่างครบถ้วนคือ “จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง” แต่ว่าในตอนนี้ เอกราชในทางการศาลที่ได้หลุดมือราษฎรไทยไปแล้ว ในทางเศรษฐกิจที่นายปรีดีได้ต้องการปลดเอกการกดขี่ราษฎรจากความเหลื่อมล้ำ แต่ปัจจุบันเรากลับเผชิญหน้ากับทุนผูกขาดขนาดใหญ่
เอกราชในทางการเมือง และศักยภาพในเจรจาระหว่างประเทศ นั้นน่าเป็นห่วงมาก ในการประคองตัวให้อยู่รอดอย่างสมดุลทั้งการเสียสมดุลทางอำนาจกับจีน และกรณีกัมพูชาที่ไทยเสียเปรียบ คุณช่อจึงทำให้เห็นว่า คำว่า “เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่” นั้นจริงอยู่ แต่ปัจจุบันเอกราชนั้นถูกเซาะกร่อนอย่างรุนแรง แต่ถูกบิดให้มองเห็นเป็นการเกลียดชังเพื่อนบ้าน, การเสียดินแดน เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่ต้องการอำนาจ และฉวยโอกาส ผู้นั้นคือคนที่ “ข่มขี่” เอกราชที่แท้จริง
และยังฝากไปยังรัฐบาลว่าควรรู้ว่าควรทำอะไรเพื่อพิทักษ์เอกราชของราษฎร


ต่อมา คุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ได้กล่าวต่อถึงมิติความมั่นคง วาทกรรมความมั่นคง วาทกรรมเสียดินแดน ที่เป็นอุปสรรคที่มิอาจทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมพลเรือนเป็นใหญ่ (civilian supremacy) โดยเฉพาะกรณีกัมพูชาที่จุดชวนให้ทหารนำพลเรือนในนโยบายการต่างประเทศอีกทั้ง ซึ่งกระทบหลักเอกราชของคณะราษฎรอย่างชัดเจน และเอกราชที่ใช้กันในกองทัพ อาจไม่ได้มีความหมายเท่ากับเอกราชในความหมายสากล ซึ่งเป็นความท้าทายสติปัญญาในการความคิดเรื่องความรักชาติ และเอกราชที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อพูดถึงการรักษาเอกราช ชาตินิยมฉบับทางการมีความหมายถึงการปกป้องแผ่นดิน ที่มีความหมายถึงตัวแสดงที่เป็น “ทหาร” เป็นศูนย์กลาง และครองอำนาจนำ
มาถึงเรื่องกัมพูชา ตั้งแต่เรื่องเกาะกูด และวาทกรรมเสียดินแดน ว่าที่อาจนำไปสู่ศาลโลก คุณสุภลักษณ์ชี้ว่ากรณีนี้เป็นเรื่องวาทกรรมเสียดินแดนมากกว่าความเป็นจริงทางเทคนิค จนถึงเรื่องกลุ่มปราสาทตาเมือน กลายมาเป็นจุดยุทธศาสตร์ความขัดแย้ง จนมาถึงศาลาตรีมุข ศาลาแห่งมิตรภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งเป็นไปได้หลายกรณีและไม่ชัดเจน แต่ถูกสร้างให้กลายเป็นเรื่องความการรุกรานเอกราชไทย โดยฝ่ายทหารเป็นตัวแทนสำคัญของการกำหนดยุทธศาสตร์
สำหรับวาทกรรมเสียดิน เมื่อนิยามเอกราช อธิปไตย ถูกผูกโยงกับเส้นเขตแดน จึงถูกทำให้กลายเป็นภารกิจหลักของกองทัพเป็นคนจัดการ ที่ผิดหลักการสมัยใหม่ที่คณะราษฎรได้วางไว้ คือ “การที่พลเรือนเป็นใหญ่” ในการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งสุดลักษณ์ทิ้งท้ายว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
แต่การปล่อยให้ปิดด่านชายแดน ซึ่งมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยมีกองทัพจัดการนโยบาย สุภลักษณ์ย้ำอีกครั้งว่าผิดหลักการอย่างเป็นอย่างมาก
ต่อมา ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ได้กล่าวขมวดปมถึงมิติทางประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาในการมอง เหตุการณ์อภิวัฒน์สยาม และเชื่อมโยงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบัน โดยวิเคราะห์ความหมายของ “เอกราช” และ “อธิปไตย” ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 และการเปลี่ยนแปลงของความหมายนั้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความหมายตามตัวอักษร แต่เกิดขึ้นจาก การปฏิบัติ และการประยุกต์ใช้แนวคิดเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะในรัฐนอกตะวันตกที่ต้องเปลี่ยนผ่านจากอาณานิคมสู่ความเป็นเอกราช ซึ่งหากการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างสงบ และสามารถสร้างชนชั้นกลางและสถาบันประชาธิปไตยที่มั่นคงได้ ก็มีแนวโน้มจะรักษาเอกราชและอธิปไตยของประชาชนไว้ได้ ประเทศอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์จึงใกล้เคียงกับความสำเร็จ ขณะที่ประเทศไทยกลับเผชิญความล่าช้าและย้อนกลับในการสร้างความหมายใหม่ของเอกราชและอธิปไตย เพราะความขัดแย้งภายในชนชั้นนำและโครงสร้างอำนาจเดิม

ในกรณีของสยาม คำว่า “เอกราช” และ “อธิปไตย” แต่เดิมมีความหมายว่าอำนาจสูงสุดเป็นของพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นคติของรัฐแบบโบราณ คณะราษฎรจึงเสนอความหมายใหม่ผ่าน “หลักเอกราช” ที่ถือเป็นหลักแรกในนโยบาย 6 ประการ โดยวางอำนาจอธิปไตยไว้ที่ “ราษฎรทั้งหลาย” อย่างไรก็ตาม กระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยในไทยไม่ใช่การปฏิวัติแบบหักดิบ แต่เป็นการประนีประนอมกับอำนาจเก่า จึงก่อให้เกิดระบอบกึ่งเก่ากึ่งใหม่ คือ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งในทางปฏิบัติคงไว้ซึ่งอำนาจซ้อนทับระหว่างคติเดิมที่พระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย กับแนวคิดใหม่ที่ยืนยันอำนาจของราษฎร ส่งผลให้ความหมายของอธิปไตยไม่ชัดเจน มีการปรับถ้อยคำในรัฐธรรมนูญที่สะท้อนการต่อสู้เชิงความคิดระหว่างอำนาจเก่าและใหม่ โดยเฉพาะในมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ที่เปลี่ยนจาก “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย” มาเป็น “อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย” ซึ่งเปิดช่องให้ตีความว่าอำนาจนั้นยังเป็นของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงใช้แทนราษฎร

บทสรุปของการอภิปรายโดย ศ.ดร.ธเนศ จึงชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้เพื่ออธิปไตยของประชาชนในสังคมไทยยังคงเป็นกระบวนการที่ไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากโครงสร้างอำนาจเดิมยังคงแทรกซึมอยู่ในระบอบประชาธิปไตย และความหมายของเอกราชกับอธิปไตยยังคงแปรเปลี่ยนไปตามอำนาจที่ครอบงำรัฐและรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ การปฏิรูปที่แท้จริงจึงต้องเริ่มจากการยืนยันความหมายร่วมกันว่า “เอกราช” และ “อธิปไตย” คืออำนาจที่เป็นของประชาชนโดยสมบูรณ์ และไม่อาจถ่ายโอนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือสถาบันใดสถาบันหนึ่งอย่างไม่อิงหลักประชาธิปไตย
เวทีการเสวนาจึงทำให้เห็นภาพปัจจุบัน และย้อนไปยังรากฐานแห่งอดีต เพื่อจินตนาการถึงทางออกในอนาคต
สุดท้ายแล้ว พิธีกรได้กลับมาที่คำถามหลักทิ้งท้ายที่ชวนให้เราว่า “เอกราชแบบใด?” ที่สังคมไทยควรคิดต่อเพื่อหาทางออกจากวิกฤต และในวันครบ 93 ปี การอภิวัฒน์สยามในครั้งนี้ เราจะดูแล “ปู่ทวด” ประชาธิปไตยไทยอย่างไร

ในช่วงท้ายเป็นการมอบของที่ระลึกโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ แก่ผู้ร่วมการเสวนาและผู้ดำเนินรายการเสวนา งานเสวนาครั้งนี้ได้รับความสนใจและมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อาทิ ทายาทปรีดี - พูนศุข พนมยงค์, ศาสตราจารย์พิเศษ ปรีชา สุวรรณทัต, คุณกฤต ไกรจิตติ อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นต้น
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=-q4KbUx9bbM