ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

อธิปไตยของประชาชนและราษฎรชาตินิยม: หัวใจประชาธิปไตยคณะราษฎร

26
มิถุนายน
2568

 

 

การเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยของสยามในวันที่ 24 มิถุนายน เดินทางมาไกลถึง 93 ปีแล้ว แต่ข้อถกเถียงยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้อย่างไร จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมีข่าวลือเรื่องรัฐประหารอีกแล้ว

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา กองทัพไทยไม่เคยสูญเสียสมรรถนะและศักยภาพในการแทรกแซงทางการเมืองถึงขั้นทำรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อสังคมเห็นว่ามีความชอบธรรมที่กองทัพจะยึดอำนาจรัฐประหาร

ผิดจากอินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ที่กองทัพก็เคยมีบทบาทเช่นนั้น แต่เวลานี้ไม่มีการแทรกแซงแบบนั้นแล้ว

รัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งสามารถกำกับควบคุม “กองทัพ” ได้ และ สามารถทำให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมและมีการเลือกตั้งตามวาระ ประชาธิปไตยมีความมั่นคง ทำให้ชาติบ้านเมืองก้าวกระโดดไปไกลกว่า “ไทย” มากทีเดียว

ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซียต้องยอมสละ “ติมอร์-เลสเต” อันเป็นดินแดนที่ยึดไว้โดยระบอบอำนาจนิยมเผด็จการซูฮาร์โต มองจากมุมอินโดนีเซีย คือ “การเสียดินแดน” อันเป็นความชอบธรรมเพียงพอที่กองทัพในอีกหลายประเทศจะยึดอำนาจรัฐประหารได้ทันที แต่กองทัพอินโดนีเซียหลังยุคซูฮาร์โต เลือกที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง ไม่โค่นล้มรัฐบาลพลเรือน รักษาระบอบประชาธิปไตย และ ดำรงรักษาสันติภาพให้เกิดขึ้นในอินโดนีเซียและ “ติมอร์-เลสเต” รัฐชาติแห่งใหม่

เปรียบเทียบกรณีพิพาทดินแดนไทยกัมพูชา ขณะนี้ยังไม่มีการเสียดินแดนใด ๆ แต่ขัดแย้งกันอยู่เพราะอ้างแผนที่คนละฉบับ การยั่วยุให้ “รบกันก็ดี” การปั่นกระแสให้ “เกลียดชังกันก็ดี” ล้วนเป็นเชื้อไฟนำไปสู่สงครามได้ทั้งสิ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหาย และ สูญเสียชีวิตของผู้คนอีกมากมายติดตามมา เราจึงควรหลีกเลี่ยง “สงคราม” อย่างถึงที่สุด

การเจรจาหารือกันน่าจะเป็น ทางออกที่ดีที่สุด และไม่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนทั้งสองฝากฝั่งชายแดน

จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของการอภิวัฒน์ประชาธิปไตย 2475 คือ อำนาจสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย เวลาเราพูดถึงประเทศชาติภายใต้ระบอบประชาธิปไตย  จึงหมายถึง ทุก ๆ คนตั้งแต่ชนชั้นสูง ผู้ปกครอง นักการเมือง ข้าราชการ ทหารในกองทัพทุกระดับชั้นยศ จนถึงประชาชนสามัญชน หมายถึง ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทุกความเชื่อ ทุกฐานะทางเศรษฐกิจ ทุกสถานภาพทางสังคม

 

 

การถือเอาประโยชน์ของกลุ่มพวกตัวเอง หรือ ชนชั้นของตัวเอง หรือ การเอาประโยชน์ของเชื้อชาติของตนเป็นใหญ่กว่าสังคมส่วนรวม ย่อมให้เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรงในสังคมได้เสมอ เป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่ในหลายประเทศ เป็น ชาตินิยมที่ไม่พึงปรารถนา เป็น “ชาตินิยม” ของกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่เป็นชนชั้นนำเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์อะไร

เมื่อ ชาติ หมายถึง ประชาชาติ ปัญหาจะเบาลงทันที

ความรักชาติที่ถูกต้อง ต้องสัมพันธ์กับผลประโยชน์ของส่วนรวม ของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่อ้าง ความรักชาติ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

การอ้าง “ชาติ” หรือ ปลุกกระแส “คลั่งชาติ” เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มย่อมนำมาสู่ความขัดแย้งภายในชาติและระหว่างประเทศได้ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ จึงเต็มไปด้วยการอ้างผลประโยชน์แห่งชาติแต่แท้จริงแล้วเป็นผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มชนชั้นนำ และนำพา “ประชาชน” ไปตายในสนามรบจำนวนมาก สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ราษฎรชาตินิยม จะช่วยหลอมรวมทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้ และ ต่างจาก ชาตินิยมของชนชั้นนำ ที่เน้นไปที่การรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ

เวลา “รักชาติ” ต้อง “รักประชาชนผู้อยู่ในชาติ” ด้วย

ต้องไม่ดำเนินการใด ๆ ที่ทำให้ “ประชาชนในชาติ” เดือดร้อนทางเศรษฐกิจและการทำมาหากินจากการปิดด่าน หรือ บาดเจ็บล้มตายจากสงคราม

ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างยุโรปเหนือ มักไม่ก่อให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ และ สงครามภายใน ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการสงคราม ต้องการสันติสุข สันติธรรม เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง  “กองทัพ” จะมีหน้าที่ปกป้อง “สันติภาพ” มีหน้าที่ปกป้องผู้รุกราน แต่จะไม่ไปรุกรานประเทศอื่น ไม่ก่อสงคราม หรือ กดปราบ ประชาชนของตัวเอง

ความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองในหลายประเทศที่นำไปสู่ สงครามกลางเมืองต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ หรือ สงครามระหว่างประเทศ มักเป็นผลมาจาก กองทัพไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อบุคคลหรือคณะบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งที่ ทหารทั้งหมดมาจากประชาชน การทำให้ กองทัพ เป็น ทหารอาชีพ จะลดความเสี่ยงของสงครามกลางเมืองที่ต่อสู้กันด้วยกำลังอาวุธ เราได้เห็นตัวอย่างความสูญเสีย ความเสียหาย ความย่อยยับ ความยากลำบากของประชาชนในหลายประเทศ เช่น เมียนมา ซีเรีย ซูดาน กาบอง และประเทศแอฟริกาอื่น ๆ ลดความเสี่ยงของสงครามระหว่างประเทศ เช่น สงครามระหว่างระบอบปูตินรัสเซีย กับ ระบอบซิรินสกี้ยูเครน สงครามระหว่างอิราเอลและอิหร่าน ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการสงครามเลย แต่หลายกรณี ผู้นำที่ต้องการก่อสงครามเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก มักจะสร้างกระแสปลุกปั่นให้ “ประชาชน” สนับสนุนการทำสงคราม และ สร้างกระแสเกลียดชัง มนุษย์ที่ถูกสมมติว่า เป็น อีกชาติหนึ่ง เป็น อีกประเทศหนึ่ง เป็นชาติศัตรู ทั้งที่เมื่อเรามีจิตใจเปิดกว้าง และ พิจารณาทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักธรรมแล้ว “มนุษย์ทุกคน ล้วนเป็นพี่น้องกันหมด”

ในวาระ 93 ปีประชาธิปไตยไทย จะต้องช่วยกันคิดว่า จะสร้างประสิทธิภาพของรัฐประชาธิปไตยได้อย่างไร ต้องทำให้เห็นว่า รัฐบาลประชาธิปไตย รัฐบาลเลือกตั้งสามารถแก้ปัญหาวิกฤติของชาติได้ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า

หากแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็เปิดทางให้คนอื่นที่มาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยมาทำหน้าที่แทน เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ หรือ คืนอำนาจให้ประชาชน สิ่งนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฟื้นขึ้นของระบอบเผด็จการผ่านมารัฐประหาร หรือ ใช้นิติรัฐประหารซึ่งอาจสั่นคลอนระบบนิติรัฐและระบบการปกครองโดยกฎหมายได้

 

 

หมายเหตุ :

  • ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
     

รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=-q4KbUx9bbM&t=3s

 

ที่มา :

  • PRIDI Talks #31 เอกราษฎร์ และอธิปไตย ยุคประชาธิปไตย 2475 ถูกท้าทายวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 - 17.00  น. ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ร.103 (ห้องทวี แรงขำ) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์