ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) & การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ในพากษ์ภาษาอีสาน

2
กันยายน
2568

ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) จากหนังสือ “คือผู้อภิวัฒน์ : ถึงรัฐมนตรีอีสาน ถึงกวีพื้นบ้าน คืออุดมการณ์ประชาธิปไตย”

 

(๑) บทนำและความสำคัญ

เวลาเราพูดถึงปัญญาชนกับการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เรามักนึกถึงกันได้แต่ปัญญาชนที่ส่วนกลาง ซึ่งผ่านการศึกษาจากระบบการการเรียนการสอนแบบสมัยใหม่ ทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมักจะนึกถึงได้แต่ปัญญาชนที่เป็นชนชั้นกลางในเมืองหลวงเป็นหลัก แต่ที่จริงแล้ว ๒๔๗๕ ก็เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคมประเทศนี้ มี “ปัญญาชนบ้านนอก” มีส่วนร่วมและสนับสนุนอยู่ด้วย เพียงแต่องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่มียังนำพาไปให้เราได้รู้จักท่านเหล่านั้นไม่ได้มากเท่าไรนัก

ที่ผ่านมา ปัญญาชนส่วนนี้มักถูกละเลย เพราะข้อจำกัดเรื่องมุมมองแบบส่วนกลางเป็นใหญ่ (centralism) ผสมรวมกับมุมมองแบบเน้นชนชั้นนำ (elitism) ทำให้ไปเน้นบทบาทความคิดความเคลื่อนไหวแต่เฉพาะปัญญาชนในเมืองกรุงฯ ซึ่งได้รับโอกาสผ่านการศึกษาสมัยใหม่ โดยเฉพาะคณะราษฎร เป็นนักเรียนนอกจากฝรั่งเศสเสียส่วนใหญ่ เลยทำให้การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ถูกเข้าใจอย่างผิวเผินไปด้วยว่า เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงที่คนส่วนน้อยไปเอาระบบของโลกตะวันตกเข้ามาสวมครอบให้แก่สังคมไทยสยาม เกิดเป็นวาทกรรมที่เรียกว่า “ชิงสุกก่อนห่าม” มีที่มาจากสำนวนเปรียบเทียบความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว และเป็นมุมมองแบบผู้ใหญ่มองคนหนุ่มสาวที่ประพฤตินอกขนบประเพณี

วาทกรรมดังกล่าวนี้ยังนำไปใช้อธิบาย (เป็นวักเป็นเวร) ได้ต่อไปอีกว่า เพราะอย่างนั้นระบอบประชาธิปไตยไทยถึงลุ่มๆ ดอนๆ วนเวียนอยู่แต่กับการรัฐประหารซ้ำซากไม่เต็มใบซักที กลายเป็นไปโทษกลุ่มคนที่ทำให้มีเกิดองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นต้องมีตามระบบปกติอย่างการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ กลายเป็นผู้สร้างอุปสรรคให้แก่ประชาธิปไตยไทยไปเสียอีก คำอธิบายอย่างผิดฝาผิดตัวนี้ได้รับการผลิตซ้ำมากขึ้นและอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงหลังมานี้นับตั้งแต่การรัฐประหารพ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมา

นอกจากนี้วาทกรรมดังกล่าวยังนำไปสู่มุมมองต่อคนชนบทรากหญ้าว่าไม่รู้ประชาธิปไตยเท่าคนในเมือง เพราะมอง ๒๔๗๕ เป็นการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองหลวง คนต่างจังหวัดไม่ได้มีส่วนร่วม ทั้งที่หลายเหตุการณ์ตลอดช่วงที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นอยู่ตลอดว่าชนชั้นกลางชาวกรุงต่างหากที่ถึงรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ก็ไม่เอาประชาธิปไตย หันไปสนับสนุนระบอบอื่นโดยอ้าง “ประชาธิปไตยแบบไทยแท้” (ที่ไม่ใช่แบบตะวันตก) อยู่ตลอด ปัญหาอันเนื่องมาจากวาทกรรมดังกล่าวนี้จะคลี่คลายได้บ้าง ถ้าเรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับปัญญาชนที่เป็น “คนชายขอบ” (marginal people) มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่   

ในช่วงหัวเลี้ยวของการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ได้มีปัญญาชนคนอีสานท่านหนึ่งประกอบอาชีพเป็นข้าราชการท้องถิ่นอยู่ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในฐานะกวีเอกและนักประพันธ์คนสำคัญของภาคอีสาน ท่านผู้นี้คือ “ขุนพรมประศาสน์” (วรรณ พรหมกสิกร)[1] เจ้าของผลงานประพันธ์หลายชิ้นแพร่หลายในภาคอีสานร่วมยุคอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ อีกทั้งผลงานบางชิ้นยังบอกเล่าเรื่องราวการอภิวัฒน์โดยตรงอีกด้วย

ที่จัดว่าโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือการเล่าเรื่องอภิวัฒน์สยามด้วยการแต่งกลอนลำอีสาน (ลำดับต่อไป ถ้าในแง่ภาษา จะใช้ “พากษ์” (พากษ์อีสาน) แต่ถ้าในแง่ภูมิภาคจะใช้ “ภาค” (ภาคอีสาน) เพื่อสื่อความเข้าใจเฉพาะ) โดยที่ขุนพรมประศาสน์ไม่ใช่สมาชิกคณะราษฎร ไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคณะผู้ก่อการ อีกทั้งยังเป็นข้าราชการในท้องถิ่นห่างไกลอย่างอำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี อีกด้วย แต่ขุนพรมประศาสน์กลับมีผลงานที่ถือเป็นตัวแทนความคิดของปัญญาชนในภูมิภาคอีสานบ้านเฮา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ยกย่องบทบาทของคณะราษฎร แสดงความกระตือรือล้นและขานรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นเป็นอย่างมาก

ขุนพรมประศาสน์ผู้นี้เป็นใคร? มาจากไหน? ทำไมถึงมามีผลงานเล่าเรื่องการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ในพากษ์ภาษาอีสาน? และผลงานที่ว่านั้นเป็นอย่างไร มีเนื้อหาคร่าวๆ ยังไง?

บทความนี้จะพาไปรู้จักบุคคลสำคัญท่านนี้...             

 

(๒) ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร): ชีวประวัติและภูมิหลังโดยย่อ

จาก “สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม ๙”[2] ได้เล่าประวัติภูมิหลังของขุนพรมประศาสน์ไว้คร่าวๆ ว่า เดิมมีชื่อตัวว่า “วันทอง พรหมกสิกร” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วรรณ” นามสกุลคงเดิมคือ “พรหมกสิกร”[3]

รองอำมาตย์โทขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีมะเมีย ร.ศ.๑๑๔ (ตรงกับวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๘) ที่อำเภอพนานิคม จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายอินทร์ พรหมกสิกร มารดาชื่อนางกอง ใจแก้ว บิดามารดาเป็นชาวอุบลราชธานีเช่นกัน

บิดาได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอีสานสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้เป็น “ท้าวอินทร์ ชมภู” ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน มารดาเป็นธิดาในตระกูลคหบดีแต่ฐานะปานกลาง เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ เด็กชายวันทอง พรหมกสิกร ได้มีโอกาสติดตามบิดาไปตรวจราชการรักษาความสงบเรียบร้อยในมณฑลอีสานอยู่หลายครั้ง (สมัยนั้นมณฑลอีสานมีศูนย์กลางอยู่ที่อุบลราชธานี)[4] เพราะขณะนั้นมีข่าวลือแพร่สะพัดตามหัวเมืองต่างๆ ในภาคอีสานว่า “หินแฮ่จะกลายเป็นเงินคำ หมูจะกลายเป็นยักษ์จับคนกิน” ข่าวลือดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์กบฏครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “กบฏผู้มีบุญอีสาน”[5] ถึงแม้ว่าบิดาจะรับราชการอยู่กับฝ่ายปราบปรามกบฏครั้งนี้ แต่เหตุการณ์ที่ “พี่ป้าน้าอา” ต้องมาถูกทำร้ายเข่นฆ่าเพียงเพราะเห็นต่างจากรัฐส่วนกลางนี้เป็นความทรงจำฝังใจแก่เด็กชายจนเติบใหญ่ในเวลาต่อมา

การติดตามบิดาไปปฏิบัติหน้าที่ทำให้เด็กน้อยต้องพบเห็นโศกนาฏกรรมบ่อยครั้ง จนเมื่ออายุได้ ๑๐ ขวบ บิดาจึงได้นำไปฝากเป็นเด็กวัดตามธรรมเนียม เพื่อศึกษาเล่าเรียนอยู่กับพระครูโอภาสธรรมภาณ (สา) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนอุดมวิทยากร ในอำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี เป็นโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกๆ ในอุบลราชธานีและในภาคอีสาน เกิดจากนโยบายขยายการศึกษาสมัยรัชกาลที่ ๕ ไปสู่หัวเมืองมณฑลอีสานสมัยนั้น อุบลราชธานีได้เริ่มต้นนโยบายการศึกษานี้ก่อนจะขยายไปสู่หัวเมืองอื่น โดยใช้หลักสูตรการเรียนการสอนของมหามกุฏราชวิทยาลัย (คือเรียนทั้งเปรียญธรรมและอักษรไทย)

การศึกษาระบบโรงเรียนหรือที่สมัยนั้นเรียกว่า “โรงสกูล” ที่อุบลราชธานี ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อพ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระครูวิจิตรธรรมภาณี (จันทร์ สิริจันโท) เป็น “พระญาณรักขิต” (ภายหลังมีสมณศักดิ์เป็น “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์”) ผู้อำนวยการจัดการศึกษาตลอดหัวเมืองมณฑลอีสาน ในคราวนั้นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) ยังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารจัดการศึกษาโรงสกูลหนังสือไทยในเมืองอุบลราชธานีอีกด้วย  ยุคนั้นโรงเรียนอุดมวิทยากร ในอำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี ที่เด็กชายวันทอง พรหมกสิกร ได้เข้าศึกษาอยู่นั้น ถือเป็นโรงเรียนอันดับสองของมณฑลอีสาน รองจากโรงเรียนอุบลวิทยาคม (ในวัดสุปัฏนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

เด็กชายวันทอง พรหมกสิกร เริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นมูล ก. มูล ข. จนกระทั่งประโยคประถมศึกษา ขณะเดียวกันก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย อักษรธรรม (ไทยน้อย) อักษรบาลี และอักษรขอม (ภาษาเขมร) ผลการเรียนเป็นที่พึงพอใจแก่ครูอาจารย์และบิดา เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษา เมื่อพ.ศ.๒๔๕๓ (สมัยปลายรัชกาลที่ ๕) ได้สมัครเข้ารับราชการ คนอีสานสมัยนั้นได้รับการอบรมสั่งสอนให้เชื่อตามภาษิตที่ว่า “สิบพ่อค้าบ่ท่อพ่อนา สิบพ่อนาบ่ท่ออาชญาเลี้ยง” (สิบพ่อค้าไม่เท่าชาวนา สิบชาวนาไม่เท่าพระยาเลี้ยง)[6]

จุดนี้ที่น่าสนใจนั้น ขอให้สังเกตว่าขุนพรมประศาสน์จบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาเท่านั้น  แถมยังเป็นโรงเรียนในจังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย แต่ระดับการศึกษาไม่ใช่เครื่องชี้วัดความรู้ความสามารถตราบใดที่ยังขวนขวายอยู่ตลอด ที่สำคัญไม่เป็นเครื่องการันตีด้วยว่าจะมีจิตสำนึกไปใด (ประชาธิปไตยหรืออประชาธิปไตย)   

โดยตำแหน่งหน้าที่แรกในฐานะข้าราชการท้องถิ่นของนายวันทองคือเป็นเสมียนที่อำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี ขณะนั้นหลวงเทพนรินทร์ (วัน ไกรฤกษ์) เป็นนายอำเภอ พ.ศ.๒๔๕๘ (สมัยรัชกาลที่ ๖) สอบไล่ได้เป็นปลัดซ้ายอำเภออำนาจเจริญ (ปัจจุบันได้แยกเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ) พ.ศ.๒๔๖๒ (สมัยรัชกาลที่ ๖) ย้ายไปเป็นปลัดขวาอำเภอฟ้าหยาด (มหาชนะชัย) ที่อำเภอฟ้าหยาดนี้เองได้รับบรรดาศักดิ์มีราชทินนามว่า “ขุนพรมประศาสน์” และเริ่มมีชื่อเสียงในวงการข้าราชการนักปกครองอีสานในฐานะปลัดมือปราบ ปลัดนักพัฒนา และยังเป็นกวีและนักเขียนควบคู่กันไปด้วย

ต่อมา พ.ศ.๒๔๖๘ (ปีสุดท้ายในรัชกาลที่ ๖) ได้ย้ายไปรับราชการอยู่ที่อำเภอเขื่องใน พ.ศ.๒๔๗๑ (สมัยรัชกาลที่ ๗) ย้ายไปเป็นปลัดอำเภออยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.๒๔๗๓ ได้เลื่อนเป็นนายอำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นนายอำเภอเขื่องในนานกว่า ๖ ปี ปีที่ ๓ เกิดเหตุการณ์อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง และมีผลงานทางการประพันธ์สุดคลาสสิคออกมา คือเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน”

 

ปกหน้า หนังสือเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน

 

ปกใน หนังสือเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน

 

อีก ๓ ปีต่อมาคือในพ.ศ.๒๔๗๘ ได้มีผลงานคลาสสิคอีกชิ้นชื่อเรื่อง “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” หลังจากนั้นย้ายไปเป็นนายอำเภอเขมราฐ พ.ศ.๒๔๘๕ ได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นปลัดจังหวัดอยู่อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ปลัดจังหวัดหนองคายเป็นตำแหน่งสูงสุดในชีวิตราชการของขุนพรมประศาสน์ สมัยนั้นบุคคลที่ได้ตำแหน่งนี้อีกไม่ช้านานจะได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด แต่อีก ๔ ปีต่อมา เมื่อพ.ศ.๒๔๘๙ เพราะเหตุใดไม่ปรากฏ ขุนพรมประศาสน์ได้ตัดสินใจลาออกจากราชการ ขณะอายุ ๕๑ ปี แล้วย้ายกลับมาอยู่อุบลราชธานี สร้างบ้านอยู่ในตัวเมือง   

 

ปกหนังสือคำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม

 

หลังออกจากราชการ ขุนพรมประศาสน์ได้ประกอบอาชีพอิสระหลายอย่าง อาทิ เป็นผู้จัดการสโมสรบิลเลียด, เลี้ยงหมูขายหมู, เลี้ยงไก่ขาย, เลี้ยงกระต่ายขาย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ที่ดูจะประสบความสำเร็จคือเป็นกวีและนักเขียน โดยเฉพาะกวี มีหมอลำในอีสานเดินทางไปมาหาสู่เพื่อขอให้แต่งกลอนลำให้พวกตนเป็นประจำ ต่อมาได้รับการชักชวนให้สมัครเข้าเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนวัดสุปัฏนาราม แต่ไม่นานก็ลาออกอีก แล้วไปตั้งโรงเรียนราษฎร์ชื่อ “โรงเรียนอเนกวิทยา” ในตัวเมืองอุบลราชธานี (โรงเรียนนี้ยังอยู่จนถึงปัจจุบันและเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียงเด่นดังแห่งหนึ่งของอุบลราชธานี) หลังจากนั้นก็เป็นครูใหญ่ กวี และนักเขียน อยู่จวบจนวาระสุดท้าย

ลุถึง พ.ศ.๒๕๑๑ ขุนพรมประศาสน์ได้ล้มป่วยและเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคมในปีดังกล่าวนั้น ทั้งนี้ในระหว่างรับราชการได้ตีพิมพ์ผลงานจำนวนหนึ่ง และในช่วงเป็นครูก็ได้มีผลงานส่งมาตีพิมพ์ไว้ในวารสาร “วิทยาสาร” อย่างต่อเนื่องเป็นประจำหลายชิ้นจนกระทั่งปีสุดท้าย อีกทั้งในช่วงนับตั้งแต่ลาออกจากราชการมาขุนพรมประศาสน์ยังแต่งกลอนลำให้กับพวกหมอลำในอีสาน (แบบไม่คิดเงิน) อยู่หลายปี ผลงานประเภทนี้ (กลอนลำที่แต่งให้หมอลำ) ไม่อาจทราบได้เลยว่ามีจำนวนกี่บท กี่กลอน กี่เรื่อง เพราะมักจะแต่งโดยไม่ระบุนามผู้แต่ง เป็นการแต่งกลอนลำตามขนบเดิมของกวีอีสาน และกลอนลำเหล่านี้ (ที่คาดว่ามีมากแน่ๆ) ยังสูญหายไปตามกาลเวลาและการเสื่อมความนิยมในช่วงหลังอีกด้วย             

 

(๓) ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) : ปัญญาชนอีสานผู้ “ตัวตายแต่ชื่อยัง” ท่านหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานจะสูญหายไปมาก แต่ที่ยังเหลืออยู่และเป็นที่รับรู้ว่าเป็นผลงานของขุนพรมประศาสน์ก็มีเป็นอันมากเช่นกัน ใน “ทำเนียบคนดีเมืองอุบลราชธานี” ได้ยกย่องขุนพรมประศาสน์ว่าเป็น “รัตนกวีแห่งอีสาน”[7] ปัญญาชนอีสานทั้งรุ่นที่เกิดทันและได้รู้จักกับขุนพรมประศาสน์ ต่างก็ให้ความเคารพยกย่อง เช่น ธวัช ปุณโณทก กล่าวถึงขุนพรมประศาสน์ไว้ที่หนึ่งว่า “ท่านเป็นปราชญ์ชาวอีสานผู้หนึ่งที่สร้างผลงานด้านวรรณกรรมท้องถิ่นไว้มาก”[8]   

ปรีชา พิณทอง ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ปราชญ์อุบล” อีกท่านหนึ่ง ซึ่งรู้จักมักคุ้นกับขุนพรมประศาสน์ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็น “เจ้าคุณพระศรีธรรมโสภณ” (ปรีชา ปริญญาโณ ป. (เปรียญธรรม) ๙ ประโยค) และมีโอกาสได้ร่วมงานกัน เมื่อลาสิกขามาเปิดโรงพิมพ์และเป็นนักเขียน ในคำนำหนังสือเรื่อง “นิทานธรรมวรรณกรรมอีสานเรื่องศรีเฉลียว-เสียวสวาสดิ์” ซึ่งเป็นหนังสือวรรณกรรมที่ขุนพรมประศาสน์แต่งไว้ครึ่งแรกและปรีชา พิณทอง แต่งครึ่งหลังจนจบ ปรีชาได้เคยกล่าวยกย่องขุนพรมประศาสน์เอาไว้ดังนี้ :

 

“สำหรับข้าพเจ้าเองรู้จักพ่อขุนพรมดี ในฐานะที่ท่านเป็นนักประพันธ์ ข้าพเจ้าเชื่อและเลื่อมใสในความฉลาด หลักแหลม ความเจนจัดในกระบวนการประพันธ์ของพ่อขุนพรมเป็นอย่างมาก

มีหลายคนที่ยกย่องพ่อขุนพรมว่า นักประพันธ์อาวุโสแห่งภาคอีสาน ในทัศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า พ่อขุนพรมมิใช่แต่จะเป็นนักประพันธ์ภาคอีสานเท่านั้น ยังเป็นนักประพันธ์ภาคกลางอีกด้วย กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ที่พ่อขุนพรมแต่งขึ้นไพเราะเพราะพริ้ง อ่านแล้วสนุกสนานเบิกบานสำราญใจ... ผู้อ่านได้ความรู้ เพลิดเพลินเจริญใจไปในตัว โดยมิให้หนักสมอง เพราะใช้ศัพท์แสงที่ตื้นๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย”[9]

 

ปกหนังสือนิทานคำกลอนเรื่องเสียวสวาสดิ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๗๕

 

อนึ่ง คำว่า “พ่อขุน” ที่ปรีชา พิณทอง เรียกขุนพรมประศาสน์อย่างเคารพนี้เป็นธรรมเนียมเดิมในการยกย่องผู้อาวุโสของคนอีสานในวัฒนธรรมไท-ลาว ควบคู่กับ “พ่อใหญ่” ที่เป็นคนธรรมดา หากเป็นขุนนางข้าราชการจะนิยมเรียก “พ่อขุน” วัฒนธรรมตรงนี้เป็นวัฒนธรรมเก่า พ้องกับวัฒนธรรมการออกพระนามกษัตริย์ในศิลาจารึกสุโขทัย (เช่น พ่อขุนผาเมือง, พ่อขุนบางกางหาว, พ่อขุนรามคำแหง ฯลฯ) ซึ่งเข้าใจได้ เพราะใน พ.ศ.๒๕๑๐ ปีที่ออกหนังสือร่วมกันนั้น ขุนพรมประศาสน์มีอายุอยู่ในวัยชราแล้ว ปกติชาวอีสานมีธรรมเนียมให้ความเคารพผู้อาวุโสอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก เคยรับราชการอยู่ต่างถิ่น เป็นข้าราชการและต่อมายังเป็นครูอีก ย่อมได้รับการเคารพมากขึ้นไปอีก กระทั่งเรียกขานกันว่า “พ่อขุน ๕ แผ่นดิน” (คือเป็นผู้อาวุโสที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕-รัชกาลที่ ๙)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขุนพรมประศาสน์จะได้รับการยกย่องจากปัญญาชนอีสานรุ่นเดียวกันและรุ่นหลังเป็นอย่างมาก แต่ในหนังสืออ้างอิงเล่มโตเรื่อง “วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดอุบลราชธานี” จัดทำโดยและตีพิมพ์โดยกรมศิลปากรและกระทรวงศึกษาธิการ ในนาม “คณะกรรมการประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ”[10] กลับไม่มีประวัติและเรื่องราวของขุนพรมประศาสน์ไว้ด้วยเลยแต่อย่างใด จนน่าสงสัยถึงความทรงจำต่อขุนพรมประศาสน์ของหน่วยงานรัฐส่วนกลางในจังหวัดอุบลราชธานีคงเลือนหายไปแล้ว เช่นเดียวกับที่ “ปัญญาชนอีสาน” และหรือ “ปราชญ์อุบล” อีกหลายคนก็หล่นหายไปจากพื้นที่ความทรงจำของรัฐราชการไทยไปไม่น้อย     

 

(๔) ผลงานประพันธ์ของขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร)   

ธวัช ปุณโณทก[11] ได้จัดแบ่งผลงานของขุนพรมประศาสน์ที่มีหลงเหลืออยู่ในรูปหนังสือเล่ม ออกเป็น ๓ ประเภทกว้างๆ ตามรูปแบบการประพันธ์ดังนี้ :

  1. ผลงานที่มีเนื้อหาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง เช่นเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม”, “กาพย์ห้าแผ่นดิน”, “คำกลอนพาก์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม”, “หลักราชการ” เป็นต้น
  2. ผลงานวรรณกรรมคำสอนที่เรียบเรียงขึ้นใหม่ด้วยภาษาถิ่นอีสานและฉันทลักษณ์ท้องถิ่นอีสาน เช่นเรื่อง “กาพย์เบญจศีล”, “หิโตปเทศ”, “ปกิณกคติ”, “โลกนิติ คำกลอนอีสาน”, “พื้นเมืองอุบล”, “ไขภาษิตอีสาน” เป็นต้น
  3. วรรณกรรมกลอนนิทานพื้นบ้านที่ปริวรรตและเรียบเรียงด้วยคำประพันธ์ท้องถิ่นอีสาน เช่นเรื่อง “เสียวสวาสดิ์” (เสียวสะหวาด), “สังข์ศิลป์ชัย” (สินไซ), “พระนล” (ยังไม่ตีพิมพ์), “กามนิต” เป็นต้น

อย่างที่บอกคือการจัดแบ่งข้างต้นของธวัช เป็นการจัดแบ่งประเภทเฉพาะผลงานที่เป็นหนังสือเล่ม ซึ่งหลงเหลืออยู่เท่านั้น ยังมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิทยาสารและกลอนลำที่แต่งให้แก่เหล่าหมอลำในอีสานอีกเป็นอันมาก แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจ เมื่อนำเอาชื่อ “ขุนพรมประศาสน์” ไปเสิร์ชในเวบไซต์ของหอสมุดมหาวิทยาลัยในอีสาน กลับไม่พบว่ามีผลงานของขุนพรมประศาสน์ หรือแม้แต่หอสมุดมหาวิทยาลัยและหอสมุดแห่งชาติที่กรุงเทพฯ ก็มีเพียงไม่กี่เล่ม ส่วนใหญ่จะมีอยู่ตาม “กองดอง” หรือชั้นหนังสือส่วนบุคคล โดยเฉพาะท่านที่เป็นผู้สนใจใฝ่รู้เรื่องราวทางภาคอีสาน

อย่างไรก็ตาม ขุนพรมประศาสน์เป็นกวีและนักเขียนที่มีชื่อเสียงในอีสานมาตั้งแต่ก่อนการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ แล้ว ส่วนที่กรุงเทพฯ ในปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์อภิวัฒน์ ๒๔๗๕ นั้นเอง ผลงานเรื่อง “เสียวสวาสดิ์”กลอนลำแต่งตามนิทานพื้นบ้านเรื่อง “เสียวสวาสดิ์” (หมายถึง เฉลียวฉลาด) ก็ได้รับการตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์อักษรนิติ บางขุนพรหม[12] ปรากฏว่าเป็นเล่มขายดี ขายหมดภายในไม่กี่เดือนของปีที่พิมพ์นั้น (พ.ศ.๒๔๗๕) คาดว่าเป็นผลมาจากการที่ผู้แต่งชื่อเดียวกันนี้เป็นผู้แต่งคนเดียวกับกลอนลำอีสานเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” ซึ่งได้รับการการันตีโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และพระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) ในปีเดียวกันนั้นเอง     

ความสำเร็จจากการนำเอาเรื่องนิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายในหมู่คนอีสานอย่างเรื่อง “เสียวสวาสดิ์” มาแต่งนำเสนอในรูปกวีนิพนธ์ และเป็นเล่มขายดีเล่มแรกของขุนพรมประศาสน์ ทำให้ทราบว่าในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่มีผลงานคลาสสิคอย่างเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๕)[13] ต่อมาคือเรื่อง “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” (พิมพ์ครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อพ.ศ.๒๔๗๘) ขุนพรมประศาสน์ไม่ใช่กวีและนักเขียนโนเนมอีกต่อไปในสมัยนั้น ไม่เพียงมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในหมู่ปัญญาชนชาวอีสาน ที่กรุงเทพฯ เองก็มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่บ้างแล้วเช่นกัน

ที่ผ่านมามีการศึกษาผลงานประพันธ์ของขุนพรมประศาสน์อย่างเป็นวิชาการอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบรายชิ้น เช่น งานของพรเพ็ญ ฮั่นตระกูล เมื่อพ.ศ.๒๕๒๘ ศึกษาเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน”[14] งานของบาหยัน อิ่มสำราญ เมื่อพ.ศ.๒๕๔๙ ศึกษาเรื่อง “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม”[15]

งานศึกษาของทั้งสองท่านต่างก็มีคุณูปการช่วยให้เข้าใจงานของขุนพรมประศาสน์ได้เป็นอย่างดี แต่ทว่าการศึกษาแบบแยกขาดอภิปรายเพียงผลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งในกรณีนี้ก็เป็นข้อจำกัดในแง่ที่ไม่อาจทำให้เห็นพัฒนาการทางความคิดและชั้นเชิงทางการประพันธ์ของขุนพรมประศาสน์ ซึ่งงานทั้งสองชิ้นนี้แม้ดูจะต่อเนื่องจนเกือบเป็นชิ้นเดียวกันได้คือต่อกันได้พอดี แต่ก็จะเห็นได้ว่ามีความต่างในรายละเอียดที่ขุนพรมประศาสน์เหมือนจะพยายามสื่อประเด็นไปไกลและวิพากษ์มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีบางประเด็นที่ได้ทิ้งประเด็นเดิมไปไม่เขียนซ้ำหรือขยายความไปมากกว่าเดิม บทความนี้จึงนำเสนอการศึกษางานทั้งสองนี้เพื่อขยายความต่อจากสิ่งที่พรเพ็ญและบาหยันได้ริเริ่มเอาไว้

 

(๕) ขุนพรมประศาสน์ & “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน” เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕   

เมื่อเกิดการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ขุนพรมประศาสน์เป็นปัญญาชนชาวอีสานผู้หนึ่งที่แสดงท่าทีขานรับความเปลี่ยนแปลง และใช้ฝีมือทางการประพันธ์ของตนเองเพื่อประโยชน์ในการสื่อความหมายทางสังคมการเมือง งานชิ้นแรกที่ผู้เขียนจะนำมาแนะนำในที่นี้คือเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน”[16] พิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคมในปีเดียวกับที่มีการอภิวัฒน์นั้น (พ.ศ.๒๔๗๕) ซึ่งเป็นเวลาหลังจากวันศุกร์ที่ ๒๔ ผ่านมาได้เพียง ๔ เดือนเศษเท่านั้น โดยแต่งเรื่องนี้ไว้น่าจะตั้งแต่ราวปลายเดือนมิถุนายน-ต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๕   

ดังที่ทราบกันดีว่า การคมนาคมติดต่อกันระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานสำหรับเมื่อทศวรรษ ๒๔๗๐ นั้นยังไม่สะดวกสบาย ถนนหนทางยังไม่เชื่อมต่อทั่วถึงเหมือนอย่างในช่วงหลังทศวรรษ ๒๕๐๐ มีรถไฟ แต่ก็ไม่ถึงทุกท้องที่ การคมนาคมหลักสมัยนั้นที่สะดวกยังคงเป็นทางน้ำ ส่วนทางบก ยังเป็นทางเกวียนเสียส่วนใหญ่ รถยนต์ยังมีใช้กันไม่มาก อีกทั้งชาวอีสานสมัยนั้นแม้ยังเริ่มประสบปัญหาความแห้งแล้งกันดารบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีการอพยพย้ายถิ่นไปขายแรงงานในกรุงเทพฯ และต่างถิ่น มากเหมือนอย่างช่วงหลังทศวรรษ ๒๕๐๐ เป็นต้นมา[17]

 

พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ (คำ พรหมกสิกร) จากหนังสือ “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม”

 

สมัยเมื่อทศวรรษ ๒๔๗๐ ชาวอีสานที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มข้าราชการปัญญาชนและคหบดี ขุนพรมประศาสน์เองก็มีญาติสนิทที่เคารพนับถือคือพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ (คำ พรหมกสิกร) รับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ สภาพที่คนอีสานยังเป็นเพียงคนส่วนน้อยนิดในกรุงเทพฯ ทำให้ความรับรู้เกี่ยวกับอีสานของคนกรุงเทพฯ ถูกตัดขาดไปโดยปริยาย ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างคนภาคกลางกับภาคอีสานก็จึงยังมีอยู่มากสำหรับสมัยนั้น

ดังนั้นเมื่อเกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงจำเป็นต้องมีการสื่อความเข้าใจ ก็ประจวบเหมาะที่ขุนพรมประศาสน์เสนอผลงานชิ้นนี้สำหรับเป็นสื่อกลางในการนำเอาเรื่องราวการอภิวัฒน์ไปถ่ายทอดในภาษาอีสาน ประกอบกับชาวอีสานเองชอบมีนิสัยเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ถ้าเป็นเรื่องหนังสือหนังหาแล้ว ถ้าแต่งเป็นกลอนลำให้พวกหมอลำนำเอาไปร้องเล่นด้วยได้แล้ว จะยิ่งชื่นชอบและซึมซับเรื่องราวได้ง่าย ดังปรากฏในคำนำที่ขุนพรมประศาสน์อธิบายเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีหนังสือเล่าเรื่องการอภิวัฒน์ในฉบับภาษาอีสานขึ้นมาเฉพาะ ดังความต่อไปนี้ :  

 

(คำนำ)

ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่า ภาษาไทยภาคอีสานหรือภาคเหนือ กับภาษาไทยกลางตลอดถึงสำเนียง ผิดเพี้ยนกันอยู่เป็นอันมาก ยากที่ผู้ฟังและผู้พูดทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจในคำพูดซึ่งกันและกันโดยแจ่งแจ้งได้

ในการที่รัฐบาลสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นแบบปรมิตาญาสิทธิราช อันเป็นการใหญ่หลวงครั้งนี้ ถ้าไพร่เมืองไม่เข้าใจความมุ่งหมายและวิธีการของรัฐบาลโดยทั่วถึงแจ้งชัด กิจการของรัฐบาลใหม่ก็ไม่อาจก้าวล่วงไปตามสมควรที่จะเป็นไปได้

เพื่อเป็นทางช่วยเหลือพลเมืองในทางภาคอีสานหรือภาคเหนือ ที่จะได้ทราบเหตุการณ์และวัตถุที่ประสงค์ ๖ ประการของคณะราษฎร์ได้อีกทางหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้ลองแต่งคำกลอนเป็นภาษาไทยภาคนี้ขึ้น เห็นว่าพอจะฟังเข้าใจกันได้ถนัด อีกประการหนึ่งคำกลอนชนิดนี้คนพื้นเมืองภาคนี้ย่อมพอใจอ่านและฟังกันอยู่โดยมาก จึงได้พิมพ์ขึ้นโดยได้รับอนุมัติของกรรมการคณะราษฎร์ตามที่ได้พิมพ์สำเนาลงไว้ในเล่มนี้ด้วยแล้ว

ถ้อยคำสำนวนในหนังสือเล่มนี้ ถ้าจะมีผู้ลงความเห็นว่ายังเคอะเขินขาดเกินประการใดบ้าง ก็ชอบที่จะติได้ แต่ถ้าท่านผู้ติเห็นว่าหนังสือนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านผู้ฟัง กับได้ทราบหัวใจอันแท้จริงของข้าพเจ้าในการที่ได้ใช้ความพยายามเขียนคำกลอนชนิดนี้ ซึ่งยังไม่เคยเขียนเลย ทั้งการแต่งเรื่องนี้ตลอดการตรวจแก้และเขียนแล้วเสร็จได้ใช้เวลาเพียง ๔ วัน คิดเป็นชั่วโมงที่ทำเรื่องนี้เพียง ๔๐ ชั่วโมง แล้วก็น่าจะให้อภัยกระมังฯ

ขุนพรมประศาสน์
๙/๖/๒๔๗๕

 

จะเห็นได้ว่า ขุนพรมประศาสน์เรียกระบอบใหม่ว่า “ปรมิตาญาสิทธิราช” คำนี้ไม่ปรากฏที่อื่น แม้แต่ผลงานของขุนพรมประศาสน์เองในเล่มถัดไป จะใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” โดยตรง คำนี้เลยปรากฏอยู่เพียงในเล่ม “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” แน่นอนคำนี้ขุนพรมประศาสน์คงหมายถึง “ระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” (คนละเรื่องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข)

อนึ่ง การลงศักราชวันเดือนปี “๙/๖/๒๔๗๕” ยังเคยสร้างความสับสน พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล[18] เห็นว่าเป็นการลงเดือนผิด หรือสลับกันระหว่างเดือนกับวันที่ เพราะเดือน ๖ ตรงกับเดือนมิถุนายนพอดี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ แต่ในเอกสาร “สำเนาจดหมายของคณะราษฎร์” ซึ่งพิมพ์ต่อจากคำนำนี้ ขุนพรมประศาสน์ก็ลงเดือนเป็นเดือน ๗ จึงไม่ใช่การลงเดือนผิดหรือลงสลับวันที่กับเดือนกันแต่อย่างใด ไม่ใช่การพิมพ์ผิดด้วย

สำหรับเรื่องนี้ถ้าคนที่คุ้นเคยกับเอกสารของทางภาคอีสานยุคขุนพรมประศาสน์จะเข้าใจ เพราะข้าราชการท้องถิ่นอีสานสมัยนั้นมักจะเริ่มนับเดือนเมษายนเป็นเดือน ๑ ดังนั้นเดือน ๖ ที่ขุนพรมประศาสน์ลงไว้จึงคือเดือนกันยายน “๙/๖/๒๔๗๕” จึงตรงกับวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๕ 

เมื่อแต่งเรื่องนี้เสร็จ ขุนพรมประศาสน์ได้ส่งให้พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ (คำ พรหมกสิกร) ผู้เป็นอาว (อา) ของตน ซึ่งรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้นำต้นฉบับหนังสือเรื่องนี้ส่งให้คณะราษฎรลองอ่านดูก่อน เพื่อขออนุญาตตีพิมพ์เผยแพร่ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้ส่งต่อไปให้พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) คณะราษฎรผู้คุ้นเคยกับภาษาอีสานได้อ่านดูด้วยอีกท่านหนึ่ง เมื่อทั้งสองท่านได้อ่านต้นฉบับแล้วได้มีจดหมายมาถึงพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ แสดงความชื่นชอบและชื่นชมต่อบทประพันธ์ชิ้นนี้ของขุนพรมประศาสน์เป็นอย่างยิ่ง ดังปรากฏในเอกสาร “สำเนาจดหมายของคณะราษฎร์” ดังนี้ :

 

(สำเนาจดหมายของคณะราษฎร์)

กองบังคับการทหาร วังปารุสกวัน
วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๕

เรียน พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์

จดหมายของเจ้าคุณ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.นี้ พร้อมด้วยต้นฉบับคำกลอนภาษาภาคอีสาน ซึ่งรองอำมาตย์โท ขุนพรหมประศาสน์ เป็นผู้ประพันธ์ขึ้นนั้น ผมได้รับและได้ให้นายพันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ ผู้คุ้นเคยกับภาษาไทยภาคอีสานนี้อยู่บ้าง ตรวจทานโดยตลอดแล้ว รู้สึกว่าในส่วนการร้อยกรองถ้อยคำก็ดี หรือการพรรณนาเหตุการณ์ ทั้งที่เป็นไปแล้วและกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดี ผู้ประพันธ์ได้ใช้ความพยายามในอันที่จะให้ไพเราะและละเอียดถี่ถ้วน สมควรจะได้รับความชมเชยโดยแท้ จะมีที่น่าจะแก้ไขอยู่บ้างก็เฉพาะข้อความที่กล่าวพาดพิงไปถึงเจ้านายบางพระองค์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางท่านซึ่งถ้าได้ทอดพระเนตรหรือได้เห็นแล้วก็จะเป็นที่กระทบกระเทือนและขุ่นเคืองพระทัยโดยมิจำเป็น เพราะฉะนั้นผมจึงเห็นว่า ถ้าท่านเจ้าของคำกลอนนั้นได้จัดการแก้ไขให้เป็นไปตามคำแนะนำของนายพันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์แล้ว ก็ไม่มีข้อขัดข้องอย่างใดในการที่จะจัดการพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ฯ

ในโอกาสนี้ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

(ลงนาม) นายพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา
ผู้บัญชาการทหารบก

ได้แก้ไขข้อทักท้วงนั้นโดยตลอดแล้ว
ขุนพรมประศาสน์
๑๔/๗/๒๔๗๕

 

จะเห็นได้ว่า พระยาพหลฯ แสดงความชื่นชอบและประทับใจอย่างมาก ถึงกับบอกว่า “ตรวจทานโดยตลอดแล้ว รู้สึกว่าในส่วนการร้อยกรองถ้อยคำก็ดี หรือการพรรณนาเหตุการณ์ ทั้งที่เป็นไปแล้วและกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดี ผู้ประพันธ์ได้ใช้ความพยายามในอันที่จะให้ไพเราะและละเอียดถี่ถ้วน สมควรจะได้รับความชมเชยโดยแท้”  ขณะที่พระยาฤทธิ์อัคเนย์ท้วงติงมาว่า “จะมีที่น่าจะแก้ไขอยู่บ้างก็เฉพาะข้อความที่กล่าวพาดพิงไปถึงเจ้านายบางพระองค์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางท่านซึ่งถ้าได้ทอดพระเนตรหรือได้เห็นแล้วก็จะเป็นที่กระทบกระเทือนและขุ่นเคืองพระทัยโดยมิจำเป็น เพราะฉะนั้นผมจึงเห็นว่า ถ้าท่านเจ้าของคำกลอนนั้นได้จัดการแก้ไขให้เป็นไปตามคำแนะนำของนายพันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์แล้ว ก็ไม่มีข้อขัดข้องอย่างใดในการที่จะจัดการพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ฯ” และขุนพรมประศาสน์ก็ได้โน้ตลงท้ายในเอกสารไว้ว่า “ได้แก้ไขข้อทักท้วงนั้นโดยตลอดแล้ว”

นั่นคือแสดงว่าในฉบับตีพิมพ์ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเนื้อความบางส่วนในต้นฉบับเดิม ณ ปัจจุบันนี้เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะทราบว่า เนื้อความที่ปรับปรุงแก้ไขไปนั้น ขุนพรมประศาสน์เขียนว่าอย่างไร เพราะต้นฉบับสูญหายไปแล้ว แม้แต่ฉบับตีพิมพ์ก็ยังหายากในปัจจุบัน จากข้อความในเอกสารที่พระยาพหลฯ ระบุไว้ว่าเป็น “ข้อความที่กล่าวพาดพิงไปถึงเจ้านายบางพระองค์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางท่านซึ่งถ้าได้ทอดพระเนตรหรือได้เห็นแล้วก็จะเป็นที่กระทบกระเทือนและขุ่นเคืองพระทัยโดยมิจำเป็น" ทำให้สันนิษฐานอย่างกว้างๆ ได้ว่า “เจ้านายบางพระองค์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางท่าน” ที่ว่านี้อาจจะคือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือไม่ก็สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระองค์ใดพระองค์หนึ่งหรือทั้งสองพระองค์ ซึ่งมีบทบาทอยู่ในเหตุการณ์

อนึ่ง ในเอกสารข้างต้นนี้ ตลอดจนในตัวบทผลงานประพันธ์ของขุนพรมประศาสน์ทั้งชิ้นนี้และชิ้นอื่น จะเห็นได้อีกว่าระบุนาม “คณะราษฎร์” ไม่ใช่ “คณะราษฎร” แต่อย่างไรก็ตาม ในที่อื่นผู้เขียนจะใช้ “คณะราษฎร” เพื่อแยกเสียง เพราะคำว่า “คณะราษฎร์” เสียงจะตรงกับ “คณะราช” ซึ่งชวนให้เข้าใจผิดเป็นคนละคณะกัน     

ในส่วนของเนื้อหาคำกลอนใน “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” ขุนพรมประศาสน์เริ่มต้นโดยการบอกเล่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ตามสำนวนกลอนภาษาลาวอีสานดังนี้ : 

 

“กลอนเปลี่ยนแปลงปกครองคราวนี้     ข้าจักชี้เห็นเบื้องบ่อนจริง

ชายและหญิงฟังเอาจื่อไว้                 ต่างตื่มไต้แถมส่องปัญญา

มิถุนาวันที่ซาวสี่[19]                       จำไว้ถี่ปีวอกวันศุกร์

อย่าเป็นทุกข์บอกพุทธศก               ตกสองพันสี่ฮ้อยเจ็ดห้า”[20]

 

ตามด้วยการ “ซูฮก” (ยกย่อง) บทบาทของคณะราษฎร ผู้ก่อการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ว่าเป็นผู้กล้าหาญและมีวิชาความรู้ดี โดยออกนามบุคคลสำคัญอยู่ ๔ ท่าน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ดังคำกลอนต่อไปนี้ : 

 

“ท่านผู้กล้าเปลี่ยนการปกครอง            ทั้งผองมีรวมกันหลายเหล่า

บ่อแม่นเจ้าฝ่ายราษฎร                        น่าสะออนปัญญาแก่กล้า

พร้อมพ่ำหน้าข้าราชการ                      มีทหารพลเรือนหลายหลั่น

นอกกว่านั้นยังมีชาวนา                        กรรมกรชาวสวนส่วนน้อย

บ่อต่ำต้อยล้วนแต่คนดี                        ล้วนแต่มีวิชชาความฮู้

ท่านผู้ได้ออกชื่อลือนาม                       สามพระยายศนายพันเอก

เลขที่หนึ่งพระยาพหลฯ                       คนที่สองพระยาทรงสุรเดช

สามวิเศษพระยาฤทธิอัคเนย์                บ่อโลเลคนดีที่สี่

ท่านผู้นี้ชื่อหลวงประดิษฐ์ฯ                   พร้อมกันคิดการใหญ่สมหมาย

จักขยายดีสืบต่อ                                  ยามท่านก่อการใหญ่ต่อไป”

 

นอกจากนี้ ขุนพรมประศาสน์ยังกล่าวด้วยว่า การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติธรรมดาของโลกสมัยใหม่ หลายประเทศก็เคยเปลี่ยนในทำนองเดียวกันนี้มาก่อนหน้าแล้ว : 

 

“ท่านทั้งหลายก่อการคราวนี้                คือพุ้นพี้หมายเปลี่ยนปกครอง

ตามทำนองประเทศอื่นๆ            หลายชาติดื่นเขาเปลี่ยนมานาน

ตามตำนานประวัติทั่วโลก                    เฮาอย่าโศกอย่าเศร้าเสียใจ

สมัยการปกครองแบบใหม่                    กษัตริย์ได้อยู่ใต้กฎหมาย

เฮาทั้งหลายควรดีใจล้น                        อย่าบุม่นหาก้ำกีดขวาง

บุญใหญ่หลวงบ่อมีเหตุฮ้าย                  เป็นการง่ายพระเจ้าแผ่นดิน”

 

ส่วนที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบเก่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ถึงแม้ว่าจะมีการแก้ไขปรับปรุงต้นฉบับเพื่อไม่ให้สร้างความขุ่นเคืองไม่พอพระทัยแก่เจ้านายบางพระองค์ ดังปรากฏในเอกสาร “สำเนาจดหมายของคณะราษฎร์” ไปแล้วก็ตาม แต่อย่างที่บอกส่วนนี้ (การวิพากษ์วิจารณ์ระบอบเก่า) ก็เป็นส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เป็นการวิพากษ์ระบอบไม่ได้มุ่งที่ตัวบุคคลหรือสถาบันชั้นสูงแต่อย่างใด: 

 

“เทื่อนี้ จักกล่าวแก้บอกเหตุสำคัญ        อย่าหลับฝันฟังเอาจื่อไว้

ชี้บอกให้เห็นห่อมทางดี                        เดิมเอามีกษัตริย์ตุ้มไพร่

ท่านเป็นใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย   นับได้หลายกษัตริย์สืบต่อ

แต่ก่อตั้งกำเนิดชาวไทย                       ในสยามนับปีหกฮ้อย

เศษอีกหน่อยเจ็ดห้าเป็นมา                  บ่อไววาไพร่บ่อได้เดือดฮ้อน

แต่ก่อนพุ้นคนบ่อคือกัน                       มันบ่อคือสมัยเดี๋ยวนี้

แต่ก่อนนี้บ้านข้อนเมืองฮ่อม                 แต่ย่อมมีอาณาเขตต์กว้าง

ในหลวงตุ้มปกครองคือลูก                    คึดปลูกสร้างขายค้าสมหมาย

บ่อฝืดหลายคอบคนมีน้อย                    กลอยมันพร้อมปูปลามีมาก

ผลหมากไม้เลิงพ้อเกิดเอง          นักเลงฮ้ายหมายปองคนถ่อย

มีแต่น้อยเมืองบ้านอยู่เย็น                    เป็นธรรมเนียมสืบมาหายฮ้อน

บัดนี้บ้านเมืองข้อนคนดีฮู้มาก               ให้ยากยุ่งหลายอย่างนานา

ปูปลาอึดขาดเขินวังน้ำ                         ซ้ำลำบากการค้าการขาย

บ่อสมหมายหากินลำบาก                     ทุกข์ยากแค้นผิดจากปางหลัง

บ่อสมหวังรัฐบาลเก่า                           คือพระเจ้าผู้อยู่เหนือหัว

ทรงปิ่นปัวแก้มาหลายทอด                   บ่อตลอดหนักหน้าตื่มแถม

แฮมปีมาไพร่เมืองฮ้อนเดือด                 เฮาอย่าเคียดว่าพระกษัตริย์

เป็นผู้จัดให้เฮาเดือดฮ้อน                      บ้านเมืองข้อนหากเป็นไปเอง”

 

อย่างไรก็ตาม ขุนพรมประศาสน์ได้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่อย่างชัดเจนด้วยประเด็นเรื่องอำนาจอธิปไตยสูงสุด ระบอบใหม่ถือว่าอำนาจนี้เป็นของไพร่ราษฎร ไม่ใช่ของพระมหากษัตริย์ ความต่อจากนั้น ขุนพรมประศาสน์ได้แสดงมุมมองต่อระบอบใหม่อย่างมีความหวัง เมื่อระบอบใหม่จะตรงข้ามกับระบอบเก่า ในแง่ของการมีส่วนร่วมของไพร่ราษฎร ขุนพรมประศาสน์เข้าใจระบอบเก่าและระบอบใหม่อย่างถูกต้อง ระบอบเก่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดอยู่ที่พระมหากษัตริย์ แต่ระบอบใหม่ อำนาจอธิปไตยสูงสุดอยู่ที่ราษฎร :   

 

“แต่ก่อนหยังเจ้ามีอำนาจ           ออกประกาศตั้งแต่งกฎหมาย

ไพร่ทั้งหลายบ่อได้เกี่ยวข้อง                 ฝูงพี่น้องจงตั้งใจฟัง

ภายหลังคือสมัยเดี๋ยวนี้                        การซิตั้งซิแต่งกฎหมาย

เจ้าและนายบ่อมีอำนาจ             วางสิทธิ์ขาดแก่ราษฎร

คึดเลิกถอนแต่งแปลงให้ฮุ่ง                   บ่อยุ่งดอกอย่าฟ้าวตกใจ

สมัยลุนคงดีกว่าเก่า                             ดีกว่าเจ้าอยู่เหนือกฎหมาย”

 

จากนั้น ขุนพรมประศาสน์ก็ปิดท้ายคำกลอนด้วยการเล่าอธิบายถึงหลัก ๖ ประการของคณะราษฎร ซึ่งเป็นเนื้อความส่วนที่ต่อเนื่องกันพอดีกับที่ได้แสดงความหวังต่อระบอบใหม่ สะท้อนให้เห็นชั้นเชิงการแต่งกลอนที่มีการลำดับเรื่อง-เรียงหัวข้อการนำเสนอไว้เป็นขั้นตอนอย่างดี ถือได้ว่า “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” เป็นงานบันทึกประวัติศาสตร์การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ชิ้นแรก และที่สำคัญที่จัดว่าโดดเด่นเป็นสไตล์เฉพาะตัวก็คือเป็นงานประพันธ์ในรูปแบบร้อยกรอง แถมยังเป็นกลอนลำแบบพื้นบ้านอีสานอีกด้วย

 

(๖) ขุนพรมประศาสน์ & “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘

ผลงานลำดับต่อมา ซึ่งเป็นชิ้นที่สองที่เล่าเรื่องการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ แต่เป็นชิ้นแรกที่อธิบายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ในรูปแบบร้อยกรอง (กลอนลำพื้นบ้านอีสาน) คือเรื่อง “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” ตีพิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๔๗๘[21] คราวนี้เป็นที่พิมพ์จากโรงพิมพ์อักษรนิติ มาเป็นโรงพิมพ์ไทยเขษม พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ (คำ พรหมกสิกร) ณ วัดตรีทศเทพ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๘

อนึ่ง พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ (คำ พรหมกสิกร) ผู้เป็นอาว (อา) ของขุนพรมประศาสน์ มีประวัติภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน พระยาวิจิตรฯ ก็เป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิด เริ่มต้นชีวิตการศึกษาโดยบวชเป็นสามเณรเรียนอยู่ที่วัดศรีโพธิชัย จังหวัดอุบลราชธานี ย้ายไปเรียนที่สำนักพระครูยอดแก้วที่วัดท่า จังหวัดยโสธร แล้วลงมากรุงเทพฯ แรกอยู่ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร ต่อมาย้ายไปวัดบวรนิเวศวิหาร ได้เป็นข้ารับใช้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิรุณหิต สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก เมื่อขณะทรงบรรพชาและประทับจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร

ครั้งนั้นสามเณรคำ พรหมกสิกร ยังได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส อีกด้วย เมื่อพ.ศ.๒๔๓๕ ได้บวชเป็นพระภิกษุ พ.ศ.๒๔๔๕ ได้ลาสิกขาบทออกมารับราชการสังกัดกรมราชบัณฑิต พ.ศ.๒๔๔๗ ได้เป็นสมาชิกสมัคยาจารยสโมสร ซึ่งเป็นที่ประชุมพบปะกันของชนชั้นนำสายปัญญาชนสมัยนั้น ต่อมาพ.ศ.๒๔๖๒ ได้ย้ายไปสังกัดกรมธรรมการในพระบรมมหาราชวัง อีก ๔ ปีต่อมาได้เป็นเจ้ากรมราชบัณฑิต ก่อนจะมาเสียชีวิตด้วยโรคลำไส้พิการ เมื่อพ.ศ.๒๔๗๗ ขณะอายุ ๖๓ ปี

การจากไปของญาติผู้ใหญ่ท่านนี้คงสร้างความเศร้าเสียใจให้แก่ขุนพรมประศาสน์อย่างมาก นอกจากเป็นข้าราชการด้วยกันแต่รับราชการในท้องที่ต่างกัน พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์อยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ปฏิบัติราชการใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูง ขณะที่ขุนพรมประศาสน์รับราชการอยู่ที่อุบลราชธานี แต่ทั้งสองได้มีการติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างแน่นอน พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ก็ดูจะภูมิใจในหลานของตัวเองอยู่มาก ภูมิใจในฐานะที่มีหลานชายเป็นกวีเอกของภาคอีสานเสียด้วย ดังจะเห็นได้จากพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์เป็นผู้ส่งต้นฉบับหนังสือเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” ไปให้พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้อ่านดู พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ยังน่าจะเป็นบุคคลที่รู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) มาตั้งแต่ก่อนการอภิวัฒน์อีกด้วย

เมื่อญาติผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญต่อตนเองเช่นนี้เสียชีวิต ในฐานะกวีและนักประพันธ์ ขุนพรมประศาสน์ก็ได้แทนบุญคุณของอาว (อา) โดยการทำสิ่งที่ผู้คนจะจดจำระลึกถึงอาวของตนไปอีกนาน เพราะผลงานสำคัญชิ้นต่อมาของขุนพรมประศาสน์ ตีพิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของอาว (พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์) คือเรื่อง “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม”   

ในคำนำ ขุนพรมประศาสน์ได้เล่าว่าตั้งแต่เมื่ออาวเสียชีวิตเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๗๗ ได้คิดอ่านตีพิมพ์ผลงานด้านอักษรศาสตร์เพื่อเชิดชูเกียรติอาว ความว่า “ท่านเจ้าคุณ (พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์) ผู้ล่วงลับไปนี้ เป็นปราชญ์ในทางอักษรศาสตร์และเป็นนักประพันธ์มีชื่อผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตกลงเลือกเอาเรื่อง “คำกลอนบรรยายรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเขียนโดยข้าพเจ้าเอง และได้นำขึ้นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีบัญชาให้สำนักงานโฆษณาการตรวจแก้แล้วมาพิมพ์ขึ้น”[22]

แม้ขุนพรมประศาสน์จะไม่ได้ระบุนามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่าคือผู้ใด แต่เรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่ยาก ช่วงพ.ศ.๒๔๗๗-๒๔๗๘ บุคคลสำคัญที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในช่วงนั้นมี ๒ ท่าน คือ ปรีดี พนมยงค์ กับ หลวงถวัลย์ธำรงนาวาสวัสดิ์ ปรีดีเข้ารับตำแหน่งนี้เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๗ ถึงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๘ หลวงถวัลย์ธำรงนาวาสวัสดิ์เข้ารับตำแหน่งนี้ต่อจากปรีดีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๘ จนถึงวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๑ พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ (คำ พรหมกสิกร) เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๗ จัดงานพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดตรีทศเทพ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๘

ถ้าลำดับศักราชวันเดือนปีแบบปัจจุบันนี้ที่เริ่มนับปีใหม่เมื่อเดือนมกราคม ก็อาจจะคิดว่ามีการเก็บศพพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์ไว้นานเป็นปี ถึงค่อยทำพิธีฌาปนกิจ แต่สมัยนั้นยังนับเริ่มปีใหม่เมื่อเดือนเมษายน มาเปลี่ยนนับเริ่มปีใหม่เดือนมกราคมครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๔๘๔ (สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี) ดังนั้น ศพพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร์จึงถูกเก็บไว้แค่ ๓ เดือนกว่าเท่านั้น และโรงพิมพ์ไทยเขษมผู้พิมพ์ “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” ยังระบุท้ายเล่มไว้ด้วยว่า ตีพิมพ์เล่มนี้เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๘ ด้วยเหตุนี้ก็เป็นอันทราบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ที่ขุนพรมประศาสน์ได้ส่งต้นฉบับผลงานชิ้นนี้ให้อ่านดูและส่งต่อไปให้สำนักงานโฆษณาการตรวจแก้ก่อนตีพิมพ์นั้นก็คือ ปรีดี พนมยงค์ เพราะตรงกับช่วงที่ยังดำรงดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้

เช่นเดียวกับเรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” เราไม่อาจทราบว่าได้มีการแก้ไขปรับปรุงไปจากต้นฉบับแรกของขุนพรมประศาสน์ไปมากน้อยเพียงใด สังเกตเห็นได้จากชื่อเรื่องที่ระบุไว้ในคำนำกับชื่อเล่มฉบับพิมพ์ ก็จะเห็นได้ว่าผิดกันอยู่ คือในคำนำ ขุนพรมประศาสน์ระบุชื่อเรื่องว่า “คำกลอนบรรยายรัฐธรรมนูญ” ขณะที่ชื่อเรื่องฉบับพิมพ์ใช้ชื่อว่า “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” แสดงว่าชื่อเรื่องมีการปรับแก้ตามที่ปรีดี พนมยงค์ หรือสำนักงานโฆษณาการ เสนอให้แก้ กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาของผลงานขุนพรมประศาสน์ชิ้นนี้จะ “ซอฟต์” ลงแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากแม้เป็นฉบับผ่านการตรวจแก้ก็ยังคงความเข้มข้นตามแบบฉบับกลอนลำของขุนพรมประศาสน์ ดังจะแสดงให้เห็นในลำดับต่อไป     

ในผลงานชิ้นนี้ ขุนพรมประศาสน์เริ่มต้นโดยการแนะนำตนเองว่า : 

 

“ข้าผู้อตสาห์แต้มกลอนสารไว้ให้อ่านคราวนี้            กกเดิมมีถิ่นเค้าเนาห้องแห่งพนาฯ

เมืองพนานิคมด้าวแขวงอุบล[23] ตั้งแต่ก่อนภายพุ้น           ขุนพรมประศาสน์ชั้นเดียวนี้แม่นชื่อเฮียม”

 

ตามด้วยการบอกเล่าวัตถุประสงค์การแต่งเล่มนี้ แสดงความปรารถนาที่จะเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างคนเมืองกรุงฯ (กรุงเทพมหานคร) กับชาวอีสาน ดังนี้ : 

 

“บัดนี้เฮียมหากเนาในเขื่องแขวงอุบลบ่อนบ้านอยู่     คึดฮอดหมู่พี่น้องลุงป้าบ่ออย่าเซา

เพื่อว่าเฮาพี่น้องมีหลายยังไป่ตื่น                    เมืองอื่นหากเขาเคยขีดแต้มเขียนไว้มากหลาย

ท่อแต่ของภายพุ้นเป็นภาษาเมืองล่าง                       หรือไทยกลางท่านว่าเว้าเฮาพี้ยากแก่ใจ

เพื่อว่าไทยกลางเว้าไทยเฮาฟังยาก                           ข้าหากหวังช่อยให้ภายพี้ได้อ่านฟัง

จั่งได้อตสาห์เยื้อนงมเขียนไปตามวาด                       บ่อนใดผิดพลาดพลั้งอย่าซังข้าผู้แต่งกลอน แด่เนอ”

 

น่าสังเกตว่า ถึงตรีมหลักของเรื่องจะเป็นการแต่งกลอนลำเล่าบรรยายอธิบายตัวบทรัฐธรรมนูญ แต่ทว่าขุนพรมประศาสน์ก็ได้เท้าความย้อนหลังถึงการปกครองระบอบเก่าในเชิงวิพากษ์ไว้ด้วย ซึ่งเป็นมุมมองและท่าทีแบบเดียวกับที่เคยแต่งไว้ในเล่มก่อนหน้า (เรื่อง “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน”) ทั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจเรื่องระบอบการปกครองแบบใหม่แล้ว ก็ยากจะเข้าใจตัวบทรัฐธรรมนูญ จึงต้องกล่าวย้อนหลังเปรียบเทียบกับระบอบเก่าไว้ด้วยดังนี้ : 

 

“เฮียมขอหวนหลังเว้าการปกครองตั้งแต่เก่า             ตั้งแต่กกแต่เค้ามีเจ้าตั้งแต่งการ

นับได้นานปีล้ำกษัตริย์กำอำนาจ                     ส่วนไพร่ราษฎร์แสนซิบ่อมีสู้ท่านเธอ

บ่อมีเอออวยด้วยดอมเสียงซาวไพร่                          เฮ็ดจั่งได๋ก็ย่อมสุดแท้แต่พระองค์[24]

ท่านหากทรงปกป้องตามคลองฮีตแต่ก่อน                 ลางผ่องสุขลางผ่องฮ้อนลอนพ้อบ่อทั่วเถิง”

 

แต่ใน “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” เมื่อกล่าวพาดพิงถึงระบอบเก่ายุคสมบูรณาญาสิทธิราช ขุนพรมประศาสน์ได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “เสนาอำมาตย์” ในฐานะกลุ่มขุนนางผู้อำนาจใช้อำนาจแทนพระมหากษัตริย์ เป็นบทบาทอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างและตรงกันข้ามกับบทบาทของสภาผู้แทนราษฎรในยุคระบอบใหม่ เพราะเป็นอำนาจในทางกดขี่ข่มเหงราษฎร ดังที่ขุนพรมประศาสน์สะท้อนไว้ดังนี้ :      

 

“เฮียมซิไขให้แจ้งให้เห็นแห่งเบาหนัก                       ให้ฮู้จักความจริงสู่กระบวนควรเจ้า

คือว่า ราชาเจ้าไทยเฮาตั้งแต่เก่า                     ข้าหากได้เว้าแล้วคลองเค้าเจ้าอยู่เหนือ

เหนือจนเหมิดจนเสี้ยงเหนือเฮาเกลี้ยงอ่อยห่อย                   กฎหมายมวลใหญ่น้อยเสนาตั้งแต่เอง

ไผๆ ก็หากยำเยงย้ายราชาบ่อกล้าปาก            แสนซิลำบากแค้นแม่นอดสู้สู่แจ

สุดแต่เสนาเจ้าปรานีผายโผด                         คันกษัตริย์โหดฮ้ายภายพี้แม่นส่วนงอม

ผิว่าจอมกษัตริย์เจ้าทรงธรรมตุ้มไพร่                        ภายเฮาใดหนึ่งน้อยพลอยได้เพิ่งฮ่มเย็น

แนวนี้ก็หากเป็นคลองเค้าธรรมเนียมตั้งแต่เก่า          ภายเฮาปากบ่อได้คือใบ้ปากบ่อเป็น” 

บางแห่งขุนพรมประศาสน์ก็ใช้คำเรียกระบอบเก่าอย่างตรงไปตรงมาว่า “ราชาธิปไตย” เช่นว่า: 

“อันว่าในเมืองบ้านการปกครองดั่งว่ามานี้                “ราชาธิปไตย” ท่านเฮียกเอิ้นคลองเค้าเจ้าอยู่เหนือ

แสนซิเหลือใจเด่จนใจแล้วก็อย่า                     ธรรมเนียมหากว่าไว้สุดแท้แต่พระองค์”

 

หลังจากนั้น ขุนพรมประศาสน์ได้เริ่มต้นกล่าวถึงระบอบใหม่ โดยการยกย่องบทบาทของคณะราษฎรผู้ก่อการอภิวัฒน์ เป็นการเรียงลำดับเรื่อง-เรียงหัวข้อแบบเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในงานชิ้นก่อนหน้า เช่นว่า : 

 

“จั่งว่ามีคนกล้าอาสาตายตางราษฎร์                        ชวนหมู่ญาติมิตรได้โฮมเฮ้าเข้าช่วยกัน

เหมิดทั้งมวลนั้นมีนามขนานว่า “คณะราษฎร์”                    ล้วนแต่สามารถฮู้ปรึกษาฮู้ฮ่ำการ

คันซิยังคงให้กษัตริย์ไทยทรงอำนาจ                         บ่อฟังเสียงราษฎร์พร้อมเมืองบ้านซิบ่อเฮือง

เพื่อว่าจอมเมืองเจ้าพระองค์เดียวเบิ่งบ่อถ่อง            การปกครองไพร่ล้านเสียงน้อยซิเงี่ยงเอน”

 

น่าสังเกตว่า เดิมใน “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยอีสาน” ขุนพรมประศาสน์ได้ออกนามคณะราษฎร ๔ ท่าน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ครั้นพอมาใน “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” ออกนามคณะราษฎรเพียง ๒ ท่าน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)

ทั้งนี้เป็นการออกนามถึงปรีดี พนมยงค์ ด้วยท่าทียกย่อง ในช่วงหลังจากที่เกิดวิกฤติการณ์อันเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีพระราชวิจารณ์ต่อ “สมุดปกเหลือง” (เค้าโครงการเศรษฐกิจ) ในทางลบว่าเป็นคอมมิวนิสต์ โดยอ้างว่าคล้ายกับรูปแบบการดำเนินการทางเศรษฐกิจของสตาลิน (โจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต) และเป็นช่วงหลังจากเกิดกรณีกบฏบวรเดชขึ้นแล้วด้วย

วิกฤตินี้ทำให้ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยการเมืองออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ก่อนจะกลับเข้ามาและได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในเวลาต่อมา แต่ทว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้บางสิ่งได้เริ่มต้นขึ้นในการเมืองไทยแล้ว มรกต เจวจินดา ผู้ศึกษาความเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ ในสังคมไทย ได้ให้ความเห็นว่าเป็นช่วงแรกที่ฝ่ายกษัตริย์นิยม-อนุรักษ์นิยม เริ่มสร้างภาพใส่ร้ายป้ายสีให้ปรีดี พนมยงค์ เป็น “ปีศาจทางการเมือง”[25]

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดูเหมือนขุนพรมประศาสน์จะเป็นปัญญาชนท่านหนึ่งในยุคนั้นที่ไม่หลงเชื่อตาม จึงได้แต่งกลอนลำบอกกล่าวแก่ชาวอีสานให้จดจำว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นผู้มีบทบาทต่อการอภิวัฒน์คู่เคียงกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ดังนี้ : 

 

“ขอให้จำเอาไว้ในสองคนพอเว้าต่อ                         พอให้ได้วาดเว้าคราวหน้าสืบต่อไป

คือว่า นายพันเอก พระยาพหลฯ เป็นใหญ่                 หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นคู่ได้เทียมข้างดั่งเงา”

 

“คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” ขุนพรมประศาสน์ยังคงแสดงการมีมุมมองต่อระบอบใหม่อย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับงานก่อนหน้าและเชิญชวนให้ผู้คนจดจำเหตุการณ์อภิวัฒน์ในฐานะวันสำคัญ (สมัยนั้นยังไม่มีการกำหนดวันสำคัญของชาติ) เช่นที่กล่าวว่า : 

 

“ให้หมู่เจ้าพี่น้องจำจื่อการปกครอง                          ทำนอง “ประชาธิปไตย” แม่นสมัยคราวนี้

ควรที่จำเอาไว้มื้อเปลี่ยนการปกครอง                       ในพ.ศ.สองพันสี่ปลายเจ็ดห้า

มิถุนายนมาส วันศุกร์ที่ซาวสี่                                   มื้อที่ทูลพระเจ้าอยู่หัวให้เปลี่ยนแปลง”

 

ต่อมาในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยแรก) ก็ได้มีการริเริ่มกำหนดให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็น “วันชาติ” ด้วยแนวคิดเดียวกับที่ขุนพรมประศาสน์เคยเสนอไว้ คือเพื่อให้ผู้คนชาวเมือง (รวมทั้งชาวบ้านนอกชนบท) ได้จดจำรำลึกถึงวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง และให้ถือเป็นวันสำคัญของชาติ[26]

ในส่วนนี้ยังเห็นได้ว่า ขุนพรมประศาสน์ใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” สำหรับเรียกระบอบใหม่เป็นคนแรกๆ อีกด้วย สมัยนั้นคนอื่นๆ มักเขียนคำนี้ว่า “ประชาธิปตัย” แต่จะกล่าวว่าคำว่า “ประชาธิปไตย” นี้ได้มาจากบทประพันธ์ชิ้นนี้ของขุนพรมประศาสน์ก็กระไรอยู่ เพราะไม่สามารถจะมีหลักฐานมาแสดงให้เห็นด้วยว่าคนหลังจากนั้นมาเขียนคำนี้ตามขุนพรมประศาสน์

อย่างไรก็ตาม อีกแห่งที่กล่าวตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ข้อว่าด้วยสิทธิเสรีเสมอภาคของปวงชนชาวสยาม ขุนพรมประศาสน์ก็ได้สะท้อนการมองระบอบใหม่ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงว่าจะนำพาชีวิตที่ดีกว่าระบอบเก่ามาให้ดังนี้ : 

 

“บัดนี้ เฮียมจักจาในข้อสิทธิ์เสรีเสมอภาค                 ธรรมนูญเฮาหากวางวาดไว้ให้สิทธิ์ใช้ท่อกัน

แสนซิทุกข์หมื่นชั้นเสมอภาคทางกฎหมาย                บ่อว่าไผคือกันห่อนต่ำสูงเสมอด้าม

กฎหมายงำปกตุ้มฐานเดียวกันบ่อสูงต่ำ                     ไผทำผิดโทษใหญ่น้อยเสมอด้ามบ่อต่างกัน”

 

แน่นอนว่า ในส่วนของการกล่าวท้าวความย้อนหลังถึงชีวิตความเป็นอยู่ภายใต้ระบอบเก่า ก็เข้มข้น (โดยเนื้อหา) ไม่น้อยไปกว่าที่เคยกล่าวไว้ในงานชิ้นก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนพรมประศาสน์ได้บันทึกเล่าเกี่ยวกับความไม่เสมอภาคทางกฎหมาย ความเหลื่อมล้ำ และเลือกปฏิบัติของฝ่ายกฎหมายบ้านเมือง หากเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลสูงหรือเป็นขุนนางมียศสูงศักดิ์ก็จะได้รับการยกเว้น แต่กับไพร่ราษฎรจะบังคับใช้อย่างเข้มงวด เมื่อทำผิดก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ในขณะที่ถ้าเป็นเจ้านายก็จะได้รับการผ่อนปรนหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขุนพรมประศาสน์ในฐานะข้าราชการท้องถิ่นอีสานย่อมจะเคยเห็นเหตุการณ์เรื่องราวทำนองนี้มามากตลอดช่วงก่อนหน้าการอภิวัฒน์ และรู้สึกขมขื่นใจ จึงได้บันทึกเอาไว้ดังนี้ : 

 

“บ่อคือแต่ก่อนพุ้นหากเป็นแบ่งคนไทย                    ไผผู้มีตระกูลสูงเชื้อแนวนามเจ้า

หรือว่าเอาตนเข้าทำการหลวงได้เป็นใหญ่                 ได้เป็นขุนหมื่นท้าวพระยาชั้นยศสูง

หากบ่อคือลุงป้าประสาเฮาชาวไพร่                          ท่านหากย่อเหยียดไว้บ่อคือด้ามดั่งกัน

คันหากผู้เป็นเจ้ายศใหญ่สูงศักดิ์                     ความหนักเป็นความเบาบ่อเบิ่งเฮาคนน้อย”

 

แถมยังชี้ชวนให้คิดย้อนหลังตรองดูว่า ก่อนนี้ (ยุคระบอบเก่า) เคยเป็นอย่างไร เช่นว่า: 

 

“เฮาลองถอยหลิงเบื้องคลองหลังตั้งแต่ก่อน              หากซิเห็นต่อนฮ้ายหลายเบื้องบ่อนบ่อควร  ดอกนา” 

 

ในส่วนของตัวบทรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคำว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นคำใหม่สำหรับในยุคนั้น ขุนพรมประศาสน์จึงเริ่มจากการอธิบายความหมายของคำว่า “รัฐ” หรือ “รัฏฐ” ตามด้วยคำว่า “ธรรมนูญ” ดังนี้ : 

 

““รัฐ รัฏฐ” นี้เป็นภาษามคธภาค                              แปลเป็นไทยว่าแว่นแคว้นเมืองบ้านก็ดั่งเก่า

“ธรรมนูญ” เป็นชื่อแท้แปลความว่าระเบียบ             ยามเมื่อโฮมเทียบเข้าสองถ้อยจั่งค่อนแปล

ก็หากแลเห็นได้เป็นกฎหมายไว้แบบอย่าง                 วางระเบียบก่อตุ้มเมืองบ้านให้ชุ่มเย็น แท้แล้ว”

 

แต่ลำพังการอธิบายความหมายในเชิงตัวบทอักษร คำไหนแปลเป็นไทยว่าอย่างไร ไม่ช่วยให้ชาวบ้านธรรมดาสามัญชนเข้าใจ ขุนพรมประศาสน์ในฐานะกวีได้แก้ปัญหานี้โดยการสร้างความเปรียบ (Meta-phor) ตาม “คำผญา” (ภาษิตคำพังเพย) ในวัฒนธรรมอีสาน เช่นที่อธิบายเปรียบว่ารัฐธรรมนูญเป็นเหมือนกฎหมายต้นขั้วแบบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด :

 

“รัฐธรรมนูญนี้เป็นกฎหมายต้นเทียมตนคือพ่อแม่     กฎหมายอื่นแต่ละเล่มคือก้านกิ่งใบ”

 

ลักษณะความเป็นตัวแทนราษฎรในสภาของ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” (ส.ส.) ซึ่งเป็นของใหม่ เพิ่งมีครั้งแรกในสังคมไทยสยาม เมื่อพ.ศ.๒๔๗๗ ก่อนหน้าที่ขุนพรมประศาสน์จะแต่งเล่มนี้เพียงไม่นาน ขุนพรมประศาสน์ก็อธิบายเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนผัวไปพูดแทนเมีย : 

 

“ผู้ใดมีเสียงกล้าผยาดีเว้าบ่อนแม่น                          ผู้แทนอื่นๆ พร้อมเสียงท่วมแล้วส่วนเอา

เฮาบ่อไปผู้แทนนั้นขันไปแทนก็หากแม่น                   เทียมดั่งผัวแล่นเว้าความถ้อยคำแก้ต่างเมีย”

 

บทบาทของรัฐบาลในสภา เมื่อมีการประชุมพิจารณาเรื่องสำคัญๆ อย่างการบัญญัติกฎหมาย การออกนโยบายต่างๆ ตลอดจนการบริหาราชการแผ่นดิน ขุนพรมประศาสน์ใช้วิธีเปรียบเปรยว่าบทบาทของรัฐบาลในที่นั้นก็เป็นเหมือนคนครัวทำลาบก้อย แล้วเอาไปให้สภาเป็นผู้ช่วยชิมช่วยปรุงรสจนได้ที่ (รสชาติที่ทุกคนพอใจ) จึงค่อยเอาลาบก้อยนั้นไปแจกจ่ายคนในงานเลี้ยงได้กิน : 

 

“รัฐบาลเป็นผู้ไส้สับคัวก้อยลาบ                      แล้วจั่งหามหาบให้สภาได้รสชิม

ยามเมื่อชิมจางจืดให้เอาเกลือลงตื่ม                         จนให้นัวแซบซ้อยดีแล้วจั่งค่อยเอา”

 

ในส่วนนี้ ขุนพรมประศาสน์ยังไม่วายวกกลับไปเปรียบเปรยการทำงานของข้าราชการยุคก่อน ๒๔๗๕ ว่าทำให้ราษฎรต้องอยู่อย่างอดทนกล้ำกลืนเหมือนกิน “แกงส้มขิวขม” (แกงส้มที่ทั้งเหม็นทั้งขม) :   

 

“ส่วนว่าตามคลองเค้าการปกครองแบบเก่า               เจ้าอยู่หัวท่านแต่งตั้งคนใกล้ช่อยพระองค์

บ่อมีวงกำหนดไว้ให้ไผเป็นได้จักขวบ                        ผิหากไปพ้อคนเลี้ยวบ่อซื่อตรง

แสนซิบงการให้ไทยเฮาฮ้อนเดือด                             แสนทุกข์แสนเหือดแห้งบ่อมีได้เปลี่ยนแปลง

อตสาห์กินแกงส้มขิวขมไปตาวาด                             เฝือนฝาดปากบ่อได้แสนแค้นแม่นโก่งคอ

ไผนอ, ยังซิเห็นแบบเค้าว่าแบบเก่ายังดี           คนผู้มึความคึดบ่ออาจเป็นไปได้”

 

สุดท้าย, สิ่งที่เป็นทั้งหมุดหมายและข้อจำกัดในตัว เมื่อต้องการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นยอมรับในหมู่ราษฎรสมัยนั้น ขุนพรมประศาสน์เป็นปัญญาชนผู้หนึ่งที่เห็นพ้องด้วยว่า จะต้องทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ทุกคนต้องร่วมกันปกปักรักษาไว้ ดังที่มีคำกลอนกล่าวไว้ว่า :   

 

“ไผผู้ลบหลู่ล้างเหยียบธรรมนูญ                     บุญบ่อมีชูชักสิ้นซิสูญเสียเศร้า

ควรที่เฮาพี่น้องคอยปุนป้องช่อย                    ไผผู้เฮ็ดถ่อยฮ้ายให้เฮาช่อยสุม  เที่ยวเทอญ”

 

อีกแห่งหนึ่งที่กล่าวทำนองเดียวกันนี้ว่า:

 

“ค่อยอยู่ดีเยอฝูงหมู่เจ้าพี่น้องให้ฮู้ป้องธรรมนูญ                  ยอยกทูนเหนือหัวชั่วกัลป์อย่าเภท์ม้าง”[27]

 

แล้วก็วกกลับมา “ตะเตือนไต” ผู้อ่านเกี่ยวกับระบอบเก่าโดยเปรียบเหมือน “ทางเก่า” นั้น ให้เอา “หนามโพะ” ปกคลุมไว้ อย่าได้โง่งมหวนกลับคืนสู่เส้นทางเดิมไม่งั้นจะโดนหนามทิ่มตำเอาได้ :

 

“ส่วนว่าทางเส้นเค้าทางเก่าเอาหนามโพะ                อย่าได้โง่งมคลำขวากหนามซิตำพื้น”

 

ถึงแม้ว่า “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน” กับ “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” จะเป็นผลงานเพียงจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับผลงานที่มีเป็นอันมากของขุนพรมประศาสน์ แต่ก็คงแล้วว่าผลงานทั้งสองนี้สุดแสนจะคลาสสิค มีเอกลักษณ์การสร้างสรรค์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

หลังขุนพรมประศาสน์ไม่พบกวีท่านใดแต่งกลอนลำแบบนี้ขึ้นมาอีก อาจเพราะการเมืองถูกทำให้เป็นเรื่องเลวร้ายไม่น่าภิรมย์ แตกต่างจากสมัยเมื่อแรกเริ่มอภิวัฒน์ ที่มีการเรียกร้องให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองกันมาก และปัญญาชนจำนวนมากทั้งในเมืองและชนบทต่างก็สนับสนุนคณะราษฎรในส่วนนี้   

น่าสังเกตด้วยว่า ขุนพรมประศาสน์ไม่ได้ใช้คำศัพท์เฉพาะที่ยากเกินเข้าใจสำหรับคนที่ไม่รู้ภาษาอีสาน ใช้คำภาษาไทยกลางผสมปนเปอยู่มาก อาจเพราะนอกจากต้องการสื่อสารกับพี่น้องชาวอีสานแล้ว ขุนพรมประศาสน์อาจยังต้องการสื่อสารกับผู้อ่านที่เป็นคนภาคกลางด้วย จึงใช้ศัพท์กลางๆ ไม่ใช้ศัพท์ภาษาลาวอีสานล้วนๆ ตัวอักษรที่ใช้ก็อักษรไทยกลาง ไม่ใช่ตัวธรรมอีสานที่คนภาคกลางอ่านไม่ออก ทั้งนี้อาจเพราะที่จริงแล้วโดยเนื้อหาทั้งเรื่องการอภิวัฒน์และตัวบทรัฐธรรมนูญล้วนยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับชาวกรุงฯ เวลานั้นด้วยเหมือนกัน

นอกจากกลอนลำที่สละสลวย ไพเราะ และมีความงามทางภาษาอย่างยิ่งแล้ว ผลงานสองชิ้นข้างต้นที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างวิเคราะห์ในที่นี้ อ่านได้อารมณ์ความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่า ขุนพรมประศาสน์เล็งเห็นการณ์ล่วงหน้าว่า การเมืองไทยจะวนเวียนอยู่กับการยื้อยุดกันไปมาระหว่างระบอบใหม่กับระบอบเก่าสืบเนื่องยาวมาอีกจนขุนท่านเสียชีวิตไปแล้วกว่า ๕๗ ปี (พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๖๘) โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะวนเวียนแบบนี้ไปนานอีกกี่ชั่วอายุคน   

ผู้เขียนจึงออกจะเห็นด้วยกับปรีชา พิณทอง[28] ได้กล่าวถึงขุนพรมประศาสน์ว่า ควรได้รับการยกย่องเป็นกวีเอกและนักประพันธ์คนสำคัญของภาคกลางตลอดจนของสังคมไทยโดยรวมด้วย เพราะผลงานมีคุณูปการ นอกจากในแง่การประพันธ์แล้ว ยังเป็นปัญญาชนอีกผู้หนึ่งสร้างสรรค์ผลงานจรรโลงระบอบประชาธิปไตยและสิทธิพลเมือง

อนึ่ง ยังมีปัญญาชนอีกเป็นอันมากที่ถูกลืมจากรัฐและสังคมไทย เพราะเมื่อสังคมไทย “ขวาหัน” ไปสู่ระบอบการเมืองแบบอประชาธิปไตยจากการรัฐประหารวนเวียนซ้ำซาก ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่นำพาเอาผลงานของปัญญาชนเหล่านี้มาเผยแพร่ให้เป็นรับรู้หรือกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของชนชั้นนำอประชาธิปไตย   

การที่หนังสือเล่มโตของหน่วยงานรัฐ (กรมศิลปากรและกระทรวงศึกษาธิการ) ที่มีกำลังงบประมาณอย่างเล่ม “วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดอุบลราชธานี” ไม่ได้ศึกษาและรวบรวมผลงานของขุนพรมประศาสน์ไว้ เป็นเรื่องน่าผิดหวัง เพราะขุนพรมประศาสน์ได้มีส่วนสำคัญอีกผู้หนึ่งที่มีส่วนสร้างสรรค์ทำให้อุบลราชธานีได้ชื่อเป็น “เมืองนักปราชญ์”   

 

(๗) อภิปรายและสรุปส่งท้าย

ความพิเศษของผลงานประพันธ์ ๒ ชิ้นนี้ของขุนพรมประศาสน์ต้องเข้าใจด้วยว่า นี่คือ “กลอนลำ” คือกลอนที่พวกหมอลำสามารถท่องเอาไปแสดงบนเวทีลำเรื่องต่อกลอนได้ ซึ่งเป็นการแสดงหลักที่เป็นที่นิยมชื่นชอบในหมู่คนอีสาน สมัยนั้นความบันเทิงเริงรมย์ยังไม่มีโทรทัศน์ตามบ้านเรือน มีภาพยนตร์แต่ยังไม่แพร่หลาย ไม่ต้องพูดถึงโซเชียลมีเดีย สมัยนั้นใครมีวิทยุทรานซิสเตอร์คือคนมีฐานะค่อนข้างดีและออกจะดูเป็นคนรุ่นใหม่ทันสมัยอยู่กลายๆ

ตามงานบุญประเพณี งานบวช งานแต่ง งานศพ มหรสพต่างๆ หลักๆ เลยในอีสานสมัยนั้นก็คือ “หมอลำ” พวกหมอลำนี้มีบทบาททางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอีสาน ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งกบฏผู้มีบุญอีสานสมัยรัชกาลที่ ๕ พวกหมอลำนี้แหล่ะเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราวเล่าลือเกี่ยวกับการมาของผู้มีบุญและคำทำนายต่างๆ แต่เราไม่อาจทราบได้แล้วว่า กลอนลำของขุนพรมประศาสน์สองเรื่องนี้ได้มีหมอลำเรื่องต่อกลอนของอีสานกี่คน คนไหนบ้าง มาเรียน มาท่องอ่านเอาไปร้องเล่นแพร่หลาย

การแต่งเรื่องราวการอภิวัฒน์และอธิบายรัฐธรรมนูญในรูปกลอนลำ ให้พวกหมอลำเอาไปร้องรำกันได้นี้ นับเป็นความฉลาดหลักแหลมในการเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตยของขุนพรมประศาสน์เป็นอย่างยิ่ง คณะราษฎรสมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ), หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อได้อ่านได้รู้เห็นว่ามีการแต่งกลอนลำอีสานเผยแพร่อุดมการณ์การอภิวัฒน์เช่นนี้ย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง  เพราะเป็นวิธีการที่เข้าถึงผู้คนชาวอีสานได้มาก หรือแม้แต่คนภาคกลางและภาคอื่นก็สามารถอ่านและใช้กลอนลำนี้ได้ด้วย เพราะมีคนลาว ภาษาและวัฒนธรรมเดียวกับคนอีสานอยู่ตามชนบทกันมาก สืบเนื่องจากการกวาดต้อนคนลาวเข้ามาตั้งแต่หลังศึกเจ้าอะนุวงในสมัยรัชกาลที่ ๓[29]

บาหยัน อิ่มสำราญ[30] เคยตั้งข้อสังเกตเล็กๆ แต่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า แท้ที่จริงขุนพรมประศาสน์มีภูมิหลังเป็นนักปกครองท้องถิ่นที่กำเนิดและเติบโตมาภายใต้การปฏิรูปมณฑลลเทศาภิบาลสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา พูดง่ายๆ คือที่จริงขุนพรมประศาสน์ผู้เป็นนักประชาธิปไตยท่านหนึ่งนี้อดีตคือข้าราชการของระบอบเก่ายุคสมบูรณาญาสิทธิราชนั่นเอง ข้อสังเกตนี้สมเหตุสมผลหากพิจารณาประวัติชีวิต บิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านที่เคยปฏิบัติราชการใกล้ชิดสนิทสนมกับกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ๋มณฑลอีสาน แถมอาว (อา) ผู้เป็นที่เคารพยังเป็นข้าราชการที่รับใช้ใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูงคือเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมารพระองค์แรก อีกด้วย     

ประเด็นชวนคิดและน่าทิ้งท้ายไว้ที่นี้ก็คือ เพราะอะไร ทำไมขุนนางข้าราชการท้องถิ่นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชอย่างขุนพรมประศาสน์ ถึงได้มีจิตสำนึกประชาธิปไตยเสรี หันมาสนับสนุนการอภิวัฒน์? โดยที่ไม่ใช่ข้าราชการที่มีโอกาสได้ไปผ่านระบบการศึกษาจากโลกตะวันตกเป็นนักเรียนนอกเหมือนอย่างคณะราษฎร เป็นปัญญาชนที่มีพื้นเพการศึกษามาจากการเรียนในระบบเก่าที่ได้จาก “โรงสกูล” ซึ่งคือ “โรงเรียนวัด” ยุคแรกๆ โดยที่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ขุนพรมประศาสน์ก็ดูมีชีวิตราชการที่รุ่งเรืองอยู่ ถึงเราไม่อาจทราบได้มากนักว่า ชีวิตราชการของขุนพรมประศาสน์ในช่วงโน้นเป็นอย่างไรบ้าง เพราะไม่มีข้อมูลหลักฐาน แต่เราก็ทราบได้ว่าคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับชีวิตของชาวอีสานคนธรรมดาสามัญชนอื่นๆ

ทราบกันแต่เพียงว่าในวัยเด็ก ขุนพรมประศาสน์ได้เคยติดตามบิดาตรวจตรารักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ซึ่งช่วงนั้นอีสานเต็มไปด้วย “กบฏผู้มีบุญ” ถึงแม้ว่าการกบฏครั้งนี้จะจบลงโดยฝ่ายกบฏถูกปราบปรามอย่างรุนแรง แต่ทว่าเรื่องราวของพวกเขากลับอยู่ในความทรงจำของเด็กน้อย จนหล่อหลอมให้เติบใหญ่มามีความคิดทางการเมือง ได้รู้ได้เห็นอะไรมากขึ้น “กบฏผู้มีบุญอีสาน” อาจพ่ายแพ้ แต่ชนะในเรื่องนี้ คือได้สร้างคนอีกรุ่นที่มีจิตสำนึกอยู่ข้างผลประโยชน์คนอีสาน ประกอบกับรับราชการอยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร ทำให้ได้พบเห็นสภาพชีวิตตลอดจนการได้รับความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่เกิดกับญาติพี่น้องชาวอีสานสมัยนั้น

อย่างไรก็ตาม เพราะขุนพรมประศาสน์มีอีกมุมเป็นกวีและนักเขียน นอกจากเป็นนักปกครองและครู อีกทั้งผลงานก็ค่อนข้างบ่งบอกถึงความรับรู้และเข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอีสานเป็นอย่างมาก แม้เป็นข้าราชการ แต่ยังคงหลงเหลือสำนึกคิดในฐานะชาวอีสานผู้หนึ่ง เพราะงั้นสภาพของอีสานที่ถูกละเลยเพิกเฉยปัญหาของทางการในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ความลำบากยากแค้นนานา การถูกดูถูกเหยียดหยามและหมิ่นแคลนจากพวกคนไทยแท้ที่กรุงเทพฯ ล้วนเป็นเรื่องที่คนอย่างขุนพรมประศาสน์ไม่อาจนิ่งดูดาย  ลักษณะนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะกรณีขุนพรมประศาสน์ หากแต่ปัญญาชนอีสานยุคเดียวกันต่างก็เห็นพ้องต้องกัน เหมือนมี “ฉันทามติร่วม” อย่างการเล็งเห็นความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ปัญหาอีสานจึงจะได้รับการแก้ไขหรือให้ความสำคัญจากรัฐส่วนกลาง   

สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็น “ฉันทามติ” (Consensus) ที่มีร่วมกันในหมู่ปัญญาชนอีสานตั้งแต่รุ่นทศวรรษ ๒๔๗๐-๒๕๐๐ ปัญญาชนร่วมยุคเดียวกับขุนพรมประศาสน์ไม่ว่าจะเป็นอ่ำ บุญไทย, เลียง ไชยกาล, เนย สุจิมา, หลวงศักดิ์รณการ, หลวงนาถนิติธาดา, พระยาสารคามคณาภิบาล, ทองม้วน อัตถากร, บุญมา เสริฐศรี, ขุนรักษาธนากร, พระไพศาลเวชกรรม, ขุนเสนาสัสดี, จำลอง ดาวเรือง, เตียง ศิริขันธ์, ทองเปลว ชลภูมิ, ถวิล อุดล, ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นต้น

ท่านเหล่าล้วนแต่เห็นไปในทิศทางเดียวกันนี้ว่าปัญหาอีสานสืบเนื่องมาจากระบอบการปกครอง ดังนั้นเมื่อเกิดการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ปัญญาชนอีสานจึงขานรับระบอบใหม่ บางท่านเข้าสู่วงการเมืองสมัครเป็นผู้แทน (ส.ส.) บางท่านเป็นนักปกครองท้องถิ่นก็ย้ายข้างจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบใหม่ บางท่านเป็นกวี เป็นนักเขียน ก็สร้างผลงานสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างกระตือรือล้นในแบบของตนเอง

ไม่ง่ายนักที่จะสังคมไทยจะเกิดมีข้าราชการที่มีสำนึกประชาธิปไตยเสรีแบบขุนพรมประศาสน์ ทำอย่างไรถึงจะเกิดมีปัญญาชนแบบนี้ขึ้นอีกเยอะๆ ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน...

ที่แน่ๆ จังหวัดอุบลราชธานีควรมีอนุสาวรีย์หรือตั้งชื่อสถานที่เพื่อคนอีสานรุ่นหลังได้รู้จักและเรียนรู้จากคนอย่าง “ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร)” บ้าง ไม่ใช่มีแต่บุคคลสำคัญของระบอบเก่ายุคสมบูรณาญาสิทธิราชดังที่เป็นอยู่ แม้ว่าเราอาจพูดไม่ได้เต็มปากว่าผ่านเลยพ้นจากเรื่องพวกนั้นมานมนานกาเลแล้วก็ตาม...         

 

 

เชิงอรรถ

[1] บางแห่งเขียนว่า “ขุนพรหมประศาสน์” สำหรับในที่นี้จะเขียนตามการลงนามของเจ้าตัวท่านขุนเองคือ “ขุนพรมประศาสน์”

[2] ธวัช ปุณโณทก. “พรหมประศาสน์, รองอำมาตย์โท ขุน” สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม ๙. (กรุงเทพฯ: ธนาคารไทยพาณิชย์ และมูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย, ๒๕๔๒), หน้า ๒๙๕๘-๒๙๖๑.

[3] สาเหตุเปลี่ยนชื่อนี้มีผู้เสนอว่าเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับรัฐนิยมสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ให้คนไทยใช้ชื่อให้เหมาะสมกับเพศ แต่จากผลงาน ๓ ชิ้นที่ตีพิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๔๗๕ จำนวน ๒ ชิ้น กับอีกชิ้นที่ตีพิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๔๗๘ ล้วนระบุนามตัวว่า “วรรณ พรหมกสิกร” ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อจาก “วันทอง” มาเป็น “วรรณ” จึงไม่เกี่ยวกับรัฐนิยมยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ก็เป็นอีกกรณีที่สะท้อนว่ามีการเปลี่ยนชื่อตัวเพื่อให้เหมาะกับเพศมาตั้งแต่ก่อนยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วด้วย

[4] ดูบทบาทของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ กับการปฏิรูปมณฑลอีสานสมัยรัชกาลที่ ๕ ใน ไพฑูรย์ มีกุศล. การปฏิรูปการปกครองมณฑลอีสาน พ.ศ.๒๔๓๖-๒๔๕๓. (กรุงเทพฯ: กรมการฝึกหัดครู, ๒๕๑๗), บทที่ ๓.

[5]ดูการแพร่ข่าวลือดังกล่าวนี้ในอีสานสมัยปฏิรูปรัชกาลที่ ๕ ใน เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖), หน้า ๔๓-๔๕๓; เตช บุนนาค. ขบถ ร.ศ.๑๒๑. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๕๑), หน้า ๑๒-๒๗.

[6] เพราะชาวนามีที่ดินเป็นของตนเองสมัยก่อนจึงมั่งคั่งมาก ในขณะที่พ่อค้าสมัยนั้นเป็นพวกเร่ร่อนเดินทางไปทั่วไม่มีหลักแหล่ง เช่น ชาวกุลา เป็นต้น จึงไม่ค่อยมีฐานะมั่งคั่งเหมือนชาวนา ส่วน “อาชญา” หรือ “อาญา” หรีอ “อัญญา” (พญา/พระยา) ถือเป็นตำแหน่งระดับสูงของข้าราชการท้องถิ่นอีสานสมัยนั้น ซึ่งมีอำนาจควบคุมและเก็บส่วยจากชาวนาอีกต่อหนึ่ง

[7] พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล. “คำนำเรื่องเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน โดยขุนพรมประศาสน์” รวมบทความประวัติศาสตร์. ฉบับที่ ๗ (กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘), หน้า ๖๙.

[8] ธวัช ปุณโณทก. “พรหมประศาสน์, รองอำมาตย์โท ขุน” อ้างแล้ว, หน้า ๒๙๕๘.

[9] ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) และ ปรีชา พิณทอง. นิทานธรรมวรรณกรรมอีสานเรื่องศรีเฉลียว-เสียวสวาสดิ์. (อุบลราชธานี: โรงพิมพ์ศิริธรรม, ๒๕๑๐), หน้า (๔)-(๕).

[10] คณะกรรมการประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดอุบลราชธานี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากรและกระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๔.

[11] ธวัช ปุณโณทก. “พรหมประศาสน์, รองอำมาตย์โท ขุน” อ้างแล้ว, หน้า ๒๙๕๘-๒๙๖๑.

[12] ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร). เสียวสวาสดิ์ คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน. พระนคร: โรงพิมพ์อักษรนิติ บางขุนพรหม, ๒๔๗๕.

[13] เท่าที่สำรวจพบผลงานชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำ ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๔๗๕ โดยโรงพิมพ์อักษรนิติ บางขุนพรหม ครั้งที่ ๒ เมื่อพ.ศ.๒๕๒๘ ตีพิมพ์ในวารสาร “รวมบทความประวัติศาสตร์” ฉบับที่ ๗ (กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘) ครั้งที่ ๓ เมื่อพ.ศ.๒๕๔๓ อยู่ในเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ “หนึ่งศตวรรษ ปรีดี พนมยงค์” ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วันที่ ๒๒-๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ขอให้ดู จารุวรรณ ธรรมวัตร (บก.). คือผู้อภิวัฒน์... ถึงรัฐมนตรีอีสาน ถึงกวีพื้นบ้าน คืออุดมการณ์ประชาธิปไตย. มหาสารคาม: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๔๓.  

[14] พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล. “คำนำเรื่องเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน โดยขุนพรมประศาสน์” รวมบทความประวัติศาสตร์. ฉบับที่ ๗ (กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘), หน้า ๖๕-๗๙.

[15] บาหยัน อิ่มสำราญ. “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” ภาษาและวรรณกรรมสาร (ฉบับภาษาและวรรณกรรมกับสังคม). (นครปฐม: ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๙), หน้า ๒๒๙-๒๖๖.

[16] ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร). เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน. พระนคร: โรงพิมพ์อักษรนิติ บางขุนพรหม, ๒๔๗๕.

[17] ประเด็นนี้ผู้เขียนเคยเสนอไว้ในบทความที่เขียนเกี่ยวกับบทบาทในฐานะปัญญาชนสาธารณะของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ขอให้ดู กำพล จำปาพันธ์.  “๑๒๐ ปี ชาตกาล กุหลาบ สายประดิษฐ์ “แลไปข้างหน้า” กับ “การเมืองของประชาชน” “อีสานพลัดถิ่น” ในงานวรรณกรรมของศรีบูรพา” https://theisaanrecord.co/2025/06/04/isan-diaspora-in-sri-buraphas-literary-works/ (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๘).

[18] พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล. “คำนำเรื่องเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน โดยขุนพรมประศาสน์”, หน้า ๖๕-๗๙.

[19] “มิถุนาวันที่ซาวสี่” หมายถึง วันที่ ๒๔ มิถุนายน (“ซาว” แปลว่า ยี่สิบ)

[20] “ตกสองพันสี่ฮ้อยเจ็ดห้า” หมายถึง พ.ศ.๒๔๗๕ (“ฮ้อย” แปลว่า ร้อย)

[21] ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร). คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยเขษม, ๒๔๗๘.

[22] เรื่องเดียวกัน, ไม่ระบุเลขหน้า.

[23] คือเมืองพนานิคม แขวงอุบลราชธานี (จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน)

[24] หมายถึง ทำอย่างไรก็ย่อมสุดแท้แต่พระองค์

[25] ดูรายละเอียดประเด็นนี้ใน มรกต เจวจินดา ไมยเออร์. ภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๒๖. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปี รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์, ๒๕๔๓.

[26] ประเด็นเรื่องวันสำคัญของชาตินี้ผู้เขียนเคยเสนอไว้ใน กำพล จำปาพันธ์. “วันสำคัญของชาติ: ความหมาย อำนาจ และการเมือง” นิตยสาร Open. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๓๘ (ธันวาคม ๒๕๔๖), หน้า ๑๒-๒๐.

[27] “อย่าเภท์ม้าง” หมายถึง อย่าทุบทำลาย

[28] ปรีชา พิณทอง. “คำชมเชย” ใน ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) และ ปรีชา พิณทอง. นิทานธรรมวรรณกรรมอีสานเรื่องศรีเฉลียว-เสียวสวาสดิ์, หน้า (๔)-(๕).

[29] บทบาทคนลาวในภาคกลางดู บังอร ปิยะพันธุ์. ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: สกว., ๒๕๔๑.

[30] บาหยัน อิ่มสำราญ. “คำกลอนพากษ์อีสาน บรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” ภาษาและวรรณกรรมสาร (ฉบับภาษาและวรรณกรรมกับสังคม), หน้า ๒๒๙-๒๖๖.