วิหารวัดสุวรรณดาราราม สร้างสมัยรัชกาลที่ ๔
(๑) บทนำและความสำคัญ
เมื่อกล่าวถึงวัดสำคัญในย่านตัวเมืองเก่าอยุธยาที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เรามักจะนึกถึง “วัดพนมยงค์” ก่อนเลย เพราะเป็นวัดชื่อเดียวกับนามสกุลของท่าน ถือเป็นวัดประจำตระกูลพนมยงค์ มีประวัติสืบย้อนกลับไปจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา แถมที่ตั้งยังอยู่ฝั่งตรงข้ามคลองเมืองกับบริเวณอนุสรณ์สถานบ้านปรีดี พนมยงค์ อีกด้วย มีสะพานไม้เดินข้ามไปมาสะดวก
“วัดศาลาปูน” เป็นอีกวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้องโดยตรง ตั้งอยู่ริมคลองเมือง ไม่ไกลจากวัดพนมยงค์และอนุสรณ์สถานบ้านปรีดี พนมยงค์ เพราะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดศาลาปูน ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดที่ปรีดี พนมยงค์ เคยศึกษาเล่าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา[1] ปัจจุบันเป็นอาคารไม้อยู่ติดวัดบรมนิวาส (วัดขุนยวน) ไม่ได้ใช้เป็นที่จัดการเรียนการสอนอีกต่อไปแล้ว เพราะปัจจุบันโรงเรียนวัดศาลาปูนได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่ริมถนนหน้าทางเข้าวัดศาลาปูนทางทิศตะวันตก ในพื้นที่ทุ่งภูเขาทอง
อีกวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้อง เพราะเป็นสถานที่เล่าเรียน คือ “วัดไม้รวก” วัดนี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองเก่าอยุธยา ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ก่อนวัดเป็นสถานศึกษา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีนโยบายขยายการศึกษามณฑล ก็ได้จัดตั้ง “สกูล” หรือ “โรงเรียน” ขึ้นตามวัด และให้อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงธรรมการ ซึ่งโดยบทบาทหน้าที่ก็ดูแลกิจการคณะสงฆ์ควบคู่กับจัดการศึกษา
แต่นอกจากวัดพนมยงค์ วัดศาลาปูน และวัดไม้รวกแล้ว ในเขตเมืองเก่าอยุธยา ยังมีอีกวัดหนึ่งที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับท่านปรีดี พนมยงค์ โดยตรง แต่เรามักไม่ค่อยนึกถึง คือ “วัดสุวรรณดาราราม” ตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะเมือง ตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณที่แต่เดิมชาวกรุงเก่ารู้จักและเรียกขานกันว่าคือ “ย่านท้ายป้อมเพชร” เพราะการเดินทางไปวัดนี้แต่ก่อนจะต้องขึ้นท่าน้ำข้างป้อมเพชร วัดสุวรรณดารารามจึงเป็นวัดสำคัญสำหรับย่านป้อมเพชรไปโดยปริยาย
ปกติแล้ว เราจะรับรู้ประวัติความสำคัญของวัดสุวรรณดารารามกันแต่เฉพาะในแง่มุมที่เป็น “วัดประจำราชวงศ์จักรี” เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนวัดทอง (หรือวัดสุวรรณ) ซึ่งเป็นบ้านเดิมของ “ทองดี” (สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ในเวลาต่อมา) บิดาของ “ทองด้วง” บางทีก็เรียก “ด้วง” เฉยๆ (คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือรัชกาลที่ ๑ ในเวลาต่อมา) กับ “บุญมา” (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ในเวลาต่อมา)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ (สมัยยังเป็นเจ้าพระยาจักรี) กับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (สมัยยังเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์) ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ให้เป็นแม่ทัพยกไปจัดการปัญหาความวุ่นวายในกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แต่ทั้งสองได้นำทัพย้อนกลับมาทำรัฐประหารโค่นล้มราชวงศ์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ลงเมื่อเดือนเมษายนปีเดียวกันนั้น ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ได้ทรงแต่งตั้งอดีตข้ารับใช้คนสนิทที่กรุงเก่าท่านหนึ่งให้เป็น “พระยาไชยวิชิตสิทธิสงคราม” ผู้รักษากรุงเก่า (เจ้าเมืองอยุธยา) ตั้งจวนว่าราชการอยู่บริเวณทิศตะวันออกติดกับป้อมเพชร พระยาไชยวิชิตฯ ผู้นี้ถือเป็นต้นตระกูล “ณ ป้อมเพชร” (เดิมเขียน “ณ ป้อมเพ็ชร์”)[2]
โดยบทบาทหน้าที่ เจ้าเมืองอยุธยากรุงเก่าตระกูล ณ ป้อมเพชร สมัยนั้นจะต้องเป็นผู้มีบทบาทในการทำนุบำรุงวัดประจำราชวงศ์จักรีอย่างวัดสุวรรณดารารามอยู่ด้วย คอยอำนวยความสะดวกแก่เจ้านายในพระราชวงศ์เมื่อคราวเสด็จมาทำบุญทอดกฐินหลวง จากที่เป็นวัดที่ตระกูล ณ ป้อมเพชร มีบทบาทหน้าที่ดูแลนี้เองเป็นเหตุให้ปรีดี พนมยงค์ ได้มาเกี่ยวข้องกับวัดสุวรรณดาราราม เพราะตระกูลพนมยงค์เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับตระกูล ณ ป้อมเพชร มาแต่เดิม อีกทั้งต่อมายังแต่งงานกับท่านผู้หญิงพูนศุข ณ ป้อมเพชร (คือท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ คนเดียวกัน)
นอกจากนี้ยังเป็นบทบาทหน้าที่ของปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๘ และในเวลาต่อมา เมื่อปรีดี พนมยงค์ จัดตั้งขบวนการเสรีไทยในท่ามกลางสงครามมหาเอเชียบูรพาด้วยแล้ว การทำนุบำรุงวัดประจำราชวงศ์จักรียังมีความสำคัญในการเชื่อมโยงฝ่ายเจ้านายและกลุ่มกษัตริย์นิยม (Royalist) ในการเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยอีกด้วย
(๒) “วัดทอง” (วัดสุวรรณ) สมัยกรุงศรีอยุธยา
วัดสุวรรณดารารามหรือชื่อเดิมคือ “วัดทอง” หรือ “วัดสุวรรณ” ไม่ปรากฏหลักฐานชั้นต้นว่าสร้างขึ้นในสมัยใด กำหนดอายุได้คร่าวๆ จากรูปทรงของอุโบสถเดิมและเจดีย์เก่าท้ายอุโบสถตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้วทางทิศตะวันตก อุโบสถที่ว่านี้มีเค้ารูปฐานโค้งสำเภาแบบที่นิยมสร้างกันในสมัยอยุธยาตอนปลาย และเจดีย์ท้ายอุโบสถขนาดย่อมนี้ก็เป็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยมแบบที่นิยมสร้างกันในสมัยอยุธยาเช่นกัน
อุโบสถวัดสุวรรณดาราราม สร้างใหม่ทับอุโบสถเก่าในสมัยรัชกาลที่ ๑
เจดีย์เก่าท้ายอุโบสถ
เจดีย์นี้อาจจะเก่าไปกว่าสมัยอยุธยาตอนปลายด้วยซ้ำ เพราะเป็นย่านชาวจีนมาแต่เดิม แต่ประวัติการสร้างของวัดระบุอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ บางแห่งว่าเป็นสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระต่อสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะเป็นช่วงปีที่อยุธยามีเหตุการณ์วุ่นวายถึงขั้นทำสงครามกลางเมืองแย่งชิงราชสมบัติกันระหว่างฝ่ายวังหลังนำโดยเจ้าฟ้าอภัยกับฝ่ายวังหน้านำโดยเจ้าฟ้าพร (สมเด็จพระเจ้าบรมโกศในเวลาต่อมา)[3]
หลักฐานบันทึกลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกๆ ที่เล่าประวัติวัดสุวรรณดาราราม (วัดทอง) คือเอกสารชื่อ “อภินิหารบรรพบุรุษ” และ “ปฐมวงศ์”[4] ซึ่งเป็นเอกสารบันทึกเล่าย้อนหลังจากสมัยเมื่อรัชกาลที่ ๔ แล้ว อีกทั้งยังเป็นเรื่องเล่าในลักษณะตำนาน ชื่อก็บอก (อภินิหารบรรพบุรุษ) เป็นเรื่องเล่าที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเล่ากฤดาภินิหารของชนชั้นนำต้นรัตนโกสินทร์ ย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในสมัยอยุธยา
เอกสารดังกล่าวเล่าเรื่องเริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรที่มีการกวาดต้อนครัวชาวมอญเข้ามา สืบเชื้อสายมาจนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งนามว่า “เจ้าฟ้านรินทร์” ต่อมาเปลี่ยนพระนามเป็น “เจ้าฟ้านารายณ์” (สมเด็จพระนารายณ์ฯ ในเวลาต่อมา) เมื่อเจ้าฟ้านรินทร์ประสูติแล้วพระราชมารดาทรงสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงให้หาสตรีมาเป็นพระนม ได้มา ๔ นาง นางแรกมีชื่อเรียงเสียงใดไม่ปรากฏ แต่เป็นบุคคลสำคัญที่รู้จักกันในเวลาต่อมาตามสมญาว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” เพราะภายหลังได้ไปบวชเป็นชีอยู่สำนักวัดดุสิต พระนมเจ้าแม่ดุสิตมีบุตรชาย ๒ คน คนโตชื่อ “เหล็ก” (เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) หรือ “โกษาเหล็ก” ในเวลาต่อมา) คนรองชื่อ “ปาน” (เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) หรือ “โกษาปาน”)
“โกษาปาน” เป็นบุคคลที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเคยได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตเดินทางไปสร้างสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่มีเรื่องแทรกในเอกสาร “อภินิหารบรรพบุรุษ” รวมถึงเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชหัตถเลขาเล่าแก่เซอร์ จอห์น เบาริง (Sir. John Bowring) ราชทูตอังกฤษ ว่าราชตระกูลของพระองค์สืบเชื้อสายมาจากโกษาปาน เพราะโกษาปานมีบุตรชายคนหนึ่งคือ “ขุนทอง” ต่อมาขุนทองมีบุตรชื่อ “ทองดี” (คือสมเด็จพระปฐมบรมชนกจักรีในเวลาต่อมา)
เดิมขุนทองและทองดีมีนิวาสถานอยู่ที่ย่านป่าตอง ใกล้วัดกระเบื้องเคลือบ (วัดบรมพุทธาราม) (ปัจจุบันวัดนี้อยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา) เมื่อทองดีได้เป็น “พระอักษรสุนทร” เสมียนตรากรมมหาดไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และแต่งงานกับ “ดาวเรือง” บุตรีของ “มหาเศรษฐีชาวจีน” (ไม่ปรากฏนาม) ก็ได้ย้ายนิวาสถานจากวัดกระเบื้องเคลือบไปอยู่หลังป้อมเพชร และได้สร้าง “วัดทอง” (วัดสุวรรณดารารามในปัจจุบัน) ขึ้นในบริเวณดังกล่าวนี้
ป้อมเพชร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา
เอกสารไม่ได้ระบุชัดว่าย้ายมาอยู่ที่หลังป้อมเพชรด้วยเหตุอันใด บางท่านว่าเป็นนิวาสถานเดิมของบิดา (ขุนทอง) แต่ถ้าขุนทองเป็นบุตรโกษาปานจริง บ้านก็ควรอยู่ที่วัดขุนแสน ซึ่งเป็นย่านบ้านของชาวมอญที่เข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร และมีเรื่องว่าบริเวณนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าแม่วัดดุสิตอีกด้วย อย่างไรก็ตามเป็นไปได้มากกว่าในแง่ที่ว่า ย่านหลังป้อมเพชรนั้นอาจจะเป็นบ้านของดาวเรือง สมเด็จพระปฐมบรมชนนีจักรี มากกว่าจะเป็นบ้านเดิมของฝ่ายบิดา
“ดาวเรือง” ซึ่งตามเอกสารอภินิหารบรรพบุรุษไม่ได้ระบุว่าเป็นคนชาติพันธุ์ใด เดิมมีความเชื่อว่าเป็นมอญเช่นเดียวกับทองดี แต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ไม่ทรงเชื่อเรื่องนี้ ในพระนิพนธ์เรื่อง “เจ้าชีวิต: พงศาวดาร ๙ รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี”[5] ทรงระบุว่าสมเด็จพระปฐมชนนีจักรีทรงพระนามว่า “หยก” เป็นบุตรีของ “มหาเศรษฐีชาวจีน” (พ่อค้าและขุนนางชาวฮกเกี้ยน) ซึ่งอันหลังนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้น เมื่อพิจารณาว่าบริเวณหลังป้อมเพชรนั้นเป็นย่านชุมชนของชาวจีนฮกเกี้ยนในสมัยอยุธยา เดิมวัดสำคัญในย่านนี้คือ “วัดจีน” (วัดรัตนไชยในปัจจุบัน)[6]
เมื่อ “ทองด้วง” เติบใหญ่ได้รับราชการตำแหน่งสุดท้ายก่อนเสียกรุงฯ คือเป็น “ปลัดยกระบัตร” แขวงเมืองราชบุรี จึงได้ย้ายจากวัดทองที่อยุธยาไปอยู่อัมพวา (สมัยนั้นย่านนี้เป็นเขตแขวงขึ้นกับเมืองราชบุรี ยังไม่ได้ย้ายมาขึ้นกับเมืองแม่กลองหรือสมุทรสงคราม) ส่วน “บุญมา” รับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงอยู่ที่อยุธยา เมื่อเกิดเหตุการณ์พม่าล้อมกรุงจวนใกล้แตก ได้หลบหนีไปหาพี่ชายอยู่ที่แขวงราชบุรี แล้วพี่ชายก็แนะนำให้ไปหา “พระยาตาก” และติดตามช่วยกอบกู้บ้านเมือง ตอนนั้นทัพพระยาตากตั้งอยู่ที่ชลบุรี เมื่อบุญมาไปถึงชลบุรีได้ทราบว่าพระยาตากไปตั้งอยู่ที่จันทบุรีแล้ว จึงได้เดินทางต่อไปยังจันทบุรีจนได้พบพระยาตากและสวามิภักดิ์เข้าร่วมกองทัพพระยาตาก ได้รับความชอบมากมายในการศึกสงครามถือเป็น ๑ ใน ๔ ขุนศึกคู่พระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ
มีเรื่องแทรกที่เอกสาร “อภินิหารบรรพบุรุษ” ไม่ได้เล่า แต่ชาวบ้านที่พระนครศรีอยุธยาเล่ากันมาช้านาน ว่ามีในจำนวนพระนม ๔ นาง ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองให้จัดหามาถวายน้ำนมแด่สมเด็จพระนารายณ์นั้น นอกจากนางผู้มีสมญาว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” ในเวลาต่อมาแล้ว ยังมีนางที่ชื่อ “ประยงค์” หรือ “ยง” หรือ “โยง” เรียกควบตำแหน่งว่า “พระนมยง” หรือ “พระนมโยง” พระนมนางนี้มีลูกหลานสืบทายาทอยู่ในอยุธยามาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อจะทรงพระราชทานนามสกุล จึงทรงพระราชทานนามสกุลตระกูลนี้ว่า “พนมยงค์”[7]
“พระนมยง” มีนิวาสถานอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเมืองอยุธยา ริมคลองเมือง (แม่น้ำลพบุรีสายหนึ่ง) และได้สร้างวัดขึ้นชื่อ “วัดพนมยงค์” ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ ทั้งวัดพนมยงค์และวัดทองต่างก็ได้รับความเสียหายกลายเป็นวัดร้าง วัดทองได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ขณะที่วัดพนมยงค์เพิ่งจะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕[8]
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลหลักฐานว่าคนทั้งสองตระกูลนี้ (ณ ป้อมเพชร กับ พนมยงค์) แท้ที่จริงก็เป็นญาติกัน เพราะ “นายเสียง พนมยงค์ (บิดาของปรีดี พนมยงค์) ได้เกี่ยวข้องกับสกุล ณ ป้อมเพชร คือ ย่าของนายเสียง พนมยงค์ เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกับย่าพระยาชัยวิชิต (ขำ ณ ป้อมเพชร)”[9]
ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่วัดสำคัญซึ่งเจ้าเมืองอยุธยาตระกูล ณ ป้อมเพชร ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลรักษาอย่างวัดสุวรรณดาราราม จะเป็นวัดสำคัญของคนในตระกูลพนมยงค์ไปด้วย นอกเหนือจากวัดพนมยงค์ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลโดยตรงอีกวัดหนึ่ง แต่การที่ปรีดี พนมยงค์ ไปมีบทบาทต่อการรื้อฟื้นประเพณีทอดกฐินหลวงที่วัดสุวรรณดารารามนี้ก็มีประเด็นมากไปกว่าการเป็นวัดของตระกูลที่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องทางเครือญาติ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันถึงบทบาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ควบคู่กับเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา
บ้านป้อมเพชร อยุธยา
(๓) วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา ในฐานะ “วัดประจำราชวงศ์จักรี”
วัดสุวรรณดารารามเป็นวัดที่ได้รับการทำนุบำรุงจากเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีสืบมา เริ่มตั้งแต่การบูรณปฏิสังขรณ์แบบสร้างใหม่ในพื้นที่เดิมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ โดยช่างวังหน้าในสังกัดของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ช่วงนี้ได้มีการสร้างอุโบสถใหม่บนฐานเดิมและบูรณะเจดีย์ท้ายอุโบสถ พร้อมกับสร้างหมู่กุฏิ การณ์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ยังได้โปรดให้กัลปนายกที่ดินบริเวณนิวาสถานเดิม ซึ่งตั้งอยู่หลังป้อมเพชรให้เป็นเขตของวัด[10] และให้ขุดคลองผ่านกำแพงเมืองจากหน้าวัดทางแม่น้ำป่าสัก เข้ามาถึงหน้าอุโบสถ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระภิกษุสามเณรในการเดินทางเข้าออกและไปบิณฑบาตร (สมัยนั้นพระภิกษุอยุธยายังคงนิยมพายเรือไปบิณฑบาตตามแม่น้ำลำคลอง) เพราะเส้นทางบิณฑบาตรเดิมที่ต้องเดินเท้าไปลงท่าน้ำข้างป้อมเพชรไม่สะดวก เพราะมีตลาดท้ายป้อม ในยามเช้าผู้คนจอแจมาก ปัจจุบันคลองนี้ถูกถมสูญไปแล้ว
นอกจากนี้ช่างวังหน้าในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ยังได้วาดจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถไว้ เป็นรูปเทพชุมนุมอยู่ด้านบน ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธเจ้าปางผจญมาร ตรงกลางโดยรอบผนังอุโบสถเป็นรูปทศชาติชาดก จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถนี้มักไม่ได้รับความสำคัญมากเท่าจิตรกรรมภายในวิหารที่สร้างภายหลังในรัชกาลที่ ๗ แต่ที่จริงเป็นภาพจิตรกรรมเก่าแก่ภาพหนึ่งของเกาะเมืองอยุธยา
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้มีการสร้างศาลาการเปรียญเป็นศาลาดินก่ออิฐ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๓ ในสมัยนี้ยังได้มีการซ่อมภาพจิตรกรรมที่ช่างวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๑ เคยวาดเอาไว้อีกด้วย
เจดีย์ประธานวัดสุวรรณดาราราม สร้างสมัยรัชกาลที่ ๔
สมัยรัชกาลที่ ๔ มีการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยพยายามปรับแผนผังและรูปแบบสถาปัตย์ให้คล้ายคลึงกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ที่กรุงเทพฯ ทรงให้สร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ขึ้นเป็นเจดีย์ประธานของวัด เป็นเจดีย์ทรงระฆังกลมแบบลังกาตามอย่างพระราชนิยม และเป็นเจดีย์แบบเดียวกับรัตนเจดีย์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สร้างวิหารขึ้นขนาบข้างอุโบสถทางทิศเหนือ ขยายแนวกำแพงแก้วออกไปครอบคลุมวิหารหลังใหม่กับเจดีย์ประธานใหม่นี้ อีกทั้งยังโปรดให้ช่างจำลองพระแก้วมรกตทำจากศิลาไปประดิษฐานไว้ภายในวิหารอีกด้วย[11]
ในสมัยรัชกาลที่ ๑-๓ เดิมชื่อ “วัดสุวรรณ” ชาวบ้านนิยมเรียก “วัดทอง” ดังเก่า ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดสุวรรณดาราราม” โดยนำเอาพระนามของสมเด็จพระปฐมชนก (ทองดี) กับสมเด็จพระปฐมชนนี (ดาวเรือง) มาสมาสเข้าด้วยกัน[12]
ถึงแม้ว่านามของสมเด็จพระปฐมชนนีจะยังคงเป็นปัญหาอยู่ว่าทรงมีพระนามว่า “ดาวเรือง” หรือ “หยก” กันแน่ แต่การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่โดยถือเอาพระนาม “ดาวเรือง” มาสมาสเข้าด้วยกัน สะท้อนว่าเจ้านายชั้นสูงในรัชกาลที่ ๓-๔ มีความเชื่อว่าพระนามเดิมของสมเด็จพระปฐมชนนีคือ “ดาวเรือง” และแน่นอนว่าอาจมีชื่อในภาษาจีนควบคู่กับชื่อไทย เป็นเรื่องปกติสำหรับคนสมัยโน้น อย่างไรก็ตามชื่อ “วัดสุวรรณดาราราม” เป็นชื่อที่ใช้เรียกวัดนี้สืบมาจนปัจจุบัน
สมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๘ พระยาไชยวิชิต (นาค ณ ป้อมเพชร) ผู้รักษากรุงเก่า ได้ให้เกลื่อนดินบนสันกำแพงเมืองมาทำเป็นถนน ตั้งแต่บริเวณป้อมเพชรไปจนถึงพระราชวังจันทรเกษม ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๒ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณพลกรุงเก่า ได้ให้ทำถนนตอนที่พระยาไชยวิชิต (นาค ณ ป้อมเพชร) เคยทำไว้ให้ได้ระดับ และทำต่อไปจนรอบกรุง และครั้งนั้นยังได้มีการโรยหินถมถนนตั้งแต่เชิงสะพานหน้าวัดสุวรรณดารารามไปจนถึงท่าวาสุกรี[13]
แต่ทว่าโครงการถนนรอบกรุงสมัยพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะเหตุใดไม่ปรากฏ โครงการทำถนนนี้มีอันต้องยุติไป มารื้อฟื้นทำต่อจนแล้วเสร็จในสมัยปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของโครงการปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยา จึงมีถนนรอบกรุงที่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า “ถนนอู่ทอง”[14] เป็นถนนที่มีข้อครหาว่าปรีดีให้สร้างทับซากกำแพงเมืองเก่า แต่จากหลักฐานที่จริงกำแพงเมืองเก่าที่เหลือเชิงเทินเป็นส่วนใหญ่นั้นถูกทำให้ราบเป็นถนนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว ถนนอู่ทองสมัยปรีดีเป็นการปรับปรุงใหม่บนเส้นเดิมที่มีมาก่อนหน้า
ส่วนประเด็นปัญหาที่ว่า เพราะเหตุใด ทำไม กำแพงเมืองเก่าของกรุงศรีอยุธยาถึงมาเหลือแต่เชิงเทิน ไม่เหลืออิฐ จนถูกขุดราบเป็นถนนได้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูพระราชพงศาวดารกันใหม่ เพราะใน “พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑” มีกล่าวถึงพระบรมราชโองการให้รื้ออิฐอยุธยาลงไปสร้างเมืองใหม่ที่กรุงเทพฯ
ดังนั้น การที่กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาไม่เหลือซากเก่าที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพราะพม่าเผา ไม่ใช่เพราะปรีดีทำถนนกลบทับ อย่าเพิ่งโทษใครโดยที่ไม่มีหลักฐานขนาดนั้น เพราะที่มีหลักฐานยืนยันจริงๆ นั้นที่อิฐกำแพงเมืองอยุธยาสูญไปเป็นเพราะการรื้ออิฐสมัยรัชกาลที่ ๑ กับการทำถนนรอบกรุงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่างหาก...
(๔) วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา ก่อนการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
ถึงแม้ว่าวัดสุวรรณดารารามจะเป็นวัดที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์ในหลายยุคสมัยดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ทว่าวัดไม่ใช่แค่สถานที่หรืออาคารสิ่งปลูกสร้าง หากแต่วัดเป็นวัดก็เพราะมีประเพณีพิธีกรรมที่พระภิกษุสงฆ์กับประชาชนปฏิบัติกันเป็นประจำ คำว่า “วัด” กร่อนมาจาก “วัตร” ที่หมายถึงการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน คำเต็มคือ “วัตรปฏิบัติ” และสิ่งสำคัญสำหรับ “วัดหลวง” นอกจากใบสีมาคู่กับสถาปัตย์สิ่งปลูกสร้างเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์แล้ว ยังต้องมีกฐินพระราชทานหรือ “กฐินหลวง” เป็นประจำทุกปีอีกด้วย
มีความเชื่อกันว่า วัดสุวรรณดารารามซึ่งมีฐานะเป็นวัดประจำราชวงศ์จักรีเป็นวัดที่ได้รับกฐินหลวงเป็นประจำทุกปีนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ แต่ที่จริงผู้ศึกษาประวัติวัดนี้จะทราบกันดีว่า หลังสิ้นรัชกาลที่ ๑ ไปแล้ว กฐินหลวงพระราชทานได้ถูกงดเว้นไปถึง ๒ รัชกาล เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ ๒ ประสบปัญหาโรคอหิวาต์ระบาดหนัก จึงได้ทรงงดเว้นกฐินพระราชทานหัวเมือง (รวมทั้งวัดสุวรรณดารารามที่อยุธยาด้วย) แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลายไปในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่ไม่ปรากฏการรื้อฟื้นกฐินหลวงพระราชทานที่อยุธยา ทรงนิยมพระราชทานไปที่อื่นมากกว่าโดยเฉพาะย่านบางขุนเทียนที่มีวัดเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายพระราชมารดาของพระองค์หลายแห่ง
กฐินหลวงพระราชทานที่วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยทรงเสด็จมาพระราชทานด้วยพระองค์เอง ในปีพ.ศ. ๒๓๙๘ ทรงเสด็จมาพระนครศรีอยุธยา ปลูกพลับพลาที่ป้อมเพชร ในปีเดียวกัน ยังทรงให้บูรณะพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท ที่พระราชวังโบราณ กรุงเก่า เพื่อไว้สำหรับเป็นที่ประทับเมื่อคราวเสด็จมาพระราชทานพระกฐินวัดสุวรรณดารารามและวัดอื่นๆ ในอยุธยา แต่ต่อมาทรงให้บูรณะพระราชวังจันทรเกษม หัวรอ สำหรับเป็นที่ประทับแทน เพราะสะดวกในการเสด็จพระราชดำเนินมากกว่าที่อื่น
นอกจากวัดสุวรรณดารารามแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ยังโปรดเสด็จพระราชทานไปพระราชทานพระกฐินหลวงที่วัดพนัญเชิง, วัดพุทไธสวรรย์, วัดกษัตราราม (วัดกษัตราธิราชในปัจจุบัน), วัดโลกยสุทธาศาลาปุน (วัดศาลาปูนในปัจจุบัน), วัดน่าพระเมรุ (วัดหน้าพระเมรุในปัจจุบัน) ในการพระราชทานพระกฐินหลวงยังมีการจัดงานมหรสพ เปิดให้ราษฎรชาวเมืองได้เข้าชม พระราชหัตถเลขาที่ทรงมีจากอยุธยากรุงเก่าไปถึงเจ้าจอมมารดาผึ้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ ทรงเล่าถึงบรรยากาศงานกฐินหลวงที่อยุธยาสมัยนั้นเอาไว้ดังนี้:
“คนชาวกรุงเก่า ชาวบ้านนอกมากันมากนัก มาดูกระถินหลวงแลกระถินข้างใน เมื่อก่อแรกเริก (ฤกษ์-ผู้อ้าง) ปราสาทนี้ (พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท-ผู้อ้าง) มีลคร (ละคร-ผู้อ้าง) พระยามนตรีสุริวงศ์โซเซเต็มที คนก็ดูมากนักหลามลู่หลามทางไป ตื่นกัน”[15]
สมัยรัชกาลที่ ๕ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ได้สร้างถังน้ำประปาขึ้นในป้อมเพชร เพื่อส่งน้ำไปให้วัดสุวรรณดารารามในช่วงเทศกาลกฐินหลวง หลังจากนั้นมาวัดนี้ได้ใช้งานเป็นสถานที่ที่ข้าราชการในเมืองพระนครศรีอยุธยามาทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ ได้เปลี่ยนสถานที่ถือน้ำฯ ไปใช้วัดพระมงคลบพิตรแทน
สมัยรัชกาลที่ ๖ ราวเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ระหว่างเสด็จเปลี่ยนพระราชอิริยาบถที่พระราชวังบางปะอิน ได้มีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะเสด็จไปประทับพักแรมที่ป้อมเพชร ทางราชการมณฑลกรุงเก่าจึงสร้างพลับพลารับเสด็จที่ป้อมเพชร กรุงเก่านั้น และทรงประทับแรม ๑ ราตรี โปรดให้ผู้สืบสกุล “ณ ป้อมเพ็ชร์” (ปัจจุบันนิยมเขียน “ณ ป้อมเพชร”) เข้าเฝ้าใกล้ชิดเพราะทรงถือว่าเป็นลูกหลานของ “คนใช้ในบ้าน” พระราชทานเข็ม “วชิราวุธ ป.ร.” แก่ผู้เข้าเฝ้าตามควรแก่ฐานะ[16]
จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องวีรกรรมสมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี วาดในสมัยรัชกาลที่ ๗ โดยพระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)
สมัยรัชกาลที่ ๗ ได้มีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารที่สร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๔ โดยช่างวาดคือ “มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)” แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนหน้าจะเกิดการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เพียงไม่กี่เดือน ภาพจิตรกรรมที่พระยาอนุศาสน์จิตรกรวาดไว้นี้เป็นภาพเล่าเรื่องพระราชพงศาวดารเหตุการณ์วีรกรรมสมเด็จพระนเรศวร จัดเป็นภาพจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศและเป็นภาพที่สร้างความทรงจำรับรู้เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรกับประวัติศาสตร์สงครามไทยรบพม่าอย่างมาก เพราะบรรดาตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยต่างก็นิยมใช้ภาพจิตรกรรมนี้ไปเป็นภาพประกอบ
จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องสมเด็จพระนเรศวรกระทำพิธีปฐมกรรมพระยาละแวก วาดโดยพระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) สมัยรัชกาลที่ ๗
โดยเฉพาะภาพการทำยุทธหัตถี และในช่วงหลังมานี้ภาพการตัดศีรษะพระยาละแวกเอาเลือดไปล้างพระบาท ที่ถูกนำมาผลิตซ้ำแพร่หลายในช่วงที่มีสงครามและความขัดแย้งกับกัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ ก็เป็นภาพความทรงจำที่ถูกสร้างขึ้นจากภาพจิตรกรรมวัดสุวรรณดารารามแห่งนี้ โดยที่ผู้คนมักเข้าใจกันไปว่าเป็นภาพจิตรกรรมสมัยอยุธยา และใช้กันราวกับเป็นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ แต่แท้ที่จริงแล้วภาพดังกล่าวเป็นภาพที่เพิ่งวาดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๗ นี้เอง แถมเป็นภาพในจินตนาการและถึงแม้จะอิงเนื้อเรื่องจากพระราชพงศาวดาร แต่พระราชพงศาวดารที่ผู้วาดภาพอ้างอิงนั้นก็เป็นพระราชพงศาวดารที่แต่งขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ไปอีก
(๕) วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา หลังการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
งานกฐินหลวงวัดสุวรรณดารารามที่ริเริ่มรื้อฟื้นขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่สืบมาระยะหนึ่ง ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของอยุธยาที่นอกเหนือจากงานคล้องช้าง[17] ทั้งงานคล้องช้างที่เพนียดสวนพริกและงานกฐินหลวงวัดสุวรรณดาราราม ล้วนแต่เป็นงานที่ปรีดี พนมยงค์ ได้เห็นและสัมผัสมาในช่วงวัยเยาว์ก่อนหน้าที่จะได้ทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศส และก่อตั้งคณะราษฎรขึ้นทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลังการอภิวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๕ การพระราชทานพระกฐินหลวงได้ยกเลิกไปโดยปริยาย เพราะไม่มีเจ้านายจะเป็นประธานการจัดงานหรือผู้อำนวยการจัดงานเหมือนอย่างแต่ก่อน มาได้รับการรื้อฟื้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ นับแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ก็ในสมัยปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ในช่วงนี้ได้เกิดคติเกี่ยวกับ “วัด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นผลให้วัดเป็นสถานที่พิธีกรรมทางศาสนาที่ประชาชนคนในชุมชนละแวกย่านที่วัดตั้งอยู่เป็นผู้มีบทบาทหลักในฐานะเจ้าของวัด ไม่ใช่ของเจ้านายชั้นสูง ขุนนาง คหบดีที่มั่งคั่ง เหมือนดังแต่ก่อน
ในสมัยปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยา ตลอดถึงการที่ต้องทำนุบำรุงวัดสำคัญในอยุธยา ถึงแม้ว่าปรีดี พนมยงค์ อาจไม่ได้ให้สร้างสิ่งปลูกสร้างอาคารสถาปัตย์อย่างใดขึ้นให้กับวัด เฉกเช่นที่อดีตเจ้านายเคยกระทำมาก่อน แต่อย่างที่บอกว่า วัดไม่ใช่แค่สถานที่ สิ่งที่ทำให้วัดเป็นวัด (ตามแบบที่เรารับรู้และเข้าใจกันในปัจจุบันนี้) คือประเพณีพิธีกรรม สิ่งนี้เองนำไปสู่การรื้อฟื้นประเพณีการทอดกฐินหลวงที่วัดสุวรรณดารารามและวัดสำคัญอื่นๆ มาประดิษฐ์ใหม่ในช่วงหลังการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
(๖) วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา เมื่อครั้งปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (+เสรีไทย)
ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่อยุธยากำลังมีโครงการปรับปรุงเกาะเมืองในสมัยปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่นั้น ก็ได้เริ่มจัดให้กฐินหลวงจากกรุงเทพฯ ไปทอด ณ พระนครศรีอยุธยา ตามหลักฐานที่ปรากฏว่าได้จัดขั้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒-๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓[18] เป็นที่น่าเสียดายว่า เอกสารไม่ได้ระบุกฐินหลวงปีดังกล่าวนี้จัดไปยังวัดไหนในพระนครศรีอยุธยา ไม่น่าใช่ที่วัดสุวรรณดาราราม อาจเป็นที่วัดพนมยงค์หรือวัดอื่นๆ เพราะช่วงนั้นปรีดี พนมยงค์ ยังไม่ได้รับมติจากสภาผู้แทนราษฎรให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปเป็น “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” จึงยังไม่มีสิทธิอำนาจที่จะไปข้องเกี่ยวกับวัดสุวรรณดาราราม
ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้เป็นผู้จัดอำนวยความสะดวกแก่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา) และคณะ ซึ่งประกอบด้วย อธิบดีกรมชลประทาน ประธานสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ศาลแพ่ง และศาลอาญา เดินทางไปประกอบพิธีทอดกฐินที่อยุธยา ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ นอกจากวัดสุวรรณดารารามแล้ว คณะของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา) ยังได้มีกฐินพระราชทานไปยังวัดสำคัญต่างๆ ทั้งในย่านเกาะเมืองอยุธยาและรอบนอก อาทิ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติที่บางปะอิน, วัดวรนายกรังสรรค์ที่บางปะหัน, วัดเสนาสนาราม วัดพนัญเชิง วัดพรหมนิวาศ และวัดหน้าพระเมรุ ในย่านตัวเมืองอยุธยา เป็นต้น[19]
การทอดกฐินหลวงวัดสุวรรณดารามเกิดขึ้นจริงจังใน พ.ศ. ๒๔๘๖ เมื่อปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้เดินทางไปเป็นประธานงานทอดกฐินหลวงด้วยตนเอง การณ์นี้นายเฉลียว ปทุมรส ในฐานะรองเลขาธิการสำนักพระราชวังได้มีหนังสือไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ แจ้งเรื่องที่ปรีดี พนมยงค์ จะเดินทางไปเป็นประธานงานทอดกฐินหลวงวัดสุวรรณดาราราม อยุธยา ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๖ ให้กระทรวงมหาดไทยช่วยจัดเจ้าหน้าที่ปกครองและตำรวจมารักษาความปลอดภัย และยังขอให้ช่วยจัดหา “เครื่องบรรเลง” ในวันงานพิธีอีกด้วย[20] ปรากฏหลักฐานตามเอกสารกระทรวงมหาดไทย (หจช. มท.) ดังนี้:
(ตราครุฑแดง)
ที่ ม. /๑๙๓๒/๒๔๘๖
สำนักพระราชวัง
๒๒ ตุลาคม ๒๔๘๖
เรื่อง ฯพนะฯ ท่านปรีดี พนมยงค์ จะนำผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอด
จาก เลขาธิการพระราชวัง
ถึง ปลัดกระทรวงมหาดไทย
ฯพนะฯ ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเหร็ดราชการแทนพระองค์ จะนำผ้าพระกฐินหลวงพระราชทานไปทอดที่วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครสรีอยุธยา ในวันที่ ๑ พรึสจิกายน ๒๔๘๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. ฉะนั้น จึ่งเรียนมาเพื่อขอได้โปรดสั่ง-
๑.เจ้าหน้าที่ปกครองท้องที่ และตำหรวด เพื่อปติบัติการตามหน้าที่
๒.จัดเครื่องบรรเลงในจังหวัดพระนครสรีอยุธยา ไปบรรเลงในการนี้
ทั้งนี้ ถ้าขัดข้องประการใดขอซาบ
ขอสแดงความนับถือหย่างสูง
(ลายมือชื่อ)
(นายเฉลียว ปทุมรส)
รองเลขาธิการพระราชวังลงชื่อแทน
ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย เพื่อจะไปโจมตีอังกฤษที่พม่าและอินเดีย ถึงแม้ว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะบอกว่าการอนุญาตให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยนี้ไม่ได้ถือเป็นการเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ แต่ผู้รักชาติจำนวนมากเห็นว่าการยอมให้ญี่ปุ่นทำเช่นนั้นเท่ากับประเทศไทยถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุ่น จึงคิดอ่านต่อต้านญี่ปุ่น ปรีดี พนมยงค์ และคณะตอนนั้นก็เห็นพ้องด้วยกับเหล่าเสรีชนผู้รักชาติบ้านเมืองสมัยนั้น จึงได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมาดำเนินงานอย่างปิดลับ[21]
โดยที่ในขบวนการเสรีไทยได้เปิดรับฝ่ายเจ้านายและกลุ่มกษัตริย์นิยมเข้ามาร่วมด้วย กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียนนอก สายอเมริกามีหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้นำ สายอังกฤษมีหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ เป็นผู้นำ[22] ปรีดี พนมยงค์ จึงต้องการใช้การรื้อฟื้นประเพณีสำคัญอย่างการทอดกฐินหลวงวัดประจำราชวงศ์เป็นสื่อในการเชื่อมโยงเจ้านายและกลุ่มกษัตริย์นิยมที่เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย
กลุ่มหลังนี้แต่เดิมก่อนหน้านั้นเคยถูกปราบปรามจนต้องถอยฉากกันไปนับแต่เหตุการณ์กบฏบวรเดชเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งตามติดมาด้วยกรณีการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ ตลอดจนการปราบปรามกลุ่มกษัตริย์นิยมในช่วงแรกเริ่มที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นสู่อำนาจในฐานะ “ผู้นำชาติ” (เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย และ “พิบูลตลอดกาล”)
การที่กลุ่มกษัตริย์นิยมได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ไม่เพียงแต่เป็นการเข้ามามีบทบาทกอบกู้บ้านเมืองจากกองทัพญี่ปุ่น หากแต่หลังสิ้นสงคราม พวกเขายังได้เข้าสู่เวทีการเมืองไทยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ศัตรูที่พวกเขามุ่งหมายกำจัด กลับไม่ใช่คณะราษฎรฝั่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เป็นความย้อนแย้งแบบ “พีคในพีค” ก็คือพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของปรีดี พนมยงค์ เป็นศัตรูฉกาจที่ต้องจัดการให้พ้นทาง เพราะเห็นว่าเป็นฝ่ายก้าวหน้าในสมัยนั้น
ขณะที่กลุ่มจอมพล ป. พิบูลสงคราม พวกเขามองว่ายังสามารถจะประนีประนอมได้ ดังที่จะเห็นได้จากการที่กลุ่มนี้เมื่อประสบความสำเร็จในการทำรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ แล้ว ก็ได้นำจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ถึงแม้ว่าฝ่ายจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อคราวเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๗) จะเคยปราบปรามพวกเขาด้วยกำลังความรุนแรงมาก่อน และปรีดี พนมยงค์ จริงๆ เป็นผู้นำพาพวกเขากลับคืนสู่เวทีการเมืองอีกครั้งก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การที่อดีตมันสมองของการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ อย่างปรีดี พนมยงค์ ได้รับมติและความสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น เป็นเรื่องหนึ่งที่สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มกษัตริย์นิยมอย่างมาก เพราะเป็นตำแหน่งสูงยิ่งกว่านายกรัฐมนตรี และพวกเขามองเป็นตำแหน่งเฉพาะสำหรับคนชั้นสูงที่พวกตนยกย่อง ไม่ได้คำนึงถึงคุณสมบัติหรือความเหมาะสมด้านอื่น[23]
(๗) บทสรุปและส่งท้าย
แม้ว่าความพยายามในการรื้อฟื้นประเพณีทอดกฐินหลวงวัดสุวรรณดาราราม อยุธยา โดยปรีดี พนมยงค์ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ควบคู่กับเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยสายในประเทศ ปรีดีอาจไม่ประสบผลสำเร็จในการรวมศูนย์ความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากฝ่ายกษัตริย์นิยม
การนำเอาพวกเขากลับคืนสู่บทบาทในฐานะเสรีไทย กลับนำมาซึ่งผลร้ายแก่ปรีดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์กรณีสวรรคต เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ฝ่ายกษัตริย์นิยมเป็นกลุ่มหลักที่นำเอาเรื่องนี้ไปใช้เป็นประเด็นโจมตีปรีดี พนมยงค์ สร้างภาพปรีดี พนมยงค์ เป็น “ปีศาจทางการเมือง” (Political demonization)[24]
แทนที่จะเป็นผู้ฟื้นฟูและปรับปรุงบทบาทของพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนกลุ่มกษัตริย์นิยมดังที่ควรจะเป็นได้ในอีกมุมหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าประเพณีพิธีกรรมสำคัญอย่างการทอดกฐินหลวงวัดประจำราชวงศ์โดยตรงอย่างวัดสุวรรณดาราราม อยุธยา นั้น ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้มีบทบาทในการรื้อฟื้นกลับมาใหม่ แต่พวกเขากลับทำเป็นลืมเรื่องแบบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น แนวคิดเกี่ยวกับ “วัด” ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว โดยการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ได้มีส่วนสำคัญในการปรับเปลี่ยนความหมายของ “วัด” จากเดิมที่วัดเป็น “วัดประจำตระกูล” มาสู่ “วัดประจำชุมชน” วัดไม่ใช่สมบัติพัสถานของขุนนาง เจ้านาย หรือคหบดีที่มั่งคั่ง เหมือนเช่นในอดีต หลังการอภิวัฒน์ “วัด” ได้เปลี่ยนมาเป็น “สมบัติของราษฎรในท้องถิ่น” ซึ่งความหมายอย่างหลังนี้ทำให้วัดกับพระภิกษุสงฆ์ต้องยึดโยงบทบาทตัวตนเข้ากับประชาชนในพื้นที่ที่วัดตั้งอยู่ ไม่ได้ยึดโยงแต่กับเจ้านายผู้มีอำนาจหรือผู้มั่งคั่งจากส่วนกลาง ไม่เว้นแม้แต่วัดประจำราชวงศ์อย่างวัดสุวรรณดาราราม ก็เปลี่ยนมาเป็นวัดของชาวพระนครศรีอยุธยา
แม้ว่าจะมีบางวัดที่ยังคงต้องยกย่องไว้ในฐานะ “วัดหลวง” แยกจาก “วัดราษฎร์” แต่นัยความหมายก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่มีวัดหลวงแบบจารีตเก่าที่ประชาชนไม่มีสิทธิย่างกรายเข้าไปหรือวัดที่สงวนไว้เฉพาะพระมหากษัตริย์กับเจ้านายมาประกอบพระราชพิธี วัดแบบนั้นนอกจากบางวัดในกรุงเทพฯ แล้ว ที่หัวเมืองอื่นคำว่า “วัดหลวง” แทบไม่มีความหมายมากไปกว่าการเป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับอดีตพระมหากษัตริย์ ในเชิงรูปธรรมก็มีเพียงใบสีมาคู่ที่เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ความสำคัญในแบบดังกล่าว แต่ไม่ใช่วัดที่มีใบสีมาคู่ทุกวัดจะยังคงเป็น “วัดหลวง” ยิ่งเมื่อเกิดคำว่า “วัดประจำรัชกาล” ด้วยแล้ว คำว่า “วัดหลวง” ยิ่งไม่มีนัยความหมายทางปฏิบัติที่ผิดแผกแตกต่างไปกว่า “วัดราษฎร์”
“วัดหลวง” ในต่างจังหวัด ในทางกายภาพและขนบธรรมเนียมปฏิบัติจึงเท่ากับ “วัดราษฎร์” แน่นอนย่านเมืองเก่าอย่างอยุธยา (หรือเมืองอื่นใดก็ตามในสยามประเทศ) กรณีวัดที่มีใบสีมาคู่ แต่ไม่ได้เป็น “วัดหลวง” ในปัจจุบัน ก็แค่เป็นร่องรอยหลักฐานว่าในอดีตเคยเป็นวัดที่สร้างหรือได้รับการทำนุบำรุงจากเจ้านายชนชั้นนำเท่านั้นเอง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อประเทศยังเป็นของประชาชน ประชาชน (หรือคำเดิมรุ่นหลัง ๒๔๗๕ คือคำว่า “ราษฎร”) เป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยสูงสุด ดังนั้น วัดโดยหลักการแล้วก็จึงต้องเป็นของประชาชนเช่นกัน
เมื่อเกิดคติเกี่ยวกับ “วัด” ใหม่เช่นนี้แล้ว ปรีดี พนมยงค์ หรือราษฎรสามัญชนผู้ใดก็ตามที่ได้รับความเคารพจากประชาชนในท้องถิ่นที่วัดตั้งอยู่ จึงอาจเป็นประธานในพิธีกรรมของทางวัดได้เป็นปกติ สิ่งนี้ที่เราประสบพบเห็นเป็นประจำในปัจจุบัน เราอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ในอดีตก็เคยเป็นมาเช่นนี้ตลอด แต่ที่จริงไม่ใช่ วัฒนธรรมประเพณีแบบนี้เพิ่งเริ่มมีขึ้นก็หลังเกิดการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ แล้ว ไพร่ราษฎรถึงสามารถเป็นเจ้าของวัดได้ หรือคำกล่าวที่ว่า “วัดเป็นของชุมชน” นั้นเพิ่งจะปรากฏเป็นจริงก็หลัง ๒๔๗๕ เป็นต้นมา
เชิงอรรถ
[1] วิชัย ภู่โยธิน. “เด็กชายปรีดีที่โรงเรียนวัดศาลาปูน” https://pridi.or.th/th/content/2020/11/514 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓).
[2] ปรีดี พนมยงค์. “การพระราชทานนามสกุล “ณ ป้อมเพ็ชร์” https://pridi.or.th/th/content/2025/06/2532 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๘).
[3] ดูรายละเอียดสงครามกลางเมืองนี้ใน กำพล จำปาพันธ์. พระเจ้าท้ายสระฉบับพรหม (ไม่) ลิขิต: การเมืองการค้าอยุธยาก่อนเสียกรุงฯ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2566.
[4] ในที่นี้ผู้เขียนใช้ฉบับ อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๕.
[5] พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เจ้าชีวิต: พงศาวดาร ๙ รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์, ๒๕๕๔), หน้า ๖๖-๖๗.
[6] ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนจีนและชาวต่างชาติกลุ่มต่างๆ ในอยุธยาดู กำพล จำปาพันธ์ และโมโมทาโร่. Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษา และโลกาภิวัตน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๖๖.
[7] กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. “พนมยงค์ มาจากไหน? จากผู้ดีกรุงศรีถึงรัฐบุรุษนาม ‘ปรีดี พนมยงค์‘ เกี่ยวข้องกับ ‘พระเจ้าตาก’ อย่างไร” https://www.silpa-mag.com/history/article_36584 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘).
[8] กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๔. (กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๘), หน้า ๒๔๔.
[9] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา (ผู้สัมภาษณ์). ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สร้างสรรค์, ๒๕๕๒), หน้า ๓๘.
[10] ขุนศารทประภาศึกษากร. ประวัติวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. (พระนครศรีอยุธยา: อักษรศิลป์การพิมพ์, ๒๕๐๙), หน้า ๔-๕.
[11] น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฏะ). วัดสุวรรณดาราราม. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๕), หน้า ๘๕-๙๐.
[12] พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. (พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนกร, ๒๔๗๓), หน้า ๔-๕.
[13] พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์). อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์และภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา. (กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๕๐), หน้า ๔๖.
[14] กิตติ ภู่พงษ์วัฒนา. “การปรับปรุงเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาในสมัย ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ใน บุหงา วัฒนะ และคณะ (บก.). ๑๐๐ ปีชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ปูชนียบุคคลของโลก. (พระนครศรีอยุธยา: สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, ๒๕๔๓), หน้า ๑๔๘-๑๕๒.
[15] พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๑๐-๑๑.
[16] ปรีดี พนมยงค์. “การพระราชทานนามสกุล “ณ ป้อมเพ็ชร์” https://pridi.or.th/th/content/2025/06/2532 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๘).
[17] อิทธิพลของประเพณีการคล้องช้างต่อชาวเมืองอยุธยาในช่วงก่อนอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ นั้น ผู้เขียนเคยนำเสนอไว้แล้วใน กำพล จำปาพันธ์. “ในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” มีบันทึกประวัติศาสตร์การคล้องช้างครั้งสุดท้ายที่แท้จริง” https://pridi.or.th/th/content/2025/06/2499 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568).
[18] หจช. มท. ๒.๒.๕/๔๖๐ เรื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปทอดกฐินพระราชทาน ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พ.ศ.๒๔๘๓).
[19] หจช. มท. ๒.๒.๕/๔๖๒ เรื่องคณะกรรมการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รายงานการต้อนรับและอำนวยความสะดวกแด่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า อธิบดีกรมชลประทาน ฯลฯ ซึ่งเสด็จนำผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอด ณ วัดต่างๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พ.ศ.๒๔๘๔).
[20] หจช. มท. ๒.๒/๓๔๗ เรื่อง ฯพณฯ ท่านปรีดี พนมยงค์ จะนำผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดที่วัดสุวรรณดาราราม (พ.ศ.๒๔๘๖).
[21] เรื่องนี้ปรีดีเล่าไว้ใน ปรีดี พนมยงค์. บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, ๒๕๖๓.
[22] เรื่องราวของเสรีไทย ๒ สายนี้ดูใน นายฉันทนา (มาลัย ชูพินิจ). X.O. Group เรื่องราวภายในขบวนเสรีไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์กระท่อม, ๒๕๔๔.
[23] ปรีดีเป็นบุคคลแรกๆ ที่นิยามเรียกคนเหล่านี้ว่า “Ultra-royalist” (ผู้เกินกว่าราชา หรือพวกคลั่งเจ้า) ดูรายละเอียดประเด็นนี้ใน สุพจน์ ด่านตระกูล. รวมบทความบางเรื่องของนายปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยและการร่างรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สันติธรรม, ๒๕๑๘.
[24] ดูการศึกษาประเด็นนี้ใน มรกต เจวจินดา. ภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ.๒๔๗๕-๒๕๒๖. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปี รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์, ๒๕๔๓.