ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

พระเจ้าช้างเผือก ตอนที่ 1 : ราชอาณาจักรอโยธยาอันเก่าแก่

26
กันยายน
2568

ภาพวาด “ยูเดีย” (IUDEA) อันหมายถึงอาณาจักรอยุธยา โดยโยฮันเนส วิงโบนส์ 
ในช่วงต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นภาพจำลองของอาณาจักรแห่ง 
“พระเจ้าช้างเผือก”

 

นวนิยายของเราเริ่มเรื่องขึ้น ณ เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรไทย อันมีนามว่า อโยธยา ในปีพุทธศักราช ๒๐๘๓ ในรัชสมัยของยุวกษัตริย์ จักรา

ราชอาณาจักร “ไทย” นั้นหมายความว่า “ราชอาณาจักรของประชาชนที่เป็นไท” คนไทยซึ่งมีความรักในอิสระเสรีภาพส่วนบุคคลและของชาติได้พากันอพยพลงมาจากเทือกเขายูนนานอันไกลโพ้น เนื่องจากถูกจีนรุกรานทีละน้อยๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ และได้มาตั้งถิ่นฐาน ณ กรุงสุโขทัย เป็นเวลาหนึ่งศตวรรษ หลังจากนั้นก็เคลื่อนลงมาทางใต้สู่อ่าวไทยซึ่งเป็นพรมแดนทางใต้ของแหลมอินโดจีน

ณ ที่นี้รัฐอิสระซึ่งปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชก็ได้บังเกิดขึ้น หากแต่เป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชซึ่งกอปรขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และพระขันติธรรมของพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา โดยมีความสำนึกในความเป็นชาติอันแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจของบรรดาประชาราษฎร์เป็นเครื่องรองรับ

อโยธยา เป็นคำในภาษาบาลีโบราณ หมายความว่า ปราศจากสงคราม นั่นคือ สันติภาพ ซึ่งเป็นเพียงสัญลักษณ์และความปรารถนาที่มิอาจเป็นความจริงขึ้นมา ทั้งนี้เพราะกรุงอโยธยาประสบกับชะตากรรมที่ผันแปรหลายครั้ง จนกระทั่งในที่สุดก็ถูกกษัตริย์หงสาทำลายลงจนหมดสิ้นในปีพุทธศักราช ๒๓๑๐

 

แผนที่อาณาจักรอโยธยา จากภาพยนตร์ “พระเจ้าช้างเผือก”
ที่มา : Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)

 

เป็นที่เล่าสืบกันต่อมาว่าเมืองหลวงอโยธยาแห่งนี้ พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้นประมาณปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ ณ บริเวณที่แม่น้ำแม่สักไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรไทย ซึ่งไหลลงมาทางตอนใต้ลงสู่ทะเลจีน ณ บริเวณที่ราบไกลออกไป จะมองเห็นภูเขาทอง อันเป็นภูเขาที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ตามขนบธรรมเนียมแต่เก่าก่อนที่ถือกันว่า จะต้องสร้างภูเขาทองไว้ในเมืองสำคัญๆ

เมืองหลวงแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะอันมีการป้องกันแข็งแกร่ง มีพระราชวังอยู่ภายในโดยมีกำแพงล้อมรอบ ตามแบบแผนของชาวมงโกเลีย ทั้งนี้ รวมถึงกรม กอง ที่ทำการของราชการและวัดวาอาราม ฯลฯ ส่วนอาณาเขตนอก พระนครเป็นที่ที่จัดสรรไว้ให้กับชาวต่างชาติที่มาตั้งรกราก ณ กรุงอโยธยา

แม่น้ำทั้งสองสายเป็นเส้นทางสำคัญในการสัญจรไปมาของราษฎรทั้งกลางวันและกลางคืน เรือลำน้อยเหล่านั้นแม้จะโคลงเคลงไปมา ก็ยังบรรทุกของจนเพียบแปร้ มีทั้งผลไม้ หมาก ปลาเค็ม เสื้อผ้าและเครื่องตกแต่งบ้านที่ทำจากไม้ เรือแล่นสวนกันไปมาอย่างช้าๆ ด้วยฝีมือคัดท้ายอันเชี่ยวชาญของคนพายเรือ จึงไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ทั้งสองฟากของลำน้ำเต็มไปด้วยเรือนแพ แลดูเหมือนกับสิ่งก่อสร้างขนาดเขื่องตั้งอยู่บนเรือท้องแบนและเนืองแน่นไปด้วยตลาดที่ได้ยินเสียงผู้คนเซ็งแช่ แต่ไม่มีท่าจอดเรือ ทั้งนี้เพราะผู้คนที่อาศัยตามริมแม่น้ำก็ถือสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ฝั่งตรงข้ามกับเรือนแพของตน ระหว่างฝั่งน้ำและตัวเรือนแพ จะมีสะพานทอดข้าม ตัวเรือนแพจะถูกล้อมรอบด้วยเรือสำปั้นลอยติดกันเป็นแพแน่นขนัด จนดูเหมือนแทบจะชนกัน ผู้ที่ต้องการข้ามแม่น้ำจะเลือกเรือลำที่ต้องการโดยคนพายเรือจะนั่งอยู่ท้ายเรือดูท่าทางมั่นอกมั่นใจ บางทีคนพายเรือ จะต้องเดินข้ามเรือหลายๆ ลำที่มีของอยู่เพียบน้ำ เมื่อแลดูเรือที่โคลงเคลงไปมาแล้วน่ากลัวเสียเหลือเกินว่าเขาจะพลาดเสียหลักได้ แต่ทั้งนี้ทุกคนในสังคมที่อยู่กับน้ำ ว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เล็กจึงไม่มีใครกลัวเรื่องตกน้ำ หากมีใครหล่นลงน้ำก็จะเรียกเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานได้เท่านั้น

กรุงอโยธยานับว่ามีชื่อระบือไปไกลจนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวจากเมืองจีน ซึ่งผ่านมาทางเทือกเขาตอนเหนือ เป็นที่รู้จักของชาวต่างถิ่นจากอินเดียที่ผ่านมาทางป่าดงดิบทางด้านตะวันตกและเป็นที่รู้จักสำหรับชาวยุโรป ซึ่งบางครั้งอาจหลงทางอยู่หลายวันในภูมิภาคอันไกลโพ้นส่วนนี้ของโลก ชาวยุโรปเหล่านี้เดินทางมาเพื่อค้าขาย

ประตูและหน้าต่างของวัดวาอารามประดับประดาไปด้วยกระจกหุงหลายหลากสี เมื่อยามต้องแสงอาทิตย์ก็ทอแสงเรืองรองระยิบระยับแพรวพราว

ตัวโบสถ์สูงและได้สัดส่วน บานประตูกว้างพอที่ฝูงชนที่แออัดเบียดเสียดกันเข้ามาบูชาพระพุทธรูปในวันเทศกาล

พระมหาวิหารมงคลบพิตรนับเป็นอารามศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและเป็นสถานที่หนึ่งที่พระเจ้าจักราโปรดเสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นนิจ หลังคาพระมหาวิหารค้ำยันด้วยเสาไม้สูงซึ่งประดับด้วยการปิดทองล่องชาดอย่างวิจิตร ตามผนังกำแพงเป็นภาพเขียน บานประตูประดับประดาเป็นลวดลายด้วยรูปแกะสลักบานหน้าต่างลงรักปิดทองเป็นรูปจำลองของเทพเจ้าทั้งดีและร้ายที่เชื่อกันว่า สถิตย์อยู่ในสรวงสวรรค์

ตรงกลางของพระมหาวิหารเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธรูป ขนาดใหญ่ซึ่งดูราวกับเป็นทองทั้งองค์ องค์พระพุทธรูปสำแดงซึ่งภูมิปัญญาความคิดและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างแท้จริงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ผู้มาสักการะบูชา และเบื้องหน้าองค์พระประธานนี่เองที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาถวายราชสักการะและทรงอธิษฐานส่วนพระองค์เป็นประจำ

 

หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

 

บรรณานุกรม :

  • ปรีดี พนมยงค์, ราชอาณาจักรอโยธยาอันเก่าแก่, พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๑-๓.