ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

มิตร ศัตรูในฐานะความเป็นการเมือง (the political)

14
กันยายน
2568

การแยกมิตร/แยกศัตรูไม่เพียงเป็นปัญหาของสังคมไทยหรือสังคมโลกเท่านั้น แต่อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ในทางทฤษฎีการเมืองที่ดำรงอยู่ ณ ใจกลางชีวิตทางการเมืองทีเดียว ขนาดที่นักทฤษฎีการเมืองคนสำคัญผู้หนึ่งเห็นว่า การแยกมิตร/แยกศัตรูมิใช่อะไรอื่น แต่คือสิ่งที่นิยามความเป็นการเมือง (the political) ทีเดียว

Carl Schmitt (๑๘๘๘-๑๙๘๕) เขียนงานชิ้นสำคัญเมื่อปี ๑๙๒๗ ซึ่งปรากฏครั้งแรกในรูปบทความ วารสาร แต่ต่อมาได้แก้ไขอีกหลายครั้งจนตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันที่มิวนิคเมื่อปี ๑๙๓๒ งานชิ้นนี้ชื่อ The Concept of the Political โดย Schmitt เริ่มต้นจากการปฏิเสธว่า รัฐเท่ากับการเมือง เขาตั้งคำถามว่าการเมืองคืออะไร แต่ก็มิได้มองการเมืองในแง่วิถีชีวิตหรือระบบสถาบันใดๆ หากแต่ตั้งคำถามนี้โดยเชื่อว่ามีเกณฑ์บางอย่างในการตัดสินใจแต่ละประเภท เช่น เกณฑ์แบ่งแยกความดี/ความชั่วเป็นรากฐานของการชี้ว่าศีลธรรมคืออะไร ในขณะที่สุนทรียศาสตร์อาศัยเกณฑ์แบ่งแยกระหว่างความงามกับความอัปลักษณ์เป็นสำคัญ ในแง่นี้ Schmitt เห็นว่า เกณฑ์ที่สำคัญซึ่งเป็นรากฐานของความเป็นการเมือง คือ เกณฑ์แบ่งแยกมิตรออกจากศัตรู เขาเขียนว่า

 

Carl Schmitt
ที่มา : Democracy Paradox

 

“ การแบ่งแยกทางการเมืองแบบเฉพาะพิเศษที่เป็นตัวตัดสินกิจกรรมและแรงจูงใจทางการเมือง คือ การแยกมิตรจากศัตรู....การแยกมิตร/แยกศัตรูบ่งถึงการรวมตัวหรือการแบ่งแยกระดับสูงสุด....การแบ่งแยกดังกล่าวดำรงอยู่ได้ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ…ศัตรูทางการเมืองไม่จำเป็นต้องชั่วร้ายในทางศีลธรรมหรืออัปลักษณ์ในเชิงสุนทรีย์ เขาอาจไม่ต้องปรากฏในฐานะคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่จริงอาจเป็นคุณด้วยซ้ำหากร่วมงานธุรกิจกับเขา แต่อย่างไรก็ตามศัตรูก็คือคนอื่น (the other) เป็นผู้แปลกหน้า และในแง่ที่เข้มข้นพิเศษก็เพียงพอแล้วที่เขาจะแตกต่างและเป็นตัวประหลาดต่างด้าวต่างแดน (alien) โดยธรรมชาติของเขาเองทั้งนี้เพื่อว่า ในกรณีสุดโต่ง ความขัดแย้งกับเขาจะได้เป็นไปได้”

Schmitt อธิบายว่า ความเป็นการเมืองที่ถือการแยกมิตร/แยกศัตรูเป็นหัวใจนี้ มิได้หมายความว่า จะทำให้สังคมการเมืองต้องอยู่ในสภาพสงครามตลอดไป สงครามมิใช่เป้าหมายหรือเนื้อหาของการเมือง แต่สงครามในฐานะสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในบัดดลจะกำหนดวิถีที่มนุษย์คิดและกระทำ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่า โลกที่ไร้สงครามคือโลกที่มีแต่สงบ สันติ จะเป็นโลกที่ปราศจากความแตกต่าง แบ่งแยกระหว่างมิตรกับศัตรู และดังนั้นก็จะกลายเป็นโลกที่ปราศจากการเมืองไปด้วย แม้โลกแห่งสันติที่ว่าจะยังคงมีการแข่งขัน ข้อขัดแย้งที่น่าสนใจเพียงใด แต่ก็จะเป็นโลกที่ "ปราศจากตัวบทแย้งที่มีความหมาย" (meaningful antithesis) ชนิดที่จะเอื้อให้มนุษย์ต้องยอมสละชีวิตของตัว มีสิทธิธรรมที่จะหลั่งเลือดและสังหารมนุษย์อื่นได้ สำหรับนิยามความเป็นการเมืองแล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญแม้แต่น้อยว่าโลกที่ปลอดจากการเมืองเช่นนั้นจะเป็นโลกที่น่าพึงปรารถนาในฐานะสภาพอุดมคติเพียงใด

แนวคิดที่ Schmitt คิดว่าอยู่ตรงข้ามกับสภาพการแยกมิตร/แยกศัตรู คือ แนวคิดเรื่อง “ความเป็นมนุษย์" (humanity) เขาเขียนว่า “มนุษยชาติไม่อาจทำสงครามกันได้เพราะ (ภายใต้) ความเป็นมนุษย์ไม่มีศัตรู อย่างน้อยก็ไม่ใช่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ แนวคิดเรื่องความเป็นมนุษย์ (ของทุกคน) ไม่รวมแนวคิดเรื่องศัตรูเพราะศัตรูไม่ยอมหมดความเป็นมนุษย์ และดังนั้นจึงไม่มีการแบ่งแยกเฉพาะพิเศษในตัวแนวคิดแห่งความเป็นมนุษย์นั้น

ทัศนะของ Schitt เป็นทัศนะที่สำคัญและน่าตระหนกไปพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้น Schmitt ยังดำเนินชีวิตโดยนำแนวคิดทางการเมืองของเขาไปรองรับให้ความชอบธรรมกับพรรคนาซีในเยอรมันภายใต้อำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โดยได้รับการอุปถัมภ์ของ Hermann Goring เขากลายเป็นสมาชิกสภารัฐปรัสเซียและศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เขาเขียนงานหลายชิ้นสนับสนุนการต่อต้านชาวยิวถึงขั้นเสนอให้ห้องสมุดในเยอรมันทิ้งหนังสือที่แต่งโดยคนยิวให้หมดและเสนอมิให้ปัญญาชนเยอรมันอ้างอิงงานของนักคิดนักเขียนชาวยิว เมื่อสิ้นสงครามเขาถูกฝ่ายพันธมิตรจับกุม ถูกสอบสวนที่นเรมเบิร์กและที่สุดก็ถูกปล่อยตัว ที่น่าสนใจยิ่งคือในระยะหลังนี้ความคิดของ Schmitt เป็นที่สนใจกันทั่วไป มีสำนักพิมพ์ต่างๆ ตีพิมพ์งานเขียนทางวิชาการต่างๆ ทั้งที่เป็นของเขา และที่นักวิชาการต่างๆ เขียนถึงตลอดจนวิเคราะห์ผลงานของเขามากมาย

ในความเห็นของข้าพเจ้า ทฤษฎีการเมืองของ Schmitt สำคัญด้วยเหตุผลอย่างน้อย ๓ ประการ คือ

ประการแรก การเสนอให้คิดถึงศัตรูในฐานะศัตรูสาธารณะ (public enemy) แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งชั่วร้าย อัปลักษณ์ หรือมีนัยทางลบใดๆ หมายความว่าศัตรูและคนที่เป็นศัตรูกับ “ฝ่ายเรา” นั้น ที่จริงมิใช่เรื่องดีเรื่องชั่วอะไร แต่เป็นเรื่องความจำเป็นทางการเมือง (political necessity)

ประการที่สอง เพราะการเมืองไม่อาจดำรงอยู่ได้หากปราศจากความเป็นมิตร/ศัตรู ดังนั้นในโลกทางการเมืองจึงมีกลไก แนวคิด สถาบัน วาทกรรมต่างๆ ที่กอปรกันเป็นประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และความเป็นจริงที่ต้องสถาปนาการแบ่งแยกมิตรออกจากศัตรูให้จงได้ ภายใต้กรอบความเข้าใจการเมืองนี้ มิตร/ศัตรูจะดำรงอยู่ตลอดไป ถ้าไม่มีศัตรูก็ไม่มีการเมือง Schmitt ดูจะเชื่อว่า กระทั่งการสร้างโลกก็มาจากการต่อสู้ของพระเป็นเจ้า และความขัดแย้งในหมู่มนุษย์ก็มิใช่อะไรอื่น แต่คือการแสดงออกครั้งใหม่ของการต่อสู้ของพระเป็นเจ้าผู้สาปมนุษย์ให้มีความเป็นการเมืองนั่นเอง

ประการที่สาม ซึ่งอาจจะสำคัญที่สุดคือ การดำรงอยู่ของศัตรูในฐานะความเป็นอื่นซึ่งแตกต่างนั่นเองเป็นสิ่งที่ก่อร่างสร้างรูปความเป็นตัวตนของ "เรา” กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ศัตรูในฐานะความเป็นอื่นอาจสำคัญต่อความเป็น "เรา" ยิ่งกว่ามิตรเสียอีก Schmitt เชื่อว่าการนิยามศัตรูของมนุษย์คือก้าวแรกของการนิยามตัวตนภายในของ “เรา" ตัวตนของมนุษย์ที่เป็นอยู่มิได้ก่อกำเนิดขึ้นจาก "เพราะฉันคิด ฉันจึงเป็นอยู่” เช่นที่ Descartes เข้าใจเท่านั้น แต่ Schmitt กลับ เชื่อว่า “เพราะฉันแยกตัว (จากศัตรูของฉัน) ฉันจึงเป็นอยู่ " (Distinguo ergo sum)

 

Rene descartes
ที่มา : Look and Learn

 

"ความเป็นการเมือง" (the political) เช่นนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่เพียงเป็นสิ่งปรกติ หากยังเป็นสิ่งจำเป็นแต่อันตรายยิ่ง ที่ว่าอันตรายเพราะจะเป็นความขัดแย้งระหว่างมิตรกับศัตรู โดยศัตรูจะถูกผลักออกไปจากความเป็นมนุษย์เพื่อให้เป็นอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ จะได้ขัดแย้งกระทั่งทำอันตรายหรือทำสงครามกับ "เรา” ได้ ความขัดแย้งชนิดที่อาศัยมายาการแห่งเอกลักษณ์ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่เป็นมนุษย์เช่นนี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดความรุนแรงเสมอมา เมื่อโยงการแยกมิตร/แยกศัตรูเข้ากับเรื่องความทรงจำที่กล่าวถึงข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า ทั้ง "มิตร" และ "ศัตรู" ในสังคมไทยที่ผ่านเหตุการณ์ในอดีตมาด้วยกันนั่นเอง อาจคัดเลือกความทรงจำเกี่ยวกับอดีตต่างกัน เช่น สำหรับผู้กระทำความรุนแรงร้ายกาจเมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ อาจ “จดจำ” เหตุการณ์ดังกล่าวในฐานะ “วีรกรรม” ที่ฝ่ายตัวได้ปกปักสังคมไทยให้รอดพ้นจากฝ่ายศัตรู ทั้งที่เป็นต่างด้าวและเป็นไทยที่ใจเป็นอื่น จนเป็นภัยต่อระเบียบและความมั่นคงของสังคม ในขณะที่ฝ่ายผู้ถูกกระทำจับกุมทรมานหรือผู้ที่มีเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องถูกทำร้ายก็คง “จดจำ" เหตุการณ์ดังกล่าวในฐานะการกระทำของรัฐที่อธรรม สังคมที่โหดร้าย และตนเองหรือพวกพ้องในฐานะที่เป็นเหยื่อของความโหดร้ายทารุณดังกล่าว อาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ในหมู่มิตรก็เกิด “ชุมชนแห่งความทรงจำ” (community of memory) แบบหนึ่ง ในขณะที่ “ชุมชนแห่งความทรงจำ" แบบอื่น (ซึ่งอาจเป็นแบบตรงข้ามกับแบบแรก) ก็ก่อตัวขึ้นในหมู่ศัตรูที่อยู่ตรงข้ามกับ “เรา” หากยอมรับความคิดทางการเมืองของ Schmitt ก็ต้องสรุปว่า การเมืองเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีศัตรู ปัญหามีอยู่ว่า จำเป็นต้องนิยามการเมืองเช่นที่ Schmit คิดไว้ด้วยกระนั้นหรือ การเมืองในหมู่มิตรมิใช่สิ่งที่เป็นไปได้บ้างหรือ อันที่จริง Aristotle ในหนังสือเล่มสำคัญคือ The Politics ของเขา ก็ได้อภิปรายถึงความสำคัญของมิตรภาพกับการเมืองเอาไว้เมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว

 

ผู้ชุมนุมประท้วงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทั้งหญิงและชายถูกบังคับให้ถอดเสื้อด้วยเหตุผลเพื่อความชัดเจนในการแยกแยะนักศึกษาประชาชนผู้กระทำผิดออกจากประชาชนทั่วไป

ที่มา : สารคดี ฉบับพิเศษ รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย รวม 3 เหตุการณ์สำคัญทาง “ประวัติศาสตร์” 2541

 

 

 

เมื่อย้อนมาพิจารณาความเป็นจริงในสังคมไทย อาจเป็นไปได้ว่าแม้สังคมไทยจะเปลี่ยนไปมากแล้ว สงครามอุดมการณ์ที่แบ่งแยกมิตรออกจากศัตรูจะจบลงแล้ว แต่สำหรับคนบางกลุ่ม ความทรงจำในหมู่ตนที่ต่างไปจากฝ่ายศัตรูดูจะยังอยู่ แม้ปัญหาในสังคมไทยปัจจุบันจะเป็นความขัดแย้งอันเนื่องมาแต่ปัญหาการจัดการทรัพยากร ทิศทางการพัฒนาประเทศ ผลกระทบจากอภิมหาโครงการรัฐ ปัญหาเหล่านี้ก่อความทุกข์ให้ผู้คนในสังคม และดังนั้นจึงน่าจะเห็นคนในสังคมไทยเป็นเพื่อนทุกข์มากกว่าจะเป็นศัตรู แต่ดูเหมือนความเป็นศัตรูจะยังคงอยู่ ผลก็คือความขัดแย้งชนิดที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงในจุดต่างๆ ของสังคมไทย การจะเอาชนะกรอบคิดแยกมิตรแยกศัตรูของ Schmitt อาจหมายรวมถึงการพยายามนิยามความเป็นการเมืองเสียใหม่ให้เอื้ออำนวยต่อการทำกิจการสาธารณะ (public affairs) ของปัจจุบันที่เชื่อมอดีตเข้ากับอนาคตอย่างสร้างสรรค์ได้

 

หมายเหตุ :

  • คงอักขรวิธีสะกดตามต้นฉบับ
  • ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, เรื่อง “มิตร ศัตรูในฐานะความเป็นการเมือง (the political)”, อภัยวิถี มิตร/ศัตรูและการเมืองแห่งการให้อภัย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2543), น. 19-23.

บรรณานุกรม

  • ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, เรื่อง “มิตร ศัตรูในฐานะความเป็นการเมือง (the political)”, อภัยวิถี มิตร/ศัตรูและการเมืองแห่งการให้อภัย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2543), น. 19-23.

อ้างอิง

  • ๓๑ Carl Schmitt, The Concept of the Political. (Trans., Notes and Intro.by George Schwab) With Leo Strauss' "Notes on Schmitt's Essay." (Trans.by J. Harvey Lomax) (Chicago and London : The University of Chicago Press, 1996). ข้อความในอัญประกาศอยู่ที่หน้า ๒๖-๒๗
  • ๓๒ Ibid., pp.34-35 ข้อความในอัญประกาศอยู่ที่หน้า ๓๕
  • ๓๓ Ibid., p.54
  • ๓๔ ดูประวัติย่อของ Schmitt ได้ใน Tracy B. Strong, "Foreword : Dimensions of the New Debate around Carl Schmit" in lbid., pp.ix-xii อาจจะด้วยเหตุนี้เองที่ปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้ามากมายไม่ยอมเอ่ยถึง Schmitt ทั้งที่ก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเขา แม้เมื่อ Walter Benjamin เขียนไว้ในเชิงอรรถในหนังสือของเขาถึง อิทธิพลที่ได้รับจาก Schmitt บรรณาธิการหนังสือของ Benjamin ก็ตัดเชิงอรรถของWalter Benjamin อันนั้นทิ้งไปเสีย บรรณาธิการคนหนึ่งของหนังสือภาษาเยอรมันเล่มนั้นคือ Theodor W.Adorno นักทฤษฎีเรื่องนามแห่งสำนัก Frankfurt โปรดพิจารณา Schmitt, The Concept of the Political, pp.3-4, fn.3.
  • ๓๕ โปรดพิจารณาบทวิจารณ์หนังสือต่างๆ จำนวน ๑๑ เล่ม ที่เขาเขียนและที่เขียนถึงเขา ได้ใน Mark Lilla, "The Enemy of Liberalism, The New York Review of Books. Vol.XLIV No.8 (May 15, 1997), pp.38-44.
  • ๓๖ lbid., p.44.
  • ๓๗ lbid., p.40.
  • ๓๘ ข้าพเจ้าเคยพิจารณาประเด็นนี้ไว้ในบทความชื่อ “ความรุนแรงกับมายาการแห่งเอกลักษณ์" โปรดพิจารณา ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, สันติทฤษฎี / วิถีวัฒนธรรม (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมล ดื่มทอง, ๒๕๓๙), หน้า ๓๕๕๓
  • ๓๙ โปรดพิจารณาปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยปัจจุบันทั้งในทางทฤษฎีและกรณีศึกษา ได้จาก พัชรี สิโรรส (บรรณาธิการ) และ ทวิดา กมลเวชช (บรรณาธิการผู้ช่วย), ความขัดแย้งในสังคมไทยยุควิกฤตเศรษฐกิจ (กรุงเทพฯ : โครงการปริญญาโทสำหรับ นักบริหาร สาขาบริหารรัฐกิจ (EPA) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๒)