การโจมตีกานบุรีแบบสายฟ้าแลบไร้ผล
ถึงกระนั้น เจ้าเมืองกานบุรีก็มิได้ตั้งอยู่ในความประมาท รู้ดีอยู่ว่า ความพ่ายแพ้มีแต่จะทำให้พระเจ้าหงสาทรงมีทิฐิและความดุร้ายมากขึ้นเท่านั้น
ท่านเรียกทหารม้าสองนาย
“มานี่แน่ะ เจ้าสองคน”
และสั่งว่า
“จงรีบเข้ากรุง ขอกำลังหนุนมาให้ได้! ไป! รีบไป! อย่าร่ำไร! ความปลอดภัยของพวกเราขึ้นอยู่กับเจ้า”

“จงรีบเข้ากรุง ขอกำลังหนุนมาให้ได้! ไป! รีบไป! อย่าร่ำไร! ความปลอดภัยของพวกเราขึ้นอยู่กับเจ้า”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”
ม้าเร็วทั้งสองเพิ่งออกจากประตูเมือง ใจมั่นอยู่ที่จุดหมายคือกรุงอโยธยาที่ประทับของพระเจ้าจักรา และที่ตั้งกองทหารของประเทศ
ม้าเร็วทั้งสองห้อตะบึงออกจากกานบุรี แต่เหล่าข้าศึกก็คอยระวังเฝ้าดูทางไปกรุง
อโยธยาอยู่แล้ว…เสียงปืนนัดหนึ่ง…และอีกนัดหนึ่ง
พลปืนฝ่ายหงสาได้ยิงม้าเร็วทั้งสองทีละคนตกม้าลงสู่ผืนดินอันแห้งผาก ฝ่ายม้าสองตัวเมื่อขาดเจ้าของก็ยืนหันรีหันขวางอยู่พักใหญ่ แล้วออกวิ่งไปโดยไร้การควบคุม ก่อนจะหยุดเล็มหญ้าอยู่ในทุ่ง
ข้างฝ่ายเมืองกานบุรี ท่านเจ้าเมืองกะเวลาที่ม้าเร็วควรจะไปถึงกรุงอโยธยา และเวลาที่กำลังหนุนควรจะมาถึง
ส่วนอีกฟากหนึ่งของภูเขาซึ่งเป็นเขตกั้นระหว่างแดนของคู่ศึก พระเจ้าหงสาประทับอยู่บนหลังช้างศึก ทรงคำนวณเวลาที่ทัพหน้าของพระองค์ ต้องใช้ตีกานบุรีโดยไม่ให้รู้ตัว กับกำราบปราบปรามผู้แข็งขืนป้องกัน และจับชาวเมืองเป็นเชลย นี่ก็น่าจะรบเสร็จนานแล้ว ไฉนเวลาจึงผ่านไปช้านัก? ทำไม?
ทหารม้าเข้ามาคนหนึ่ง เป็นทหารคนสนิทของอัครมหาเสนาบดี พระเจ้าหงสาทอดพระเนตรเห็นพลางคิดว่าทุกอย่างคงลุล่วงไปแล้ว ทหารคนสนิทคงจะเข้ามารายงานทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นก็จะได้ยกทัพออกจากเมืองกานบุรีที่ยึดได้ เพื่อไปตีกรุงอโยธยาต่อไป
แต่ใยนายทหารผู้นี้จึงดูท่าทางหวั่นเกรง? เหตุใดจึงไม่เข้ามาด้วยหน้าตาหยิ่งผยองของผู้ชนะ?
เขาถวายบังคมแล้วกราบทูลผลการรบด้วยใจครั่นคร้าม
“ขอเดชะฯ ท่านอัครมหาเสนาบดีสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้ามากราบทูลว่า การยึดกานบุรียังไม่สำเร็จ พวกชาวเมืองป้องกันแข็งแรงนัก ฝ่ายเราจึงต้องถอยกลับมา พ่ะย่ะค่ะ”
ถวายรายงานจบแล้ว แต่นายทหารไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบพระพักตร์ของพระราชาผู้กำลังทรงลงจากหลังช้างพระที่นั่งอันน่าเกรงขามตัวนั้นแล้ว
เขามิได้รอนาน
นั่นเสียงฟ้าร้องในท้องฟ้าโปร่งหรือ? สีหนาทของพระราชาฟังราวกับฟ้าลั่น พระเนตรลุกวาวด้วยโทสะ
“ถอยรึ?...” ทรงตะโกน ราวกับคำนี้ทำให้ทรงพิศวง “คำนี้ข้าไม่รู้จัก เจ้าจงกลับไปที่ๆ เจ้าเพิ่งออกมา บอกอัครมหาเสนาบดีให้เอาทหารขึ้นกำแพงเมืองให้จงได้ หาไม่จะโดนตัดหัว เจ้าก็เหมือนกัน!...กลับไป!” องค์กษัตริย์ตรัสแล้ว นายทหารผู้นั้นถวายบังคมลาตัวสั่น แล้วย้อนทางที่มา กลับไปยังริมธารน้ำใกล้ๆ ซึ่งอัครมหาเสนาบดีกำลังรออยู่ คนทั้งสองไม่มีทางเลือกอีกแล้ว นอกจากตีกานบุรีให้แตกหรือไม่ก็ถูกตัดหัว


“ถอยรึ?...” ทรงตะโกน ราวกับคำนี้ทำให้ทรงพิศวง “คำนี้ข้าไม่รู้จัก เจ้าจงกลับไปที่ๆ เจ้าเพิ่งออกมา บอกอัครมหาเสนาบดีให้เอาทหารขึ้นกำแพงเมืองให้จงได้ หาไม่จะโดนตัดหัว เจ้าก็เหมือนกัน!...กลับไป!”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”
ในเมืองกานบุรีก็รู้อยู่เช่นกันว่าถ้าไม่ชนะก็ต้องตาย เชิงเทินมีทหารเฝ้าอยู่โดยตลอด แต่ความอิดโรยกำลังครอบคลุม นายกองเดินไปมา คอยปลุกพวกทหารที่จะหลับกับตรวจดูสภาพอาวุธ
การรอคอยครั้งนี้ออกจะนาน……
แต่มีกองทัพกำลังเคลื่อนไหวเห็นอยู่ลิบๆ เคราะห์ร้ายตรงที่มันไม่ได้มาจากทิศที่ตั้งกรุงอโยธยาอันเป็นทิศที่กองหนุนควรจะมา กลับเป็นทหารหงสาที่มารวมพลใหม่กระตุ้นด้วยพลังความโกรธแค้น แล้วเคลื่อนทัพมายังเชิงเทิน
บางคนแกว่งดาบ บางคนถือหลาว มีบางคนแบกบันไดสำหรับปีนกำแพงเมือง มีตะขอเตรียมไว้พร้อมที่จะเกี่ยวบันไดให้ติดกับกำแพงเมือง
ทหารรักษาเมืองยิงปืนใส่กองทัพหงสาที่กำลังเคลื่อนเข้ามา แต่ผู้โจมตีทราบเสียแล้วว่าจะต้องล้มตัวลงนอนราบกับพื้นดินเพื่อหลบกระสุนที่ยิงออกมาอย่างไม่ค่อยแม่นยำ
“บุกเข้าไป! บุกเข้าไป!” นายกองหงสาร้องสั่ง
และราวกับคำขานรับเสียงรบที่อึงคะนึง ก็มีเสียงออกมาจากป่าที่กำบังเป็นเสียงฝีเท้าม้าดังเป็นจังหวะ กับเสียงฝีเท้าหนักของช้างศึกซึ่งกำลังปรากฏออกมาจากทุกทิศทุกทาง
พวกทหารป้องกันเมืองกานบุรีพากันตะลึงในภาพที่เห็น
“ท่านเจ้าเมือง” นายทหารคนหนึ่งตะโกนลงมาจากบนเชิงเทิน “พวกข้าศึกมากันมากเหลือเกิน มันบุกเราหนักทุกด้าน กระสุนดินดำเราเหลือน้อยแล้วจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“เราส่งคนเข้ากรุงไปขอกำลังหนุนแล้ว” ท่านเจ้าเมืองตอบด้วยท่าทางอับจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้ทำไมพวกนั้นถึงมาช้า บางที…คนของเราอาจจะฝ่าวงล้อมออกไปไม่ได้…”
แต่ทหารหงสาได้มาถึงตีนกำแพงเมืองแล้ว พร้อมกับบันไดและตะขอสำหรับปีน
“คุมเอาไว้!...สู้มัน!...ชะตาบ้านเมืองขึ้นอยู่กับศึกครั้งนี้…” เจ้าเมืองเคี่ยวเข็ญ
และสั่งทหารบนเชิงเทิน
“ไม่ว่าอย่างไร จงสู้อยู่ตรงที่ของพวกเจ้า ตายตรงที่เจ้ายืนนั่นแหละ!”
เจ้าเมืองกวัดแกว่งหอกในมืออย่างสิ้นหนทาง
“สู้มัน!...สู้มัน!...”


“ไม่ว่าอย่างไร จงสู้อยู่ตรงที่ของพวกเจ้า ตายตรงที่เจ้ายืนนั่นแหละ!” เจ้าเมืองกวัดแกว่งหอกในมืออย่างสิ้นหนทาง “สู้มัน!...สู้มัน!...”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”
ทหารในเมืองไม่รอช้า รีบส่งอาวุธใหม่ขึ้นไปให้คนที่สู้อยู่บนกำแพงเมือง ร้องตะโกนบอกกันถึงการเคลื่อนไหวของกองทัพข้าศึก
การรุกเป็นไปโดยไม่ขาดตอน
พวกผู้บุกรุกยกบันไดขึ้นพาดกับกำแพงสูงของเมือง คนข้างบนสามารถผลักบางอันซึ่งมีทหารข้าศึกเกาะอยู่เต็มให้ตกลงไปในท่ามกลางเสียงตะโกนและร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
แต่มีบันไดมากมายเข้ามาอีก บันไดดูจะเคลื่อนไหวได้ ด้วยฝูงทหารที่ปีนกันขึ้นมา คนแรกถูกหอกแทงตกลงไป …คนที่สองขึ้นมาจับหอกไว้ทัน …คนที่สามถือโอกาสที่คนอื่นกำลังต่อสู้กันกระโดดขึ้นมาบนกำแพง
ด้วยจำนวนคนที่ด้อยกว่า กองกำลังของกานบุรีจึงถูกรุมล้อม จนต้องถอยร่น
บัดนี้บนเชิงเทินเต็มไปด้วยทหารหงสา พวกนั้นผลักไสทหารที่ป้องกันเมืองลงไปที่ตีนกำแพงข้างในเมือง
ทหารหงสาก็ตามลงไปฟาดฟันทหารรักษาเมืองที่กำลังเหนื่อยอ่อนอย่างไม่ยั้ง การต่อสู้ตอนนี้อยู่ที่บริเวณหน้าหมู่บ้านแรกๆ ในเมือง…
ท่านเจ้าเมืองอยู่ในพวกที่ตายก่อนใคร ท่านถูกหอกแทงตอนที่ได้ฆ่าศัตรูได้สองคนกับมือของท่านเอง
ชะตาของกานบุรีถึงฆาตแล้ว
ที่บนเชิงเทิน ทหารหงสาโห่ร้องประกาศชัยชนะ และส่งสัญญาณให้พวกข้างนอกที่มีช้างศึกพร้อมอยู่ พวกช้างกำลังตื่นเสียงอื้ออึงจากการรบ เลยขยับเท้าอยู่ไปมา ส่งเสียงแปร๋นให้ลั่นไป

“ที่บนเชิงเทิน ทหารหงสาโห่ร้องประกาศชัยชนะ และส่งสัญญาณให้พวกข้างนอกที่มีช้างศึกพร้อมอยู่…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”
ถึงตอนนี้พวกช้างก็จะมีบทบาทในการรบขึ้นมาบ้าง
ไม่ต้องไสกันมาก พวกมันก็ออกเดิน…นี่คือสิ่งที่แข็งแรงที่สุด ยักษ์ที่เทอะทะแต่ว่องไว เคลื่อนตรงเข้าหาประตูเมือง ซึ่งทึบแน่นและหนักเพราะทำด้วยไม้สักคาดด้วยเหล็ก แต่ประตูเมืองที่ปิดอยู่กลับเป็นเครื่องป้องกันที่ไม่มีความหมายต่อเหล่าข้าศึกเสียแล้ว ไม่มีใครคอยป้องกัน และการรบจริงๆ ตอนนี้ก็อยู่อีกด้านหนึ่งที่ในเมือง
ช้างที่มีกำลังถูกขับไปถึงประตูใหญ่ มันรู้อยู่ว่ามันต้องทำอย่างไร…
มันยืนมั่นคงบนขาที่ตั้งอยู่บนพื้นดินราวกับเสาที่ไม่มีวันโยกคลอน เจ้าสัตว์ทรงพลังใช้หัวของมันกระทุ้งประตูเมือง ด้วยการกระทุ้งหลายๆ ครั้งอย่างกับเสาซุงที่ใช้พังประตูเมือง แผ่นไม้สักเสริมเหล็กนั้นก็ลั่นดัง แล้วแตกออก ช้างตัวนั้นใช้หัวกระทุ้งประตูไม่หยุดยั้งโดยขาตั้งมั่นอยู่กับพื้น และการกระทำเช่นนี้ทำให้ประตูเมืองไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ประตูแตกทลายและล้มลงในทันใด ตัวเมืองเปิดให้แก่ข้าศึกที่รออยู่ข้างนอก
ทหารหงสากรูผ่านช่องประตูเข้าไปข้างใน แล้วการปล้นเมืองก็เริ่มขึ้น


“ทหารหงสากรูผ่านช่องประตูเข้าไปข้างใน แล้วการปล้นเมืองก็เริ่มขึ้น…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”
ไม่มีบ้านหรือกระท่อมสักหลังพ้นมือทหารหงสาผู้คล่องในการปล้นทำลายซึ่งกระจายเต็มไปทั่วทุกทาง ในมือเต็มไปด้วยเสบียงอาหารและสิ่งของที่ยึดมาได้ มีภาชนะในครัว ผ้า เชียนหมาก โกศที่แม้แต่อัฐิในนั้นก็ป้องกันไว้ไม่ได้
แล้วผู้ชนะก็กวาดต้อนรวบรวมบรรดาหญิงสาวซึ่งพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขืน แต่ไม่มีใครช่วยได้ พวกนางจึงต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ชนะ
พลส่งข่าวมาทูลพระราชาให้ทรงทราบว่ากองทัพของพระองค์ตีเมืองได้แล้ว ทรงพอพระทัย แต่ความพอพระทัยนั้นกลั้วไปด้วยโทสะที่มีต่อชาวเมืองผู้ไม่ยอมแพ้ต่อการถูกโจมตีแบบไม่รู้ตัว ทำให้พระองค์ต้องสั่งให้รบและสูญเสียอย่างมาก พระองค์เสด็จเข้าเมืองด้วยความรู้สึกสองอย่างที่ขัดแย้งกัน
พระองค์ดำเนินไประหว่างแถวทหารสองฟากข้างช่องประตูใหญ่ซึ่งถูกช้างทลายลง ข้างหลังเหล่าทหารทรงเห็นพวกเชลยชาวเมืองถูกมัดรวมกัน พวกผู้หญิงกำลังนั่งคุดคู้อยู่กับพื้นด้วยความหวาดกลัว ทรงหยุดทอดพระเนตรไปตามซากบ้านเรือนซึ่งเคยประกอบขึ้นเป็นกานบุรี…
ทรงตรัสด้วยสุรเสียงอันดังกับทหาร
“บัดนี้ กานบุรีเป็นของเราแล้ว ฆ่าผู้ชายและเด็กทุกคน เอาผู้หญิงไปกับกองทัพ ไปกรุงอโยธยา!”
แต่เสียงคร่ำครวญโหยไห้ของพวกผู้หญิงดูจะส่งให้พระเจ้าหงสาทรงพิโรธเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เจ้าชายบุเรงกับอัครมหาเสนาบดี ผู้บังเอิญอยู่ในที่นั้นเฝ้าสังเกตพระโทสจริตอย่างกระวนกระวาย
ในทันใด พระราชาได้ทรงตัดสินพระทัย
“เผาเมืองนี้ให้ราบ!”
อัครมหาเสนาบดีคำนับรับ คำสั่งของกษัตริย์คือประกาศิต
เผา! เผา! พระราชารับสั่งให้เผาเมือง…
ฝ่ายพวกทหารก็เตรียมสนองโองการนี้อยู่แล้ว ด้วยปรากฏมีทหารถือคบไฟออกมาจากหลายทิศทาง พวกนั้นวิ่งไปตามบ้าน หลังคามุงแฝกเป็นเชื้อไฟอย่างดี บ้านแต่ละหลังอยู่ติดกัน ไฟจึงลามออกไปในเวลาอันรวดเร็ว
ไม้ไผ่ที่ใช้สร้างบ้านตกเป็นเหยื่อพระเพลิงอย่างง่ายดาย ไม้แห้งเพราะฝนแล้งมานาน ทำให้เกิดเสียงดังเพียะพะ และไม่ช้าไม่นานบ้านก็กลายเป็นเพลิงกองมหึมา
“เผา! เผา!” ทหารหงสาตะโกน
แล้วในไม่ช้าทั้งเมืองก็กลายเป็นนรกพระเพลิง

“แล้วในไม่ช้าทั้งเมืองก็กลายเป็นนรกพระเพลิง…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”
ด้วยทัศนียภาพเช่นนี้ พระเจ้าหงสาเสด็จออกจากเมืองกลับคืนสู่ค่ายของพระองค์ พร้อมกับสุรเสียงหัวเราะอันไม่น่าฟังด้วยความพอใจ ที่ได้สนองความแค้น
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
บรรณานุกรม :
- ปรีดี พนมยงค์, ปล้นเมืองกานบุรี , พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๕๒-๕๗.
อ่านนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก" ในรูปแบบ E-Book ได้ที่นี่
สั่งซื้อนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant" ได้ที่นี่