ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “สันติภาพและเอกราชได้มาด้วยสมองและสองแขน”

27
สิงหาคม
2568

 

ดร.จริย์วัฒน์ สันตะบุตร :

สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานวันฉลอง 80 วันสันติภาพไทย ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยชิ้นหนึ่งทีเดียวว่าเราได้รับเอกราชและสันติภาพมาได้อย่างไร ผมจึงตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “สันติภาพและเอกราชได้มาด้วยสมองและสองแขน” เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้ใช้สมองและสองแขนเพื่อให้เกิดสันติภาพของเรามาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งสำหรับผมแล้วหมายถึงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แก่ ขบวนการเสรีไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านผู้นำขบวนการเสรีไทย ซึ่งก็คือท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ หรือ "รู้ธ" ของเรา

ในครั้งนี้ เมื่อจะพูดถึงท่านปรีดี พนมยงค์ ผมก็อยากให้พวกเราได้ทราบว่า ณ ที่นี้ก็มีทายาทของท่าน 2 ท่าน อยู่ที่นี่ด้วย คือ คุณสุดา พนมยงค์ และคุณดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล ผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผมจะได้มีส่วนในการตอบแทนบุญคุณผู้ซึ่งได้ให้ความรู้กับผมมากมายมหาศาล รวมทั้งเป็นแกนหลักอันหนึ่งที่ทำให้ผมเขียนวิทยานิพนธ์จนจบปริญญาเอกได้ ผมคิดว่าคงไม่เกินเลยไปถ้าจะกล่าวว่า สิ่งที่อาจารย์อนุสรณ์ได้พูดเมื่อตอนต้นแล้ว จริง ๆ ก็คือภาพใหญ่ของสงครามโลกครั้งที่ 2 และภาพของสิ่งซึ่งได้เกิดขึ้นจริง ๆ ก็เป็นไปในทำนองนั้น ประวัติศาสตร์ก็เพียงแต่เรามาปะติดปะต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราได้ข้อมูลใหม่มา แต่ข้อมูลเดิม ๆ ที่มีอยู่มากมายมหาศาล เราก็ได้แต่เอามาตีความว่ามันเป็นอย่างไร

ผมจะนำประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของประเทศไทย ไล่มาจนถึงวันที่ 16 สิงหาคม ซึ่งมีการประกาศสันติภาพ ธรรมดาแล้วพวกเราคงสงสัย เมื่อประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 25 มกราคม ปี 2485 และได้ร่วมอยู่ในสงครามนั้นมาอีก 3 ปี ถึงปี 2488 และทำไมในวันที่ 16 สิงหาคม ประเทศไทยถึงสามารถประกาศได้ว่าสงครามนั้นเป็น "โมฆะ" และเราไม่ควรที่จะตกเป็นผู้แพ้ เรื่องนี้เราต้องมาดูที่มาที่ไป ไม่ใช่ว่าใครคิดอย่างนี้ก็ทำได้ หรือถ้าตามศัพท์ของอาจารย์ปรีดีก็คือว่า “ตีหัวเข้าบ้าน” แล้วก็อยู่เฉย ๆ

รายละเอียดส่วนใหญ่แล้ว ทุกท่านสามารถศึกษาได้ในหลาย ๆ ที่ รวมถึงหนังสือที่จะเปิดตัวกันในบ่ายวันนี้ ซึ่งก็คือหนังสือ “โมฆสงคราม” ผมก็เพิ่งได้รับมา ในหนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาสาระที่ผมพูดอยู่มาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นข้อที่ยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมีเหตุมีผล ผมก็จะพยายามเลียนแบบท่านอาจารย์ปรีดี พอท่านเริ่มต้น ท่านมักจะไปปาฐกถา ท่านจะบอกว่า ‘ที่ผมจะพูดต่อไปนี้พวกคุณไม่ต้องเชื่อ ขอให้เอาไปไตร่ตรองดูให้ดี ๆ เอาไปคิด มันมีตรรกะไหม มีความเป็นจริงไหม มีอะไรที่สนับสนุนได้ไหม’ พูดง่าย ๆ คือว่าให้ใช้หลัก 'กาลามสูตร' มาพิจารณา แล้วจึงเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าใครมีข้อมูลอื่นซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านพูด หรือว่าที่ผมจะพยายามพูดในวันนี้ ก็ขอให้แจ้งให้ทราบด้วย เราจะได้เข้าใจได้ถูกต้องมากขึ้น ท่านจะเริ่มอย่างนี้ทุกครั้ง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น เพราะเรียนหนังสือก็มีแต่คนบอกต้องเชื่ออันนั้น ต้องเชื่ออันนี้ ต้องเชื่อทฤษฎีนี้ บอกทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อ อะไรก็ไม่ต้องเชื่อ สิ่งที่พูดก็ไม่ต้องเชื่อ แล้วท่านเป็นใครที่ผมจะไม่เชื่อ

ผมจะขอเริ่มว่า ผมต้องขออภัยทุกท่านก่อนเป็นลำดับแรก เพราะว่าผมศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมา ผมก็จะมองเรื่องนี้ในมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่ามุมมองของการเมืองทั่ว ๆ ไป

การที่ประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นผู้แพ้สงครามก็มีเหตุผล จะว่าไปแล้ว สถานะของประเทศเรานั้นก็ยืนยาวนานมามากแล้ว ผมอยากจะเริ่มตั้งแต่หลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง จะได้ง่ายขึ้นและกระชับขึ้นสักเล็กน้อย หลักเปลี่ยนแปลงการปกครองใน 6 ประการที่คณะราษฎรได้ประกาศ ข้อแรกซึ่งเป็นหลักการของประเทศที่สำคัญของคณะราษฎรก็คือ 'การรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติให้ได้มาอย่างสมบูรณ์' ทำไมเรื่องนี้มันถึงสำคัญ เพราะว่าในช่วงปี 2475 นั้น เราไม่มีเอกราชที่สมบูรณ์ในเรื่องของการศาล เรื่องของการพิพากษาคดี เรื่องของการศุลกากร เรื่องของการเก็บภาษี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" เนื่องจากว่าเจ้าอาณานิคมได้บีบบังคับเราให้ต้องยอมรับในหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องเสียดินแดน ก็มากับเรื่องเจ้าอาณานิคมที่ได้พยายามรังแกเรา เอาเปรียบเราสารพัดในด้านการศาลและอื่น ๆ 

เมื่อคณะราษฎรได้เข้ามาก็ได้มีการพยายามแก้ไขกฎหมาย เพื่อที่จะแก้สนธิสัญญาที่เรียกว่า 'สนธิสัญญาไม่เสมอภาค' เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนนี้เพียงเท่านั้น ก่อน 2475 ก็เกิดขึ้น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก็ได้พยายามแก้ไขประมวลกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะ 'ท่านรพี' ที่เรารู้จักกันในฐานะ 'พระบิดาแห่งกฎหมายไทย' ท่านมีส่วนมากในการริเริ่มสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เมื่อมาถึง 2475 ก็ใกล้เวลาที่สนธิสัญญาบางอย่างจะสามารถยกเลิกได้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่สามารถเลิกสนธิสัญญาได้แล้ว สิ่งที่คณะราษฎรทำก็คือได้รีบเร่งการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ และรวบรวมให้เป็นกฎหมายฉบับที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ เมื่อกฎหมายเหมือนกันทั้งหมดแล้ว ในครั้งที่สิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้านการศาล ฝ่ายประเทศเจ้าอาณานิคมที่เอาเปรียบเราอ้างว่าศาลไทยยังไม่ได้มาตรฐาน กฎหมายก็ยังใช้ไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะฉะนั้น เขาไม่สามารถที่จะให้คนของเขามาขึ้นศาลไทยได้ เพราะเกรงว่าจะไม่ยุติธรรม ต้องไปขึ้นศาลเขา แค่นี้ก็ไม่พอ เพราะว่านอกจากคนของเขาแล้ว เขายังนับรวมถึงคนภายใต้ปกครองของเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นลาว เป็นเขมร ซึ่งอยู่ภายใต้อินโดจีน หรือมาเลเซีย ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองอังกฤษในช่วงนั้นก็สามารถไปขึ้นศาลของประเทศนั้น ๆ ได้ ซึ่งก็คือความไม่ยุติธรรมอย่างแท้จริงที่เรียกว่าสิทธิสภาพนอกอาณาเขต

เมื่อเราแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ได้หมดแล้ว เราก็เริ่มที่จะบังคับเขาได้ว่าควรจะยกเลิกสิทธิเหล่านี้ได้แล้ว แต่มันเป็นสิทธิตามสนธิสัญญาที่เราทำกับเขาเอาไว้ตั้งแต่สมัยปี 1925 (2468) เมื่อเราสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ แล้วก็ช่วงนี้ นาย ปรีดีพนมยงค์ ในฐานะเป็นมันสมองคนหนึ่งของคณะราษฎรได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้มีการออกกฎหมาย แก้กฎหมาย รวมทั้งพยายามก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอื่นๆ แต่การแก้ไขกฎหมายก็สำเร็จลุล่วง และในช่วงเวลาปี 2479-2481 ท่านก็ได้ย้ายมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านก็ได้ริเริ่มการแก้ไขสนธิสัญญาเหล่านี้ วิธีการของท่านก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้มัน 'นิ่มนวล' แต่ 'หนักแน่น' ท่านก็มีหลักการของท่านว่า เวลาจะแก้ไขสนธิสัญญา อย่าเอาไปผูกกับสนธิสัญญาใหม่ ก็คือเริ่มต้น คุณเลิกสนธิสัญญาเดิมก่อนซึ่งใกล้จะหมดอายุอยู่แล้ว เมื่อเขายอมเลิกแล้ว จึงเริ่มเจรจาว่าสนธิสัญญาใหม่จะประกอบด้วยอะไรบ้าง ตอนนั้นก็มีชาติตะวันตกที่เข้ามาทำสนธิสัญญากับไทยอยู่ประมาณ 13-14 ชาติ แต่ชาติหลัก ๆ ที่มีผลมากก็คือ อังกฤษ อเมริกา เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี ญี่ปุ่น เดนมาร์ก เป็นต้น และชาติอื่นๆ อีก

เวลาที่ท่านจะเจราจา ท่านก็ใช้หลักการว่า ท่านจะเสนอเรื่องให้เหมือนกันให้หมดเลย โดยใช้หลักความเหมือนกัน (Uniformity) ไม่ใช่การที่ค่อย ๆ มาเจรจาทีละคน เพราะฉะนั้น กระทรวงต่างประเทศก็ต้องขยัน ก็คือต้องร่างเองให้เป็นอันเดียว แล้วจึงนำไปเสนอทุก ๆ คนให้เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว หลักการต่อไปก็คือต้องถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ (Reciprocity) ก็คือถ้าเขาได้อะไร เราก็ควรจะต้องได้อย่างนั้น ต่อไปก็คือไม่ให้ใครได้มากกว่าใคร เขาต้องการเป็น 'Most Favored Nation' หรือว่า 'รัฐที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง' ซึ่งเราคงสู้ไม่ได้ว่าจะอนุเคราะห์อะไรอย่างไร เราก็ใช้วิธีว่า ถ้าหากท่านได้ ประเทศอื่น ๆ ก็ต้องได้ด้วย ซึ่งก็เป็นการป้องกันไม่ให้เกิด Most Favored Nation แท้ ๆ แต่ว่าทุกคนก็เป็น Most Favored Nation ก็คือเป็นผู้ได้รับการอนุเคราะห์อย่างยิ่งเท่า ๆ กัน นี่ก็คือหลักการให้ทั้งประเทศเขาและประเทศเราเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะได้อะไร ทุกคนก็ได้เหมือนกัน นี่เป็นวิธีการเจรจาซึ่งหลาย ๆ ประเทศมองว่า ถึงแม้สมัยก่อนเราดูเป็นเด็กเล็กมากในสังคมโลก แต่ว่าเราก็สามารถที่จะใช้ความสามารถทางการทูต อาจารย์ปรีดี พระองค์วรรณฯ แล้วก็มีผู้ร่วมสนับสนุนการเจรจา รวมถึงท่านปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คุณดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้เข้ามาช่วย ทุกเรื่องก็ค่อย ๆ ขยับเข้ามา จนกระทั่งเขายอมรับในที่สุด เมื่อเขายอมรับได้ สามารถลงนามสนธิสัญญากันได้ สิทธิสภาพนอกอาณาเขตทั้งหมดก็ถูกยกเลิก ก็ถือว่าเราเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ เราสามารถที่จะค้าขายอะไรเองก็ได้ ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถผูกขาดได้ เราสามารถที่จะออกภาษีของเราเอง เราจะเก็บใครเท่าไหร่ก็ได้ เราสามารถบอกได้เราไม่เอาแล้ว เราจะเอาตามที่เราต้องการได้ ไม่ใช่ Trump อย่างเดียวนะครับ เราก็ทำ แต่ว่าเราก็ทำโดยยุติธรรม อะไรที่เหมาะสมเราก็ทำ

ก่อนหน้านี้ ดินแดน 25 กิโลเมตรจากแม่น้ำโขง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีเลย ตั้งด่านศุลกากรก็ไม่ได้ เพราะฝรั่งเศสกำหนดไว้อย่างนั้น ในสนธิสัญญานี้เขาก็ไม่มีสิทธิอีก ก็ต้องยกเลิก เราสามารถที่จะเก็บภาษีในดินแดนไทยช่วงนั้นได้ทั้งหมดที่เราต้องการ นี่ก็เป็นสิทธิเสรีภาพทางด้านภาษีและการคลังที่เราสามารถที่จะได้กลับคืนมาในช่วงนั้น แสดงว่าเอกราชเราได้รับมาแล้ว อย่างที่ผมเรียนว่าท่านใช้สมองและสองแขนจริง ๆ

ในขณะเดียวกัน ที่อาจารย์ปรีดีได้ไปอยู่ทางนั้น หลวงพิบูลสงคราม หรือท่านจอมพล ป. ก็ได้พัฒนากองทัพเราให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน โลกก็ปรับเปลี่ยนไปมากมายมหาศาล เพราะว่าญี่ปุ่นกลายเป็นเสือตัวใหญ่ขึ้นมาในภูมิภาคนี้ อังกฤษก็เป็นเสือตัวใหญ่อยู่ในภูมิภาคนี้ อเมริกายังไม่ค่อยสนใจไทยเท่าไรนัก แต่ก็เป็นเสือ ในขณะเดียวกันฝรั่งเศสซึ่งเป็นเสือตัวใหญ่ในภูมิภาคก็กำลังป่วยเนื่องจากพ่ายแพ้สงครามในยุโรป เมื่อสงครามในยุโรปมา อังกฤษก็เริ่มลำบาก ฝรั่งเศสก็เริ่มลำบาก ในขณะเดียวกัน เมื่อญี่ปุ่นเข้าร่วมฝ่ายอักษะ ร่วมมือกับเยอรมันและอิตาลี ร่วมรบร่วมรุกกัน แล้วก็จะไม่มีใครไปร่วมรุกกับคนอื่น หรือว่าจะยอมแพ้ก็ต้องยอมแพ้ร่วมกัน เพราะฉะนั้น เขาจะทำอย่างไร 

ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคนี้ก็เจอแรงบีบคั้นทั้งจากญี่ปุ่น จากอังกฤษ และจากฝรั่งเศส แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้เราลำบากใจ เนื่องจากเมื่อสงครามคืบเข้ามาหาฝรั่งเศสมาก ๆ ฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจากับไทย เพื่อให้มีสิ่งที่เราเรียกว่า Non-aggression pact หรือสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน ไทยเองก็บอกว่าได้ แต่เราต้องมาเจรจาเรื่องแม่น้ำโขงก่อน ให้แม่น้ำโขงเป็นแนวเส้นแบ่งเขตแดนจริง ๆ ฝรั่งเศสก็อึกอัก เมื่อฝรั่งเศสอยากจะให้เซ็นอีก เราก็บอกว่าขอให้อังกฤษเซ็นด้วย เราก็เรียกให้อังกฤษมาเจรจากับเรา รวมถึงญี่ปุ่นด้วย ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ต้องการ เพราะว่าเขากลัวคนเข้าใจผิดว่ามายอมประเทศเล็ก ๆ ได้อย่างไร แต่เราก็ใช้วิธีว่า หากอังกฤษจะเซ็น ฝรั่งเศสจะเซ็นแล้ว เราก็อยากให้ญี่ปุ่นลงนามด้วย คือต่างฝ่ายต่างไม่รุกรานกันและกัน ซึ่งอันนี้ก็มีเหตุมีผลในตัวของมันเอง

ในปี 2483 เมื่อฝรั่งเศสยังไม่ยอมที่จะปรับปรุงเส้นเขตแดน เราก็ไม่ยอมเซ็น แต่เมื่ออังกฤษเข้ามาแล้ว อยากจะยอมรับที่จะเซ็นด้วย เราก็กลับไปหาฝรั่งเศสอีก บอกว่าเซ็นหรือไม่เซ็น คือถ้าเขาเซ็นด้วย เขาจะต้องไปแก้ไข แต่เขาก็ไม่ยอมส่งคนมา

ในวันที่ 12 มิถุนายน 2483 ในที่สุด อังกฤษบอกว่าจะเซ็น ฝรั่งเศสก็ไม่มีทางเลือก เพราะญี่ปุ่นก็จะยอมเซ็นด้วย ญี่ปุ่นและฝรั่งเศสในตอนต้นก็บอกว่าเกรงว่าคนอื่นไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องเซ็นกับไทย เราก็เลยเชิญท่านทูตเยอรมัน ท่านทูตอเมริกา ท่านทูตของอิตาลีมาฟังที่กระทรวงการต่างประเทศว่าเราจะเซ็นไปเพราะอะไร แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับใคร แค่ไหน อย่างไร ทุกคนก็บอกดี

ที่ผมเล่าให้ฟังก็คือว่า เราพยายามเปิดเผยในเรื่องเดียวกันให้คนอื่น ๆ รู้แล้ว เขาก็จะคานกันเอง ในช่วงนั้น นโยบายของเราเริ่มเปลี่ยนไปว่า แทนที่เราจะลู่ไปเรื่อย ๆ ตามลม เป็นการให้มหาอำนาจต่อมหาอำนาจเขาคานกันเองเพื่อประโยชน์ของเรา แต่วิธีการมันก็ต้องแน่ ก็ต้องใช้วิธีค่อย ๆ ขยับเข้าไปทีละอย่าง อย่างในตอนต้นที่ผมเล่าถึงว่าการแก้สนธิสัญญาเราก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน แล้วก็เราก็พยายามบอกว่า ใครก็ตามที่ยอมเราก่อน ก็จะได้ประโยชน์ว่าเป็นชาติแรกที่ 'ศิวิไลซ์' ที่ดี ที่ยอมยกเลิกสิ่งที่ไม่สมควรต่าง ๆ ก็ย่อมได้รับความยินดี ประเทศอื่น ๆ จึงต้องรีบขอเซ็นและเจรจาในวันเดียวกัน Non-aggression pact ก็เช่นเดียวกัน มันไม่ได้ต่างกัน เราก็ใช้วิธีว่าให้แต่ละประเทศเข้ามาเป็นคานกันเอง

เมื่อเราได้ Non-aggression pact แล้ว ภายใน 2 วันหลังจากนั้น วันที่ 14 มิถุนายน เยอรมันกรีฑาทัพเข้าไปในปารีส ก็เปลี่ยนรูปแบบอีกอันหนึ่ง รัฐบาลในปารีสก็เปลี่ยน ก็ส่งทูตคนใหม่เข้ามาที่อินโดจีน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ญี่ปุ่นก็ได้เริ่มกดดันอินโดจีน โดยมีหนังสือไปแจ้งทางอินโดจีนว่า เกรงว่าจีนซึ่งอยู่ติดกับอินโดจีน ไม่ได้ติดกับญี่ปุ่นในภาคพื้นดิน จีนจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกสัมพันธมิตรได้ เพราะฉะนั้น ขอให้ปิดพรมแดนตรงนั้น และเมื่อญี่ปุ่นเข้าไปบอกกับฝรั่งเศส ในเมื่อฝรั่งเศสดูแลตัวเองไม่ได้ ญี่ปุ่นก็ไปยึดท่าเรือไฮฟอง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ไทยเราก็มองว่า แล้วอย่างนี้ ดินแดนเราซึ่งเคยเสียให้ฝรั่งเศส หรือว่าแม้กระทั่งเขตแดน แล้วฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมมาเจรจาให้มันสำเร็จลุล่วง ถ้าญี่ปุ่นครอบครองอินโดจีนได้จริง ๆ ไทยก็ต้องอยู่กับความเมตตาของญี่ปุ่นอย่างเดียวว่าเราจะได้อะไร ก็เริ่มกระบวนการที่ว่าเราเรียกร้องว่าเราควรจะได้ เริ่มต้นจากเอาแค่แบ่งแม่น้ำโขงให้เป็นเส้นเขตแดนให้ได้ แต่แม่น้ำโขงก็มีติดเรื่องฝั่งขวาของแม่น้ำโขงด้วย ก็อยากจะได้คืนมา เพื่อให้แม่น้ำโขงทั้งลำน้ำเป็นของไทย แต่พอฝรั่งเศสก็อยู่ไม่ได้อีก อะไรไม่ได้อีก เราก็เริ่มมีคนซึ่งเรียกร้องเหมือนคล้าย ๆ ทุกวันนี้ เอาแค่นี้ไม่พอแล้ว ฉันจะต้องเข้าไปนอกจากพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณแล้ว จะเอาในลาว หรือที่เราเคยเสียทั้งหลาย ว่ากันให้วุ่นไปหมด ใน Rally แต่ละครั้ง เวลาเขาพูดเดินขบวนอะไรกัน ก็แล้วแต่คนที่ไปพูดว่าต้องการอะไรบ้าง มันก็ควบคุมกันไม่ได้ บางอย่าที่มันค่อนข้างที่จะ Legitimate (ชอบธรรม) เป็นเหตุเป็นผลก็คือฝั่งขวาของแม่น้ำโขงริมด้านนี้ แต่ว่าแน่ล่ะครับพอได้คืบเราก็อยากจะได้ศอก ก็มีอันนี้ออกไป อันนี้ก็เป็น Lesson (บทเรียน) สำหรับทุกวันนี้ที่จะต้องคิดให้ดี ๆ ว่าทำอะไรกัน

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว นายปรีดีเองก็ทัดทานไม่ได้ ทางทหารก็เริ่มเก่ง อย่างนี้ทหารก็บุกเข้าไปได้สิ ทางนายปรีดีก็บอกว่าทำไมเราไม่ใช้ทางหลักกฎหมาย ในเมื่อฝรั่งเศสเป็น Protectorate (รัฐในอารักขา) เป็นคนที่ปกครองดูแลดินแดนเหล่านี้ ในเมื่อเขาดูแลไม่ได้แล้ว ไม่มีความสามารถที่จะดูแลแล้ว ทำไมไม่ให้ดินแดนนี้เราเป็นคนดูแลแทน เพราะว่าเราเคยอยู่ในที่นี้มาก่อน อันนี้ก็ต้องแยกด้วยว่าบางดินแดนเราเคยได้แต่เป็นเหมือนประเทศราชก็คือให้เขาส่งบรรณาการ แต่บางอันเราเคยมีคนไทยอยู่จริง ๆ คนก็กลายเป็นประเทศอย่างที่เราเสนอกันเดี๋ยวนี้ ไปเจอพระตะบองเข้าตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ ซึ่งมันเก่าจนไม่รู้จะอย่างไรแล้ว ก็ถ้าว่าฝรั่งเศสเขาก็คงมี เขาเป็นเคยคุมพระตะบอง เราก็พออกพอใจกัน ก็เอามาเพื่อจะ Drum-up (ทำบางอย่างให้มีมากขึ้น) ให้มันเกิดแต่ความรู้สึกชาตินิยม ชาตินิยมไม่เป็นไรมันเจอคลั่งชาติขึ้นมาที่มันคุมไม่ได้ ก็เกิดเรื่อง

อังกฤษก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วย ไม่มีใครที่อยู่ในฐานะที่จะช่วย ยกเว้นญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็กระโดดเข้ามาเป็นคนไกล่เกลี่ย ไม่มีใครกล้าไกล่เกลี่ย ญี่ปุ่นก็บอกว่ามาเลย แล้วก็เอาเรือรบไปจอดที่ไซง่อนเพื่อบังคับเรือประจัญบาน เรือ Frigate ให้ไปเจราจากันที่นั่น ฝ่ายไทยก็ตกลงก็เข้าใจว่าเราได้บุกเข้าไปในบางส่วน ต่อสู้กันแล้ว จะแพ้ชนะนั่นก็ไปอ่านตามประวัติศาสตร์เอา บางส่วนก็แพ้ บางส่วนก็คงชนะ แต่ว่าในที่สุดแล้วเราก็ต้องยินยอมให้ฝรั่งเศสเป็นคนมาไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสไกล่เกลี่ยก็สบายเลย ก็ไม่ให้ทั้งไทยและฝรั่งเศสพอใจ ก็คือคาไว้บางเรื่อง ดินแดนบางส่วนก็ยกให้ไทย บางส่วนก็บอกว่าฝรั่งเศสยังคุมดูแลต่อไป แต่ที่สำคัญทั้งสองคนนี้ต้องฟังญี่ปุ่น ญี่ปุ่นกลายเป็นหลัก

ไทยเองก็มีความรู้สึกว่าได้ดินแดนที่เคยเสียกลับคืนมา ก็รู้สึกว่าภูมิอกภูมิใจโดยเฉพาะด้านทหาร แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือว่าก่อนที่เราจะทำสงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ก่อนที่เราจะรบกัน เราก็มีการติดต่อกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็บอกว่าจะช่วยไทยถ้าไทยยอม ก็มีการติดต่อกันลับ ๆ เข้าใจว่าจอมพล ป. บอกกับทูตทหารเรือญี่ปุ่นว่าเอาเลย จะร่วมด้วย อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ประวัติศาสตร์จะไปดูว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นโดยที่ว่าจะไปร่วมด้วยก็คือจะเข้าวงไพบูลร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพาด้วย ก็คิดว่ามองในแง่ทหารแล้วมันก็คงจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในระยะยาวและระยะสั้นด้วย ท่านก็ได้บอกว่าถ้าเผื่อมาแล้วก็จะให้ ถ้าในที่สุดแล้วก็จะให้ทหารญี่ปุ่นข้ามไทยไปได้ถ้าจำเป็น ข้ามก็คือเดินทัพผ่านไทยได้ถ้าจำเป็น ให้ใช้เสบียงที่จำเป็นได้ และจะจัดหาวัตถุดิบที่ญี่ปุ่นต้องการ โดยตั้งสมติฐานว่าญี่ปุ่นจะตอบแทนและช่วยเหลือไทยในการเรียกร้องดินแดน ก็คือเป็นพื้นฐานที่ทำให้เราทำสงครามกับอินโดจีน ในที่สุดเราก็เลยต้องยอมไปที่ไซง่อนเพื่อที่ว่าจะให้ญี่ปุ่นเป็นคนไกล่เกลี่ย ในช่วงที่เรารบกับอินโดจีนมันก็น่าสนใจตรงที่วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ก็มีนายมั่น นายคงเป็นหลัก ก็พูดถึงอินโดจีนทุกวัน ทางอินโดจีนเขาก็มี แต่ว่าเขาเรียกเขาว่า 'นายน้ำมันก๊าด' เพราะช่างเผาไฟเราก็เรียกนายน้ำมันก๊าด อยู่ที่ไซง่อนก็โต้ตอบกันไปมาเหมือนปัจจุบัน คิดว่าเหมือนนะ เพราะผมยังไม่เกิด นี่คือสิ่งที่มันไม่ต่าง แต่มันสำคัญตรงที่ว่าใครเป็นคนเรียกเราไปแล้วเป็นคนเจรจา เป็น Mediator หรือเป็นคนกลางในการเจรจา อันนี้ก็ฟังดูคุ้น ๆ แต่ว่าใครจะมีปัญหาอย่างไร นั่นอีกอย่างหนึ่ง

ญี่ปุ่นก็เริ่มรุกได้มากขึ้นในเอเชีย กลายเป็นคนที่มาเริ่มมาทดแทนอังกฤษได้แล้ว ทีนี้ช่วงนี้มันมีพิธีสารแนบท้ายในสนธิสัญญาไทยกับฝรั่งเศสซึ่งญี่ปุ่นเป็นคนกลาง พิธีสารแนบท้ายทางการเมืองว่าประเทศทั้งสองจะไม่ตกลงอะไรกับประเทศที่สามที่จะให้เกิดอันตรายใด ๆ กับญี่ปุ่น ก็คือจะไม่ทำสงครามกับญี่ปุ่น ก็เป็นพิธีสาร

ช่วงที่สงครามใกล้เกิดขึ้น ไทยเองในฐานะประเทศเล็ก ๆ ก็โดนแรงบีบคั้นมหาศาล ทั้งที่เราได้ทำไปแล้วว่าเราได้เอกราชสมบูรณ์ไปแล้ว เรื่องเอกราชสมบูรณ์

ขออภัยครับ ผมข้ามไปเล็กน้อย ตอนที่บอกว่ามีสนธิสัญญาที่ไม่รุกรานซึ่งกันและกันระหว่างไทยกับอังกฤษ ไทยกับฝรั่งเศส และไทยกับญี่ปุ่น ผลอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ที่เห็นได้ชัด ๆ ไทยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับสามประเทศนี้ เพราะว่าเราเจรจากันเดี่ยว ๆ ก็เป็นเรื่องของความสำคัญในแง่ของการต่างประเทศก็คือเป็นเอกราชที่สมบูรณ์แน่นอน นอกจากทางด้านการศาลแล้ว ทางด้านการเมืองเราก็คิดว่านี่คือตัวที่บ่งชี้ว่าเรามีอธิปไตยทัดเทียมเท่ากันกับเขา ต้องเป็นคู่เจรจาได้อย่างเต็มที่ เพราะในการเจราจาเรื่องระดับของคู่เจรจาก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

ช่วงนี้ก็มีแรงบีบทางเศรษฐกิจมาจากญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาษาต่างประเทศเขาบอกว่าได้ไทยอยู่ใน Pocket (กระเป๋า) ก็พยายามมาบีบรัฐบาลไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ และขอยืมเงินก่อนที่จะทำสงคราม ขอยืมเงินเพื่อจะซื้อสินค้า สินค้าไทยบ้าง สินค้าอะไรก็ตามแต่ ทีแรกก็ 10 ล้าน ต่อมาก็ 25 ล้านบาท บังเอิญช่วงนั้น อาจารย์ปรีดีท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านบอกจะยืมหรือ ถ้ายืมจริง ๆ ก็ได้ แต่เอาทองมาไว้ที่กรุงเทพฯ เป็นประกัน ตอนท้ายญี่ปุ่นก็ไม่ยอม ท่านบอกก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นมีอีกวิธีหนึ่งก็คือผูกหู หรือ Earmark (การกันเงินไว้สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ) ทองที่มีอยู่ที่ธนาคารของญี่ปุ่นนั่นแหละที่ในประเทศญี่ปุ่นว่าเป็นของไทย ซึ่งเรื่องนี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราถึงได้ทองกลับมาบางส่วน อันนี้เป็นเกร็ดที่จะเห็น ในช่วงนั้นเราก็ต้องหาดีบุก ยางพาราจัดให้ญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันเราก็ได้น้ำมัน เพราะแต่ก่อนเราก็ไม่ได้ผลิตน้ำมัน เราก็ได้น้ำมันที่ญี่ปุ่นเป็นคนจัดหาน้ำมันมาให้เรา เพราะอังกฤษไม่สามารถจัดหาให้ได้แล้ว อังกฤษก็กลัว เครื่องบิน ทหาร เขาก็ไม่กล้าให้ไว้ เขากลัวว่าญี่ปุ่นจะฮุบเอาไปหมด แล้วเขาก็ลำบากในการรบอยู่ที่ทางโน้นด้วย แรงบีบทางทหารก็มี ทั้งอเมริกาและอังกฤษก็ไม่สามารถช่วยใครได้เลย เราก็ต้องเล่นอย่างเดิมอีก ขอซื้อเครื่องบินจากญี่ปุ่น พอเราซื้อเครื่องบินจากญี่ปุ่น อเมริกาก็หันมาบอกทำไมไม่เอาเครื่องบินอเมริกาด้วย จริง ๆ ทั้งที่อเมริกาไม่ยอมส่งเครื่องบินนั้นให้เราในตอนต้น เราก็เล่นทั้งสองข้าง เล่นให้มันถูกว่าเป็นอย่างไรมันก็พอได้ แต่ในช่วงนั้น ญี่ปุ่นได้ยึด Cam Ranh Bay เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาไม่ต้องเข้าไทยก็ได้ เขาไปตีทางโน้น ยกเว้นไปพม่า เขาก็ตีลงไปที่สิงคโปร์ใช้เรือจาก Cam Ranh Bay ได้ ก็เป็นเรื่องปกติของเขา

ในแง่การเมืองและการทูต ญี่ปุ่นก็เริ่มรุกไทยมากขึ้น บอกขอให้ยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตจากระดับที่เป็นอัครราชทูต แต่ก่อนนั้น ส่วนใหญ่ประเทศเล็ก ๆ ก็จะเป็นอัครราชทูตระหว่างกัน ให้ขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูตเป็นประเทศแรกเลย บอกให้ไทยใหญ่ ไทยก็ดีใจ เราก็ส่งเอกอัครราชทูตไป เขาก็ยกอัครราชทูตของเขาที่อยู่ในกรุงเทพขึ้นเป็นเอกอัคราชทูต นายทซึโบกามิก็เป็นเอกอัครราชทูตคนแรกที่มาประจำอยู่ประเทศไทย เมื่อเป็นเอกอัครราชทูตก็เลยเป็นหัวหน้าคณะทูตแทน Sir Josiah Crosby อัครราชทูตอังกฤษ อังกฤษเขายังไม่ยอมปรับ นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เขาจะบอกว่าเขาให้ความสำคัญกับไทยขนาดนี้ ไทยก็ควรจะให้ความสำคัญกับเขา และในเมื่อเขาเป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นคณบดีทูต มีสิทธิ์ที่จะไปหารัฐมนตรี มีสิทธิ์ที่จะไปหาใคร มากกว่าเพื่อนทูตคนอื่น ๆ 

เพราะฉะนั้นตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2484 ต่อมาในเดือนสิงหาคม เป็นครั้งแรกที่ Anthony Eden และ Cordell Hull ได้ประกาศในสภาผู้แทนราษฎรและแถลงข่าวว่า ญี่ปุ่นได้เริ่มคุกคามเข้ามาในไทยแล้ว ถ้ารุกเข้ามาในไทยเราจะถือว่า ก็คือทั้ง Cordell Hull และ Anthony Eden รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษกับอเมริกา ถือว่าผลประโยชน์ของสหรัฐและสหราชอาณาจักรถูกคุกคามไปด้วย เป็นครั้งแรกที่ปรากฏว่าอังกฤษกับอเมริกาออกแถลงการเป็นทางการ แต่ในขณะเดียวกันก็บอกไทยว่า ถ้าถูกโจมตีจะเข้ามาช่วย ฟังดูเหมือนดีนะ แต่ต้องรอให้โดนโจมตีก่อน เขาไม่ได้ส่งทหารเข้ามา คือเราก็ขอทหาร ขอคนเข้ามาช่วย เราก็เลยตอบไปเหมือนกับของญี่ปุ่นว่า แต่ถ้าทหารเขาจะมาต่อต้านทหารญี่ปุ่นในเขตไทยเราก็ยินดีด้วยก็ไม่ว่ากัน

วันที่ 8 ธันวาคม ตอนตี 2 อย่างที่ท่านทราบแล้ว ญี่ปุ่นก็กรีฑาทัพเข้ามาที่ต่าง ๆ แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ส่งคนมาสารพัด เมื่อเขามาถึงหลังจากที่เถียงกันมหาศาลในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แล้วก็ตกลงว่า เรารับอย่างที่ต่ำที่สุด ก็คือ

ข้อที่ 1 ให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยได้โดยห้ามหยุดในกรุงเทพฯ

ข้อที่ 2 ทหารไทยต้องไม่ถูกปลดอาวุธ กองทัพไทยต้องอยู่เหมือนเดิม 

และข้อสุดท้าย ในวันที่ 8 ธันวาคม เมื่อเป็นอย่างนี้ก็สามารถหยุดยิงได้ในเวลา 7 นาฬิกา 30 นาที ตามข้อตกลงอันนี้ ถ้าเผื่อเราอยากจะเรียนรู้ก็คือว่า ข้อตกลงหยุดยิงก็แค่เรื่องหยุดยิง แค่เรื่องการทหาร ที่เหลือจะต้องว่ากันอีกว่า แล้วมี Condition (เงื่อนไข) อะไรบ้าง เพราะฉะนั้น เวลาเราดูที่เขาพูดกันทุกวันนี้ ก็ขอให้พึงสังวรณ์ไว้ด้วยว่ามันมีขวากหนามข้างหน้า หรือข้างหลัง อะไรอีกมากมาย ไม่ใช่อยู่แค่นั้น มันเป็นข้อตกลงหยุดยิงในเบื้องต้นในครั้งแรกเท่านั้น

ในวันนั้นเราก็รู้สึกแล้วว่า เอกราช อธิปไตย และเกียรติยศของเรายังได้รับการเคารพ แต่ในแง่ของการที่มีต่างชาติรุกรานเข้ามา มันก็เป็นสิ่งที่ไม่พึงได้รับอยู่แล้ว เอกราชมันก็ไม่สมบูรณ์ในช่วงนั้น นี่ก็ดีที่สุด เมื่อเรามองกลับไป เราก็ต้องยอมรับว่าช่วงนั้น ถ้าเผื่อเราอยู่ในประเทศไทยในสถานะอย่างนั้น อะไรที่ดีที่สุด จะให้ประเทศเรารบกับ หรือว่าแค่เดินผ่านแล้วก็ยังรักษาหลาย ๆ ส่วนเอาไว้ได้ วิธีการที่เราจะไปมองว่าสมัยนั้นเขาทำถูกหรือผิด เราก็ต้องยุติธรรมกับเขาหน่อย

สำคัญที่ว่าเรื่องต่อ ๆ ไปมันเกิดอะไรขึ้น วันที่ 8 ตอนกลางคืน เย็นนั้นก็มีการตั้งเสรีไทยขึ้นมาที่บ้านอาจารย์ปรีดี วันที่ 11 ธันวาคม รัฐบาลจอมพล ป. ตอนนั้นก็ได้มีข้อตกลงความร่วมมือทางทหารเพิ่มเติมจากครั้งที่แล้วเพียง 3 วัน แล้ววันที่ 14 ธันวาคม เราก็ส่งกองกำลังตะวันออกเฉียงเหนือเคลื่อนที่เข้าชายแดนจีน ซึ่งต่อไปเราเข้าในรัฐฉาน อันนี้จริง ๆ มันผูกพันเรา มันแย่ที่ว่าเจียงไคเช็กเขาก็ไม่พอใจ เพราะเขาเป็นคนดูแลเหนือเส้นขนานที่ 16 เขาไปแบ่งกันอย่างนั้น

ข้อตกลงพวกนี้ก็ได้ไปปรากฏอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 21 ธันวาคม ในสนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งก็เริ่มผูกมัดไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงนี้ ทางญี่ปุ่นก็มาบอกว่าอาจารย์ปรีดีนั้นไม่ไหวแล้ว เขาขออะไรก็ขัดขวางอยู่เรื่อย ขอให้เอาออกจากคณะรัฐมนตรีไป ความร่วมมือจะได้ง่าย มีการปรึกษาหารือกันในที่สุด ท่านก็ได้ขึ้นไปเป็นผู้สำเร็จราชการ นัยว่าท่านคงพอใจ แต่ว่าท่านก็ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ และสถานที่ ที่ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการในการเป็นกองบัญชาการของเสรีไทย ได้ใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งท่านก็ได้เป็นผู้ประศาสน์การคนเดียว เป็นกองบัญชาการ และได้ใช้ธรรมศาสตร์ในการรับพวกนักโทษสัมพันธมิตรเมื่อหลังวันที่ 25 ธันวาคม เมื่อเราประกาศสงคราม เพื่อที่ว่าเราจะได้ดูแลได้ง่ายขึ้น เพราะเกรงว่าญี่ปุ่นเขาจะไปทำร้ายมากขึ้น 

จนถึงวันที่ 25 มกราคม ปีรุ่งขึ้น คือปี 2485 เมื่อไทยได้ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา แต่ในการประกาศสงครามนั้น ถ้าท่านได้อ่านในหนังสือ 'โมฆสงคราม' ท่านจะเห็นว่า อาจารย์ปรีดีเห็นว่าเป็นโมฆะในหลาย ๆ ส่วนด้วยกัน มันไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่ง โมฆะแบบวิธีการประกาศว่า นายกเซ็นก่อน แล้วค่อยให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงพระนาม ก็ไม่ถูกอยู่แล้วตามประเพณี แต่ว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 2 ใน 3 ท่าน ลงพระนามจริง แต่ว่าอาจารย์ปรีดีไม่ได้ลงนาม และไม่เคยได้รับทาบทามให้ลงนาม เพราะท่านอยู่ที่อยุธยา ที่คุ้มขุนแผน แล้วท่านก็กลับมากรุงเทพฯ เหตุการณ์มันก็เลยเถิดไปแล้ว ไม่สามารถจะทำอะไรได้อีกต่อไป

ช่วงสงคราม ไทยกับญี่ปุ่นก็ร่วมรบ พยายามมีสัมพันธภาพมากขึ้น โดยที่ทางจอมพล ป. ซึ่งท่านก็รักชาติ แต่รักในแบบของท่าน ถ้าร่วมรบร่วมรุกไปแล้ว เราควรจะได้ดินแดนคืน ก็ยังคิดว่ามันควรจะได้อย่างนั้น และที่สำคัญก็คือ ในฐานะที่ท่านเป็นทหาร ก็ไม่อยากให้กองทหารถูกปลดอาวุธ ไม่อย่างนั้นก็เสียเกียรติ เสียเอกราชทางการทหารด้วย ก็เข้าใจได้ แต่ในช่วงนี้ ท่านก็กลับต้องการมากขึ้นอีก ได้คืบจะเอาศอกอีก ประกาศตัวเองเป็นผู้นำชาติเหมือนกับ Mussolini หรือว่า Napoléon ต้องเป็นผู้นำชาติ หรือที่ว่า ‘เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย’ ซึ่งก็ต้องบังคับสื่อต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่แต่ก่อนมันก็ไม่เยอะอย่างทุกวันนี้ ถ้าเป็นทุกวันนี้ พวกท่านนักเลงคีย์บอร์ดก็คงเถียงไปแล้ว แต่ว่าตอนนั้น พวกสื่อเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องตามนั้น ไม่อย่างนั้นก็ถูกปิด ไม่ก็ถูกทรมาน ก็ว่ากันไป แล้วท่านก็ตั้งสภาวัฒนธรรม ประมวลวีรธรรม 14 ข้อ ว่าคนไทยควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรที่มันถูกต้อง ใส่หมวก ต้องเลิกกินหมาก หลาย ๆ เรื่องมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หลาย ๆ เรื่องมันก็แปลก ๆ โดยเฉพาะ พิบูลสวัสดี แทนคำว่า สวัสดี ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นสวัสดีแบบพิบูล หรือว่าคุณพิบูลเขามาสวัสดีผม อย่างที่ผมกล่าวไปว่าประวัติศาสตร์มันอยู่ที่มาช่วยกันตีความว่าอย่างไร แต่ใน 14 ข้อมีว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่งตัวอย่างนั้นอย่างนี้ สุขภาพอนมัย ต้องรับประทานโน่นรับประทานนี่

ในช่วงสงครามเช่นกัน เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ ข้าวยากหมากแพง ถูกยืมเงินไป แล้วก็ต้องหาสินค้าให้ญี่ปุ่นไปทำสงครามด้วย เพราะฉะนั้นเงินก็เฟ้อ เหตุการณ์อย่างนี้ก็ไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ญี่ปุ่นก็รบชนะรวด แต่พอปี 2487 สัมพันธมิตรก็เริ่มตีกลับ ทั้งในยุโรป และในภูมิภาคเรา ช่วงนั้นก็แบ่งกันว่าสงครามในภาคพื้นเอเชียเหนือเส้นขนานที่ 16 เป็นเขตของจีน เจียงไคเช็ก ส่วนทางใต้ลงมาเป็นเขตของ SACSEA (Supreme Airline Command South East Asia) ซึ่งไปตั้งฐานอยู่ที่แคนดีในศรีลังกา หัวหน้าจริง ๆ คือ Lord Louis Mountbatten พูดง่าย ๆ ก็คืออังกฤษ อเมริกาก็มีกำลังทหารอยู่บ้าง นี่ก็เป็นสิ่งที่เริ่มขึ้นในปี 2487

เมื่อได้ Unify Command 2 อันแล้ว เริ่มมีการเรียกให้เสรีไทยไปช่วยบ้างบางช่วง หรือไปเจรจา กลางปี นายพลโตโจ ซึ่งขึ้นมาพร้อม มัตซึโอกะ ในรัฐบาลนายโคโนเอะ ซึ่งเริ่มทำสงคราม โตโจ ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม สงครามเริ่มจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกัน ในปี 2487 เดือนกรกฎาคม ทางเมืองไทยเอง จอมพล ป. ก็ลาออกเพราะว่าแพ้ในเรื่องพระราชบัญญัติเรื่องพุทธมณฑลนครเพชรบูรณ์ หลังจากนี้ เหตุการณ์ก็ปรับไปเรื่อย ๆ ว่าเราเข้ากับสัมพันธมิตรได้อย่างไร

กลับมาที่พระเอกของเราคือเสรีไทย ในวันที่ 8 ก็มีกลุ่มคน รวมทั้งที่อาจารย์ปรีดีให้ไปเชิญด้วยมากันที่บ้าน มากันหลายคน หลาย ๆ คนส่วนใหญ่ก็มาปวารณาตัวว่ายอมรับไม่ได้ ทำไมญี่ปุ่นเข้ามารุกรานไทย เราต้องไล่มันออกให้ได้ ก็เกิดกระบวนการย่อย ๆ ขึ้นมา ก็ต่อต้านญี่ปุ่น หน้าที่แรกก็คือจะขับไล่ออกให้ได้ ทำอย่างไร พวกนี้ก็อุปโลกน์ว่าให้อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าของขบวนการต่อต้าน ขบวนการต่อต้านแรก ๆ ก็วางแผนว่า ออกไปตั้งสู้ข้างนอกเลย เอาแบบ Charles de Gaulle แล้วกัน ก็จะไปที่ต่างๆ แต่ญี่ปุ่นก็ไปปิดเส้นทางหมด ก็ออกไปไม่ได้ ออกไปลำบาก ก็ต้องอาศัยคน โดยเฉพาะหลังวันที่ 25 มกราคม 2485 ที่ประกาศสงครามไปแล้ว ก็มีการจับกุมคนต่างชาติ คนต่างชาติท่านก็ให้มาอยู่ในธรรมศาสตร์ พวกนี้หลายคนก็รู้จักท่าน รู้จักพวก Liberal (เสรีนิยม) ในนี้เยอะ คงรู้จักทหารบ้างก็คงมี ถ้ารู้จักทหารก็คงหลบไปแล้ว แต่พวกนี้ก็กลายเป็นคนที่เราติดต่อด้วยได้ง่ายขึ้น เมื่อเขากลับไปประเทศต่าง ๆ แล้ว เขาก็ได้ไปช่วยพูดว่ายังมีขบวนการต่อต้านอยู่

เมื่อ 25 มกราคม ที่กล่าวถึง เมื่อเราประกาศสงครามแล้ว ภารกิจของเสรีไทยก็ไม่ใช่แค่ขับไล่ญี่ปุ่นอย่างเดียว ภารกิจก็มากขึ้น ภารกิจก็คือต้องทำให้สัมพันธมิตรเขาเห็นด้วยว่าเราไม่ได้ตั้งใจไปร่วมสงคราม เราถูกบังคับ เราต้องการต่อต้านการรุกราน แต่มันทำไม่ได้ ภารกิจต่อมาทางการเมืองก็คือว่า ทำอย่างไรให้เขารู้สึกญาติดีกับเรากว่านี้ เมื่อยุติสงครามแล้วเราจะได้เจ็บตัวน้อยลง ก็เป็นความหวังว่าจะทำอย่างไร ในช่วงสงครามเราก็ได้เริ่มสร้างกองกำลังเสรีไทย มีกองกำลังจริง ๆ ในที่สุด เข้าใจว่าถึง 80,000 คน อยู่ในที่ต่าง ๆ เสรีไทยก็มีเป็น Cell (ส่วน) ต่าง ๆ อาจารย์ปรีดีล่วงรู้ไปหมดว่า แต่ละสายใครทำอะไรอยู่ และใครอยู่ที่ไหน หัวหน้าสาย ท่านคงไม่รู้ถึงนาย ก. นาย ข. ที่อยู่ในพื้นที่ แต่ละสายก็ไปว่ากันเอาเอง ไปช่วยกันดู โดยมีกองบัญชาการอยู่ที่บ้านท่าน เสรีไทยก็ค่อย ๆ ขยายตัว แต่ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2484 ที่อเมริกาคุณเสนีย์ ปราโมช ซึ่งเป็นอัครราชทูต ก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งของจอมพล ป. ให้กลับเมืองไทย แล้วก็บอกว่าไม่รับฟังแล้ว ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ความประสงค์ของคนไทย เพราะฉะนั้นท่านถือว่าท่านไม่ยอม ท่านก็โชคดี เพราะว่าก่อนหน้านั้น 2-3 ปี ท่านอาจารย์ปรีดีได้ให้โอนเงินของไทยจากที่อังกฤษบางส่วนไปไว้ที่ในอเมริกา คือแยกออกไป 2 อัน ไม่ทราบว่าท่านคิดว่าอเมริกาจะใหญ่ต่อไปหรือไม่

เมื่ออาจารย์เสนีย์ไปอยู่ที่นั่นและไม่ยอมรับ อเมริกาเป็นคนที่ไม่ตอบรับว่าเราประกาศสงครามกับอเมริกา อังกฤษก็ตอบรับ แต่ว่าอเมริกาไม่ได้ทำเช่นนั้น ในเมื่ออเมริกาไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาก็ยอมรับคุณเสนีย์ยังเป็น Minister เป็นอัครราชทูตไทยที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ก็พยายามไปขอเงินออกมาใช้ในบางส่วนได้ ส่วนในอังกฤษไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อประกาศสงครามแล้ว เรากลับ คือท่านทูตกลับ แต่ก็มีนักเรียนอังกฤษ รวมทั้งคนสถานทูตที่อังกฤษหลายคนที่ขออยู่ต่อเพื่อต่อสู้เพื่อประเทศไทย ในที่สุดแล้ว ก็มีท่านชิ้นมาเป็นหัวหน้า ซึ่งท่านชิ้นเองก็มีความยากลำบาก อังกฤษเขาก็ไม่แน่ใจว่าเอาท่านชิ้นมา เดี๋ยวมาอ้างเป็นราชสมบัติอีกก็จะยุ่ง อีกอย่างก็คือ ไม่แน่ใจว่าท่านชิ้นจะเข้ากับอาจารย์ปรีดีได้ไหม ซึ่งเมื่อถามแล้ว ท่านชิ้นก็บอกว่ายินดี คนที่รักชาติ ได้ทั้งนั้น เช่นเดียวกัน อาจารย์ปรีดีก็ดีใจที่มีท่านชิ้น ท่านชิ้นก็เป็นหัวหน้าในทางพฤตินัย ทางนิตินัย ทางนั้นก็ไม่มีหัวหน้า อาจารย์เสนีย์ได้ส่งคุณมณี มาณะเสน มาช่วยจัดตั้ง มีพวกอาจารย์เสนาะ จันทร์บุญยืน อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายจุ๊นเคง ใครต่อใครอีกมากมายที่อังกฤษ ก็ตั้งเสรีไทยสายอังกฤษ ทางอเมริกาก็มีนักเรียนเป็นเสรีไทยสายอเมริกา เสรีไทยก็ได้ฝึกแล้วทั้งที่อเมริกา ทั้งในจีน แล้วก็ไปฝึกในอินเดีย ฝึกที่แคนดีด้วย OSS ของอเมริกา Force 136 ของอังกฤษ ก็ได้ส่งพวกนี้เข้ามาติดต่อกับเสรีไทยในไทย เมื่อติดต่อได้มันก็ง่ายขึ้น ก็เริ่มส่งออกความลับเกี่ยวกับสถานที่ทหาร สถานที่ที่จะโจมตี พยายามอย่าให้โดนตรงนั้นตรงนี้ ก็ติดต่อกันได้ พยายาม Coordinate (ประสานงาน) ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทย

ช่วงนั้นก็ได้มีการส่งคนไปต่างประเทศด้วย ก่อนที่เสรีไทยในต่างประเทศจะเข้ามาในเมืองไทยได้ คณะแรกที่เราทราบ คุณจำกัด พลางกูร ซึ่งก็ไปเสียชีวิตที่จุงกิง อาจารย์ปรีดีก็ได้ต่อให้คุณสงวน ตุลารักษ์ ในที่สุดก็ติดต่อกันได้ เมื่อติดต่อกันได้แล้ว ทางอังกฤษก็ได้ส่งท่านชิ้นเข้ามาคุยด้วยที่จุงกิง พอมัน Connect (เชื่อมต่อ) กันแล้ว ทางอเมริกาก็มีคุณการุณ เก่งระดมยิง พ่อคุณการุณเป็นทหาร แล้วก็ยังมีทูตทหารทางนั้น ซึ่งกลายเป็นเสรีไทยคนสำคัญคนหนึ่ง ก็ได้บินมาช่วยควบคุมอยู่ที่จีน เราก็ไม่เข้าใจตอนนั้นว่าจีนกับอังกฤษ กับอเมริกาเขาก็แข่งกัน จีนก็ไม่อยากให้พวกนี้ออกไปจากจีน เพราะว่าหากสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้คุมได้ ตอนหลังเราเริ่มเข้าใจ เราก็ต้องส่งไปหลายที่ ก็ขยับไปเรื่อย ๆ

เมื่อเสรีไทยเข้ามาแล้ว วันหนึ่ง อาจารย์ปรีดีก็ได้มีโทรเลขไปบอก Lord Louis Mountbatten ว่าไทยจะเปิดฉากสู้กับญี่ปุ่นแล้ว วันที่ 21 พฤษภาคม ขอให้ทางอเมริกาและอังกฤษยอมรับว่าเราได้ช่วยเต็มที่แล้ว เรา Work for Our Own Passage เขาสั่งมาอย่างนั้น หากเราทำอย่างนี้แล้ว เราสู้แล้ว เปิดหน้าแล้ว ต้องบอกอย่างนั้น สถานะของไทยต้องเป็นเหมือนก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2481 ไม่แน่ใจว่าอาจารย์ปรีดีตั้งใจจะเปิดหน้าเลยจริงหรือไม่ แต่อีก 7 วันต่อมาก็ได้รับโทรเลขมาบอกอย่าเพิ่งทำ เพราะว่าทำให้แผนที่ Mountbatten ต้องการจะรุกญี่ปุ่นทีเดียวจะแตกเสียก่อน ญี่ปุ่นจะไหวตัวแล้วเล่นงานเรา และเล่นงานแผนใหญ่ด้วย ขอให้เก็บเอาไว้ก่อน แต่เราจะถือว่าคุณได้ Work Your Own Passage แล้ว เหมือนเล่นไพ่ ผมว่าอันนี้เป็นกุญแจใหญ่ที่สุด เราก็เลยยุติไปก่อน

วันที่ 9 กับวันที่ 11 มีระเบิดลงที่ฮิโรชิมา นางาซากิ วันที่ 14 ญี่ปุ่นยอมแพ้ พอญี่ปุ่นยอมแพ้ เราต้องรีบแล้ว บอกว่าเราจะประกาศโมฆสงครามได้หรือไม่ มันประกาศเองไม่ได้ แต่เราก็ต้องอ้างว่าก็คุณบอกแล้วว่าเรา Work Your Own Passage แล้ว เราต้องรีบทำ Mountbatten ก็ยังรีรอ แต่ทางสหรัฐก็ได้บอก Mountbatten ให้รีบบอกให้ผู้สำเร็จราชการ คืออาจารย์ปรีดีประกาศ จะได้จบเรื่อง ขณะเดียวกัน เราก็ขอไปว่าถ้าเกินเส้นขนานที่ 16 ขึ้นไป ไทยก็ถูกแบ่งเป็นสองฟาก ขอให้เฉพาะในไทยทั้งประเทศอยู่ภายใต้ Mountbatten ได้ไหม จะปลดอาวุธ จะทำอะไร ต้องทำอย่างนี้ ภายใต้ Mountbatten ก็มี General Order ที่ 1 ออกมาว่า ให้ไทยทั้งประเทศอยู่ภายใต้ Mountbatten เพราะฉะนั้น จีนก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่นี่มันเรื่องของเอกราชเรา ไม่อย่างนั้นประเทศเรามันก็ถูกแบ่ง เส้นขนานที่ 16 ก็อยู่แถว ๆ อุ้มผาง ไล่มาบางมูลนาค ไล่ไปเรื่อย ๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

วันที่ 16 การที่อาจารย์ปรีดีประกาศว่าประเทศไทยที่ประกาศสงครามนั้นเป็นโมฆะ คุณลองอ่านในโมฆสงคราม ในนี้มีรายละเอียดมากมาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้น อยากจะทำก็ทำ มันเป็นเรื่องของการใช้ความคิด ใช้สมองและสองแขนโดยตลอด ยิ่งกว่านั้น ที่พูดว่าจะมีภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก นี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ปรีดีเขียนเอาไว้ในช่วงที่เราประกาศความเป็นกลางอย่างชัดเจน ภาพยนตร์เรื่องนั้นออกเป็นภาษาอังกฤษเพื่อจะบอกโลกว่าเราคิดอย่างนั้นจริง ๆ ในนั้นก็บอกว่าชัยชนะแห่งสันติภาพไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าชัยชนะแห่งสงครามเลย นั่นก็คือวิธีคิด วิธีย้ำว่า เราเป็นกลาง เป็นกลาง เป็นกลาง แล้วก็ต่อด้วย Non-aggression Pact เพื่อบอกว่าเราเป็นกลาง แต่ Non-aggression pact มันมีมากกว่านั้นคือว่าแต่เท่าเทียมด้วย ไม่ใช่เป็นกลางอย่างเดียว

นี่คือเรื่องที่มาสู่การประกาศโมฆสงครามวันที่ 16 เมื่อ 80 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ง่าย ๆ แต่ก็ได้มา ก็ต้องสรรเสริญผู้ที่เสียสละทั้งหลาย เมื่อวานนี้ Prince Charles ก็ได้พูดว่า 'Victory Over Japan' ขอให้ระลึกถึงคนที่เขาทำให้เกิดสันติภาพในวันนี้ขึ้นมา 

ผมขอยุติว่าเราใช้ 'สมองและสองแขนเพื่อให้เกิดสันติภาพ' สันติภาพในที่นี้คือภาวะซึ่งไม่มีสงครามใหญ่ ภาวะที่ความขัดแย้งทางอาวุธยังอยู่ในขั้นที่บริหารจัดการได้ มีความขัดแย้งแน่นอน หากว่าอยู่ในสภาพนั้น ผมถือว่าเป็นสันติภาพ และสันติภาพก็ต้องต่อเนื่องเรื่อย ๆ และอย่างที่อาจารย์อนุสรณ์พูด 'สันติภาพต้องมาด้วยความเสมอภาค' ด้วยความเข้าอกเข้าใจเขา ซึ่งเรื่องสันติภาพ อาจารย์ปรีดีก็ได้พยายามผลักดันให้มากกว่านั้น โดยการตั้งสันนิบาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian League) โดยให้นายเตียง ศิริขันธ์ ซึ่งเป็นอยู่ขุนพลอยู่ที่ภูพาน เป็นเลขาธิการ เขาตั้งแล้ว ดำเนินการแล้ว และใช้อาวุธเสรีไทยช่วย เพื่อช่วยให้ประเทศที่เป็นอาณานิคมได้เป็นเอกราช ถ้าเขาจะต้องการต่อสู้ก็ได้อาวุธเราไป เวียดนามก็ได้ไปในส่วนหนึ่ง แต่เกิดปฏิวัติ 8 พฤศจิกายน 2490 ทุกอย่างก็ยุติลง แต่วิญญาณของการช่วยเหลือ สันนิบาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้จุติเกิดใหม่มาเป็นอาเซียนในที่สุด ซึ่งเป้าหมายก็คือไม่ให้ต่างชาติข้างนอกเข้ามามีส่วนรุกรานเรา มาแบ่งแยกเรา ทำให้ข้างในเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นก็คือวิธีการต่อสู้เพื่อให้ได้เอกราช ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ทั้งภูมิภาคด้วย ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้

หมายเหตุ :

  • ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ

รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://youtube.com/live/w3V0ffe6CAI

ที่มา :

  • PRIDI x BMA : 80 ปี วันสันติภาพไทย วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 13.00-19.00 น. ณ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1