ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ผมบังเอิญอยู่ที่นั่นด้วย

12
กรกฎาคม
2568

ศักดิชัย  บำรุงพงศ์ (นามปากกา เสนีย์  เสาวพงศ์) 

๑...

วันนั้นจะเป็นวันอะไร เดือนอะไร และปีอะไร ผมจําไม่ได้ และยังไม่คิดจะสอบค้น เพราะผมไม่คิดว่าจะเขียนประวัติศาสตร์  สําหรับคนรุ่นใหม่มันเป็นประวัติศาสตร์ แต่สําหรับคนรุ่นผม เป็นความทรงจํา  ผมรู้สึกว่า เมื่ออายุมากขึ้น ความทรงจํายิ่งสั้นลง ฉะนั้น เมื่อจะอ้างตัวเลขวันเดือนปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นานมาแล้ว ผมจึงไม่ไว้วางใจความทรงจําของตน 

ระยะนั้นเป็นเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีกองทัพญี่ปุ่นอยู่ในเมืองไทย การสู้รบในยุโรปได้มีมาหลายปีแล้ว และในเอเชียก็มีมาเป็นเวลาปี ๆ แล้วเหมือนกัน แต่สงครามเรียกไม่ได้ว่าเป็นภาวะปกติ มันจะต้องยุติลงสักวันหนึ่ง แต่จะเป็นเมื่อใดและอย่างไรยังไม่มีใครจะทราบได้ 

ผมเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่า สงครามมิได้หมายถึงกิจกรรมของทหารในสนามรบทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ หรือการโฆษณาคารมทางวิทยุกระจายเสียง  ประเทศที่พัวพันในการสงครามได้กระทําการทุกอย่างเพื่อให้สงครามจบลงในทางที่ตนต้องการ ดังนั้น จึงมีกิจกรรมอีกมากมายของคู่ศึกและพันธมิตรของคู่ศึกที่กระทํากันอย่างเงียบ ๆ ซ่อนเร้น แอบแฝง และเสี่ยง 

เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผมเริ่มต้นด้วยมีผู้พาเราไปยังบ้านแห่งหนึ่งทางฝั่งขวาของแม่น้ําเจ้าพระยา  เราในที่นี้ หมายถึงเพื่อนสองคนและตัวผม ซึ่งมาจากแหล่งที่ทํางานเดียวกัน รู้จักนิสัยใจคอ และเป็นเพื่อนฝูงกันมานาน  ที่บ้านหลังนี้เราได้รับการแนะนําให้รู้จักกับบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเราไม่รู้จักคุ้นเคยมาก่อน เขาเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ร่วมกับเรา รวมเป็นสี่คนด้วยกัน แต่บุคคลผู้นี้อยู่ไม่กี่วันก็แยกไป มีคนใหม่มาแทน คนที่มาใหม่เป็นผู้ที่มาจากแหล่งเดียวกันอีก และเป็นเพื่อนฝูงสนิทสนมกันเป็นอันดีมาแล้ว จึงทําให้พวกเรารู้สึกสบายใจในการทํางานเป็นอย่างมาก 

แต่ก่อนที่ผมจะไปยังบ้านหลังนั้น ท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งได้เรียกผมไปพบและพูดจากันสองต่อสอง ท่านอธิบายถึงภาวะบ้านเมืองการศึกสงคราม แล้วย้ำว่า ในที่สุดพันธมิตรจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ เพื่อที่จะไม่ให้ประเทศชาติต้องตกอยู่ในฝ่ายปราชัย และเพื่อให้รอดอยู่ได้ภายหลังสงครามอย่างเอกราชและมีอธิปไตย เราจะต้องต่อสู้กู้เกียรติยศของตนเองโดยไม่มีทางอื่นจะเลือกได้ และการต่อสู้นั้นจะเป็นการเกื้อกูลแก่การทําศึกสงครามของฝ่ายพันธมิตรซึ่งเป็นค่ายประชาธิปไตยและสังคมนิยม 

ในการนี้ได้มีการติดต่อกับฝ่ายพันธมิตรที่มีส่วนรับผิดชอบในการดําเนินสงครามในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นรูปร่างขึ้นแล้ว งานใต้ดินได้ขยายกว้างออกไปมากและต้องการคน โดยที่ไม่มีเวลาพอจะฝึกคนสําหรับหน้าที่การงานที่ขยายตัวออกไปหลายด้าน จึงจําเป็นต้องใช้คนที่พอมีพื้นความรู้อยู่บ้าง มีสามัญสํานึกที่จะตัดสินใจในการปฏิบัติงานและแก้ปัญหาเองได้ในเวลาคับขัน เพราะอาจจะติดต่อรับคําสั่งจากสายงานชั้นสูงขึ้นไปไม่ได้ทันท่วงที ท่านบอกว่า งานนี้เป็นงานที่เสี่ยง และถ้าทําก็ถือว่าเป็นการเสียสละเพื่อประเทศชาติที่จะไม่มีการตอบแทนใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม  เมื่อเสร็จการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปสู่สภาพเดิมของตน

ผมตอบท่านว่า ครับ 

ท่านบอกว่าจะส่งไปอยู่ค่ายอังกฤษ รายละเอียดอื่น ๆ จะรู้เองภายหลังเมื่อถึงเวลา และให้ถือทุกอย่างเป็นความลับ 

 

๒...

บ้านหลังนั้นเป็นเรือนไม้สองชั้น ทาสีเขียวแก่ค่อนข้างเก่า มีรอยสีกะเทาะ เพราะกรําแดดและฝน ข้างหลังบ้านเป็นชานมีฝากั้นครัวและห้องน้ํา ชั้นบนมีห้องโถง ห้องนอนราวสามสี่ห้อง มีเตียงนอนและหมอนมุ่ง โต๊ะเก้าอี้ สําหรับเขียนหนังสือ และสําหรับนั่ง หรือเอนหลัง หน้าต่างทุกบานทั้งชั้นบนและชั้นล่าง มีผ้าม่านสีดำซึ่งกางไว้จนเกือบเต็มหน้าต่าง ทั้งนี้ ไม่เป็นของแปลกประหลาดอันใด เพราะเป็นการพรางไฟระหว่างสงคราม 

ชั้นล่างด้านหน้ามีระเบียงยาวตลอดตัวเรือน เลยออกไปเป็นสนามยาวสักสิบวาแล้วก็ถึงตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีท่าน้ำปูด้วยไม้สำหรับจอดเรือขึ้นลง ด้านข้าง ๆ มีบันไดทอดลงไปในน้ำ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ทางด้านซ้ายมือใกล้กับตลิ่ง 

หลังบ้านเป็นสวนยกร่อง มีชมพูขึ้นอยู่หลายต้น แต่ละต้นใหญ่มาก และกำลังติดลูกเล็ก ๆ ที่ฝอยเกษรยังติดอยู่ตอนปลายเป็นกระจุก และมีร่วงหล่นอยู่รอบโคนต้น ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ รอบบ้านล้อมด้วยรั้วสังกะสีสูงกว่าระดับศีรษะ 

เราไปถึงบ้านเวลาบ่าย น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากำลังไหลเอ่อ เรือแพสัญจรไปมาตามปกติ เบื้องหน้าบ้านทางฝั่งพระนครเป็นท่าช้างวังหน้า ผู้ที่นำเราไปยังบ้านนี้คอยอยู่จนกระทั่งมีคนอีกสองคนเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งสองคนหอบอะไรบางอย่างที่คลุมด้วยผ้ามิดชิดมาด้วย ผู้ที่พาเรามาแนะนำให้เรารู้จักกับสองคนที่มาใหม่ว่า สองคนนี้มีหน้าที่อะไร แต่ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร แล้วก็ลากลับไป บอกว่าค่ำ ๆ จะมาใหม่ 

เราเข้าไปรวมกันอยู่ในห้อง ผู้มาใหม่วางของที่เขาถือมากองลงกับพื้น แล้วแก้ห่อออก เราเห็นวัตถุสีดำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งนั้นเป็นปืน 5 กระบอก เมื่อเขาบอกเราว่า ปืน 5 กระบอกนี้เรียกว่าอะไร เราจึงรู้ว่า ไอ้ที่เราเคยได้ยินมาอย่างเดียวว่า คาร์บีน นั้น รูปร่างมันเป็นอย่างนี้เอง 

ปืน 5 กระบอกนั้นเป็นปืนยิงเร็วหรือถึงปืนกล เรียกว่า เอ็ม.ทรี ของอเมริกัน 3 กระบอก ปืนเสตนของอังกฤษ 1 กระบอก และคาร์บีนที่มีขาพับ ซึ่งจะใช้ยิงอย่างปืนยาวหรืออย่างปืนสั้นก็ได้ 1 กระบอก พร้อมด้วยตับกระสุนประจำปืน 2 ตับและสำรองอีกหลายตับ 

เขาบอกให้เราเลือกกันเองว่า ใครจะเอาชนิดไหนสำหรับถือประจำตัว อีกกระบอกหนึ่งเก็บไว้เป็นปืนสำรอง แต่เราต้องเรียนรู้วิธีใช้ปืนทั้งสามชนิดเพื่อจะใช้ได้ทั้งหมด เขาสอนให้เรารู้จักกลไกของปืนด้วยการถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของมันออก เรารู้ว่าแต่ละอย่างของมันทำหน้าที่อย่างไร แล้วประกอบเข้าไปใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำกันหลายครั้งจนเป็นที่พอใจของผู้สอน กลไกของมันมีไม่กี่ชิ้น ใช้และรักษาง่าย ตกลงเรารู้อะไรทุกอย่างเกี่ยวกับสามชนิดนี้ นอกจากสิ่งสำคัญที่สุดคือการยิงจริง ๆ เท่านั้น การฝึกสอนสิ้นสุดลงตรงการรู้จักประทับ เล็ง เหนี่ยวไก และวิธียิงตามแบบที่ถูกต้อง โดยไม่ได้ลั่นไกออกไปจริง ๆ เพราะเราจะทดลองถึงขั้นนั้นไม่ได้เนื่องจากมีบ้านข้างเคียงอยู่ เราจึงไม่รู้อิทธิฤทธิ์ในการทำลายของมัน วิถีกระสุน แรงสะท้อน หรือความแม่นยำจะมีอยู่เพียงไร 

เพื่อนเราคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มาจากที่ราบสูงและเคยหัดมวยมาบ้างพูดว่า มันก็เหมือนกับการชกลมแหละวะ เวลาชกลมมันก็เตะต่อยได้คล่องดี แต่เวลาชกจริงมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

เมื่อเขากลับไปแล้ว และเราอยู่กันตามลำพัง เราลืมเรื่องปืนผาหน้าไม้ไปชั่วคราว รู้สึกสบายใจเหมือนได้มาพักผ่อนอยู่บ้านสวน หวังกันดัง ๆ ว่า อีกไม่นานคงจะได้กินชมพู่ที่กำลังติดลูกเล็ก ๆ เต็มต้น บางทีจะมีเวลาช้อนปลาเข็มในท้องร่องมาเลี้ยงแล้วกัดพนันเอาบุหรี่กัน เพราะระยะนั้นบุหรี่กำลังขาดแคลน มีแต่ชนิดต้องซื้อเส้นยาและกระดาษมามวนเอาเอง 

เรายังไม่รู้ว่า งานที่เราจะต้องทำนั้นเริ่มเมื่อใด เพราะไม่มีใครบอกแต่คิดเอาเองว่าคงจะอีกสองสามวันเป็นอย่างเร็ว ระหว่างนี้ก็นั่ง ๆ นอน ๆ และชกลมกันไปก่อน สบายดีออก 

ชีวิตบนแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มคับคั่ง เรือจ้างที่ขับเคลื่อนด้วยแรงคนแจว แล่นข้ามไปข้ามมาถี่ขึ้น และมีคนโดยสารแน่นจนเพียบทุกลำ เพราะเป็นเวลาเลิกงาน นอกจากคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ทางฝั่งธนบุรีเดิมแล้ว มีคนพระนครอพยพหนีลูกระเบิดจากเครื่องบินมาอยู่ในสวนเพิ่มมากขึ้นด้วย  ถ้าฝั่งธนบุรีลอยได้ ก็คงจะเหมือนเรือจ้างที่บรรทุกคนจนเพียบแปล้ในเวลาเช้าและเย็น เราอยากนุ่งผ้าขาวม้าแล้วกระโดดน้ำเล่นที่ท่า แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนที่ว่า ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนและทำอะไร เราก็ต้องระงับ เพราะเกรงว่า คนที่รู้จักเราอาจจะนั่งเรือผ่านมาเห็นเข้า จะทำให้เขาสงสัยว่า เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่ 

ตอนค่ำมีเรือแจวข้ามมาจากฝั่งพระนคร ผู้ที่พาเรามาบ้านนี้เมื่อตอนบ่ายกลับมาอีกตามที่เขาบอกไว้ มีคนขนข้าวของตามขึ้นมาด้วย เขาขนเสบียงอาหารและเครื่องใช้ต่าง ๆ มาให้เรา เขาบอกว่า นอกจากเรื่องการรักษาความปลอดภัยแล้ว เราต้องเหมาหน้าที่อื่น ๆ ทั้งหมด เพราะจะเอาลูกมือมาช่วยไม่ได้โดยไม่เสี่ยงต่อความลับรั่วไหล ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องทำอาหารเช้าให้ฝรั่งที่จะมาอยู่ในความดูแล มีกาแฟ ไข่ดาว ขนมปัง แต่เนื่องจากไม่มีหมูแฮมหรือเบคอน เขาเอากุนเชียงมาให้แทน ส่วนอาหารกลางวันและเย็นให้เอาปืนโตไปรับที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ (โรงแรมรอแยลในปัจจุบัน) และบอกให้เราตั้งหัวหน้าคนหนึ่งสำหรับการติดต่อกับสายงานที่เกี่ยวข้องระดับสูงขึ้นไปถึงปัญหาต่าง ๆ ของเราและรับคำสั่งต่าง ๆ ถ้าจะมีเพียงคนเดียว เราเลือกเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีอาวุโสกว่าคนอื่นเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ ส่วนงานประจำในบ้านแล้วแต่เราจะแบ่งกันเอง 

เราชักมีความกังวลขึ้นนิดหน่อยแล้วตอนนี้เมื่อรู้ว่า เรามีภาระเรื่องทำอาหารให้ฝรั่งกิน แม้ว่าพวกเราจะเคยช่วยตัวเองมามากในเรื่องหุงข้าวกินเอง แต่เราไม่แน่ใจว่าจะมีฝีมือขนาดทำให้ฝรั่งกินได้ แต่ก็นึกว่ายังดีที่ไม่ต้องทำทั้งสามมื้อ เพียงแต่อาหารเช้ากับน้ำชาตอนบ่าย เรื่องเอาปิ่นโตไปรับอาหารที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ดูจะสะดวกกว่าเพื่อน เพราะได้รับคำบอกเล่าว่า ผู้จัดการโรงแรมเป็นผู้ได้รับหน้าที่ในเรื่องนี้แล้ว แต่ผู้จัดการรู้แต่เพียงการทำอาหารฝรั่งให้เราเท่านั้น และไม่เคยถามว่า เราเอาไปให้ใครกินที่ไหน ต่างคนต่างรู้เพียงในขอบเขตหน้าที่ของตน เรามอบหน้าที่ไปรับปิ่นโตให้เพื่อนที่ตั้งเป็นหัวหน้าโดยความสมัครใจของเขาเอง เพราะเพื่อนมีภาระข้างนอกอยู่หลายอย่าง จะได้ใช้เวลาไปรับปิ่นโตทําธุระส่วนตัวไปด้วย ส่วนพวกเราอีกสามคนไม่มีธุระอะไร จึงไม่ออกไปไหนถ้าไม่มีความจำเป็น 

ก็อย่างที่ผู้ใหญ่บอก เราไม่มีโอกาสเตรียมตัวสำหรับงานที่ผิดแผกไปจากงานที่เราเคยทํามาก่อน ผมเองไม่เคยยิงปืนเลยในชีวิต อย่างมากที่สุดที่เคยรู้จักเกี่ยวกับการใช้กระสุนก็เพียงแค่หนังสติ๊กกับไม้ซางเท่านั้นเอง เราได้พูดเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ ท่านบอกว่า จะหาโอกาสให้พวกเราไปฝึกซ้อมภายหลังโดยผลัดกันไปทีละคน ตอนนี้เราก็ได้แต่นั่งปรึกษาหารือกันด้วยการตั้งปัญหาต่าง ๆ แล้วหาทางแก้ไข เช่น ถ้าญี่ปุ่นบุกขึ้นมาจับจะทำอย่างไร สู้แค่ไหน ทางที่อีกฝ่าย หนึ่งจะเข้ามามีทางไหนบ้าง ถ้าหากจะถอย จะพาผู้ที่เราคุ้มกันออกไปอย่างไร ไปทางไหนและพาไปที่ใด เราก็ได้แต่ใช้สามัญสำนึกของพวกเราซึ่งไม่ค่อยจะมีกันมากนัก จึงคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องขอความกระจ่างจากบุคคลที่เป็นผู้เอาอาวุธมาให้ เพราะเราคิดว่าเขาคงอยู่ในฝ่ายรบ แต่เราไม่แน่ใจว่าจะพบเขาอีกหรือไม่ ถ้าไม่ได้พบ ก็ตกลงให้เพื่อนไปสอบถามทางสายงานเหนือขึ้นไป เรา ลูบคลำปืนยิงเร็วพร้อมด้วยตับกระสุน ๑๑ มม.เหมือนจะมอบโชคชะตาทั้งหมด ไว้ให้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักกันดี 

ค่ำแล้ว เราเปิดไฟฟ้าชั้นล่าง ดวงโคมมีผ้าดำคลุมไว้ให้แสงพุ่งลงที่พื้นรอบ ๆ มีความสว่างเพียงสลัว ๆ ดูจากข้างนอกแล้วแทบจะไม่เห็นแสงไฟเลย พระนครและธนบุรียามค่ำมีแต่ความมืด เพราะการพรางไฟ เสียงเรือบางลำผ่านหน้าบ้านไปในบางครั้งด้วยเสียงแจวหรือพายที่พุ่ยน้ำ อากาศเย็นลงและมีลม พัดเอื้อย 

 

๓...

เรานั่งบ้างนอนบ้างคุยกันจนเกือบดึก และเพราะมัวคุยกันเพลินจึงไม่รู้ว่า มีใครมาที่ท่าน้ำ มารู้ตัวเอาเมื่อผู้นั้นก้าวขึ้นมาถึงบันไดบ้านแล้ว ท่านผู้นั้นเป็นคนที่เรียกผมไปพบตอนต้น เรานึกว่าคงจะถูกดุเป็นการใหญ่ที่การระแวดระวังของเราหละหลวมอย่างใช้ไม่ได้ แต่ท่านไม่ว่าอะไรเลย ท่านมากับบุคคลอีกคนหนึ่งที่เราไม่รู้จัก 

ท่านถามว่า เรียบร้อยดีหรือ

เราตอบอย่างไม่แน่ใจว่า เรียบร้อยครับ 

ท่านบอกว่า คืนนี้จะมีคนมาสามคน เขาจะอยู่ข้างบน และสําหรับข้างบนนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นเราไม่ต้องขึ้นไป พูดแล้วท่านก็เดินขึ้นบันไดไปเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย สักครู่ท่านลงมา ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วบอกเราว่า อีกสักครู่จะมาใหม่ เราเดินตามมาส่งท่านที่ท่าน้ำซึ่งมีเรือแจวลำหนึ่งเทียบคอยอยู่ เรือเบนหัวออก คนแจวออกแรงพาเรือหายไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยา 

เราพากันตาสว่าง ผู้ใหญ่ไม่บอกอะไรให้เราทราบมากเลย และเราไม่กล้าถาม คิดว่าเรื่องอะไรที่ควรรู้ผู้ใหญ่คงบอก ถ้าไม่บอกก็เพราะคงเห็นว่าไม่ควรรู้หรือยังไม่ควรจะรู้ เราต่างเงียบงันกันไป ต่างคนต่างนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่เงียบ ๆ 

ท่านที่มาแล้วกลับไปได้กลับมาอีก คราวนี้เราคอยรับท่านที่ท่าน้ำแล้วพากันเดินเข้ามาในบ้าน ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาบ่อย ๆ เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ท่านพึมพำเหมือนรำพึงกับตนเองว่าคงจะจวนมาถึงกันแล้ว ท่านเดินวนเวียนอยู่ที่สนามหน้าบ้านผมรู้สึกว่า ท่านกระสับกระส่าย เพราะท่านรู้ถึงงานอีกด้านหนึ่งที่จะมาต่อเชื่อมกับงานทางด้านของเรา การพลาดกำหนดเวลาย่อมไม่ใช่นิมิตที่ดี มันหมายถึงอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับเราซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรในตอนนั้นรู้สึกเฉย ๆ 

แล้วในที่สุดเวลาก็มาถึง…

มีการเคลื่อนไหวที่ท่าน้ำ มีเสียงเครื่องยนต์เรือลำหนึ่งแล่นมาเทียบท่า หัวเรือมีไฟโคมดวงหนึ่งกับไฟแดงที่กราบ แต่ภายในเรือนั้นมืดสนิท มีเสียงพูดจาโต้ตอบกันจากในเรือกับท่านที่มาคอยอยู่หลายคำ แล้วก็มีคนขึ้นจากเรือหลายคน เสียงเครื่องเรือครางแผ่วลงกว่าเดิม บางคนที่ขึ้นมายืนอยู่ที่ท่าน้ำ คนหนึ่งหรือสองคนยืนรีรออยู่ที่สนาม และอีกบางคนเดินเข้ามาในบ้าน จากแสงไฟที่ไม่สู้จะสว่างนัก ผมเห็นคนที่เข้ามาในบ้านเป็นฝรั่งสองคน ทั้งคู่แต่งเครื่องแบบสีกากี แกมเขียว มีแผงคอสีแดง และผ้าพันหมวกสีแดงเด่นเห็นถนัด ทั้งสองคนร่างผอมและสูงมากจนดูคนอื่นเตี้ยไปหมด นายทหารสองคนจับมือทักทายกับพวกเรา ซึ่งท่านผู้ใหญ่ได้แนะนำให้รู้จัก นายทหารคนหนึ่งพูดกับเราเป็นภาษาไทย แล้วนายทหารสองคนกับคนไทยอีกสองสามคนเดินขึ้นไปบนบ้าน มีคนขนข้าวของตามขึ้นไปด้วย สักครูใหญ่ ๆ เขากลับลงมาจับมือแสดงความขอบใจกับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นคณะที่ไปรับเขาเข้ามา 

ผมรู้สึกตื่นเต้นและงงที่ได้เห็นฝรั่งแต่งเครื่องแบบทหารในสภาวะเช่นนี้ ผมคาดคิดว่า ในการเล็ดลอดเข้ามาทำงานใต้ดินในดินแดนที่มีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สงครามคงจะกระทำอย่างซ่อนเร้น เช่น การปลอมแปลงตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม จึงไม่คิดว่าเขาจะแต่งตัวภูมิฐานเหมือนกับจะไปเดินขบวนสวนสนาม 

ซึ่งเป็นการโจ่งแจ้งเด่นชัดเหลือเกิน และสำหรับผม - หวาดเสียวด้วย แต่ผมก็เก็บ ความรู้สึกนี้ไว้ในใจ 

ผมเห็นใบหน้าและท่าทางของผู้ที่มาร่วมขบวนนายทหารอังกฤษรู้สึกว่า ต่างอิดโรยและเครียด แน่นอนในระยะเวลาของการเดินทางซึ่งผมทราบภายหลังว่า จากจุดใดจุดหนึ่งในอ่าวไทยกว่าจะมาถึงปลายทางที่บ้านผมนี่เขามี “ของกลาง” ที่โจ่งแจ้งเด่นชัดอยู่ในความครอบครองเป็นเวลานาน เพราะหนทางไกลไม่ใช่น้อยนั้น ย่อมจะต้องทำให้ประสาทของพวกเขาเคร่งเครียดไม่น้อย และผมอาจจะรู้สึกเอาเองก็ได้ว่า ทุกคนแช่มชื่นขึ้นเมื่อเขากลับออกไปจากบ้าน ความเคร่งเครียดนั้นได้พ้นไปจากเขาแล้ว หน้าที่ของเขาเป็นอันสําเร็จลุล่วงไปด้วยดีอีกคราวหนึ่ง ความรู้สึกนั้นมันถ่ายทอดมาตกที่พวกผม พร้อมด้วย “ของกลาง” มาอยู่ใน “ความครอบครอง” 

หน้าที่ของพวกเราเริ่มต้นแล้ว 

คนอื่น ๆ เขาพากันกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกเราสี่คนซึ่งตกอยู่ในระหว่างความตื่นเต้นและความงงงวย เราเงี่ยหูฟังเสียงจากข้างบน แต่ไม่ได้ยินอะไร แม้ฝีเท้าคนเดิน  เวลาดึกมากแล้วแต่พวกเราไม่มีใครง่วง เราดับไฟชั้นล่างหมดแล้วค่อย ๆ ย่องมาที่สนามหน้าบ้าน มองขึ้นไปชั้นบนเห็นแสงไฟสลัว ๆ จางจนเกือบมืดและไม่มีการเคลื่อนไหว ชั้นบนนั้นมีคนอยู่สามคน คือ 

พลจัตวา วิคเตอร์ เฮกเตอร์ เจคส์

พันตรี ทอม ฮอบบส์

ร้อยโท เล็ก 

พลจัตวา วิคเตอร์ เฮกเตอร์ เจคส์

สองคนแรกเป็นนายทหารอังกฤษสังกัดหน่วยที่มีชื่อเรียกว่า Force 136 คนที่สามเป็นเสรีไทย เป็นนักศึกษาในอังกฤษ ชื่อของเขาเป็นชื่อรหัสไม่ใช่ชื่อจริง และพวกเราไม่ทราบชื่อจริงจนกระทั่งเวลาล่วงไปอีกนาน เขามาที่บ้านพร้อมกับนายทหารอังกฤษทั้งสองคน แต่งเครื่องแบบทหารอังกฤษด้วยเหมือนกัน เพียงแต่อินทรธนูปักสีขาว ไม่ใช่สีแดงฉุดฉาดเหมือนสองคนแรก งานของท่านผู้นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรเลข 

เรากะกันไว้แล้วว่า เราจะต้องจัดเวรยามในเวลากลางคืน ตั้งแต่ค่ําไปจนสว่างโดยผลัดกันคนละสามชั่วโมง ตอนเช้าถอนออกเข้ามาอยู่ในบ้าน สําหรับด้านหน้า เรามองเห็นจากข้างในบ้านแล้ว ทางด้านหลังและข้าง ๆ บ้าน เราอาศัยใช้วิธีแอบมองจากครัวและหน้าต่างหรือออกมาเดินเตร่เล่นบ้างโดยไม่ถืออาวุธ พยายามทําให้เหมือนบ้านอื่น ๆ ไม่ให้เห็นวี่แววว่า มีการระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษ เราเกรงไปถึงว่า ระวังเกินไปก็ไม่ดี และจะเงียบเหงาเกินไปจนดูลึกลับก็ไม่ดีอีก อาจจะมีคนสงสัยว่า เป็นช่องหรือบ่อนการพนัน แล้วตํารวจบุกเข้ามาจับ เรื่องก็จะอื้อฉาวได้เหมือนกัน 

ผมคว้าปืนออกมาอยู่ยาม ในเวลาดึกสงัดลมสงบนิ่ง อากาศเย็นกําลังสบาย มีแต่ยุงเท่านั้นที่มาตอมมากัด ทําให้รู้ว่าตัวตนของเรานี้มีอยู่ ทั้ง ๆ มองไม่เห็น มันสูญหายไปกับความมืดของกลางคืนหมดสิ้น 

เมื่อนั่งอยู่ในความมืดคนเดียวนาน ๆ ผมก็รู้สึกในใจว่า ความมืดนั้นเป็นกลาง ความมืดทําให้เราซ่อนซุ่มโดยไม่มีใครเห็น แต่ฝ่ายที่จะบุกเข้ามาก็ได้รับความคุ้มกันจากความมืดทํานองเดียวกัน จะเสียเปรียบก็อยู่ที่ว่า ฝ่ายบุกต้องเคลื่อนไหวก่อน ฝ่ายรับจึงเป็นฝ่ายได้ประโยชน์กว่า ทั้งนี้หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างตื่นและเตรียมพร้อมเท่า ๆ กัน 

ผมทราบในเวลาต่อมาว่า พลจัตวา เจคส์ เคยมีอาชีพเป็นทนายความอยู่ในกรุงเทพฯ มานานจนรู้ภาษาไทยพอใช้และรู้เรื่องเมืองไทยดี แล้วกลับไปอังกฤษก่อนสงคราม ส่วนพันตรี ฮอบบส์ เคยมาอยู่เมืองไทยประมาณปีเศษ โดยทํางานอยู่กับ บริษัทยาสูบอังกฤษ อเมริกัน  เมื่อญี่ปุ่นขึ้น ได้เป็นผู้นำกลุ่มคนชาติพันธมิตรในเมืองไทยเดินทางบุกป่าทางด้านเมืองกาญจนบุรี หนีการถูกญี่ปุ่นจับ เพราะเป็นคนชาติศัตรู เข้าไปพม่าได้อย่างหวุดหวิด หลังจากเผชิญความยากลำบากของการบุกป่าฝ่าดง เป็นเวลานาน นับว่าเป็นผู้ได้ผ่านการทดสอบความกล้าหาญ อดทนมาแล้ว 

 

๔...

ต่อมาอีกไม่ช้า “ค่าย” ของเราก็ได้มีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้คือ ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิ์วัตน หรือ “ท่านชิ้น” แต่เรารู้จักท่านในชื่อรหัสว่า “พันตรีอรุณ” ท่านทําให้พวกเราหายเหงาไปได้มาก เพราะแม้ท่านจะอยู่ชั้นบน แต่เมื่อมีเวลาว่างท่านโปรดลงมาคุยกับพวกเราชั้นล่างเสมอ ท่านมักจะทรงกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อชั้นในตัวเดียว ประทับบนราวลูกกรงหน้าบ้าน คุยกับพวกเราเป็นชั่วโมง ๆ ท่านทรงเล่าให้เราฟังถึงเรื่องความเป็นอยู่ในประเทศอังกฤษภาวะในระหว่างสงคราม การปฏิบัติงานในระหว่างสงครามในประเทศอังกฤษของท่านและของคนไทยอื่น ๆ จนกระทั่งการก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในอังกฤษ แต่ท่านอยู่กับเราไม่นานนัก ท่านก็จะหายไปเสียคราวหนึ่ง จนเราย้ายค่ายไปอยู่ในตึกหลังหนึ่งด้านปลายของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ท่านจึงได้กลับมาประทับอยู่กับพวกเราอีกระยะหนึ่ง แล้วท่านก็หายไปอีก และเราไม่มีโอกาสได้พบท่านอีกจนเสร็จสงคราม 

หลังจากที่ท่านกลับมา ท่านปรารภกับพวกเราคราวหนึ่งว่า พวกพลพรรคของเรายังไม่พร้อม ยังจะต้องใช้เวลาฝึกกันอีกมาก ผมเดาเอาว่าที่ท่านหายไปนั้น คงจะไปตรวจหรือไปช่วยพลพรรคเสรีไทยในประเทศฝึกอาวุธและการรบในชนบท 

เวลาเย็นบางวัน พวกเราเตะตะกร้อกันที่หน้าตึก มีนายทหารเสรีไทยจากอังกฤษบางคนที่มาพักอยู่กับเราร่วมวงด้วย นายทหารเสรีไทยจากอังกฤษเหล่านี้มาอยู่กับเราชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็หายกันไป เขาจะทำอะไรกันบ้าง เราไม่ได้ถาม เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะรู้ โดยที่วงตะกร้อของเรามักจะเตะกันเปะปะ จึงมีใครคนหนึ่งตั้งกติกาว่า ใครทําลูกตายจะต้องลงนอนพังพาบกับพื้นและวิดพื้นสามที ท่านพันตรี อรุณลงมาร่วมวงด้วย ความจริงกฎข้อนี้เราไม่ได้ตั้งใจจะใช้กับท่านเลย แต่เมื่อท่านทําลูกตาย ท่านก็ปฏิบัติตามกติกาทุกประการ ซึ่งทําให้พวกเราครื้นเครง และในขณะเดียวกันมีความเคารพนับถือท่านยิ่งขึ้น 

ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องอยู่กับเรา ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในป่าแต่ความสะดวกสบายมีไม่มากนัก ท่านบอกว่า ผู้ใหญ่อยากจะให้ท่านประทับที่อื่น ซึ่งมีความสะดวกสบายกว่า แต่ท่านทรงเห็นว่า เพื่อประโยชน์ของการทํางาน ท่านควรจะอยู่ในค่ายนี้ไปก่อน ท่านแยกจากเราไปตอนที่อยู่ที่ธรรมศาสตร์ ภายหลังเราย้ายค่ายไปอยู่ที่โรงเรียนวชิราวุธ ท่านก็ไม่ได้กลับมาอยู่กับพวกเราอีก 

 

๕...

งานต่าง ๆ ถึงแม้จะวางแผนล่วงหน้าไว้โดยรอบคอบแล้วก็ตาม เมื่อปฏิบัติมักจะมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกเสมอ เราสังเกตว่า งานที่เราได้มอบหมาย มีการวางแผนอย่างดีจากจังหวะต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงติดต่อกันเป็นไปโดยราบรื่นตลอด แต่เราก็มีปัญหาเหมือนกัน เช่น เรื่องอาหารการกินของนายทหารฝรั่ง ไข่ดาว ซึ่งเราทอดจากไข่เป็ด เพราะหาไข่ไก่ยากในสมัยนั้น และการใช้กุนเชียงแทนแฮมหรือเบคอน ปรากฏว่าไม่ถูกปาก ไข่เป็ดคาวเกินไปและกุนเชียงเลี่ยน ทางฝ่ายส่งกําลังบํารุงต้องไปเสาะหาได้แฮมมาขาหนึ่งจากร้านแถวบางรัก แม้จะเก่าเก็บสักหน่อยแต่ก็ยังใช้ได้ ภายหลังต่อมาอีกระยะหนึ่งมีการขนส่งอาวุธและเสบียง โดยเครื่องบินมาทิ้งร่ม จึงมีของมาโดยทางนี้ครบครัน เช่น เบคอนกระป๋อง กาแฟผง นมข้น เนยแข็ง บุหรี่ แม้กระทั่งวิสกี้ ทำให้เราไม่ต้องไปวิ่งหา ของเหล่านี้พันตรี ฮอบบส์เป็นคนเก็บรักษา ไม่ยอมให้เล็ดลอดไปได้ เพราะเป็นการเสี่ยงต่อความลับรั่วไหล กระป๋องเปล่า ของ หรือก้นบุหรี่ เขาดูแลเก็บทําลายด้วยตนเองหมด 

อีกเรื่องหนึ่งที่เราเผชิญคือ การหิ้วปิ่นโตไปเอาอาหารจากโรงแรมรัตนโกสินทร์ วันแรก ๆ ก็ปกติดี แต่ต่อมาเมื่อเราต้องนิ้วลงเรือจ้างข้ามแม่น้ำทุกวันวันละสองครั้ง คนเรือจ้างเห็นหน้าพวกเราเป็นประจำทุกวันจนจําได้ โดยเฉพาะตอนกลางวันซึ่งมีคนข้ามไม่มาก เขาแจวพาเราข้ามฟากเพียงคนเดียวเพื่อไม่ให้เสียเวลารอ เราก็ให้ค่าจ้างเขามากกว่าปกติ สิ่งเหล่านี้ทําให้เกิดความคุ้นเคยขึ้น เวลานั่งเรือเขาก็ชวนคุยเป็นธรรมดา ความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็เป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน เพราะมีพฤติการณ์ผิดกับชาวบ้านอื่น เขาก็ถามเราอย่างซื่อ ๆ ซึ่งเรารู้สึกว่า จะตอบให้สมเหตุสมผลได้ยากมาก ทีแรกคิดว่าจะบอกว่า เอาไปถวายพระ แต่เมื่อสำนึกว่า เวลาที่เราเอาปิ่นโตตอนกลางวันก็เพลแล้ว นอกจากนั้นยังมีเวลาเย็นอีกมื้อหนึ่ง ก็เลยพึ่งพระไม่ได้ ครั้นจะย้ายไปข้ามท่าอื่นก็ไกลเกินไป และนี่เป็นเหตุหนึ่งในเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีการย้ายค่ายจากบ้านริมแม่น้ำฝั่งธนบุรีเข้าไปอยู่ในตึกด้านติดกับท่าช้างวังหน้าในบริเวณมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 

ระหว่างที่นายทหารอังกฤษมาอยู่ มีผู้ใหญ่ทางฝ่ายไทยไปติดต่ออยู่เสมอ โดยมากมักจะเป็นเวลากลางคืน ท่านผู้ใหญ่ที่ผมเห็นอยู่เสมอมี คุณทวี บุณยเกตุ คุณดิเรก ชัยนามและคุณทวี ตะเวทิกุล ผมขอเอ่ยนามเฉพาะท่านที่วายชนม์ไปแล้ว ผมได้ทราบจากท่านผู้ใหญ่ว่า ฐานะของเสรีไทยดีขึ้นมากเมื่อนายทหารอังกฤษเข้ามา เพราะเขารับทราบความจริงด้วยตนเอง แต่เดิมนั้นเพียงจากรายงานของฝ่ายไทยซึ่งเขายังเชื่อไม่สนิท ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าเป็นของจริง ท่านบอกว่า ทางฝ่ายอเมริกันเขารู้ฐานะของเราดีแล้ว เพราะเขาเข้ามาก่อนอังกฤษ 

ในระยะหนึ่ง การประชุมระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายอังกฤษถี่มาก บางครั้งมีผู้ใหญ่ฝ่ายไทยหลายคนมาร่วมประชุม ซึ่งทำให้พวกเราตื่นเต้นและกังวล เพราะเกรงว่าการป้องกันของเราจะทำไม่ได้ดี เนื่องจากเรามีอยู่ด้วยกันเพียงสี่คนเท่านั้น แต่ผมทราบภายหลังว่า ด้านรอบนอกมีการวางกำลังป้องกันไว้อย่างรอบคอบ โดยหน่วยอารักขาอื่น แต่โดยที่เราไม่ทราบประสาทของเราจึงเครียดมากระหว่างที่ผู้ใหญ่ประชุมกัน พวกเราไม่รู้เรื่องที่ประชุม แต่สังเกตจากสีหน้าและท่าทางของผู้ใหญ่พอจะรู้ว่าเรื่องที่พูดจากันนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าจะก้าวล่วงปัญหาต่าง ๆ ไปได้ต้องใช้เวลาและความอดทนไม่น้อย 


 


ที่มา: หนังสือที่ระลึก “ชุมนุมชาวธรรมศาสตร์ในสหราชอาณาจักร” ปี พ.ศ. 2516

 

หมายเหตุ: ศ. บํารุงพงศ์ คือ นายศักดิชัย บำรุงพงศ์ ขณะที่เขียนเรื่องนี้เป็นอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน จากนั้นเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงแอดดิสอบาบา ประเทศเอธิโอเปีย และมาเกษียณอายุราชการขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง เป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ มธ. เป็นนักเขียนที่นามปากกาใคร ๆ ก็รู้จัก ข้อเขียนหลายชิ้นได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก