ณ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ถิ่นอีสาน อันเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ มีบ้านไม้หลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้ มีท้องนาล้อมรอบ มีสวนมะม่วง มีบ่อเลี้ยงปลา บ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยความร่มเย็นและเงียบสงบในยามเช้า ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ กระทบพื้นน้ำในบ่อเลี้ยงปลา กระทบหยดน้ำค้างบนยอดหญ้าและใบข้าว ส่งแสงระยิบระยับงามตายิ่งนัก สายลมอ่อน ๆ พัดพาใบข้าวเขียวขจี ไหวเป็นลูกคลื่นน้อย ๆ ไปทั่วท้องทุ่ง ทำให้บรรยากาศยามเช้าช่างสดชื่น สุดสวย สุดพรรณนา กลางวันเราลงเล่นน้ำในสระตกปลาบ้าง ยกยอบ้าง พายเรือเก็บสายบัวบ้าง ปีนต้นมะม่วง มะขาม ฝรั่ง บ้าง เก็บกินผลไม้ที่อยู่รอบบ้านอย่างมีความสุข ยามเมื่อตะวันจะลับทิวไม้ ฝากแสงเรื่อเรืองทาทาบขอบฟ้า ทอดลืมเลือน ยามค่ำคืน มีแสงตะเกียงให้ความสว่าง และหลับลงท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งเรไร กบเขียดขับกล่อมให้หลับไหล
ชีวิตเรียบง่าย สงบสุข และแสนสดสวยในวัยเด็กเช่นนี้ เราไม่เคยนึกฝันว่ามันจะผกผัน จนบ้านแตกสาแหรกขาด ระเหเรร่อน หนีเพื่อเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือเผด็จการ ต้องไปใช้ชีวิตที่ว่าเพื่อประชาชน เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อ… และท้ายที่สุดก็กลับมาอยู่ที่เดิมสิ้นไร้ทุกสิ่งทุกอย่าง จะว่าไปแล้วก็ดีกว่าตอนเกิดจากท้องแม่หน่อย ตรงที่มีเสื้อผ้าสวมใส่ปิดกาย ต่อสู้ชีวิตในสังคมเมืองด้วยสองมือเปล่า หาเลี้ยงตนเองตามลำพังอย่างน่าเวทนา
จำได้ว่า ตอนเล็ก ๆ เรามีพี่น้อง ๓ คน จะอยู่กับแม่เป็นส่วนใหญ่ เพราะพ่อถูกจับถูกขังครั้งละนาน ๆ ครั้งแรกเป็นกบฏแยกอีสาน ครั้งที่สองเป็นกบฏสันติภาพ แม่จะตื่นแต่เช้า ตี ๒-๓ ทำอาหารหาบไปขายตลาดเช้า ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเรา ๑-๒ กิโลเมตร เพื่อเอาเงินมาให้เรากินใช้ เรียนหนังสือ และส่งให้พ่อ บางครั้งแม่ก็ให้เราอยู่กันเอง ๓ คนพี่น้อง ส่วนแม่ไปเยี่ยมพ่อที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเราทั้งสามคนเริ่มโตเป็นวัยรุ่น พ่อก็ออกจากคุกมาอยู่ที่บ้าน ทำนาช่วยแม่หาเงิน ในช่วงนี้พ่อมีโอกาสใกล้ชิดพวกเรา “สอนพวกเราให้รักความเป็นธรรม รักการใช้แรงงาน รักผู้ใช้แรงงาน รักคนยากคนจน เกลียดการเอารัดเอาเปรียบ เกลียดการขูดรีด” ในช่วงเดียวกันนี้มีคนมาคุย มาพบปะพ่อตลอด บางครั้งพ่อออกไปที่อื่นบ่อย ๆ จะกลับมาบ้านก็ตอนกลางคืน พ่อใช้ชีวิตตนเองให้การศึกษาแก่ประชาชนโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยรายละเอียดต่าง ๆ เราไม่รู้ รู้แต่ว่าพ่อทุ่มเทกายและใจที่จะทำเพื่อประชาชนผู้ยากไร้จริง ๆ
และแล้ววันหนึ่ง พวกเราตื่นขึ้นมาตอนเช้า ตำรวจล้อมบ้านไว้หมดแล้วจับพ่อไป นั่นคือวันที่เราพบพ่อเป็นวันสุดท้าย ตำรวจได้ไปแต่ตัวพ่อไม่มีอาวุธอะไรในบ้านเลย ได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่า คราวนี้คงจะไม่รอดแน่ ในตอนนั้นมันก็จับพี่ชายคนโตไปพร้อมกับพ่อ ช่วงเย็นมันจะย้อนกลับมาเอาพี่ชายคนรองอีก พี่คนรองจึงต้องระเหเรเร่อนออกจากบ้านตั้งแต่นั้นมา ที่บ้านเหลือแม่กับน้องสาว
วันหนึ่งขณะที่แม่กับน้องสาวอยู่ในสวนมะม่วงของเราเอง มีตำรวจมาที่บ้านหนึ่งหมู่ ไม่ได้ถามอะไรเรา แต่เดินเลยไปที่สวนมะม่วงของบ้านถัดไป ทำการรัวปืนใส่ต้นมะม่วงใหญ่ทันที พอรัวใส่ไปหลายชุดก็กลับไป วันรุ่งขึ้น วิทยุและหนังสือพิมพ์ออกข่าวว่า พบสนามฝึกยิงปืนของนายครองที่…โดยมีภาพประกอบเป็นหลักฐาน จากนั้นเราก็ไม่มีปัญญาจะได้รับข่าวคราวของพ่อและพี่ชายอีกเลย นอกจากข่าวเท็จในหน้าหนังสือพิมพ์ ในช่วงนี้เราได้เห็นความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของแม่ท่านทำใจให้ยอมรับได้ และยังทำอะไรได้ตามปกติทุกอย่าง เนื่องจากบ้านเรายากจน พ่อทุ่มเทให้กับงานที่ท่านมุ่งมั่นศรัทธา จนไม่มีเวลาเอาใจใส่ครอบครัว แม่อาศัยรายได้จากการขายของในตลาดเช้าเล็ก ๆ น้อย ๆ พอมีกินมีใช้ และส่งลูกเรียน แต่ไม่มีมากพอที่จะไปตามหาพ่อ จึงได้แต่นอนรอที่บ้านตามยถากรรม
เนื่องจากบ้านเราอยู่ห่างจากตัวเมือง ๑-๒ กิโลเมตร เมื่อเราไม่ออกมาตลาดก็จะไม่รู้ข่าวอะไรเลย ก่อนวันที่พ่อจะถูกประหารชีวิต ๑ วัน น้องคนเล็กออกมาตลาดตอนบ่าย ๆ ขณะที่ขี่จักรยานผ่านสนามบิน เห็นคนเอากระสอบทรายไปวาง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็บอกกับแม่ว่ามีคนกองกระสอบทราย เขาจะเอามาประหารพ่อหรือเปล่า แม่บอกว่ามันจะทำอย่างไรก็ช่างหัวมันเถอะ ตอนเที่ยงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เสียงปืนดังรัวหลายชุด น้องคนเล็กบอกว่าเขาประหารพ่อแล้วมั้ง แม่ก็บอกว่ามันจะทำอะไรก็ได้ พ่ออยู่ในกำมือมันแล้ว ไม่นานเพื่อนบ้านรีบวิ่งมาบอกว่า เขาเอาพ่อมาประหารแล้ว น้องกับแม่รีบวิ่งไปดู พบศพพ่อและอาทองพันธ์ สุทธิมาศ นอนอยู่
โดยที่พวกมันกลับไปหมด จะจัดการศพอย่างไร คนส่วนใหญ่กลัวไม่กล้าช่วยเรา ญาติพี่น้องก็มีแต่พี่ยง พี่ยงไปเยี่ยม และร้องไห้ ให้เงินช่วยเหลือส่วนหนึ่ง และสุดท้ายพี่ยงก็ถูกสอบปากคำเป็นเวลานานทีเดียว
การซื้อหีบศพเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะพวกเจ้าหน้าที่กีดกันต้องขอร้องกันเป็นนาน ร้านขายหีบศพจึงยอมขายให้ แต่ให้หีบใบเล็กและสั้น ศพอาทองพันธ์ใส่ง่าย ส่วนศพพ่อใส่อย่างยากลำบาก เพราะหีบไม่ได้ขนาดตัว ถึงตอนจะขนย้ายศพก็ลำบาก ใคร ๆ ต่างกลัวไม่ยอมช่วย สุดท้ายก็ได้เกวียนของเพื่อนบ้านเข็นไปฝังที่ฝังศพซึ่งอยู่จนทุกวันนี้ เจ้าของเกวียนถูกนำไปสอบสวน และถูกติดตามอยู่ระยะหนึ่ง ใคร ๆ ต่างไม่กล้าไปงานศพ แต่ก็ยังมีผู้ที่เห็นใจจำนวนหนึ่งไปเยี่ยมเยียนช่วงสั้น ๆ แล้วก็กลับ ช่วงนี้จะเห็นความเข้มแข็งของแม่ ท่านจะไม่ร้องไห้เลย น้องคนเล็กเสียอีกที่ร้องไห้ทุกวันตั้งหลายวัน
หลังจากพ่อเสียไปไม่นาน น้องคนเล็กก็ออกจากบ้านตามพี่ชายคนกลางไปจนทุกวันนี้
หลังจากน้องไปไม่นาน แม่ก็ถูกจับ ติดคุกอยู่ระยะหนึ่งก็ถูกปล่อย จากนั้นแม่ก็เข้าป่าไปสมทบลูก ๆ สองคนที่ออกไปก่อน
ส่วนพี่ชายคนโตกับน้าภักดี ถูกจับไปพร้อมพ่อ บ้านเราจึงถูกทิ้งร้างไม่มีคนดูแล เพื่ออุดมการณ์ที่เราศรัทธา เราไม่เคยเสียดาย และเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อ สานต่องานของพ่อที่ยังทำไม่เสร็จ เราคิดเช่นนั้น และเราก็ทำเช่นนั้น ภาพความองอาจกล้าหาญ อดทน เสียสละของพ่อ ประทับตราตรึงในจิตใจของเรามาตลอด เราเคยคิดว่า เราจะสืบทอดสิ่งเหล่านี้ด้วยการเข้าร่วมขบวนการทำเพื่อประชาชนอย่างที่ผ่านมา แต่สภาพการณ์ในเวลาต่อมามิได้เอื้ออำนวยให้เราได้ทำเช่นนั้น จำต้องหันมาดำเนินชีวิตในสังคมเยี่ยงสมาชิกธรรมดาในสังคมที่ต้องอยู่กันอย่างปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดด้วยความยากลำบาก
จากพ่อผู้รักความเป็นธรรม รักมวลชนผู้ยากไร้ ต่อสู้ตั้งแต่สมัยเสรีไทย สู้เพื่อสันติภาพ สู้เพื่อล้มล้างการขูดรีด ต้องถูกเผด็จการปลิดชีวิตไป ไปถึงแม่ผู้ที่ได้รับความบอบช้ำจากการถูกจับของพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกเต้าถูกจับ น้องชายถูกจับ ลูก ๆ หนีไปตายเอาดาบหน้า ตัวแม่เองก็กระโดดเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วย จวบจนบัดนี้ มิได้มีอะไรดีขึ้นชีวิตยังยากจนเหมือนเดิม เราพี่น้องสามคนยังไม่หมดเคราะห์กรรมพี่ชายคนโตไปติดร่างแหคดีฉกาจฉกรรจ์ ทำให้เราเสียเวลาเสียเงินเสียทองไปกับเรื่องนี้กันจนจะเหลือแต่ตัว ต้องปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงครอบครัวและหาเงินมาสู้คดีตามลำพัง
"ขอวิญญาณพ่อจงสู่สุขี
คุณความดีของพ่อไม่จางหาย
วีรชนคนกล้าสมชาติชาย
ขจรขจายร่ำลือระบือไกล"
หมายเหตุ :
- คัดลอกจากจากหนังสือ อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางแตงอ่อน จันดาวงศ์
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามเอกสารต้นฉบับ