ขบวนการเสรีไทย ขณะเดินสวนสนามบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2488
วันแห่งประวัติศาสตร์
การกระทำของเสรีไทย
อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤๅ
สิงหาศน์ปรางรัตนบรรณ เจิดหล้า
บุญเพรงพระหากสรร ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง
ดังนี้ ดูก็ทัดเทียมกับคราวนี้จริง ๆ
มตฺตา สุขํ ปริจฺจาคา ปสฺเส เจวิปุลํ สุขฺจเช
มตฺตา สุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ
ถ้าเห็นสุขไพบูลย์ เพราะจะต้องสละสุขพอประมาณเสีย ผู้มีปัญญาพึงทิ้งสุขพอประมาณเสีย เห็นสุขที่ไพบูลย์ดีกว่า ดังนี้
ประวัติศาสตร์ไทย จะต้องจารึก วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๘๘ เปนวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งแห่งชาติเรา รุ่งอรุณของวันนี้ เบิกขึ้นด้วยการโปรยปรายของหยาดฝน ครั้นถึงเวลาสวนสนามของทหารและผู้กู้ชาติ ซึ่งกำหนดเวลา ๖.๓๐ น. ฝนก็หยุดโปรย ซึ่งทั้งนี้ตามประเพณีความเชื่อของเรา ถือเปนอุดมมงคลฤกษ์
ท่ามกลางประชาชนซึ่งรอมาดูการทำพิธีแต่ฟ้ายังมิทันสางอย่างแน่นขนัดรอบ ๆ สนามหลวง และตลอดสองฟากของถนนราชดำเนิน หน่วยเดินขะบวนในที่ชุมพลจะได้หันหน้าออกสู่ถนนลำดับจากซ้ายไปขวา ดังนี้ : -
แตรวง, กองบัญชาการฝ่ายทหาร, บ.ก. ร.๑ (กรมทหารราบที่ ๑) และ ท.ร.ท. (ทหารบก) พัน ๑ และ พัน ๒ ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ แตรวง กองบัญชาการฝ่ายพลพรรค กองพันพลพรรคหัวหิน กองพันพลพรรคมหาสารคาม กองพลพรรคนครพนม, อุดร, หนองคาย กองพันพลพรรคพระนคร กองพันพลพรรคธนบุรี กองพันพลพรรคแพร่ กองพันพลพรรคเพ็ชร์บุรี กองพันพลพรรคสวรรคโลก กองพันพลพรรคขอนแก่น กองพันพลพรรคเลย กองพันพลพรรคตาก กองพันพลพรรคอุบล กองพันพลพรรคชลบุรี กองพันพลพรรคปราจีณ -- แปดริ้ว กองพันพลพรรคประจวบคีรีขันธ์ กองพลพรรคสุพรรณบุรี -- อุทัย กองพันพลพรรคอยุธยา -- อ่างทอง และกองพันพลพรรคกาญจนบุรี
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้นั่งรถยนต์จากกระทรวงกลาโหม เวียนรอบท้องสนามหลวงเพื่อตรวจพล ถึงเวลา ๖.๓๐ น. ขณะนั้นสียงคำสั่งก้องจากเครื่องขยายเสียง “ระวัง วันทยา - วุธ” กองทหารและพลพรรคทุกหน่วยทำความเคารพพร้อมกัน และแตรวงบรรเลงเพลงคำนับ
รถของผู้สำเร็จราชการฯ ผ่านไปทางถนนหน้าพระลาน ตรงไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อรับการแสดงความเคารพที่นั่น พร้อมด้วยแม่ทัพบก เรือ อากาศ แขกผู้มีเกียรติ และข้าราชการผู้ใหญ่
ขะบวนได้เคลื่อนตามลำดับชุมพลที่สนามหลวง เมื่อถึง ๗.๐๐ น. ตรง ไปตามถนนราชดำเนินใน ข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา ไปตามถนนราชดำเนินกลาง ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาส ไปตามถนนราชดำเนินนอก ไปสิ้นสุดการเดินและเลิกขะบวนที่สะพานมัฆวานฯ
เมื่อวันซ้อมใหญ่เดินขะบวน บ่ายวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน ปรากฏว่ามีประชาชนมาเบียดเสียดมาชมขะบวนฉลองสันติภาพ ตลอดสองข้างทางที่ผ่านสังเกตเห็นความปลาบปลื้มปราโมทย์และตื้นตันฉายจับอยู่ในใบหน้าและแววตาทั่วทุกคน เสียงไชโยโห่ร้องก้องเอิกเกริกระหว่างที่ขะบวนทหาร…....และโดยเฉพาะพลพรรค……เดินผ่านไปนั้น ได้มีแค่ข่าวเล่าลือกันว่า ประเทศเราได้มีกองโจรและ “มนุษย์ใต้ดิน” เกิดขึ้นดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ตลอดมาที่ญี่ปุ่นกำลังทำสงครามอาเซีย ประชาชนทั่วไปพากันฉงนหรือซุบซิบกันถึงเรื่องนี้ทั่วทุกหนทุกแห่ง บัดนี้คณะผู้รักชาติ ซึ่งเปนเวลาเนิ่นนานได้ซุ่มซ่อนฝึกซ้อม วิธีการต่อสู้และต่อต้านศัตรูของชาติ เปนต้นการใช้อาวุธ ยุทธวิธีการจู่โจมการรอนกำลังและการสื่อข่าว ได้มาปรากฏตัวให้เห็นในท่วงทีลักษณะที่น่าเกรงขามอย่างเปิดเผยแล้ว พร้อมด้วยสรรพาวุธพร้อมแบบใหม่ ๆ ที่เพิ่งได้รับจากสหะประชาชาติทางเครื่องบินและเรือดำน้ำ ระหว่างไม่กี่ปีมานี้เอง ความปีติใหญ่โตจึงแสดงออกโดยเสียงอื้ออึงทั่วไป อาวุธที่เหล่าพลพรรคติดตัวเขาอยู่ มีอาทิเช่น ปืนกลเบาแบบสเตนและเบรน ปืนคาร์บิน ปืนกลมือ ปืนเล็กยาวแบบสปริงฟิลท์อัตโนมัติ ลูกระเบิดมือ ปืนต่อสู้รถถัง และปืนจรวดฯ
นอกจากเหล่าพลพรรคพระนคร - ธนบุรีแล้ว พลพรรคต่าง ๆ จังหวัดหลายจังหวัด ได้เปนที่สนใจอย่างยิ่งของคนทั่วไป ร่างอันล้วนแต่กำยำบึกบึน ใบหน้าเกรียมด้วยแดดเผา เพิ่มลักษณะสู้ตายไม่ยอมถอยของพลพรรคเหล่านั้นได้เป็นประกันแล้วว่า เขาเหมาะสมที่สุดในการได้รับคัดเลือกมาเปนคณะต่อต้านศัตรูภายในประเทส………..
ทั้งหมดนี้คัดจากสารคดีข่าว “สานติภาพ” โดยนายประยูร ปานะดิษฐ์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ นับเป็นรายงานข่าวต้นฉบับจากยุคสมัยนั้น โดยรักษาการสะกดคำตามต้นฉบับ และปรับแก้การเว้นวรรคตอนบางจุด
สารคดีข่าว "สานติภาพ" โดย ประยูร ปานะดิษฐ์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2488
ต้นฉบับ “วันแห่งประวัติศาสตร์ การกระทำของเสรีไทย” จากหนังสือสารคดีข่าว “สานติภาพ”
ข้อเสนอสร้างสรรค์การเรียนรู้เสรีไทย เพื่อให้เป็นของคนไทยทุกหมู่เหล่า
จากเนื้อหาข่าวพิธีสวนสนามเสรีไทย เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้ทำให้เห็นภาพขบวนสวนสนาม มีทั้งเสรีไทยและคนไทยรักชาติหลากหลายกลุ่มสังคมและอุดมการณ์จากทุกภูมิภาค จากในและนอกประเทศ ทั้งกองทหารสามเหล่าทัพ และพลพรรค (นักการเมือง เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการตำรวจ พลเรือน ครู ประชาชน เยาวชน นักเรียนนอก) เป็นต้น โดยมีหัวหน้าขบวนการเสรีไทย คือนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นประธานในพิธี
การสวนสนามครั้งนี้ นับเป็นภาพประจักษ์ถึงการประกาศสันติภาพ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แทนปวงชนชาวไทยหลากหลายกลุ่มและสถานะ ที่ร่วมกันตั้งขบวนการรับใช้ชาติต่อต้านญี่ปุ่นผู้รุกราน โดยร่วมมือกับสหประชาชาติเพื่อสันติภาพโลก จึงถือว่าการผูกพันธมิตรญี่ปุ่น และประกาศสงครามโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นโมฆะ ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับรองเอกราชของไทยในที่สุด
ปฏิบัติการรับใช้ชาติยามสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงควรถือเป็นผลงานร่วมของปวงชนชาวไทยทั้งชาติทุกกลุ่มสังคมชนชั้น นับตั้งแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ (ผ่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) ไปจนถึงประชาชนโดยทั่วไป ที่ช่วยให้ประเทศผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติของสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาได้ ควรแก่การระลึกและเรียนรู้จากทั้งภาครัฐ เอกชน สถานศึกษา และประชาสังคมให้เป็นวงกว้างกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อให้ประวัติศาสตร์ขบวนการรับใช้ชาติไทย ระหว่างสงฅรามโลกครั้งที่ ๒ เป็นของคนไทยทั้งประเทศอย่างแท้จริง ผู้เขียนจึงขอนำเสนอแนวทางในการระลึกและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ดังต่อไปนี้
๑) การนำเสนอเรื่องราวขบวนการรับใช้ชาติของปวงชนชาวไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
ทุกวันนี้ในการศึกษาเรื่องราวขบวนการเสรีไทย และขบวนการรับใช้ชาติ หลายฝ่ายมักจะมีภาพจำของผู้นำสำคัญ เช่น นายปรีดี พนมยงค์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายดิเรก ชัยนาม ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น ภาพจำภารกิจเสรีไทยก็มักจะเป็นการชิงไหวพริบทางการเมืองและการทูตของผู้นำประเทศ เรื่องราวเสรีไทยและภารกิจต่อต้านญี่ปุ่น จึงมักจะมีภาพจำอันไกลตัว รูปธรรมไม่ชัดเจนในสายตาของผู้คนในสังคมไทย ความรู้สึกร่วมไม่บังเกิด
ซ้ำร้าย เมื่อผู้นำงานต่อต้านญี่ปุ่นหลายท่าน มีที่มาจากกลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่อสู้ขัดแย้งจวบจนปัจจุบัน ประวัติศาสตร์เสรีไทย จึงได้กลายเป็นอาวุธต่อสู้ทางการเมือง ที่สลายความรู้สึกร่วมของคนไทยต่องานรับใช้ชาติยามสงคราม เกิดความรู้สึกเกี่ยงงอนหรือรังเกียจสำหรับคนไทยบางกลุ่ม
ดังนั้นการนำเสนอเรื่องราวขบวนการรับใช้ชาติของปวงชนชาวไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงควรนำเสนอให้มีเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่ครอบคลุมคนไทยหลากหลายกลุ่ม ดังนี้
- กองบัญชาการเสรีไทย
เริ่มจากภาพรวมขบวนการรับใช้ชาติ ที่คนไทยหลากหลายกลุ่มได้เริ่มต้น ตั้งแต่เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๗) ในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างทำ เช่น เสรีไทยในประเทศ นักการเมือง ตำรวจทหารไทย ข้าราชการพลเรือน เสรีไทยในอังกฤษและอเมริกา คนจีนโพ้นทะเล
จนปลายสงคราม (พ.ศ. ๒๔๘๗ - ๒๔๘๘) เมื่อขบวนการรับใช้ชาติได้มีเอกภาพ เมื่อเสรีไทยในและนอกประเทศประสานงานได้สำเร็จ และได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการฯ และนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี มีเสรีไทยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ เช่น มหาดไทย ศึกษาธิการ การต่างประเทศ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนราษฎรจังหวัดสำคัญ มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงตำรวจและกองทัพ ข้าราชการพลเรือนระดับอธิบดี (เช่น กรมศุลกากรกรมทางหลวง) และข้าหลวงจังหวัด ฯลฯ ดำเนินยุทธศาสตร์การทหารและการเมืองร่วมกับสัมพันธมิตร ในกองบัญชาการมีที่ตั้งศูนย์วิทยุลับ ประสานกับฐานทัพสัมพันธมิตรที่อินเดียและลังกา มีกรมศุลกากร กองทัพอากาศ และกรมทาง ที่สนับสนุนพาหนะการรับส่งบุคคล ยุทธภัณฑ์ และสิ่งอุปกรณ์เสรีไทย
- ข้าราชการนักการทูต บางกลุ่มในสถานทูตต่างประเทศได้เป็นผู้นำก่อตั้งเสรีไทยนอกประเทศ ที่โดดเด่นคือสถานอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี ภายใต้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูต เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของไทยในฐานะชาติเสรี ที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับญี่ปุ่น ได้ดำเนินการเจรจากับบุคคลสำคัญชาติสัมพันธมิตร เพื่อให้รับรองประเทศไทยในสถานะรัฐเอกราชเมื่อสิ้นสงคราม
- ตำรวจสันติบาลส่วนกลาง ที่ได้สืบข่าวทหารญี่ปุ่น คุมขังเสรีไทยจากต่างแดนและนักสู้ใต้ดินในไทยให้พ้นมือญี่ปุ่น และเปิดช่องให้เสรีไทยปฏิบัติงาน รวมทั้งจัดชุดสังหารนายทหารญี่ปุ่นชั้นผู้ใหญ่
- ค่ายพลพรรคในจังหวัดต่าง ๆ ได้เกิดซุ่มซ่อนในป่าเขา ภายใต้ผู้แทนราษฎร ข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้กำกับตำรวจจังหวัด ศึกษาธิการจังหวัด นายอำเภอ เทศมนตรี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ มีกำลังพลพรรคกองโจรที่มาจากตำรวจ ข้าราชการจังหวัด พนักงานรถไฟ ครูโรงเรียนประจำจังหวัด ครูประชาบาล ประชาชน ชาวนา ชาวไร่ พ่อค้า คหบดี นักเรียน ฯลฯ มักมีนักเรียนนอกเสรีไทยจากอังกฤษหรืออเมริกา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารสัมพันธมิตรเป็นครูฝึก เพื่อเตรียมการซุ่มโจมตี วินาศกรรม และบ่อนทำบายกองทหารญี่ปุ่นในถิ่นต่าง ๆ
- กองทัพบก เรือ อากาศไทย ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลักลอบเจรจาหยุดยิงกับจีนก๊กมินตั๋ง และเตรียมแผนการยุทธฐานทัพเพชรบูรณ์ จนเมื่อจอมพล ป.พ้นอำนาจ บรรดาแม่ทัพและนายทหารฝ่ายเสนาธิการได้ประสานแผนการยุทธและการข่าวกับฝ่ายสัมพันธมิตรและเสรีไทย จัดเตรียมกองทหาร กองเรือ กองบินตั้งในพระนคร หัวเมืองสำคัญ ชุมทางและชายฝั่งสำคัญ เพื่อสู้รบกองทัพญี่ปุ่นเป็นด่านแรก ดังจะเห็นป้อมสนามทั้งไทยและญี่ปุ่นประจัญหน้า หน่วยทหารขนาดเล็กบางหน่วย นักเรียนนายร้อยบางส่วน และนักเรียนสารวัตรทหารร่วมมือกับพลพรรค รวมทั้งฝูงบินทหารอากาศไทยที่ร่วมมือกับสนามบินลับพลพรรคเสรีไทย
- นิสิตและนักศึกษา
นิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นักเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ฯ บางส่วน ซึ่งผ่านการฝึกยุวชนทหาร ได้อาสาสมัครเป็นนักเรียนสารวัตรทหาร เตรียมการนำพลพรรคเสรีไทยระดับหมวดและหมู่
นักศึกษาและศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ฯ อาสาไปฝีกการรบกองโจรและการสื่อสาร จากฐานทัพสัมพันธมิตร ที่ลังกาและอินเดีย เพื่อเตรียมปฏิบัติงานในศูนย์บัญชาการและค่ายพลพรรค
นักเรียนชายมัธยมปลาย ที่เคยผ่านการฝึกยุวชนทหาร เข้าร่วมสมทบกับค่ายพลพรรคในจังหวัดต่าง ๆ พร้อมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู และประชาชนชาวนาไร่
- เสรีไทยสายอังกฤษและอเมริกา ที่ได้สละความสุข และสิทธิในฐานะบุคคลถือสัญชาติไทย สละชีวิตสุขสบายในฐานะข้าราชการสถานทูตและนักเรียนนอก อาสาสมัครเป็นทหารเสรีไทย ผ่านการฝึกอันทรหด เสี่ยงชีวิตเข้าแทรกซึมแผ่นดินไทย ด้วยการกระโดดร่ม ขึ้นฝั่งจากเรือดำน้ำ หรือเดินฝ่าป่าเข้าชายแดน ที่ยังมีทหารญี่ปุ่นประจำการทั่วประเทศไทย จนเสรีไทยส่วนมากถูกตำรวจไทยควบคุมตัว ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือทหารญี่ปุ่น แล้วตำรวจไทยเปิดทางให้ปฏิบัติงานสื่อสารสัมพันธมิตร ร่วมกับคนไทยตั้งกองโจรต่อต้านญี่ปุ่น บางรายที่ไม่ได้เป็นทหารเสรีไทย ก็ได้อาสาทำสงครามจิตวิทยา ผ่านวิทยุกระจายเสียง ผลิตใบปลิว อาสาช่วยงานพยาบาลและงานสถานทูต ฯลฯ
- ข้าราชการกรมประสานงานพันธมิตร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ตำรวจ ทหาร นับแต่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จนสิ้นสุดสงครามที่รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ที่ได้เจรจา ต่อรอง ขัดขวาง ไม่ให้กองทัพญี่ปุ่นในไทยเอาเปรียบและเบียดเบียนผลประโยชน์ชาติแบะไทย จนเกินไป ในการกู้เงิน การจัดหาที่อยู่ การจัดซื้อเครื่องอุปโภคและบริโภค การจัดจ้างแรงงาน การจัดจ้างโสเภณี จนไปถึงการระงับเหตุทะเลาะวิวาทคนไทยกับทหารญี่ปุ่น ในขณะที่พรางสถานการณ์ไม่ให้ญี่ปุ่นพบการต่อต้านในไทย
- คนไทยรายอิสระ ที่ได้เสี่ยงชีวิตช่วยซ่อนเชลยสัมพันธมิตรที่หลบหนีจากค่ายญี่ปุ่น ช่วยจัดหาอาหารและยาเลี้ยงเชลย และอีกหลากหลายกลุ่มที่เสี่ยงชีวิตลักขโมยยุทธภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภคของกองทหารญี่ปุ่น ทั้งเพื่อขัดขวางกลยุทธทหารญี่ปุ่น และหลายรายอาจขายสินค้าเถื่อนเหล่านี้สร้างรายได้ตัวเอง
- คนจีนโพ้นทะเลหรือคนไทยเชื้อสายจีน ทั้งฝ่ายก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ ทั้งนักธุรกิจ พ่อค้า กรรมกรโรงงาน ครูและนักเรียนโรงเรียนจีน ที่ได้สละทรัพย์หรืออาสาเข้าแนวหน้าช่วยกองทัพจีนรบญี่ปุ่น ตั้งหน่วยประสานเสรีไทยในจีน ออกหนังสือพิมพ์และใบปลิวใต้ดิน ลักลอบขัดขวางสายการผลิตที่ป้อนยุทธภัณฑ์ ซุ่มซ่อนตั้งกองโจรต่อต้านญี่ปุ่น
จากตัวอย่างเหล่านี้ หลายเรื่องยังเป็นเรื่องราวที่ถูกเลือนลืม เป็นที่รับรู้อย่างจำกัด หรือถูกซุกซ่อนเอาไว้ หากเราสามารถจะเล่าเรื่องราว ให้น้ำหนักคนหลากหลายฝักฝ่าย เพื่อให้คนไทยหลายฝักฝ่ายในปัจจุบันพบว่า กลุ่มสังคม กลุ่มอาชีพ รวมทั้งกลุ่มอุดมการณ์การเมืองทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม สังคมนิยม เสรีนิยม ชาตินิยม กลุ่มกลาง ฯลฯ ที่ยังมีบทบาทในปัจจุบัน ต่างได้เคยมีบทบาทรับใช้ประชาชาติไทยในยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาแล้ว
ซึ่งอาจช่วยให้ประวัติศาสตร์การรับใช้ชาติสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น และคาดหวังว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เหล่านี้จะเป็นที่ยอมรับของคนหลากหลายกลุ่มมากขึ้น ทั้งรัฐบาล ส่วนราชการ ส่วนท้องถิ่น โรงเรียนและสถานศึกษา ภาคเอกชน กลุ่มการเมือง และภาคประชาสังคม ไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์ของฝักฝ่ายการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งในการยอมรับความหลากหลายของกลุ่มคนหรือแนวคิดในสังคมไทยปัจจุบัน
จนอาจได้ขยายวงในการนำเสนอ ผลิตงานวิจัย แลกเปลี่ยนความรู้ โดยอาจนำเสนอได้หลายช่องทาง และหลากหลายรูปแบบ ทั้งการผลิตหนังสือ งานวิจัย นิยาย การเผยแพร่สื่อโซเชียล คลิปวิดิโอ พอดแคสต์ หนังสั้น ภาพยนตร์ สารคดี การ์ตูนนิ่ง แอนิเมชั่น นิทรรศการภาพเล่าเรื่อง อินโฟกราฟิก ฯลฯ โดยที่เจ้าภาพในการผลิตเรื่องราวควรจะได้ขยายวง จากสถาบันปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก มหาวิทยาลัยราชภัฏบางจังหวัด เพจประวัติศาสตร์บางเพจ ยูทูปบางช่อง ฯลฯ ไปสู่โรงเรียนระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ส่วนราชการที่เคยมีบทบาทรับใช้ชาติยามสงคราม เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพ กรมศุลกากร กรมทางหลวง กรมประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
เพื่อให้ประวัติศาสตร์ปวงชนไทยคราวสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้กลับมามีน้ำหนักในการรับรู้ของสังคมไทย ให้ทัดเทียมกับประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคม จนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ราชการไทยให้น้ำหนักมาก ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ ร.ศ. ๑๓๐ เป็นต้นมา ที่นักวิชาการและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองให้น้ำหนัก รวมทั้งประวัติศาสตร์โบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ศิลปะที่มีผู้สนใจจำนวนมาก
การสวนสนามของขบวนการเสรีไทย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2488
ที่มา : จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
๒) กิจกรรมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ และขบวนการรับใช้ชาติในดินแดนไทย
โดยภาพรวมการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังนับว่ามีน้ำหนักน้อยในการเรียนการสอนหลักสูตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สามารถดูได้จากหนังสือเรียน คู่มือครู ชั่วโมงการเรียน ที่ให้สำคัญน้อยกับประวัติศาสตร์ ตลอดจนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนที่มีน้อย ในมหาวิทยาลัยอาจมีการเรียนการสอนที่เข้มข้นมากขึ้น ถึงกับมีการสอบข้อเขียน การผลิตงานวิจัย หรือการเขียนบทความ แต่ในมหาวิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาที่ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้มาก เรื่องราวประวัติศาสตร์จึงอาจเป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งในการศึกษา
ในขณะที่การเผยแพร่และความรับรู้ประวัติศาสตร์เสรีไทย ในสาธารณชนทั่วไป ก็ยังเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน
หากต้องการให้เรื่องราวประวัติศาสตร์เสรีไทยและขบวนการรับใช้ชาติ ยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ แพร่หลายสู่สถาบันการศึกษา อาจต้องสร้างโครงการเผยแพร่กิจกรรมการเรียนรู้เสริมให้แก่สถาบันการศึกษา กลุ่มเยาวชนอิสระ กลุ่มการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ฯลฯ ที่มีความสนใจ โดยจะต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่จูงใจเหมาะสมแก่ผู้เรียนตามวัยต่าง ๆ เช่น การเรียนรู้ภาคสนามในสถานที่จริงทางประวัติศาสตร์ บอร์ดเกมเสรีไทย กิจกรรมอ่านข้อความบันทึกและแลกเปลี่ยนความเข้าใจ กิจกรรมเรียงความ กิจกรรมวาดภาพ กิจกรรมจำลองประวัติศาสตร์ การออกแบบเกมส์ หรือการทำ Workshop ในสถานที่จริงประวัติศาสตร์ เป็นต้น
กิจกรรมทริปจักรยานตามรอยเสรีไทย พระนครชั้นใน (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท้องสนามหลวง ทำเนียบท่าช้าง ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย) เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๘ ซึ่งจัดโดยกรุงเทพมหานคร และสถาบันปรีดี พนมยงค์ นับว่าเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างหนึ่งมีน่าสนใจ เพราะสามารถชักชวนนักปั่นจักรยานจำนวนมาก ที่ไม่ได้รับรู้ประวัติศาสตร์เสรีไทยมาก่อน ให้เข้าร่วมเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเรื่องราวเสรีไทยตามที่ตนถนัดได้จำนวนมาก
๓) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้จากสถานที่จริงในประวัติศาสตร์เสรีไทยและการรับใช้ชาติ
มีอีกหลายสถานที่ใกล้ตัวของผู้คนในภูมิภาคต่าง ๆ ในปัจจุบัน ที่เคยเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานเสรีไทยหรืองานใต้ดินกลุ่มอื่น เพื่อรับใช้ชาติไทยในยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ นอกเหนือจากสถานที่อันเป็นที่รับรู้เกี่ยวกับเรื่องเสรีไทย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำเนียบท่าช้าง ถ้าเสรีไทยสกลนคร สนามบินลับนาคู พิพิธภัณฑ์เสรีไทยแพร่ ค่ายฝึกเสรีไทยแพะเปียง (แพร่) เป็นต้น ซึ่งสถานที่เหล่านี้ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานและนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้เรื่องเสรีไทยแล้วนั้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสถานที่ ซึ่งเคยเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นยามสงคราม แต่กลับไม่เป็นที่รับรู้แพร่หลาย ดังตัวอย่างได้แก่
- แยกปทุมวัน - ราชประสงค์ (กรุงเทพ) อันเป็นย่านท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และความบันเทิงในปัจจุบัน ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของกองทหารญี่ปุ่นที่สนามศุภชลาศัย และกองตำรวจสันติบาลไทย (สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน ทั้งตำรวจไทยและทหารญี่ปุ่นต่างชิงไหวพริบลวงสืบข่าว และเตรียมการต่อสู้บ่อนทำลายกันอยู่ตลอด ที่กองตำรวจสันติบาลเองก็เป็นที่คุมขังนักโทษเสรีไทย พลพรรคจีน และกลุ่มไทยอิสระ ซึ่งเป็นการคุ้มครองนักโทษเหล่านี้จากการควบคุมที่ทารุณจากญี่ปุ่น แล้วต่อมาที่กองตำรวจสันติบาลได้กลายเป็นสถานีวิทยุลับเสรีไทยแห่งหนึ่ง รวมทั้งเป็นศูนย์รวมข่าวทหารญี่ปุ่น และเป็นศูนย์ปฏิบัติการลับชุดสังหารนายพลญี่ปุ่น
- แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (กรุงเทพฯ) อนุสาวรีย์เพื่อระลึกวีรกรรมนักรบไทยทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือนอันมีชื่อเสียง แยกชุมทางคมนาคมใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคยเป็นที่ตั้งป้อมปราการค่ายทหารญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ต่อเนื่องถึงสนามเป้า กองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทยเคยเชิญข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายไทยชมการซ้อมรบที่ป้อมสนามด้านนี้ (เป็นการขู่ฝ่ายไทยที่ดำเนินงานใต้ดิน) ในขณะเดียวกันได้มีชุดปฏิบัติการทหารไทยกองพลที่ ๑ เช่าบ้านข้างอนุสาวรีย์ เตรียมทำสงครามกองโจรจู่โจมค่ายทหารญี่ปุ่นที่นี่
- โรงงานน้ำตาลเกาะคา (ลำปาง) สถานที่สำคัญกลางอำเภอเกาะคา เคยเป็นที่ตั้งค่ายลับฝึกอาวุธเสรีไทยลำปาง สถานีวิทยุลับเสรีไทยสายอังกฤษ และเป็นที่ซุ่มซ่อนนักบินสัมพันธมิตร ให้รอดพ้นจากฝ่ายทหารญี่ปุ่น
- กาดกองต้า (ลำปาง) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดลำปาง เป็นตลาดริมน้ำอันรุ่งเรือง ศูนย์รวมการค้า และสถานเริงรมย์ของเมืองลำปางในอดีต จึงมีทหารญี่ปุ่นจัดซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมทั้งใช้บริการโสเภณี เสรีไทยลำปางทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือน พ่อค้า ร่วมกับเสรีไทยสายอังกฤษได้มาสืบข่าวทหารญี่ปุ่นจากย่านตลาดแห่งนี้
- ค่ายอดิศร (สระบุรี) ที่ตั้งศูนย์การทหารม้าแห่งกองทัพบกไทยในปัจจุบัน อดีตสนามบินบ้านแพะของกองทัพอากาศไทยในยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ตั้งฝูงบินทิ้งระเบิด ในช่วงปลายสงครามสนามบินแห่งนี้ได้รองรับเที่ยวบินลับลำเลียงอาวุธและเจ้าหน้าที่เสรีไทยและสัมพันธมิตร ทั้งที่สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่อันตราย ไม่ห่างจากเขาพระฉายและแยกหินกอง จุดประจัญหน้าอันน่าหวาดเสียวระหว่างกองทหารบกญี่ปุ่นกับกองทหารบกไทย
- เขาหินเหล็กไฟ (ประจวบคีรีขันธ์) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอำเภอหัวหิน ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งค่ายพลพรรคเสรีไทยสายหัวหิน ภายใต้บังคับนายชาญ บุนนาค นายปุ๊ บุนนาค นายใช้ ห้วงน้ำ และข้าราชการคหบดีหัวหิน รวมทั้งเป็นสนามรับร่มอาวุธยุทธภัณฑ์สัมพันธมิตร
- ค่ายสุรนารี (นครราชสีมา) ที่ตั้งกองทัพภาคที่ ๒ ในปัจจุบัน ศูนย์บัญชาการทหารบกภาคอีสานอันยาวนาน ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา เป็นที่ตั้งมณฑลทหารบกที่ ๓ และกองพลที่ ๓๗ ภายใต้พลตรี หลวงหาญสงคราม นำกรมกองทหารด้านอีสานเตรียมการรบต้านกองทัพญี่ปุ่นด้านอินโดจีน และในค่ายนี้เป็นที่ตั้งสถานีวิทยุลับฝ่ายสัมพันธมิตร ประสานงานใต้ดินกับเสรีไทยที่นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี ชัยภูมิ เลย ฯลฯ มีการซุ่มซ่อนเจ้าหน้าที่สัมพันธมิตรทั้งอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งเป็นที่ซ่อนตัวเชลยศึกที่หลบหนีทหารญี่ปุ่นอีกด้วย
- ภูเวียง (ขอนแก่น) สถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงระดับประเทศ แหล่งไดโนเสาร์และพื้นที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ระดับโลก แต่น้อยคนที่จะรับรู้ว่า พื้นที่ภูเขาแห่งนี้ เคยเป็นที่ตั้งค่ายฝึกพลพรรคเสรีไทยสายขอนแก่นแห่งหนึ่ง ภายใต้นายอุดม บุญประกอบ ข้าหลวงประจำจังหวัดขอนแก่น พ.ศ. ๒๔๘๘
- ภูกระดึง (เลย) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ แหล่งธรรมชาติสวยงาม ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคยเป็นที่ตั้งค่ายฝึกพลพรรคเสรีไทย และสนามรับร่ม ภายใต้บังคับนายสุวรรณ รื่นยศ
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี ในอดีตคือศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ รวมทั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ด้วย หลวงนรัตถรักษา (ชื่น วิจิตรเนตร) ข้าหลวงประจำจังหวัดในช่วงปลายสงครามได้ตกลงใจร่วมมือภารกิจต่อต้านญี่ปุ่นร่วมกับนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ผู้แทนราษฎรและหัวหน้าเสรีไทยจังหวัด ฝ่ายทหาร และฝ่ายตำรวจ ศาลากลางจังหวัดจึงเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในการประสานแผนเสรีไทยจังหวัดนี้ ไปจนถึงภารกิจปลดอาวุธและควบคุมเชลยศึกญี่ปุ่น ภายหลังสงครามยุติ
- ชายหาดอำเภอท้ายเหมือง (พังงา) ชายหาดสวย เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในท้องถิ่น มีอาหารและของเล่นขาย ครั้งหนึ่งในยามสงคราม เคยเป็นจุดจอดเรือดำน้ำ ส่งเสรีไทยสายอังกฤษ เช่น ร.ต. สวัสดิ์ ศรีสุข และ ร.ต. พัฒนพงศ์ (จุ๊นเคง) รินทกุล เข้าแทรกซึมดินแดนไทย
- เรือนจำประจำจังหวัดชุมพร แหล่งซ่องสุมฝึกอาวุธพลพรรคนักโทษ เตรียมทำสงครามกองโจรต่อต้านญี่ปุ่น ภายใต้หลวงอุตตรดิตถาภิบาล ข้าหลวงประจำจังหวัด พันตำรวจตรี แม้นเทพ บูรณะพิมพ์ ผู้กำกับการตำรวจ และพัศดีเรือนจำ
- ค่ายวชิราวุธ (นครศรีธรรมราช) ที่ตั้งกองทัพภาคที่ ๔ ในปัจจุบัน เป็นศูนย์บัญชาการทหารบกไทยภาคใต้มาช้านาน ในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังมีขนาดหน่วยเป็นมณฑลทหารบกที่ ๖ และกองพลที่ ๖ ผู้บัญชาการและเสนาธิการได้วางแผนและเตรียมกำลังและแผนกองพลเพื่อสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นในภาคใต้ รวมทั้งได้ร่วมมือกับเสรีไทยสายอังกฤษและอเมริกาตั้งศูนย์วิทยุสัมพันธมิตรในกองพลประสานเสรีไทยภาคใต้จนสิ้งสงคราม
ฯลฯ
หากสถานที่เหล่านี้จะได้พัฒนาบางส่วน เป็นพื้นที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ และงานเสรีไทย ก็นับว่าเป็นการสร้างเกียรติประวัติแก่สถานที่เหล่านั้น ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเพื่อกอบกู้บ้านเมือง โดยอาจพัฒนาได้ในรูปแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสม (ความสวยงามของสถานที่ สิ่งแวดล้อม ความหมายที่เหมาะสมกับประวัติศาสตร์ งบประมาณ ฯลฯ) เช่น ป้ายบรรยายความรู้ บอร์ดติดผนัง มุมภาพเล่าเรื่อง ป้ายนิทรรศการ มุมในพิพิธภัณฑ์ ประติมากรรม เป็นต้น บางพื้นที่ซึ่งมีศักยภาพก็อาจพัฒนาเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม และอาจจัดกิจกรรม ณ สถานที่นั้นในโอกาสต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
๔) กิจกรรมรำลึกวันสันติภาพไทย
เพื่อให้การรำลึกสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในไทยได้ขยายวง นอกเหนือไปจากกิจกรรมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ กรุงเทพมหานคร สถาบันปรีดี พนมยงค์ ฯลฯ ที่จัดขึ้นประจำในวันสันติภาพไทย ๑๖ สิงหาคมของทุกปี หรือในวันวีรไทย ๘ ธันวาคม (วันญี่ปุ่นบุกไทย) ของทุกปี หากยังคงจำกัดวงทั้งสถานที่และกลุ่มบุคคล จึงสมควรที่จะจัดกิจกรรมรำลึกวันสันติภาพไทยขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งอาจเริ่มจากการที่ผู้จัดเดิมเชิญกลุ่มบุคคลใหม่ ๆ จากองค์กรและกลุ่มสังคมที่เคยร่วมมือกับขบวนการรับใช้ชาติในยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ เข้าร่วมงานรำลึก
เช่น ผู้แทนส่วนราชการ (กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมราชทัณฑ์ กระทรวงการต่างประเทศ กรมยุโรป กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงกลาโหม กองทัพไทย กองทัพบก กองทัพภาค กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กรมศุลกากร กรมทางหลวง ฯลฯ) ผู้แทนกลุ่มการเมือง (รัฐสภา สภาผู้แทน พรรคการเมือง) ผู้แทนกลุ่มอาชีพ (กลุ่มครู กลุ่มข้าราชการบำนาญ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มธุรกิจ กลุ่มนักเล่นวิทยุ กลุ่มนักเรียน กลุ่มนิสิตหรือนักศึกษา ฯลฯ) ผู้แทนกลุ่มภูมิภาค ผู้แทนสถานศึกษา ฯลฯ พร้อมกับการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนเรื่องราวขบวนการรับใช้ชาติ ที่ครอบคลุมคนหลากหลายกลุ่ม และหลายมิติในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจมีส่วนให้บรรดาผู้แทนภาคส่วนต่าง ๆ ที่รับเชิญร่วมงานนี้ อาจได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และคุณค่าไม่มากก็น้อย
จนอาจขยายผลไปสู่การเข้าร่วมงานกิจกรรมรำลึกวันติภาพของบุคคลหลากกลุ่มดังที่กล่าวนี้ในปีต่อ ๆ ไป และอาจขยายเรื่องราวนี้ จนมีผู้เข้าร่วม ได้มากขึ้น นอกจากนี้บุคคลกลุ่มใหม่ที่รับเชิญร่วมงาน ก็อาจที่จะขยายการจัดงานรำลึกวันสันติภาพไทยในกลุ่มหรือองค์กรของตนในปีต่อ ๆ ไป ทำให้กิจกรรมระลึกวันสันติภาพไทยและสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในไทยได้รับการขยายตัวมากขึ้น
ที่สำคัญ กิจกรรมรำลึกอาจทำได้อีกหลายรูปแบบ นอกเหนือจากกิจกรรมด้านประเพณี อาจเพิ่มการเสวนาแลกเปลี่ยนประวัติศาสตร์ Workshop เกม จัดแสดงงานศิลปะ อาจรวมถึงกิจกรรมท่องเที่ยวตามรอยสถานที่จริง ฯลฯ
สรุป
จากการสวนสนามเสรีไทย วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้ว นับเป็นภาพสะท้อนขบวนการเสรีไทย และอีกหลากหลายขบวนการรับใช้ชาติ ที่ปวงชนไทยแทบทุกหมู่เหล่าเคยร่วมปฏิบัติงาน
จึงสมควรที่จะนับเป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อฟื้น รวบรวม ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ของขบวนการรับใช้ชาติยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ ให้ครอบคลุมบทบาทคนไทยหลากหลายหมู่เหล่า กลุ่มสังคม และกลุ่มอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมภูมิภาคพื้นที่ใกล้ตัว เพื่อขยายการยอมรับให้กว้างขวางที่สุดในทุกภาคส่วนของสังคม
อีกทั้งจะต้องต่อยอดพัฒนาการนำเสนอประวัติศาสตร์ชุดนี้ ไปสู่กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับผู้คนหลากหลาย สู่การพัฒนาพื้นที่ประวัติศาสตร์ ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้สาธารณะ และกิจกรรมรำลึกวันสันติภาพไทย ที่ควรขยายส่วนร่วม ให้เป็นของคนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า เฉกเช่นภาพจำการสวนสนามเสรีไทยเมื่อ ๘๐ ปีที่แล้ว
เอกสารอ้างอิง :
- สารคดีข่าว “สานติภาพ” โดยนายประยูร ปานะดิษฐ์. สิริอักษร, พระนคร ๒๔๘๘