แม้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะสิ้นสุดลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ แต่สมาชิกเสรีไทยสกลนครก็ยังคงมีบทบาทเคลื่อนไหวอยู่ ทั้งในทางการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองภายในประเทศ ดังจะได้กล่าวถึงต่อไปนี้
การสนับสนุนขบวนการกู้ชาติในประเทศเพื่อนบ้าน
ในช่วงระยะปี พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๘๙ บรรดาชนชาติพื้นเมืองต่าง ๆ ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือเอเชียอาคเนย์ ซึ่งตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกในเวลานั้น ได้พากันจับอาวุธขึ้นทำสงครามกอบกู้เอกราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส[1] และด้วยเหตุที่ประเทศเหล่านี้มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทย จึงทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสงครามกู้ชาติครั้งนี้ด้วย
ในประเทศลาวขบวนการกู้ชาติ เรียกว่า “ลาวอิสระ” หรือ “เสรีลาว” หรือ “คณะกู้อิสระพาบ” (ก.อ.พ.) อยู่ภายใต้การนำของเจ้าเพ็ดชะลาด เจ้าสุภานุวงศ์ และท้าวอุ่น ชนะนิกร บุคคลเหล่านี้ได้ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยมีเจ้าเพ็ดชะลาดเป็นนายกรัฐมนตรี เจ้าสุภานุวงศ์เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนท้าวอุ่น ชนะนิกร หัวหน้าลาวอิสระประจำเมืองสะหวันนะเขต ได้เข้ามาตั้งฐานบัญชาการเคลื่อนไหวอยู่ที่จังหวัดหนองคาย ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่สกลนครและอุดรธานี (อุดร วงษ์ทับทัม, ๒๕๔๓ : ๗๔-๗๖)

“ขุนพลภูพาน” นายเตียง ศิริขันธ์
ในเวียดนาม มีขบวนการกู้เอกราชเรียกว่า “ขบวนการพันธมิตรเพื่อเอกราชของเวียดนาม” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อสั้น ๆ ว่า “เวียดมินห์” อยู่ภายใต้การนำของโฮจิมินห์หรือ “ลุงโฮ” โฮจิมินห์ได้ลี้ภัยเข้ามาเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาอยู่ที่บ้านนาจอก อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เป็นเวลานาน ๗ ปี (ธันวา ใจเที่ยง, ๒๕๔๔ : ๖)
บทบาทของประเทศไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนถึงการรัฐประหารปี พ.ศ. ๒๔๙๐ มีส่วนสำคัญในการให้การสนับสนุนขบวนการชาตินิยมเพื่อกอบกู้เอกราชในกลุ่มประเทศอินโดจีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลไทยในเวลานั้นเห็นชอบกับขบวนการดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำเสรีไทย กรุงเทพฯ ในเวลานั้น จึงเป็นศูนย์กลางของพลังชาตินิยมในเอเชียอาคเนย์ เพราะรัฐบาลโฮจิมินห์ก็ตั้งสำนักแถลงข่าวอยู่ในกรุงเทพฯ และใช้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางในการติดต่อกับประเทศที่เป็นมิตร ส่วนผู้นำลาวอิสระก็ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ภายใต้การช่วยเหลือเกื้อกูลของนายปรีดี พนมยงค์ เช่นกัน (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, ๒๕๔๖ : ๔๔๑)
การช่วยเหลือขบวนการกู้ชาติในกลุ่มประเทศอินโดจีนนี้ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ให้ความสำคัญแก่บทบาทของนายเตียง ศิริขันธ์ อดีตผู้นำเสรีไทยอีสานเป็นอย่างมาก ดังบทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า “นายเตียง ศิริขันธ์ นับว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญเพราะเป็นคนที่ได้ช่วยเหลือและมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวกับเอกราชของลาวและเวียดนามมาก” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ๒๕๓๘ : ๗๘-๘๑)
นายเตียง ศิริขันธ์ หัวหน้าใหญ่ของขบวนการเสรีไทยสกลนครได้มีบทบาทในการช่วยเหลือขบวนการกู้ชาติของประเทศเพื่อนบ้านนับแต่ครั้งยังเคลื่อนไหวงานเสรีไทย นายเตียงมีบทบาทสำคัญในการริเริ่มจัดตั้ง “ขบวนการเสรีลาว” ในประเทศไทย โดยท้าวอุ่น ชนะนิกร ได้เดินทางมาที่สกลนครและจัดตั้งกองทหารขึ้นที่ภูพาน (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, ๒๕๔๖ : ๔๑๑-๔๑๒)
และครั้งหนึ่งนายพลทัม (ท้าวทัม) ไชยสิดเสน (อดีตเจ้ากรมสรรพวุธทหารบกลาว) ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการจัดตั้ง “ขบวนการเสรีลาว” ได้เข้าร่วมประชุมกับนายเตียง ศิริขันธ์ และนายทหารฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งอังกฤษและอเมริกาที่ป่าดงพระเจ้า บ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นฐานกำลังสำคัญของเสรีไทยในภาคอีสาน ที่ประชุมได้มอบหมายอำนาจทั้งด้านการเมืองและทหารให้ไปจัดตั้งขบวนการเสรีลาวขึ้นที่นครเวียงจันทน์ (ต่อมาได้แปรสภาพเป็นขบวนการลาวอิสระ) (สีห์พนม พิชิตวรสาร, ๒๕๒๕ : ๕๑)
ดังนั้น จะได้เห็นว่า ค่ายเสรีไทยในจังหวัดสกลนคร ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางแห่งการเคลื่อนไหวของเสรีไทยในอีสานเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการเสรีลาวในไทยอีกด้วย (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, ๒๕๔๖ : ๔๑๔)
การที่นายเตียง ศิริขันธ์ สนับสนุนขบวนการกู้ชาติในอินโดจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีประเทศลาวนั้น นอกจากนายเตียงจะมีจิตใจที่เชิดชูอุดมการณ์อิสรภาพประชาธิปไตยแล้ว เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือความผูกพันทางชาติพันธุ์ที่เป็น “ลาว” เหมือนกัน[2] ดังปรากฏในคำปราศรัยของนายเตียง ศิริขันธ์ ต่อหน้าพลพรรคเสรีไทยสกลนครที่ว่า
“แม้เราจะกำจัดศัตรูของเรา คือญี่ปุ่น ได้สำเร็จแล้ว งานของขบวนการเสรีไทยยังมีต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด เราต้องช่วยเพื่อนบ้านที่มีสายเลือดเดียวกันกับเราต่อสู้เพื่อเอกราชให้ได้ ฝรั่งเศสต้องหวนกลับมายึดครองลาว เขมร และญวนอีก เพราะประเทศเหล่านี้มีทรัพยากรธรรมชาติให้มันได้ขนกลับไปฟื้นฟูประเทศของมันได้” (นายสีดอกกาว (นามแฝง), ๒๕๔๓ : ๓๒)
แม้แต่อดีตเสรีไทยสกลนครอย่างนายอาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร ก็คิดทำนองเดียวกันกับนายเตียง ศิริขันธ์ โดยนายอาคม ให้เหตุผลที่ไปฝึกอาวุธ ณ ดอนสวรรค์ กลางหนองหาร จังหวัดสกลนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ หลังงานเสรีไทยสิ้นสุดแล้วว่า “ไปฝึกอาวุธเพื่อไปเมืองลาว....เพราะเรามีสายเลือดเดียวกัน แม่น้ำโขงซึ่งเป็นเส้นกันเขตแดนก็อย่าให้เป็นเส้นกันเขตแดนเลย ให้เหมือนกับเส้นด้ายร้อยมาลัย” (อาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร อ้างใน ปรีชา ธรรมวินทร และสมชาย พรหมโคตร (บรรณาธิการ), ๒๕๔๓ : ๖๕)
จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่า เสรีไทยสกลนครเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยสนับสนุนขบวนการกู้ชาติในอินโดจีนด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
ช่วยเหลือด้านการฝึกอาวุธแก่ทหารของเสรีลาว และขบวนการกู้ชาติเวียดนาม
ในหนังสือประวัติของนายพลสิงกะโปของลาวได้ระบุว่า ขบวนการเสรีไทยเคยรับคนลาวรักชาติมาฝึกอาวุธในค่ายเสรีไทยบนเทือกเขาภูพานระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ อยู่ในความรับผิดชอบของครูครอง จันดาวงศ์ ภายใต้การอำนวยการของนายเตียง ศิริขันธ์ โดยอยู่ภายใต้การนำสูงสุดของนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย (วัฒน์ วรรลยางกูร, ๒๕๔๓ : ๘๑)

นายพลสิงกะโปของลาว
ท้าวอุ่น ชนะนิกร ได้เขียนถึงความช่วยเหลือของเสรีไทยอีสานในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ ว่าได้ช่วยเหลือในการฝึกพลพรรคชั้นหัวหน้าสำเร็จแล้ว จึงดำเนินการขั้นต่อไปโดยนำเอาคนจากเมืองลาวข้ามมาฝึกอาวุธในอีสานครั้งละ ๑๐-๒๕ คน เมื่อฝึกเสร็จแล้วก็ส่งกลับจึงค่อยส่งกลุ่มที่ ๒ มาฝึกอีก ทำเช่นนี้เรื่อย ๆ จนในระยะหลังมีจำนวนผู้เข้าฝึกแต่ละชุดเกือบ ๑๐๐ คน (ท้าวอุ่น “ตีนเย็น” ชนะนิกร, ๒๕๒๐ : ๑๒๓)
แม้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดแล้ว ท้าวอุ่น ชนะนิกร ก็ยังได้นำลาวอิสระมาฝึกอาวุธบนดอนสวรรค์ กลางหนองหาร พร้อม ๆ กับอดีตเสรีไทยสกลนครจำนวนหนึ่งด้วย โดยใช้เวลาฝึกนาน ๒ สัปดาห์ ต่อรุ่น (กลยุทธ อุปพงษ์ ใน นิยม รักษาขันธ์, ๒๕๔๓ : ๙๓)
การฝึกอาวุธที่ดอนสวรรค์ กลางหนองหาร นอกจากมีทหารของเสรีลาวเข้าฝึกแล้วยังมีชาวเวียดนาม ซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการกู้ชาติเวียดนาม หรือเวียดมินห์เข้าร่วมฝึกด้วย (อาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร ใน นิยม รักษาขันธ์, ๒๕๔๓ : ๑๗๔-๑๗๕)
ฝึกอดีตพลพรรคเสรีไทยสกลนคร เพื่อไปช่วยเหลือขบวนการกู้ชาติลาวต่อสู้กับฝรั่งเศส
โดยทำการฝึกอาวุธบนดอนสวรรค์ กลางหนองหาร ดังคำบอกเล่าของครูกลยุทธ อุปพงศ์ อดีตเสรีไทยสกลนคร ที่เล่าถึงเหตุการณ์คราวนั้นว่า “หลังไปสวนสนามที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้ราว ๑๕ วัน ศึกษาธิการอำเภอที่เรียกตัวไปพบพร้อมกับพวกครูอีกหลายคน เช่น นายสม ทัศกร นายวิชัย พิมพ์โยธา นายมนูญ ศรีวิชัย นายนอ แว่นเตือรอง นายมนู ศรีล้านคำ นายหนูจันทร์ บัณฑิต นายกาเทศ ทอนฮามแก้ว นายเงินเหรียญ อินธิราช นายสงวน นวลมณี นายมีชัย อาษาเสน ฯลฯ”
“พวกเราทั้งหมดไปเก็บตัวที่ดอนสวรรค์ ขณะนั้นเป็นเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ น้ำหนองหารกำลังขึ้น เขาก็เอาเรือไปรับตอนกลางคืน พอไปถึงก็พบศึกษาธิการจังหวัด อาจารย์สหัส กาญจนพังคะ อาจารย์สมเกียรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร อาจารย์สำเริง สิงหะวาระ ศึกษาธิการอำเภอ รออยู่ก่อนแล้ว มีการจัดแคมป์ชั่วคราว การฝึกครั้งนี้เป็นความลับ ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากพวกเราเท่านั้น”
และตอนเช้าวันรุ่งขึ้น อาจารย์สหัส กาญจนพังคะ ผู้อำนวยการฝึกได้ประชุมผู้เข้าร่วมการฝึก และชี้แจงวัตถุประสงค์ว่า “งานกู้ชาติของเราสำเร็จแล้ว เพื่อนบ้านซึ่งเป็นเสมือนญาติสนิทของเรา คือประเทศลาวนั้น เราต้องช่วยเหลือไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสอีก” (กลยุทธ อุปพงษ์ ใน นิยม รักษาขันธ์, ๒๕๔๓ : ๙๓-๙๔)
จะเห็นว่า แกนนำในการฝึกจะเป็นครูซึ่งเป็นลูกศิษย์ของนายเตียง ศิริขันธ์ ฉะนั้น ผู้เข้ารับการฝึกส่วนใหญ่จึงเป็นครูซึ่งเป็นอดีตเสรีไทยจากอำเภอต่าง ๆ รุ่นละประมาณ ๓๐ คน นอกจากนี้มีคนลาวและเวียดนามร่วมฝึกด้วย (อาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร ใน นิยม รักษาขันธ์, ๒๕๔๓ : ๑๗๔-๑๗๕)
หลักสูตรการฝึกมีทั้งภาคทฤษฎีได้แก่ วิชาการเมือง เน้นภัยจากลัทธิล่าอาณานิคม และภาคปฏิบัติจะฝึกการรบแบบกองโจร ใช้เวลาฝึกประมาณ ๒ สัปดาห์ - ๑ เดือน ผู้เข้ารับการฝึกรุ่นแรกจากสกลนคร ได้มีโอกาสไปช่วยลาวอิสระรบกู้ชาติ ได้แก่ ท้าวเพี้ย (เรืออากาศโท พีระ ศิริขันธ์) ท้าวเสน (ร.ต. เสรี มวลมณี) ท้าวปาน (นายสง่า ประจักษ์วงศ์) (กลยุทธ อุปพงษ์ ใน นิยม รักษาขันธ์, ๒๕๔๓ : ๙๔)
แต่ผู้เข้ารับการฝึกรุ่นหลังไม่ได้ไปรบที่ฝั่งลาวเพราะฝรั่งเศสสามารถยึดเวียงจันทน์ได้แล้ว นายเตียง ศิริขันธ์ จึงได้รับมอบหมายให้พาอดีตเสรีไทยเหล่านี้ไปช่วยปกป้องบริเวณแนวชายแดนตั้งแต่บ้านแก้งนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ไปตามริมฝั่งโขง เพื่อป้องกันการรุกรานของฝรั่งเศส

ดอนสวรรค์ เกาะกลางหนองหาร เคยเป็นสถานที่ฝึกอาวุธของขบวนการเสรีลาวและเสรีไทยภูพาน ที่เตรียมไปช่วยลาวกู้เอกราช ด้านหลังคือ เทือกเขาภูพาน
ช่วยเหลือด้านอาวุธให้แก่ขบวนการกู้ชาติลาว และขบวนการกู้ชาติเวียดนาม หรือ “เวียดมินห์”
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ หน่วยเสรีไทยสายอีสานได้จัดส่งอาวุธไปให้ขบวนการกู้ชาติลาว การจัดส่งอาวุธอยู่ภายใต้การดูแลของนายเตียง ศิริขันธ์ และนายจำลอง ดาวเรือง เพื่อให้เสรีลาวใช้กอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศส (อาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร อ้างใน อดิเรก บุญคง, ๒๕๔๒ : ๑๕๑)
สำหรับการช่วยเหลือขบวนการกู้ชาติของเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินห์นั้น นายปรีดี พนมยงค์ เห็นใจและสนับสนุนช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมอบหมายให้ พล.ร.ต. หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวรณ์ สุวรรณชีพ) และ ร.อ. พงศ์เลิศ ศรีสุขนันท์ เป็นผู้ดำเนินการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ของขบวนการเสรีไทย ที่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพสหรัฐอเมริกา (หน่วย โอ.เอส.เอส.) และฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไปช่วยเหลือขบวนการกู้ชาติของเวียดนาม ผ่านทางเสรีไทยอีสานซึ่งมีนายเตียง ศิริขันธ์ เป็นผู้ดูแล อาวุธดังกล่าวมีจำนวนมากพอที่จะจัดตั้งกองทัพได้ถึง ๒ กองพัน ความช่วยเหลือดังกล่าวนี้ถือเป็นความช่วยเหลือจากเสรีไทย ในนามของประชาชนชาวไทยทั้งมวล (อุดร วงษ์ทับทิม, ๒๕๔๓ : ๙๒)
และภายหลังโฮจิมินห์ได้เขียนจดหมายขอบคุณด้วยลายมือเป็นภาษาฝรั่งเศสถึงนายปรีดี พนมยงค์ และขออนุญาตตั้งชื่อว่า “กองพันสยาม ๑” และกองพันสยาม ๒” เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงคุณูปการของนายปรีดี พนมยงค์ และประชาชนชาวไทย ต่อมาอาวุธจากกองพันสยามดังกล่าวได้เข้าร่วมเป็นกองพลที่่ ๓๐๗ และ ๓๐๘ รบในสงครามเดียนเบียนฟูจนเวียดนามได้รับชัยชนะเหนือฝรั่งเศส (ศุขปรีดา พนมยงค์ อ้างใน ธันวา ใจเที่ยง, ๒๕๔๔ : ๘๖)
ช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้นำลาวอิสระและเวียดมินห์
ในช่วงที่ท้าวอุ่น ชนะนิกร ผู้นำลาวอิสระประจำเมืองสะหวันนะเขต ได้ลี้ภัยเข้ามาตั้งฐานบัญชาการในภาคอีสานของประเทศไทยบริเวณจังหวัดสกลนครและอุดรธานี ได้ติดต่อขอรับการสนับสนุนด้านการเงินจากนายเตียง ศิริขันธ์ ผู้นำเสรีไทยอีสาน นายเตียงได้ส่งมอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากผ่านทางท้าวโง่น ชนะนิกร ไปให้ผู้ปฏิบัติงานกู้ชาติในเมืองต่าง ๆ ตามที่ลาวอิสระได้มอบหมายหน้าที่ไว้แล้ว (อุดร วงษ์ทับทิม, ๒๕๔๓ : ๗๕-๗๖)
ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้นำลาวอิสระเท่านั้น นายเตียงยังช่วยเหลือทางการเงินแก่ขบวนการเวียดมินห์ภายใต้การนำของโฮจิมินห์อีกปีละ ๕ ล้านบาท (เกื้อกูล ขวัญทอง อ้างใน อภิสิทธิ์ กิจเจริญสิน, ๒๕๔๒ : ๑๐๗)
นอกจากความช่วยเหลือดังกล่าวแล้ว ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้มีการประชุมผู้นำขบวนการกู้เอกราชขึ้นในกรุงเทพฯ และได้มีการประกาศก่อตั้ง “สันนิบาตแห่งเอเชียอาคเนย์” หรือ “พันธมิตรเอเชียอาคเนย์” (Union of Southeast Asia) อย่างเป็นทางการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผนึกกำลังกันต่อต้านการกลับคืนมาของลัทธิอาณานิคมและช่วยเหลือกันในการต่อสู้เพื่อเอกราช (อุดร วงษ์ทับทิม,๒๕๔๓ : ๙๑)
คณะกรรมการสันนิบาตแห่งเอเชียอาคเนย์ประกอบด้วยอดีตผู้นำเสรีไทยอีสาน และผู้นำขบวนการกู้เอกราชในอินโดจีน โดยมีนายเตียง ศิริขันธ์ ส.ส.สกลนคร เป็นประธาน นายตัน วัน เกียง (Taon Van Giao) จากขบวนการเวียดมินห์ นายเลอ ฮาย (Le Hi) จากมหาวิทยาลัยฮานอย เป็นเหรัญญิก นายถวิล อุดล ส.ส.ร้อยเอ็ด เป็นประชาสัมพันธ์ และมีเจ้าสุภานุวงศ์ จากประเทศลาว เป็นเลขาธิการ (อดิเรก บุญคง, ๒๕๔๒ : ๑๕๒)
สันนิบาตนี้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองจากภาคอีสาน สมาชิกขบวนการปฏิวัติลาว และเวียดนาม ที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะนั้นใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น (สุเทพ สุนทรเภสัช, ๒๕๑๑ : ๓๕-๓๗)
การก่อตั้งสันนิบาตเอเชียอาคเนย์ดังกล่าว มีนายปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้นำขบวนการเสรีไทย เป็นต้นคิด และได้รับการขานรับอย่างดียิ่ง จากโฮจิมินห์และเจ้าเพ็็ดชะลาด ในการก่อตั้งองค์การดังกล่าว นายปรีดี พนมยงค์ ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับวัตถุประสงค์หลักของเรื่องนี้ไว้ว่า ในอนาคตหากประเทศเมืองขึ้นได้เอกราชและรวมผนึกกำลังกัน ก็จะสามารถทำให้ไทยและประเทศเหล่านั้นสามารถกำหนดชะตากรรมของตนได้โดยอิสระ หลุดพ้นจากการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการบีบบังคับและการชักจูงทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารจากประเทศมหาอำนาจดังเช่นในอดีต (วงศ์ พลนิกร, ๒๕๔๒ : ๗๓)
ศาสตราจารย์วิสุทธ์ บุษยกุล อดีตเสรีไทยสกลนคร ได้กล่าวถึงการจัดตั้งสันนิบาตเอเชียอาคเนย์ ภายใต้การนำของนายเตียง ศิริขันธ์ ผู้นำเสรีไทยสกลนครว่า แนวคิดนี้น่าจะเป็นที่มาของการร่วมมือกันในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนในเวลาต่อมาด้วย (วิสุทธ์ บุษยกุล ในสุพจน์ ด่านตระกูล, ๒๕๔๐ : ๘๘-๘๙ )
อย่างไรก็ตามสันนิบาตเอเชียอาคเนย์ที่ตั้งขึ้นเป็นเพียงการเริ่มต้น ยังดำเนินการได้ไม่มากเท่าที่ควร ก็เกิดการรัฐประหาร โดยกลุ่มอำนาจนิยมในวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐบาลยุคนั้นไม่เห็นด้วยกับการสนับสนุนขบวนการกู้เอกราชในประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้ขับไล่หน่วยงานลาวอิสระและพวกโฮจิมินห์ออกจากประเทศไทยตามคำขอร้องของฝรั่งเศส (อดิเรก บุญคง, ๒๕๔๒ : ๑๕๒)
เป็นที่น่าสังเกตว่า การจัดตั้งสันนิบาตเอเชียอาคเนย์ในครั้งนั้น นอกจากสร้างความไม่พอใจแก่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในอินโดจีนแล้ว ยังสร้างความไม่พอใจให้แก่สหรัฐอเมริกาผู้เป็นมหาอำนาจในเวลานั้นด้วย ดังคำสัมภาษณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ว่า “ความคิดในเรื่องสันนิบาตและความเป็นกลางของเชียตะวันออกเฉียงใต้มีส่วนทําให้เจ้าหน้าที่อเมริกันบางพวกไม่พอใจและไม่สนับสนุนท่าน โดยเฉพาะพวกที่เข้ามามีอํานาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ๒๕๓๘: ๗๘-๘๑)
[1] เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดาผู้นำคนสำคัญในขบวนการกู้ชาติของลาวและเวียดนามหลายคนเคยเดินทางไปศึกษาและใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส น่าจะได้รับการซึมซับอิทธิพลแนวคิดปฏิวัติประชาธิปไตย มุ่งสร้างสรรค์สังคมให้มีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ แล้วนำแนวคิดดังกล่าวมาเปลี่ยนแปลงประเทศของตน เช่น เจ้าเพ็ดชะลาด เจ้าสุภานุวงศ์ และโฮจิมินห์.
[2] นอกจากนายเตียง ศิริขันธ์ จะเป็นแกนหลักในช่วยเหลือขบวนการลาวอิสระทำการกู้ชาติแล้ว ยังมีนายฟอง สิทธิธรรม (ส.ส.อุบลราชธานี) ที่เป็นแกนนำที่สำคัญยิ่งอีกคนหนึ่งในการเคลื่อนไหวกู้ชาติลาวครั้งนั้น นายฟองเคยกล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์ไทยและลาวทิ้งกันไม่ได้...ฉะนั้นในเวลาที่ลาวเดือดร้อน เราก็พลอยเดือดร้อนด้วย” (สีห์พนม พิชิตวรสาร อ้างใน ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, ๒๕๔๖ : ๔๐๙)
หมายเหตุ :
- คัดลอกจากตอนหนึ่งในหนังสือ 77 วันสันติภาพไทย เตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามเอกสารต้นฉบับ
- คงเลขไทยไว้ตามเอกสารต้นฉบับ
- มีการแบ่งวรรคย่อหน้าเพิ่มเติมตามความเหมาะสม