ศาสตราจารย์ ดร.มนู อมาตยกุล
ที่มา : TU Digital Collection
ปัจจุบันทุกคนอ้างตนว่ารักประชาธิปไตย แต่มีใครกี่คนที่พูดถึงผู้เสี่ยงชีวิตนำประชาธิปไตยมาให้ประชาชน
ข้าพเจ้ามีความปิติยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญจากคุณสัมผัส พึ่งประดิษฐ์ สาราณียกร คณะกรรมการชมรม ต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์ ให้เขียนเรื่องอันเกี่ยวกับเกียรติประวัติชีวิตและการทำงานของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ บางตอนที่ข้าพเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย มาลงพิมพ์ในหนังสือ วัน “ปรีดี พนมยงค์” พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้าพเจ้ารู้จักท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เป็นครั้งแรก เมื่อท่านสำเร็จการศึกษาเป็น Dr. En Droit ฝ่ายนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) จากมหาวิทยาลัยเมือง Caen มาใหม่ ๆ และมาปาฐกถาที่สามัคยาจารย์สมาคมโรงเรียนสวนกุหลาบเกี่ยวกับเรื่องอาชญากร ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ไปเข้าฟังการบรรยายของท่านในวันนั้น และเมื่อเสร็จการบรรยายแล้วเพื่อน ๆ ของท่าน และผู้เข้าฟังเป็นจำนวนมากก็ได้จับท่านขี่คอเดินเป็นขบวนโห่ร้องแสดงความพอใจชื่นชมยินดีในตัวท่าน ทำให้ข้าพเจ้าซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาอยู่พลอยตื่นเต้นและชื่นชมยินดีไปด้วย
โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม
ข้าพเจ้าได้มารู้จักท่านใกล้ชิดตอนที่ท่านเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม และข้าพเจ้าเข้าเป็นนักเรียนกฎหมายที่นั่น ในขณะเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนกฎหมายอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็เข้าทำงานเป็น รองเวรอยู่ที่กองบัญชาการกระทรวงการคลังด้วย ทำให้ข้าพเจ้าไม่มีเวลาได้เข้าฟัง เล็กเซอร์ที่โรงเรียนเท่าใดนัก ฉะนั้นเมื่อท่านอาจารย์ปรีดีประกาศให้นักเรียนที่สน ใจไปรับการสอนพิเศษวิชากฎหมายปกครองที่บ้านท่าน ณ บ้านป้อมเพ็ชรตอนค่ำ ข้าพเจ้าจึงได้ร่วมกับเพื่อนนักเรียนกฎหมายรุ่นเดียวกันไปรับการอบรมด้วยมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๑๐ กว่าคน ข้าพเจ้ามีความนิยมชมชอบในตัวท่านตั้งแต่ไป ฟังการบรรยายดังกล่าวมาข้างต้นอยู่ก่อนแล้ว จึงสนใจเป็นพิเศษในวิชาที่ท่านสอนนี้ ทำให้ท่านพอใจและได้สนทนาซักถามเกี่ยว กับเรื่องประชาธิปไตยกับท่านลึกซึ้งขึ้น ในสมัยนั้นมีน้อยคนหนักหนาที่จะรู้ว่า “ประชาธิปไตย” คืออะไร กฎหมายปก ครองก็นำมาสอนเป็นครั้งแรกในโรงเรียนกฎหมาย ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าวันหนึ่งท่าน ได้สอนพวกเราซึ่งมีทั้งหญิงและชายทั้งคนจนคนมี ว่าความเป็นอยู่เป็นสิ่งกำหนดจิตสำนึกของมนุษย์และเป็นมาตั้งแต่โบราณกาลทำให้มีกำเนิดแห่งทรรศนะทางสังคม เริ่มจากระบบปฐมสหการมาเป็นระบบทาส จากระบบทาสมาเป็นระบบศักดินา และมาเป็นระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งเรียกว่าสมัยการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม (Industrial revolution) ฉะนั้นพวกนายทุนสมัยใหม่จึงต้องเปลี่ยนระบบศักดินาเพื่อให้ราษฎรมีเสรีภาพ และสิทธิประชาธิปไตยมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างระบบศักดินากับทรรศนะใหม่และความคิดอันเกิดจากการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และได้แพร่ขยายมายังประเทศด้อยพัฒนา รวมทั้งประเทศสยามด้วย ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากผู้ที่เคยศึกษาในยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นพวกหัวสมัยใหม่ ให้เลิกระบบศักดินาเสีย
วันหนึ่งข้าพเจ้าไปรับการอบรมถึงบ้านท่านเร็วหน่อยจึงได้โอกาสกราบเรียนซักถามท่านโดยลำพังว่า การเรียกร้องให้เลิกระบบศักดินานั้นทำได้อย่างไร ในเมื่อประเทศเรามีระบบศักดินาโดยพระบรมราชโองการทรงแต่งตั้งข้าราชการให้มียศบรรดาศักดิ์ และกำหนดศักดินาเท่านั้นเท่านี้ไร่ไว้สำหรับข้าราชการแต่ละชั้นลดหลั่นกันไป และพระบรมราชโองการก็ถือเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์ นอกจากนั้นพวกที่ไปได้รับการศึกษาอบรมในยุโรปอเมริกาก็เป็นลูกหลานว่านเครือศักดินากันโดยมาก
ท่านมองหน้าข้าพเจ้าแล้วยิ้มตอบว่าคุณเกิดแล้วหรือยังเมื่อ รศ. ๑๓๐ ในรัชกาลที่ ๖ ก็ได้มีการเรียกร้องจากพวกก้าวหน้า แต่ไม่สำเร็จจึงต้องรับโทษไป บุคคลในวรรณะเก่าไม่ใช่จะต่อสู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมสมัยใหม่เสมอไป บางคนเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้า มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมของสังคมเหนือกว่าประโยชน์ของวรรณะ
ข้าพเจ้าพอใจและยอมรับความจริงที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาให้อรรถาธิบายให้เห็นความเป็นไปได้ของกำเนิดประชาธิปไตยในประเทศเรา และการพยายามโดยเสี่ยงต่อการถูกลงโทษอย่างมหันต์เพื่อถ่ายอำนาจปกครองบ้านเมืองจากพวกศักดินาให้มาอยู่กับประชาชนนั้น ก็ได้เคยเกิดมาแล้วตั้งแต่ข้าพเจ้าเพิ่งเกิด ข้าพเจ้ามีความประทับใจมากที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า “บุคคลในวรรณะเก่าที่มีความคิดก้าวหน้า เห็นประโยชน์ส่วนรวมของสังคมเหนือประโยชน์ของวรรณะก็มี” เพราะว่าข้าพเจ้าก็อยู่ในพวกวรรณะเก่า บิดาข้าพเจ้ามีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ได้ทุนระพี่ไปเรียนที่อังกฤษ กลับมาเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม และมารดาของข้าพเจ้าก็เป็นข้าหลวงรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระพันปีหลวงในรัชกาลที่ ๕ ฉะนั้นการอยู่ในกำเนิดของวรรณะเก่าก็คงไม่ปิดทางที่จะไม่ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าอยู่ในพวกก้าวหน้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของสังคมเหนือประโยชน์ของวรรณะกับเขาบ้าง
ข้าพเจ้านึกเฉลียวใจอยู่ไม่น้อยในการที่ได้พูดคุยกับท่านอาจารย์ว่าท่านอาจารย์คงจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะนำประเทศชาติไปสู่การถ่ายอำนาจจากพวกศักดินาวรรณะเก่าไปสู่ประชาชน หรือนัยหนึ่งคือการนำระบบประชาธิปไตยมาสู่ ประเทศสยาม แต่ก็ไม่กล้าถามท่านและคิดว่าถึงถามท่านก็คงจะไม่บอกเด็กอย่างข้าพเจ้า แต่ก็แสดงให้ท่านเห็นว่าข้าพเจ้านิยมตัวท่านที่ยึดถือคติธรรมที่จะนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางการเมืองให้เท่าเทียมประเทศอื่น และสนใจในคำสอนกฎหมายของท่านมาก
ข้าพเจ้าขอย้อนกล่าวไปถึงสมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่โรงเรียนเทพศิรินทร์นิดหน่อย เพื่อให้ทราบว่าข้าพเจ้ารู้เบาะแสของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากใครอย่างไร คือในสมัยเป็นนักเรียนสามัญข้าพเจ้าได้ริเป็นนักการพนันแทงม้า ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดกับนายเปสตันยี (Pestonji) เจ้า มือรับแทงม้า (Bookmaker) ซึ่งมีชื่อโด่งดังเป็นที่รู้จักและนับถือของนักการพนันทั่วไป ท่านเป็นเพื่อนเล่นเทนนิส บิลเลียดสโมสรสีลมกับบิดาของข้าพเจ้า และท่านรักเอ็นดูข้าพเจ้าในฐานะเป็นเด็กลูกของเพื่อน ทุกครั้งที่มีแข่งม้าไม่ว่าที่สนามสปอร์ตคลับหรือสนามราชตฤณมัย ท่านจะต้องเอาข้าพเจ้าติดไปด้วยเสมอและสอนให้ข้าพเจ้าแทงม้า และเขย่าขลุกขลิกลูกเต๋าเป็นเจ้ามือแทนท่านบางครั้ง ท่านเคยใช้ความเป็นเด็กของข้าพเจ้าล่อพระยานนทิเสนเจ้ามือลอตเตอรี่คนแรกในประเทศไทยแทงขลุกขลิกที่ข้าพเจ้าเขย่ากินพระยานนที่เสนหลายหมื่นบาทซึ่งมากทีเดียวในสมัยนั้น วันพุธวันเสาร์ข้าพเจ้าก็ต้องลาโรงเรียนครึ่งวันบ่อย ๆ เวลาข้าพเจ้าลาครึ่งวันข้าพเจ้าก็ต้องเข้าไปลาเจ้าคุณจรัลชวนะเพท อาจารย์ใหญ่ผู้ปกครอง และท่านก็ให้อนุญาตข้าพเจ้าทุกที เพราะข้าพเจ้าเป็นเด็กดี สอบซ้อมสอบไล่เป็นที่ ๑ เสมอ ท่านก็ไม่คิดว่าข้าพเจ้าจะเหลวไหลหัดไปเล่นการพนันและความจริงก็เป็นเช่นท่านเชื่อ ข้าพเจ้าสนใจเพียงไปหาความกว้างขวางรอบรู้ คบค้าสมาคมกับผู้ใหญ่ที่เขาจะให้ความเฉลียวฉลาดแก่เราได้ และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ติดการพนัน พอโตหน่อยก็เลิกและไม่ไปสนามม้าอีกเลยจนบัดนี้ ข้าพเจ้ารู้จักผู้ใหญ่หลายคนในสนามม้าคนหนึ่งในจำนวนนี้ก็มี พล.ต.ชัย ประทีปเสน ตอนนั้นท่านเพิ่งจบ ร.ร. นายร้อยทหารบก ท่านต้องมาถามข้าพเจ้าเสมอว่าจะแทงม้าตัวไหนดี เพราะท่านรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กคนสนิทของนายเปสตัน ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่า “ป่าเปท” (PaPet) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีม้าสั่งมาจากเมืองนอกตัวใหม่ ๆ เข้าแข่งด้วยเพราะ “ป่าเปท” ของข้าพเจ้ามีประวัติม้าทุกตัว และข้าพเจ้าก็ถามเขาได้ ข้าพเจ้าสนิทสนมกับ พล.ต. ชัย ประทีปเสน มาตั้งแต่เป็นนายร้อยจนเป็นนายพันนายพล และไปมาหาสู่กับท่านที่กรมทหารม้าและยานเกราะบางซื่อบ่อย ๆ ท่านเป็นลูกน้องคนสนิทของจอมพล ป. พิบูลสงครามและในการพูดคุยกันก็ได้เบาะแสจากท่านนี้แหละว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง การปกครองประมาณเมื่อใดอีกทางหนึ่ง
พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะปฏิวัติ
ในตอนเช้ามืดราวดี ๕ ของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ข้าพเจ้าได้ ปลุกอาว์ของข้าพเจ้า (นายอุดม อมาตยกุล) ซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน ชวนให้ขับรถ Clyno เลขทะเบียน ช.ม. ๒๒ ของบิดาข้าพเจ้า ไปรัปทานเลือดหมูเซี่ยงจี๊ที่ตลาดเก่ากัน พอออกรถไปได้หน่อย ข้าพเจ้าก็บอกว่ายังเช้ามากไป ขอให้ขับรถไปกินอากาศแถวพระบรมรูปทรงม้าก่อนเถอะ อาว์ข้าพเจ้าก็ว่าดีเหมือนกันไปก็ไป แล้วก็ขับรถไปยังพระบรมรูปทรงม้า ข้าพเจ้าเห็นทหารตั้งแถวอยู่ประตูหน้า พระที่นั่งอนันตสมาคมก็แน่ใจว่ามีการยึดอำนาจการปกครองจริง ข้าพเจ้าบอกกับอาว์ของข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะขอเข้าไปพบเพื่อนข้างในพระที่นั่งคงจะนานหน่อย ขอให้อาว์ของข้าพเจ้ากลับไปก่อนโดยไม่ได้บอกอะไรอีกเลยและไม่ได้ขอให้กราบเรียนคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าว่าอย่างไรด้วย อาว์ของข้าพเจ้าก็ยอมขับรถกลับบ้าน ข้าพเจ้าขออนุญาตทหารยามแล้วก็เข้าไปพบกับท่านอาจารย์ปรีดี รายงานตัวต่อท่านว่าข้าพเจ้ามาขอร่วมรับใช้ชาติในการก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้กับอาจารย์ด้วยคนหนึ่ง ท่านมองหน้าข้าพเจ้าด้วยความแปลกใจว่าข้าพเจ้าทราบได้อย่างไร เพราะในบรรดาพวกที่ไปรับการอบรมที่บ้านท่านก็ไม่มีใครสักคนเดียวที่เข้ามาร่วมการก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ แต่แล้วท่านก็บอกว่าท่านจะพาไปรายงานตัวต่อ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะปฏิวัติ ข้าพเจ้าก็เดินตามท่านไปรายงานตัวต่อ พ.อ. พระยาพหลฯ แล้วท่านอาจารย์ปรีดีก็พาข้าพเจ้าเข้าไปมอบตัวกับนายยล สมานนท์ ให้ทำงานฝ่ายธุรการของกองกลางซึ่งนายยล สมานนท์ เป็นหัวหน้าอยู่ ข้าพเจ้าต้องฝากเจ้าหน้าที่ในพระที่นั่งนั้นที่ออกไปข้างนอก แวะซื้อสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ให้ข้าพเจ้า เพราะจะต้องค้างอยู่ที่นั่นจนกว่าการยึดอำนาจจะสำเร็จลง ที่นั่นข้าพเจ้าพบคนรู้ จักเพียง ๒-๓ คนเท่านั้นคือ คุณจรูญ สืบแสง คุณดิเรก ชัยนาม คุณสงวน ทองประเสริฐ ต่อมาจึงได้รู้จักคนอื่น ๆ อีก และอีก ๓ วันต่อมาในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๗๕ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือจึงได้เป็นผู้เชิญรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยให้พวกที่ร่วมก่อการด้วยกันรวมทั้งตัวข้าพเจ้าด้วยก็ได้มาดื่มแชมเปญฉลองกัน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมนั้น ภายหลังจึงได้มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้ในวันที่ ๑๐ ธันวาคมปีนั้น และได้ถือเอาวันนั้นเป็นวันรัฐธรรมนูญตลอดมา
ต่อมาเมื่อกองบัญชาการคณะปฏิวัติย้ายเข้าไปอยู่ในวังปารุสกวัน ภาระหน้าที่ฝ่ายธุรการพร้อมกับการยึดอำนาจการปกครองได้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าจึงได้ไปลาท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เพื่อออกไปศึกษากฎหมายต่อไปให้สำเร็จ ในปีต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๖ โรงเรียนกฎหมายก็ย้ายไปสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนักเรียนกฎหมายรุ่นเดียวที่ต้องเรียน ๓ ภาค ข้าพเจ้าสอบไล่จบภาค ๓ และได้เป็นเนติบัณฑิตรุ่น ๒๔๗๖ นั้น หลังจากนั้นท่านอาจารย์ปรีดีจึงจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น
ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ข้าพเจ้าได้รับทุนเล่าเรียนไปศึกษาวิชาต่อในยุโรป ท่านอาจารย์ปรีดีกำลังจะเดินทางไปยุโรปเพื่อเจรจาลดดอกเบี้ยเงินกู้ของรัฐบาล และทาบทามนานาประเทศขอแก้ไขสนธิสัญญาทางไมตรีที่ยังไม่มีความเสมอภาค ให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ท่านอาจารย์ปรีดีจึงเอาตัวข้าพเจ้าทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของท่าน เราออกเดินทางโดยรถไฟจากสถานีหัวลำโพงเพื่อไปลงเรือเดินสมุทรอิตาเลียนชื่อ “คองท์แวร์เค” ที่สิงคโปร์ ครั้งนั้นยังไม่มีการเดินทางโดยสายการบินเหมือนสมัยนี้ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าจะได้เดินทางไปต่างประเทศ รู้สึกตื่นเต้น มีคนไปส่งมากมายล้นหลามสถานีหัวลำโพง ข้าราชการ และมิตรสหายของท่านอาจารย์เยอะแยะไปหมด และญาติสนิทมิตรสหายของข้าพเจ้าก็ไปส่งและนำพวงมาลัยไปสรวมให้ล้นคอ พอไปถึงสิงคโปร์ หลวงวุฒิ สารเนติณัติ กงสุลใหญ่ประจำสิงคโปร์ พร้อมด้วยภรรยาซึ่งเป็นญาติชั้นพี่สาวของข้าพเจ้าในสกุลเดียวกันก็มารับท่านอาจารย์และข้าพเจ้าไปพักสถานกงสุล วันต่อมาเราจึงออกเดินทางโดยเรือที่กล่าวชื่อมาแล้วออกจากสิงคโปร์บ่ายหน้าไป เมืองเวนิส (Venice) ที่อิตาลี มีคนไทยร่วมโดยสารไปด้วย ๒ คนคือ พระเรียมวิรัชพากย์ซึ่งจะไปรับหน้าที่อัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส และนายถวิล คูตระกูล ซึ่งจะไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์โดยทุนส่วนตัว การเดินทางกินเวลาถึงเดือนครึ่ง เมืองแรกที่เรือเข้าเทียบท่าในประเทศอิตาลีคือเมืองบรินดิซิ (Brindisi) ท่านอาจารย์ก็ได้ทราบข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ทำให้ท่านตกใจมากคือข่าวปลงพระชนม์ของเสด็จในกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ ประธานผู้สำเร็จราชการ แต่ตามโปรแกรมของท่าน ท่านก็จะต้องแวะที่ Venice และเดินทางต่อไปยังเมือง Trieste เพื่อเยี่ยมอู่ต่อเรือรบของประเทศไทย แลมีนายทหารเรือคอยต้อนรับพาดูการต่อเรืออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อถึงอิตาลีแล้ว นายถวิลก็แยกทางไปสวิตเซอร์แลนด์ คงเหลือแต่เรา ๓ คน ถึง Trieste ท่านก็ขอเลื่อนเวลาที่จะเข้าพบมุส โสลินี ประมุขของประเทศอิตาลีออกไป แล้วก็รีบเดินทางโดยรถไฟไปยัง โลซานน์เพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลตลอดจนสมเด็จ พระอนุชา (พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน) และสมเด็จพระบรมราชชนนี ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าทั้ง ๓ พระองค์ด้วยเป็นครั้งแรก ตอนนั้นพระองค์ท่าน (รัชกาลที่ ๘ และที่ ๙) ยังทรงพระเยาว์มากทั้ง ๒ พระองค์ หลวงสิริราชไมตรี เลขานุการในพระองค์ได้เอาโทรเลขเรื่องประธานผู้สำเร็จราชการถูกปลงพระชนม์ชีพมาให้ท่านอาจารย์ดู แต่ก็ไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก ต่อเมื่อเสร็จธุระจากการเข้าเฝ้าทั้งสามพระองค์แล้วท่านอาจารย์จึงเดินทางมากรุงปารีสและได้ ทราบรายละเอียดจากสถานทูต ณ กรุงปารีสว่าเสด็จในกรมหมื่นอนุวัตรฯ ปลงพระชนม์เองโดยใช้ปืนพกสั้นยิงเข้าไปในพระโอษฐ์และเรื่องอยู่ระหว่างสอบสวนของกรมตำรวจ
ต่อมาในวันที่ ๒๐ เดือนเดียวกันคณะรัฐมนตรีจึงเสนอแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการใหม่ประกอบด้วย
พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา เป็นประธาน
เจ้าพระยายมราช เป็นผู้สำเร็จราชการ
เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน เป็นผู้สำเร็จราชการ
งานในหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของท่านอาจารย์ปรีดีที่ข้าพเจ้าทำอยู่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากดูแลจัดกระเป๋าเดินทาง จัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ท่านต้องใช้ตามทางประจำวัน เขียนจดหมายถึงผู้แทนราษฎรและมิตรสหายของท่านในระหว่างเดินทางซึ่งต้องใช้มือเขียนเพราะเราไม่มีเครื่องพิมพ์ดีดติดตัวไปใช้ ถ้าเป็นเรื่องเขียนโปสการ์ดส่งความระลึกถึงธรรมดา ท่านก็ให้ข้าพเจ้าเขียนให้ท่านลงนาม ถ้ามีเรื่องพิเศษท่านก็จะบอกเรื่องให้ข้าพเจ้าเขียน ข้าพเจ้าก็รักษาความลับอย่างดีที่สุด ท่านพักอยู่ปารีสนานหน่อย ทางสถานทูตจัดให้ตัวท่านอาจารย์นั้นอยู่ห้องใหญ่ชั้นล่าง ข้าพเจ้าอยู่ห้องชั้น ๓ ข้าพเจ้าเคยรู้จักแต่ชีวิตเมืองไทย ฉะนั้นรัปทานครัวซอง (Croissant) กับกาแฟแล้วก็ลงมานั่งเฝ้าหน้าห้องท่าน เพื่อคอยดูแลจัดเสื้อผ้าให้ท่านและรับใช้ท่าน ส่วนเรื่องจดหมายตอนนี้ท่านก็ใช้สถานทูตพิมพ์เฉพาะที่ไม่เป็นความลับ ที่เป็นความลับท่านก็ยังใช้ข้าพเจ้าทำอยู่ กว่าท่านจะตื่นก็ราว ๑๑ โมงเช้า หลายวันติด ๆ กัน จึงรู้ว่าในยุโรปเขานอนดึกตื่นสายกันโดยมาก
มีอยู่ตอนหนึ่งระหว่างที่อยู่ที่ปารีสมีเรื่องข้อพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเข้าสู่ระเบียบวาระของสันนิบาตชาติ ครั้งนั้นยังไม่มีองค์การสหประชาชาติ สันนิบาตชาติ (League of Nations) ยังทำหน้าที่รักษาสันติภาพของโลกอยู่ ท่านอาจารย์ก็ไปเข้าประชุมสันนิบาตชาติในคณะผู้แทนไทยด้วย ฝ่ายยุโรปและอเมริกันก็รวมหัวกันประณามญี่ปุ่นว่าเข้าไปรังแกครอบงำเกาหลี และชักชวนให้ประเทศสมาชิกอื่นร่วมประณามด้วย แต่ท่านอาจารย์ปรีดีเห็นว่าญี่ปุ่นเป็นชาติเอเชียด้วยกันจึงไม่ร่วมมือด้วย และได้งดเว้นออกเสียง (abstention) ทำให้ญี่ปุ่นขอบอกขอบใจและซาบซึ้งในมิตรภาพที่ตั้งอยู่บนรากฐานของการเป็นประเทศในทวีปเอเชียด้วยกันเป็นอันมาก
เมื่อใกล้จะถึงเวลาเปิดเทอม ข้าพเจ้าก็ได้กราบลาท่านอาจารย์เพื่อไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมันนี ตอนจากกันท่านอาจารย์และข้าพเจ้าได้กอดจูบร่ำลากันตามธรรมเนียมสากลซึ่งเป็นการแสดงความรักใคร่สนิทสนมกัน ข้าพเจ้าเรียนรัฐศาสตร์และการหนังสือพิมพ์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมันนี จบก็พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก่อนประกาศสงคราม นายบุณยรักษ์ เจริญชัย ซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ฝรั่งเศสได้มาพักอยู่ที่แฟลตของข้าพเจ้าที่ Charlottenburg กรุงเบอร์ลิน ในค่ำก่อนวันประกาศสงครามข้าพเจ้าได้จัดเลี้ยงวันเกิดให้นาย อังกาบ กนิษฐเสน ซึ่งเป็นหลานของท่านปรีดีและเป็นเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า มีเพื่อน ๆ หลายคนมาร่วมงานรวมทั้งนายบุณยรักษ์ และ ดร. ถวิล คูตระกูล ซึ่งเดินทางมายุโรปโดยเรือคองต์แวร์เดด้วยกัน ดังข้าพเจ้าได้กล่าวถึงในตอนต้น มาแล้วครั้งหนึ่ง เรารู้กันอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดสงครามจึงฉลองกันจนถึงเช้ามืด แล้วข้าพเจ้ากับนายบุณยรักษ์และ ดร. ถวิล ก็ชวนกันจับรถไฟเดินทางจากกรุงเบอร์ลินไปเมืองโลซานน์ (Lausanne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รถไฟขบวนนั้นแน่นเอี้ยด เราต้องยืนไปตลอดทาง พอถึงสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ยินประกาศสงครามทางวิทยุกระจายเสียง จากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ข้าพเจ้าไปเข้าเรียนทางเศรษฐศาสตร์และการคลังต่อที่มหาวิทยาลัยกรุง Bern อีก สงครามยืดเยื้อและร้ายแรง กระจายกว้างออกไปทุกที ถึงตอนที่เยอรมันนีประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต ทางที่นักเรียนจะกลับประเทศได้เหลือทางเดียว คือทางผ่านสหภาพโซเวียตไปญี่ปุ่น ข้าพเจ้าสอบได้ Lic. rer. Pol. อยู่ก่อน แล้วจึงรีบทำวิทยานิพนธ์และสอบ Dr. rer. Pol. ได้ก่อนที่รัฐบาลไทยจะได้โทรเลขเรียกให้ข้าพเจ้ากลับทันที รัฐบาลได้จัดให้ข้าพเจ้าพร้อมด้วยนายชอบ คงคา กุล นายเผดิม บุนนาค และน้องชายรวม 4 คน เดินทางกลับโดยรถไฟสายไซบีเรียซึ่งเป็นรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก เดินทางอยู่ในรถไฟถึง ๑๖ วัน แล้ว ถ่ายรถไฟลงเรือข้ามมาติดอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกหลายเดือนเพราะหาเรือเดินทางกลับประ เทศไทยยังไม่ได้ ญี่ปุ่นก็กำลังจะเข้าทำสงครามโลก ในที่สุดรัฐบาลสามารถจัดให้ นักเรียนไทยจำนวนกว่าสิบคนลงเรือญี่ปุ่น นอนกันกับพื้นเรือทั้งหญิงชายโดยไม่มีห้องหับ ข้าพเจ้าบังเอิญเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ไม่มีหมอจะผ่าตัด เลยต้องรอจนถึงกรุงเทพฯ แต่ก็เคราะห์ดีที่การอักเสบนั้นยังไม่รุนแรงถึงกับเป็นหนองไส้แตก พอถึงบ้านก็รีบไปรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนวันผ่าตัดญี่ปุ่นก็เข้าทำสงครามร่วมกับฝ่ายอักษะ และยกพลขึ้นบกตอนกลางคืนของวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๔ ถึงตอนเช้ามืดของวันที่ 4 ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามจุดต่าง ๆ รวม ๗ จุดคือ บางปู ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี สมุทรปราการ และฝ่ายไทยก็กำลังยิงต่อสู้ ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวนี้ด้วย และเป็นข่าวที่กระทบกระเทือนใจข้าพเจ้าอย่างรุนแรงทำให้ครุ่นคิดว่ารัฐบาลจะต้องทำอย่างหนึ่ง อย่างใดเป็นการต่อต้าน และข้าพเจ้าจะต้องขอร่วมอุทิศชีวิตเป็นชาติพลีด้วย แน่นอน แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังป่วยและกำลังจะรับการผ่าตัดอยู่แล้วจึงยังทำอะไรไม่ได้ หลังจากฟื้นจากการวางยาสลบแล้ว พล.อ.ท. นายแพทย์ตระกูล ถาวรเวช แพทย์ผู้ผ่าตัด และนายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน เพื่อนสนิทเรียนหนังสือชั้นเดียวกันมาตั้งแต่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ ซึ่งเป็นธุระดูแลข้าพเจ้าอยู่ด้วยได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเมื่อยังอยู่ในภวังค์ของฤทธิ์ยาสลบแต่เริ่มรู้สึกตัวบ้าง ข้าพเจ้าร้องให้ขอไปรบกับทหารญี่ปุ่น
พอข้าพเจ้าหายแล้วก็ได้ไปรายงานตัวต่อท่านอาจารย์ปรีดีซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่ แต่กำลังจะต้องออกจากคณะรัฐมนตรีไปรับตำแหน่งใหม่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในตำแหน่งของเจ้าพระยายมราชซึ่งได้ถึงแก่อสัญกรรม ข้าพเจ้าของดเว้นไม่กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องย้ายจากรัฐมนตรีคลังมารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวแต่เพียงว่าท่านอาจารย์ปรีดีเต็มใจรับตำแหน่งนี้ เนื่องจากต้องการให้พ้นจากการอยู่ในคณะรัฐบาลที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น โดยมีจุดประสงค์ในใจที่จะตั้งในใจที่จะตั้ง “ขบวนการเสรีไทย” ต่อต้านญี่ปุ่นเป็นการลับในกาลต่อไป ซึ่งท่านอาจารย์ปรีดีก็ได้ให้ความไว้วางใจแก่ข้าพเจ้าให้เข้าร่วมงานเสรีไทยนี้ด้วยในสายงานของท่านรัฐมนตรีทวี ตะเวทิกุล โดยให้ข้าพเจ้ามีหน้าที่สร้างกุญแจรหัสถอดและเข้ารหัสความลับติดต่อผ่านหลวงอรรถกิติกำจร อัครราชทูตประจำสวีเดน ซึ่งเป็นน้องชายของท่านปรีดีเพื่อยื่นให้มาดามโคลันโตอัครราชทูตสหภาพโซเวียตประจำสวีเดน ซึ่งจะส่งตรงไปให้รัฐบาลสหภาพโซเวียต และบางเรื่องก็ผ่านหลวงอรรถกิติกำจรติดต่อไปยังรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าได้ร่วมทำงานเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่นจนถึงวันสุดท้ายที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม โดยภายหลังมีนายกำจาย ทิณพงษ์ มาช่วยพิมพ์และเผาเอกสาร ทุกค่าที่กระทรวงการต่างประเทศ สมปรารถนาที่ข้าพเจ้าได้เพ้อออกมาเมื่อคลายจากฤทธิ์ยาสลบที่ศิริราชพยาบาลตอนรับการผ่าตัดไส้ติ่ง ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
ข้าพเจ้าขอย้อนกลับมากล่าวต่อจากการที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปรายงานตัวต่อ ท่านอาจารย์ปรีดีก่อนที่ท่านจะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า ท่านได้ส่งข้าพเจ้าไปรับตำแหน่งงานหัวหน้าแผนกภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากรมสรรพากร ข้าพเจ้าไม่ใคร่ชอบงานนี้เพราะเป็นงานที่หมิ่นเหม่ต่อการทุจริตกิน สินบน ไม่ใช่ข้าพเจ้าไม่ไว้ใจตนเอง แต่ข้าพเจ้ากลัวความมัวหมองจากผู้ร่วมงานที่ทุจริต ข้าพเจ้าจะขอไปอยู่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ท่านอาจารย์ปรีดีก็ยืนยันให้ไปอยู่กรมสรรพากรเพื่อช่วยแก้ไขปรับปรุงเรื่องภาษีเงินได้ซึ่งเป็นภาษีค่อนข้างใหม่ในตอนนั้นข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับ ม.จ. วิมวาทิตย์ทรงเป็นอธิบดีกรมสรรพากรในตอนนั้นท่านเป็นเจ้านายที่น่ารักน่าเคารพมากที่สุดพระองค์หนึ่ง เป็นหัวสมัยใหม่ ข้าพเจ้าได้รับการบรรจุตำแหน่งให้เป็นข้าราชการพลเรือนชั้นโทและตีราคาโดย ก.พ. ให้ได้รับเงินเดือน ๆ ละ ๒๖๐ บาท ซึ่งเป็นขั้นที่สูงสำหรับคนเข้าใหม่ เพราะข้าพเจ้าได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยเยอรมันและสวิสส์ ชั้นดุษฎีบัณฑิต ๒ ปริญญาและเนติบัณฑิตไทยอีกด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับเงินเดือนอยู่เป็นเวลาถึง ๙ เดือน โดยท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี สั่งระงับ เนื่องจากข้าพเจ้าขัดรัฐนิยม โดยข้าพเจ้ามีชื่อ “ขวัญใจ” เป็นชื่อผู้หญิงจะต้องให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนชื่อก่อน ข้าพเจ้าไม่ยอมเปลี่ยนเพราะเป็นชื่อที่สมเด็จพระพันปีหลวงในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้และได้รับพระราชทานเหรียญห้อยคอทองคำลงยาเป็นตัวอักษร ส.พ. (เสาวภาผ่องศรี) การเปลี่ยนย่อมเป็น การหมิ่นต่อพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง ม.จ. วิมวาทิตย์ได้ทรงพระกรุณาวิ่งเต้นเจรจากับท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม เอง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ข้าพเจ้าจึงได้ไปเรียนปรึกษาท่านอาจารย์ปรีดี ท่านก็แนะนำให้เปลี่ยนเพราะเป็นการขัดกับ “รัฐนิยม” ซึ่งเป็นเสมือนกฎหมาย และท่านได้เอาส่วนหนึ่งของราชทินนามของท่านตั้งชื่อให้แทนว่า “มนู” ข้าพเจ้าจึงได้รับเงินเดือนในเดือนเกือบจะสุดท้ายของปี ตอนต่อ ๆ มาข้าพเจ้าได้เป็นอาจารย์พิเศษสอนกฎหมายการคลัง ในคณะบัญชีพาณิชย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย จึงพอมีเงินใช้บ้างนิดหน่อยและข้าพเจ้าก็กินอยู่กับบิดามารดา พอสิ้นปีข้าพเจ้าก็ย้ายมาอยู่กระทรวงการต่างประเทศโดย พล.ต. ชัย ประทีปเสน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการขณะนั้นได้เป็นผู้ขอย้ายข้าพเจ้ามาสังกัดกระทรวงนี้ เสด็จในกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ได้ขอให้ข้าพเจ้าทำงานเป็นเลขานุการของพระองค์ท่าน แทน ม.จ.วงศานุวัตร เทวกุล อันเป็นตำแหน่งแรกที่ข้าพเจ้าได้รับในกระทรวงนี้
รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์
ในระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการในกรมสรรพากร ๑ ปี ข้าพเจ้าได้ยึด มั่นอยู่ในความประสงค์ของท่านอาจารย์ที่เคารพรักของข้าพเจ้าให้ช่วยแก้ไขปรับปรุงภาษีเงินได้เพราะยังใหม่และมีความบกพร่องอยู่มาก ข้าพเจ้าตรวจสอบพบว่า ใบประเมินภาษีที่เรียกว่า ภ.ง.ด. ๔ นั้น ข้าราชการผู้น้อยรับจากผู้ยื่นเสียภาษี แล้วก็เอามาตรวจลงทะเบียน แล้วคำนวณประเมินภาษีลวก ๆ ตามชอบใจ นำออกไปนอกกรมติดต่อกับผู้ยื่นเสียภาษีและขู่เรียกค่าปรับจากการยื่นรายการไม่ตรงกับความจริง บางรายก็แนะนำพ่อค้าผู้ยื่นเสียภาษีให้มีบัญชี ๒ เล่ม เล่มจริงเล่มหนึ่งและบัญชีสำหรับให้เจ้าหน้าที่ภาษีตรวจอีกเล่มหนึ่ง ลงรายการไม่ตรงกันและผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง ข้าพเจ้าจึงทูลขอห้องเก็บ ภ.ง.ด. ๔ ต่อ ท่านอธิบดี ๑ ห้อง มีกุญแจที่จะต้องไข ๒ ดอกพร้อมกัน ข้าพเจ้าเก็บไว้ ๑ ดอก และเจ้าหน้าที่รักษา ภ.ง.ด. ๙ เก็บไว้ ๑ ดอก และวางระเบียบไว้ว่า
๑. ใบประเมินภาษี ภ.ง.ด. ๔ จะต้องมีคู่ฉบับมีข้อความตรงกัน เจ้าหน้าที่รับแล้วจะต้องลงทะเบียนรับแล้วแจกเจ้าหน้าที่ประเมินภาษี คำนวณเรียกเก็บภาษี ส่วนคู่ฉบับนำเก็บในห้องเก็บ ภ.ง.ด. ๙ แยกเรียงตามตัวอักษรชื่อผู้ยื่นเพื่อไว้ใช้ยันป้องกันการทุจริตแก้ไขรายการ
๒. ห้ามนำ ภ.ง.ด. ๙ ออกนอกกรม
๓. เมื่อทำการประเมินเสร็จแล้วให้เสนอหัวหน้าเรียกบัญชีมาตรวจสอบโดยละเอียด ลงโทษปรับใหม่หรือฟ้องร้องผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
ข้าพเจ้าพบว่ากรมไม่มีระบบการตรวจสอบว่าผู้มีหน้าที่ยื่นประเมินเสียภาษีเงินได้ตาม ภ.ง.ด. ๙ ได้ยื่น ภ.ง.ด. ๔ ครบหมดทุกคนหรือไม่ ข้าพเจ้าจึงได้สั่งให้เอาทำเนียบรายชื่อคณะรัฐบาลผู้แทนราษฎร ข้าราชการทหารและพลเรือนมาตรวจสอบกับบัญชีผู้ยื่น ภ.ง.ด. ๙ ว่ามีใครบ้างที่มีเงินเดือน เข้าคั่นที่จะต้องเสียภาษีเงินได้แล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่น ภ.ง.ด. ๔ ก็จะต้องถูกเชิญตัวมาเก็บภาษีและปรับย้อนหลัง ปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดเป็นจำนวนมากแม้รัฐมนตรีก็ มีอยู่ ๒ คน ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการระบุชื่อ ที่ไม่เคยยื่น ภ.ง.ด. ๙ เลยและได้ เชิญให้มายื่นให้ถูกต้องและเรียกค่าปรับย้อนหลังด้วย นอกจากนั้นยังได้เรียกผู้มีอาชีพค้าขาย และทำธุรกิจมาสอบเป็นอาชีพ ๆ ที่ละกลุ่มใหญ่ ๆ แน่นกรมไปหมด เช่น พวกห้างร้านขายเครื่องเพชร พลอย และทองคำพวกร้านขายผ้า ฯลฯ
ในสมัยนั้นพวกที่มีอาชีพอิสระเช่น หมอ ทนายความ ฯลฯ นั้นเขาไม่ ยื่น ภ.ง.ด. ๙ แสดงภาษีเงินได้เลยเพราะเขาทราบว่าทางกรมสรรพากรไม่มี ทางที่จะเอาหลักฐานมายืนยันได้ว่าเขามีรายได้จากผู้ใดเท่าใด ข้าพเจ้าจึงได้หาทางแก้โดยยกร่างพระราชกฤษฎีกาวางรูปบัญชีให้พวกอาชีพอิสระเช่น หมอและทนายความ ฯลฯ ต้องแสดงบัญชีว่าในระยะปีภาษีที่แล้วมามีรายได้จากบริการที่ทำให้ใครที่ไหน เป็นจำนวนเงินเท่าใด ท่านอธิบดี ม.จ. วิมวาทิตย์ได้ทรงเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีประกาศบังคับใช้ได้ผลเป็นที่พอพระทัยมาก และผู้มีอาชีพอิสระก็ต้องยืนประเมินเสียภาษีเงินได้ตั้งแต่นั้นมา
ข้าพเจ้าได้กราบเรียนให้ท่านอาจารย์ปรีดีทราบเมื่อข้าพเจ้าพ้นจากหน้าที่ทางกรมสรรพากรว่าข้าพเจ้าได้รับการขอตัวให้ไปทำงานในกระทรวงการต่างประเทศในหน้าที่เป็นเลขานุการเสด็จในกรมหมื่นนราธิปฯ ท่านก็ไม่ว่ากระไร ต่อมาไม่นานข้าพเจ้าก็ถูกขอตัวโดยไม่ได้ถามความสมัครใจจากกองบัญชาการทหารสูง สุดให้ไปทำงานในหน้าที่ทางเศรษฐกิจอยู่กรมประสานงานพันธมิตรซึ่งตั้งขึ้นเพื่อประสานงานกับกองทัพญี่ปุ่น กรมนี้มี พล.ต. ชัย ประทีปเสน เป็นเจ้ากรม พ.อ.ม.จ พิสิษฐ์ดิสพงษ์ ดิสกุล เป็นรองเจ้ากรม ข้าพเจ้านึกว่าท่านจะไม่พอใจแต่ท่านกลับบอกว่า เออดีแล้วจะได้เป็นประโยชน์แก่งานเสรีไทยของเรา แต่ข้าพเจ้าจะให้ใครทราบไม่ได้ว่าทำงานลับของเสรีไทยอยู่ด้วย ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเป็นที่สุด เพราะถ้าความลับรั่วไหลออกไปถึงญี่ปุ่นข้าพเจ้าก็ไม่รอดชีวิตแน่ ในการปฏิบัติหน้าที่ข้าพเจ้าเคยขัดขวางไม่ให้ญี่ปุ่นเรียกเกณฑ์เอาข้าวไปเลี้ยงทหารญี่ปุ่น และยังจะเอาวัวควายไปฆ่าเอาเนื้อเลี้ยงกองทัพอีก โดยแสดงให้ญี่ปุ่นเห็นว่าเราต้องใช้วัวควายไถนาเพื่อส่งข้าวให้กองทัพญี่ปุ่น ถ้าญี่ปุ่นจะฆ่าวัวควายเราก็จะไม่มีทั้งข้าวทั้งวัวควายส่งให้ นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังขัดขวางไม่ให้ญี่ปุ่นเอาไม้ไปใช้ต่อเรือลำเลียงตามชอบใจ โดยเสนอให้โรงเลื่อยรวมกันเป็นสมาคมและรัฐบาลควบคุมสมาคมโรงเลื่อยอีกชั้นหนึ่ง ให้กรมป่าไม้กักไม้ไว้ที่ปากน้ำโพอีกด้วย ท่าน พล.ต. ชัย ประทีปเสน เป็นผู้ให้การสนับสนุนและชี้แจงแก่ พล.อ. หลวงพรหม โยธีเพื่อให้กองทัพไทยร่วมขัดขวางมิให้กองทัพญี่ปุ่นผลาญทรัพยากรของชาติได้โดยสะดวก ข้าพเจ้าเห็นว่าทั้งสองฝ่ายคือทั้งรัฐบาลและเสรีไทยก็รับใช้เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองด้วยกันทั้งฝ่ายเสรีไทยและฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งทำเพื่อผลปัจจุบันและอีกฝ่ายหนึ่งทำเพื่อผลในอนาคต และทั้งสองฝ่ายก็ได้ผลสมมุ่งหมายคือฝ่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ช่วยให้ชาติบ้านเมืองพ้นจากความพินาศย่อยยับแต่ฝ่ายเสรีไทยช่วยให้ชาติพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม อนึ่งศาลสถิตยุติธรรมของไทยก็ช่วยปกป้องทำให้หัว หน้ารัฐบาลผู้เสี่ยงภัยเพื่อชาติได้รอดพ้นจากการถูกลงโทษเป็นอาชญากรสงคราม โดยตัดสินว่า พ.ร.บ. อาชญากรสงครามเป็นโมฆะ ใช้ลงโทษท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามและคนอื่นอีก ๑๐ กว่าคน ไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายย้อนหลัง (retroactive)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงประเทศไทยก็สามารถเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติได้ในสมัยแรกภาค ๒ ด้วยคุณูปการของเสรีไทย ดังปรากฏข้อความตอนหนึ่งในบันทึกลงวันที่ ๑๓ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๕ ของกรมกิจการแปซิฟิกตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ อเมริกาว่า “Within Thailand, the administration which first yielded to Japan and which was notoriously collaborationist has been replaced by an administration largely controlled by Pradist, present Regent, most respected of Thai leaders and opponent of Japan from the first. American contact has been established with Pradist who is actively siding Allied intelligence work and who has expressed his desire that Thailand enter the war against Japan and that the Thai army fight by the side of the Allied.” แปลว่า “ภายในประเทศไทยระบบการปกครองซึ่งแต่แรกได้ยอมจำนนต่อญี่ปุ่นและเป็นผู้ร่วมมืออย่างฉาวโฉ่ ได้ถูกเปลี่ยนโดยระบบการปกครองซึ่ง ส่วนใหญ่อยู่ในความควบคุมของประดิษฐ์ผู้สำเร็จราชการปัจจุบัน ผู้ซึ่งได้รับการนับถือสูงสุดในหมู่ผู้นำไทยและปฏิปักษ์ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่แรก อเมริกันได้สถาปนาการติดต่อกับประดิษฐ์ผู้ซึ่งช่วยสัมพันธมิตรในงานข่าวอย่างจริงจัง และเป็นผู้ที่ได้แสดงความปรารถนาที่จะให้ประเทศไทยเข้าสู่สงครามต่อต้านญี่ปุ่นและให้กองทัพไทยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพันธมิตร”
นอกจากนี้ยังมีความในบันทึกของกรมกิจการแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ แห่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาลงวันที่ ๑๓ มกราคม ค.ศ. ๑๙๕๕ เพื่อเตรียมให้ประธานาธิบดี Roosevelt ใช้ในการพบปะสนทนากับ มร. เซอร์ชิลล์ และจอมพลสตาลิน ที่นครยัลต้าของสหภาพโซเวียต ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ เกี่ยวกับสถานภาพภายหน้าของประเทศไทย มีข้อความตอนหนึ่งว่า “In Contrast (to British policies towards Thailand) we do not regard Thailand as an enemy but as an enemy occupied country. We reeognize the Thai minister in Washington as Minister of Thailand. With a status similar to that of the Danish Minister. We favor a free independent Thailand, with sovereignty unimpaired and ruled by a government of its own choosing. Thailand is the one country in South East Asia which was independent before the war. We belive that it would be prejudicial to American interests throughout the Far East if at the outcome of the war in which we will have had the major part in defeating Japanese aggression, Thailand should be deprived of any of its prewar territory or should have its independent status impaired.” แปลเป็นไทยว่า “ในทางตรงกันข้าม (กับนโยบายบริติชต่อประเทศไทย) เราไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู หากแต่ถือว่าเป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เรารับรองอัครราชทูตไทยในวอชิงตัน เป็นอัครราชทูตของประเทศไทย มีสถานภาพเช่นเดียวกับอัครราชทูตเดนมาร์ก เราใครให้มีประเทศไทยที่เป็นเอกราช อิสระพร้อมด้วยอธิปไตย ที่ไม่ถูกบั่นทอนและปกครองโดยรัฐบาลที่เลือกขึ้นมาเอง ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียอาคเนย์ที่ยังคงเป็นเอกราชอยู่ก่อนสงคราม เราเชื่อว่าจะเป็นการทำให้ผลประโยชน์อเมริกันต้องกระทบกระเทือนไปทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ ถ้าหากว่าผลลัพธ์ของสงครามซึ่งเราได้มีบทบาทส่วนใหญ่ในการปราบการรุกรานของญี่ปุ่นให้พ่ายแพ้ไป จะปรากฏออกมาว่า ประเทศไทยควรจะต้องสูญเสียดินแดนก่อนสงครามส่วนใดส่วนหนึ่งหรือควรจะต้องถูกบั่นทอนสถานภาพที่เป็นเอกราช”
หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว กรมประสานงานพันธมิตรก็เลิกล้มไปพร้อม ๆ กับเอกสารต่าง ๆ ในกรมถูกเผาไฟหมด ข้าพเจ้าก็ถูกเรียกกลับกระทรวงในเวลาใกล้ ๆ กันนั้น รัฐบาลก็ทูลเชิญเสด็จในกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์กลับเข้ามาอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศใหม่อีก โดยให้ทรงดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยพระองค์แรกของประเทศไทยประจำสหรัฐอเมริกา เสด็จในกรมฯ ก็ได้ทรงขอตัวข้าพเจ้าไปทำงานกับท่านที่วอชิงตัน และพอประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้แล้วพระองค์ท่านก็ต้องทรงดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยถาวรประจำสหประชาชาติอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย พระองค์ก็ไม่อาจจะทิ้งงานทางสถานทูตไปอยู่นิวยอร์กได้ จึงทรงมอบให้ข้าพเจ้าไปก่อตั้งสำนักงานผู้แทนไทยที่กรุงนิวยอร์ก และเป็นผู้แทนสำรองอยู่ที่นั่น พระองค์ท่านจะเสด็จมากรุงนิวยอร์กเป็นครั้งคราวเฉพาะเมื่อมีประชุมสมัชชาใหญ่ ประจำปีหรือมีการประชุมที่สำคัญจริง ๆ ในระหว่างที่ไม่ใช่สมัยประชุมสมัชชาใหญ่ นับแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ขาดการติดต่อการงานกับท่านอาจารย์ปรีดีมาตลอด จนถึงสมัยที่ท่านและครอบครัวของท่านลี้ภัยการเมืองออกไปอยู่ประเทศจีน
เมื่อท่านออกจากประเทศจีนกลับไปพำนักอยู่ในชานกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านได้ยื่นเรื่องราวต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีสซึ่งขณะนั้นนายไพโรจน์ ชัยนาม ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ ขอให้ออกหนังสือเดินทาง (Passport) และหนังสือแสดงการมีชีวิตเพื่อรับบำนาญตามกฎหมาย ท่านเอกอัครราชทูตไพโรจน์ ชัยนาม ไม่กล้าออกให้ จึงเสนอเรื่องไปยังรัฐมนตรีว่าการฯ ถนัด คอมันตร์ ซึ่งก็ไม่กล้าสั่งการ แต่ได้ตัดสินใจนำเรื่องเข้าชี้แจงในคณะรัฐมนตรีด้วยตนเองโดยไม่ได้ผ่านการพิจารณาของข้าพเจ้าซึ่งเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และต้องทำหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายตามระเบียบก่อน คณะรัฐมนตรีได้มีมติไม่ยอมออกหนังสือเดินทาง และหนังสือแสดงการมีชีวิตเพื่อรับบำนาญทั้งสองอย่างให้และยืนยันมติมายังกรทรวงเจ้าของเรื่องโดยหนังสือเลขที่ สร. ๐๔๐๒/๗๙๖๐ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๓ รัฐมนตรีถนัด คอมันตร์ ได้ให้ ม.ล. พีระพงศ์ เกษมศรี เลขานุการ นำหนังสือยืนยันมติ ค.ร.ม. นั้นมาให้ข้าพเจ้าพิจารณา
รัฐมนตรีถนัด คอมันตร์ จะนึกผูกมัดข้าพเจ้าให้ต้องยอมรับความถูกต้องของมติด้วยอีกผู้หนึ่ง เพราะได้ข้ามคั่นตอนตามระเบียบไป หรือไม่แน่ใจในข้อกฎหมายที่ตนได้เข้าไปชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างใด ข้าพเจ้าไม่สามารถหยั่งรู้ได้
พิจารณามติของคณะรัฐมนตรีอันเป็นหน่วยอำนาจบริหารสูงสุด แต่ข้าพเจ้าก็ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทั้งเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง และเพื่อความเป็นระเบียบของการปฏิบัติราชการอีกทั้งไม่ใช่เป็นความลับอะไรทางราชการ ข้าพเจ้าจึงมีคำสั่งให้ลงทะเบียนรับและพิจารณาเสนอมาตามลำดับชั้น กองกฎหมายก็พิจารณาเสนอความเห็นสนับสนุนมติ ค.ร.ม. ว่า เป็นการชอบแล้วโดยนำคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๑/๒๕๐๖ มาเป็นบรรทัดฐาน อ้างอิงว่าในการขออาชญาบัตรผูกขาดการสำรวจแร่ที่มิใช่แร่เหล็กนั้น แม้ผู้ขอจะได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทุกประการแล้ว เจ้ากระทรวงผู้รักษาพระราชบัญญัติแร่ก็มีอำนาจที่จะออกหรือไม่ออกอาชญาบัตรให้ได้ คำพิพากษาศาลฎีกานี้ย่อมนำมาปรับกับกรณีที่ ค.ร.ม. ไม่อนุญาตให้ออกหนังสือเดินทางและหนังสือแสดงการมีชีวิตทั้ง ๒ อย่างนี้แก่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ได้
ข้าพเจ้าได้ทำบันทึกปะหน้าเรื่องออกความเห็นคัดค้านว่าความเห็นของกองกฎหมายที่อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานมาปรับกับกรณีของหนังสือสำคัญ ๒ อย่างของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดีนั้นเป็นเรื่องของการขอสิทธิ แต่การปฏิเสธไม่ออกหนังสือสำคัญ ๒ อย่างที่กล่าวให้แก่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดีนั้นเป็นเรื่องของการรอนสิทธิ นัยหนึ่งเป็นการตัดสิทธิที่จะพึงได้รับโดยเท่าเทียมกับคนไทยคนอื่น ๆ ย่อมผิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕ ที่ว่าบุคคลทุกคนย่อมมีความเสมอภาคกันในทางกฎหมาย และผิด พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญ ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. นี้ต้องออกหนังสือแสดงการมีชีวิตให้แก่ผู้มีสิทธิรับบำนาญที่ต้องมาแสดงตัวทุกปี ส่วนการไม่ยอมออกหนังสือเดินทาง (Passport) ให้แก่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นการละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งประเทศเป็นภาคีอยู่ด้วย ในข้อ ๑๒(๒) ซึ่งระบุว่า “ทุกคนมีสิทธิที่จะออกจากประเทศใด ๆ ไป รวมทั้งประเทศของตนเอง” คำคัดค้านของข้าพเจ้าทำให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลจอมพลถนอม กิติขจร ต้องยอมจำนน และตกอยู่ในบังคับให้ต้องกลับมติของตนเอง อนุมัติให้ออกหนังสือแสดงการมีชีวิตเพื่อรับบำนาญและหนังสือเดินทาง (Passport) ให้ แก่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ดังปรากฏในหนังสือตอบของ ค.ร.ม. ที่ สร. ๐๔๐๒/๔๙๗๒ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๓
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้แปลเป็นไทยเองในเวลาที่ใกล้ ๆ กันกับที่ข้าพเจ้าได้แปลกฎบัตรสหประชาชาติ เพราะทั้ง ๒ เรื่อง เป็นกฎหลักมูล (fundamental rules) ของสหประชาชาติ และจำเป็นที่จะต้องให้องค์การต่าง ๆ ในประเทศไทยและคนไทยที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน อันเป็นภาษาทำงาน (Working languages) ของสหประชาชาติ ได้ใช้คำแปลภาษาไทยนี้ ทั้งนี้โดยไม่มีใครเรียกร้องหรือใช้ให้ทำและโดยมิได้ขาย หรือรับผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ เลย นอกจากท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ชมเชยและสั่งให้พิมพ์แจกหน่วยราชการและประชาชนเป็น จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ เล่ม อันเป็นการรับรองคำแปลเป็นทางราชการโดยปริยาย
ข้าพเจ้ามีความปิติยินดีเป็นอันมากที่สามารถสนองพระคุณท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้เคยประสิทธิ์ประสาทวิชากฎหมายและการเมืองให้ข้าพเจ้า รับข้าพเจ้าเข้าร่วมการก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ให้ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทยเพื่อสนองพระคุณชาติให้พ้นจากการเป็นประเทศแพ้สงคราม ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้แสดงภูมิปัญญาและความเด็ดเดียว กล้าคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีอย่างกลับหน้ามือเป็นหลังมืออันไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อนเลย ข้าพเจ้าคาดหวังอยู่ล่วงหน้าว่าการคัดค้านอย่างอุกอาจนี้จะกระทบใจคณะรัฐมนตรีอย่างแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ากระทรวงของข้าพเจ้าเองก็ต้องเสียหน้าอย่างมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไรในเมื่อเขาเองเป็นผู้เสนอเรื่องโดยข้ามคั่นตอนตามระเบียบและเขาเองเป็นผู้นำเรื่องนั้นกลับมาสู่การพิจารณาของข้าพเจ้าอีกเอง ข้าพเจ้ายอมรับการถูกบั่นทอนอนาคตแต่ไม่ยอมแลกกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องและทรยศต่ออาจารย์ที่เคารพรักของข้าพเจ้า
อองโตนี ประเทศฝรั่งเศส
วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔
คุณมนู อมาตยกุล ที่รัก
ได้รับจดหมายของคุณ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ศกนี้ แจ้งว่าได้รับราชการมาจนครบเกษียณอายุตามกฎหมายในสิ้นปีงบประมาณนี้ ผมมีความยินดีที่ตลอดเวลารับราชการคุณได้อุทิศตนรับใช้ชาติในตำแหน่งหน้าที่หลายประการโดย เรียบร้อยและทำให้บังเกิดคุณประโยชน์หลายประการแก่ชาติและราษฎรไทยอันเป็นที่รักเคารพยิ่งของเรา จึงขอถือโอกาสนี้อวยพรให้คุณประสบสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลและบำเพ็ญตนรับใช้ชาติต่อไปตามกำลังความสามารถตราบเท่าที่ คุณคงมีอายุต่อไปอีกยืนนาน
ผมยังคงจำได้ว่าคุณเป็นศิษย์ที่ดีคนหนึ่งของผมมาตั้งแต่ก่อนเปลี่ยน แปลงการปกครองวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ในสมัยที่ผมเป็นผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม นอกจากที่คุณได้ฟังคำสอนที่โรงเรียนแล้ว ในตอนค่ำคุณก็ได้ร่วมกับเพื่อนนักเรียนกฎหมายอีกหลายคนมารับการอบรมจากผมที่บ้าน ผมได้สังเกตเห็นว่าคุณเป็นผู้หนึ่งที่สนใจในระบบการปกครองของแผ่นดินที่จะให้มีระบบประชาธิปไตยขึ้น ดังนั้นในตอนเช้าของวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อคุณได้รู้ข่าวว่าคณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจรัฐซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้แน่นอน คุณก็ได้เสียสละเสี่ยงชีวิตเข้ามาพบผม ณ ห้องชั้นล่างของพระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการชั่วคราวของคณะราษฎร ขออาสาร่วมรับใช้ชาติ ผมจึงนำคุณไปรายงานตัวต่อท่านเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนาแล้วก็มอบหมายหน้าที่อยู่ในกองธุรการ คุณได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอยู่ตลอดเวลาที่กองบัญชาการคณะราษฎรตั้งอยู่ในบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม ครั้นต่อมาเมื่อกองบัญชาการจะย้ายเข้าไปอยู่ในวังปารุสกวัน คุณได้มาลาผมเพื่อที่จะออกไปศึกษาวิชากฎหมายต่อไปให้สำเร็จ แม้ในทางการคุณจะมิ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดแต่ในทางส่วนตัวคุณก็ได้ไปมาหาสู่ผมและปวารณาตนที่จะรับใช้เมื่อถึงโอกาส ดังนั้นเมื่อคุณสอบกฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตและสอบชิงทุนเล่าเรียนในต่างประเทศได้ ผมจึงได้เลือกเอาคุณทำหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัวออกเดินทางไปยุโรปพร้อมกันใน พ.ศ. ๒๔๗๘ คุณก็ได้ช่วยเหลือในกิจธุระส่วนตัวของผมเป็นอย่างดีจนกระทั่งได้ไปถึงยุโรปแล้วได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ และองค์ปัจจุบันซึ่งขณะนั้นดำรงพระอิศรยศเป็นพระอนุชาธิราช และสมเด็จพระราชชนนี ครั้นแล้วคุณก็ได้เดินทางติดตามผมมาจนถึงประเทศฝรั่งเศสแล้วจึงได้แยกไปศึกษาในประเทศเยอรมัน
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองภายหลังที่ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองประเทศไทย ขบวนการเสรีไทยซึ่งทำการต่อต้านญี่ปุ่นได้มีภารกิจหลายอย่าง มีภารกิจอย่างหนึ่งซึ่งต้องติดตามเป็นการลับกับทูตบางคนในต่างประเทศ ผมจึงได้มอบหมายให้คุณทำงานภายใต้คุณทวี ตะเวทีกุล ซึ่งได้มอบให้คุณมีหน้าที่โดย เฉพาะเข้ารหัสและออกรหัสลับติดต่อกับหลวงอรรถกิติกำจร (กลึง พนมยงค์) อัครราชทูตไทยประจำกรุงสต๊อคโฮล์ม ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับเอกอัครรัฐทูตโซเวียต ณ ที่นั้น กับสถานทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ฯลฯ
โอกาสนี้ ขอขอบใจคุณอีกครั้งหนึ่งในการที่คุณได้ช่วยเหลืองาน ส่วนรวมของประเทศชาติและธุรกิจส่วนตัวดังได้กล่าวมาแล้ว
ผมจำได้ว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลในสมัยนั้นได้ประกาศรัฐนิยมให้ผู้ที่มีชื่อที่รัฐนิยมเห็นว่าอ่อนโยนเป็นผู้หญิงเปลี่ยนมาใช้ชื่อที่รัฐนิยมนั้นเห็นว่าเข้าลักษณะเป็นผู้ชาย คุณจึงได้มาหาผมขอให้ตั้งชื่อให้ใหม่แทนชื่อเดิม “ขวัญใจ” ผมจึงได้ตั้งชื่อใหม่คุณว่า “มนู” โดยชี้แจงแก่คุณด้วยว่าผมเอาส่วนหนึ่งแห่งบรรดาศักดิ์เดิมของผม “ประดิษฐ์มนูธรรม” มาตั้งให้
ด้วยความรักจากอาจารย์
(ลงชื่อปรีดี พนมยงค์)
หมายเหตุ :
- มนู อมาตยกุล. สิทธิทางการเมืองคือสมบัติล้ำค่าของคนทั้งประเทศ, ใน: สัมผัส พึ่งประดิษฐ์, ระวิ ฤกษ์จำนง, จำรัส ชมภูพล, โชว์ อุบลวัตร์, คณิต พืชวณิชย์, อรุณี อินทรสุขศรี, อรุณศรี พุทธศิริ, ธวัชชัย ไพรินทราภา, สมณา นทีรัยไทวะ, จิโรตม์ นามประทาน, ศิริศักดิ์ สรานุกูล, บรรณาธิการ. วันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2535. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2535, น. 26-44.
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามเอกสารชั้นต้น
- สามารถอ่านหนังสือ “สิทธิทางการเมืองคือสมบัติล้ำค่าของคนทั้งประเทศ” ฉบับเต็มในรูปแบบ E-Book ได้ที่ : https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/pridi-11-05-2535.pdf
บรรณานุกรม :
- มนู อมาตยกุล. สิทธิทางการเมืองคือสมบัติล้ำค่าของคนทั้งประเทศ, ใน: สัมผัส พึ่งประดิษฐ์, ระวิ ฤกษ์จำนง, จำรัส ชมภูพล, โชว์ อุบลวัตร์, คณิต พืชวณิชย์, อรุณี อินทรสุขศรี, อรุณศรี พุทธศิริ, ธวัชชัย ไพรินทราภา, สมณา นทีรัยไทวะ, จิโรตม์ นามประทาน, ศิริศักดิ์ สรานุกูล, บรรณาธิการ. วันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2535. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2535, น. 26-44.