Focus
- รัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์สำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทยตั้งแต่แรกเริ่มการอภิวัฒน์สยาม 2475 อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญจึงถูกสร้างขึ้นในหลายจังหวัด เช่น จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดปัตตานี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดจันทบุรี โดยส่วนมากสร้างขึ้นจากความคิดริเริ่มของประชาชนในท้องถิ่นที่สะท้อนถึงความตื่นตัวทางการเมืองในระบอบการปกครองใหม่
- สำหรับ “อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี” สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2479 จากความคิดริเริ่มของหลวงเดิมบางบริบาล ปลัดจังหวัด ในการก่อสร้างมีกระบวนการชักจูงให้ประชาชนมีส่วนร่วมบริจาค และได้เงินค่าก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น 820 บาท 30 สตางค์ โดยประชาชนเหล่านั้นมีทั้งกลุ่มนักการเมืองระดับจังหวัดและท้องถิ่น กลุ่มข้าราชการฝ่ายปกครอง กลุ่มข้าราชการตุลาการ กลุ่มข้าราชการครู ธรรมการและนักเรียน กลุ่มข้าราชการตำรวจ-ทหาร ข้าราชการเกษตราธิการ กลุ่มคหบดีและพ่อค้า บาทหลวง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนทั่วไป
- อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีมีภาพจารึก 4 ด้าน แสดงข้อความเกี่ยวกับมูลเหตุและเหตุผลในการสร้างอนุสาวรีย์ หลัก 6 ประการของคณะราษฎร ตราสมาคมคณะราษฎร จารึกรูปพานรัฐธรรมนูญพร้อมกับบทบัญญัติบางมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 และโคลงสยามานุสสติและพระนามของรัชกาลที่ 6
- แม้ว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้ต้องการนำเสนอถึงความทรงจำเกี่ยวกับการประนีประนอมของคณะราษฎรกับรัชกาลที่ 7 ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ในภายหลังปลายทศวรรษ 2500 ได้มีการรื้อถอนอนุสาวรีย์เพื่อก่อสร้างอาคารหอประชุมทองใหญ่อนุสรณ์ (ที่ตั้งสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดจันทบุรี) อนุสรณ์สถานแห่งการรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองและระบอบรัฐธรรมนูญในสมัยคณะราษฎร ที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวจันทบุรีจึงหลงเหลือเพียงภาพถ่ายเก่าและความทรงจำเท่านั้น
ในบรรดาอนุสรณ์สถานที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์สยาม 2475 และระบอบรัฐธรรมนูญ อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญที่สร้างขึ้นตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศสยาม ถือเป็นอนุสรณ์สถานที่มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของประวัติความเป็นมา เนื่องด้วยอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในต่างจังหวัดหลายแห่งถูกสร้างขึ้นก่อนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่กรุงเทพฯ โดยอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญแห่งแรกคือ อนุสาวรีย์เทอดรัฐธรรมนูญมหาสารคาม ซึ่งประกอบพิธีเปิดในวันที่ 27 มิถุนายน 2477 ยิ่งไปกว่านั้นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญตามต่างจังหวัดส่วนมากยังเกิดจากความคิดริเริ่มของประชาชนในท้องถิ่น ที่ต้องการสร้างอนุสรณ์ในการเชื่อมโยงท้องถิ่นของพวกเขาเข้ากับระบอบใหม่ อันสะท้อนถึงความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนตามหัวเมืองหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475
ทั้งนี้ผู้เขียนได้เคยเขียนถึงอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในภาคอีสาน โดยพยายามค้นคว้าที่มาของอนุสาวรีย์เหล่านี้ พร้อมนำเสนอว่าอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในภาคอีสานเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนถึงสำนึก อีกทั้งความตื่นตัวทางการเมืองของพลเมืองอีสานภายใต้ระบอบใหม่นับตั้งแต่กลางทศวรรษ 2470 จนถึงปลายทศวรรษ 2480[1] หลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้พบหลักฐานใหม่ๆ เกี่ยวกับอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น “อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดสมุทรสาคร” ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญแห่งที่ 2 ของประเทศสยาม ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้แทนราษฎรกับประชาชนชาวสมุทรสาคร ประกอบพิธีเปิดในวันที่ 10 ธันวาคม 2478 อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี รวมถึงอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญจังหวัดนครราชสีมา ที่บริเวณสวนสาธารณะใกล้กับอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี
ล่าสุดผู้เขียนได้พบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในภาคตะวันออก คือ “อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี” (ปัจจุบันถูกรื้อถอนไปแล้ว) จากเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติที่กรุงเทพฯ และจันทบุรี เอกสารชุดดังกล่าวได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้าง “อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี” ในปี พ.ศ. 2480 การเรี่ยไรเงินบริจาค ตลอดจนรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมของอนุสาวรีย์แห่งนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
เอกสารจดหมายเหตุนั้นเป็นเอกสารราชการจากคณะกรมการจังหวัดจันทบุรีถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2480 (2481 ตามปฏิทินใหม่) ได้ระบุว่า “อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี” เกิดจากความคิดริเริ่มของ หลวงเดิมบางบริบาล ปลัดจังหวัด ได้เสนอโครงการสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญขึ้นและคณะกรมการจังหวัดเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่รัฐธรรมนูญ และเป็นที่ระลึกของประชาชนชาวจันทบุรีต่อคุณงามความดีของคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ตกลงและร่วมมือกันในการก่อสร้างนับตั้งแต่ พ.ศ. 2479 โดยใช้เงินบริจาคสำหรับก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 820 บาท 30 สตางค์[2]
ทั้งนี้ หลวงเดิมบางบริบาล (เดิม กุณฑลบุตร) เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2436 ณ บ้านวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ได้รับการศึกษาพื้นฐานที่จังหวัดจันทบุรี เริ่มรับราชการเป็นเสมียนด่านภาษีกันตังในปี พ.ศ. 2453 จากนั้นในปี พ.ศ. 2462 ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนสมรรถชัยศรีและกลับมารับราชการที่จังหวัดจันทบุรี จนในปี พ.ศ. 2469 ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภอเดิมบาง จังหวัดสุพรรณบุรี (ปัจจุบันคืออำเภอเดิมบางนางบวช) และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงเดิมบางบริบาลในปี พ.ศ. 2471 หลังการอภิวัฒน์สยาม 2475 หลวงเดิมบางบริบาลได้โยกย้ายไปเป็นนายอำเภอเมืองสมุทรสาครในปี พ.ศ. 2476 กระทั่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2479 ได้กลับไปรับราชการที่จังหวัดจันทบุรีในตำแหน่งปลัดจังหวัด หลวงเดิมบางบริบาลได้มีความก้าวหน้าในงานราชการมหาดไทยโดยดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดสมุทรสาครในปี พ.ศ. 2490 และเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2492 หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกเทศบาลจันทบุรีและสมาชิกสภาจังหวัดจันทบุรีอีกหลายสมัย[3]
จากหนังสือเรื่อง “โลกและธรรม” ที่เรียบเรียงโดยหลวงเดิมบางบริบาล ได้กล่าวถึงความเจริญก้าวหน้าของจังหวัดจันทบุรีภายใต้ระบอบใหม่นับตั้งแต่การยกฐานะสุขาภิบาลเมืองจันทบุรีมาเป็นเทศบาลเมืองจันทบุรีในปี พ.ศ. 2478 โดยในเขตเทศบาลเมืองจันทบุรีมีสุขศาลาเป็นสถานที่รักษาพยาบาลประชาชน มีนางผดุงครรภ์และผู้ช่วยแพทย์ประจำสุขศาลา มีการสร้างสาธารณูปโภคใหม่ในเขตเทศบาล อาทิ โรงไฟฟ้าและโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาล มีการตัดถนนคอนกรีตในเขตเทศบาล ส่วนนอกเขตเทศบาลมีการสำรวจเส้นทางและตัดถนนเพื่อเชื่อมระหว่างอำเภอต่างๆ การสร้างโรงพยาบาลจันทบุรี โดยได้รับความช่วยเหลือจากหลวงนรินทร์ประสาทเวชช์ ส.ส.จันทบุรี นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอนุสรณ์รัฐธรรมนูญตรงข้ามศาลากลางจังหวัด ที่หลวงเดิมบางบริบาลเป็นผู้จัดสร้าง[4]
จากเอกสารรายงานโครงการก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี ที่หลวงเดิมบางบริบาลส่งไปถึงกระทรวงมหาดไทย มีข้อมูลของการเรี่ยไรเงินเพื่อสร้างอนุสาวรีย์ ภาพวาดแบบอนุสาวรีย์ บัญชีค่าใช้จ่าย รวมถึงรายนามผู้บริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์ อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาที่มาและรูปแบบสถาปัตยกรรมของอนุสาวรีย์แห่งนี้ โดยเฉพาะการให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวอนุสาวรีย์ว่ามีขนาดฐานกว้าง 3×3 เมตร สูง 1 เมตร บริเวณฐานมีศิลาจารึก 4 ด้าน เหนือชั้นฐานเป็นบุษบกวางพานแว่นฟ้าและรัฐธรรมนูญจำลอง ซึ่งหล่อด้วยโลหะปิดทอง รวมระยะความสูงจากพื้นดินถึงยอดบุษบก 6.15 เมตร บริเวณฐานอนุสาวรีย์ในแต่ละด้านให้มีปืนใหญ่โบราณประจำ 4 มุม นอกจากนี้ยังสร้างซุ้มประตูคอนกรีตด้านหน้า 1 ซุ้ม
ทั้งนี้ทางกรมการจังหวัดจันทบุรีได้มีการประกาศชักชวนให้ประชาชนชาวจันทบุรีร่วมบริจาคเงินในการสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2479 ใบประกาศได้กล่าวถึงเหตุผลของการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้เพื่อ “ให้ประชาชนชาวเราทั้งหลาย ในปัจจุบันและอนาคตได้ระลึกถึงคุณงามความดีของคณะก่อการ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวของชาวเรา ที่ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงประชากรของพระองค์ได้มีสิทธิส่วนการปกครองบ้านเมือง เป็นพระเดชพระคุณอันล้นเหลือที่จะพรรณนา”[5] ด้านสถานที่ก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าสาขาสมาคมคณะรัฐมนตรี ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดจันทบุรี เพื่อสะดวกแก่การบำรุงรักษาและประกอบพิธีในงานประจำปี โดยผู้ที่ร่วมบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์จะได้รับการพิมพ์รายงานและจำนวนเงินในสมุดที่พิมพ์แจกในงานฉลองอนุสาวรีย์นี้[6] นอกจากนี้ทางกรมการจังหวัดยังจัดทำแผ่นใบปลิว “โฆษณาการ” ชักชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ โดยมีภาพวาดอนุสรณ์รัฐธรรมนูญและข้อความว่า
“โฆษณาการ ท่านรักรัฐธรรมนูญ ท่านที่เคารพรัฐธรรมนูญ ท่านจงช่วยกันบริจาคทรัพย์สร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งจะประดิษฐานพานทองและแผ่นศิลาจารึกไว้ชั่วกาลนาน อันเป็นของท่านมีส่วนสร้างถาวรวัตถุสาธารณสถานสำคัญนี้ ท่านจะได้ชื่อว่ามีความเลื่อมใสสนับสนุนการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ แล้วจะเห็นได้ทุกเช้าค่ำเมื่อท่านผ่านหน้าศาลากลางจังหวัดจันทบุรี จะเป็นความปลื้มปิติ ใจท่านจะเบิกบานมีจิตต์อันเป็นกุศลประจำ”[7]
สำหรับภาพวาดแบบอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี มีจำนวน 6 แผ่น ประกอบด้วยภาพวาดอนุสรณ์รัฐธรรมนูญในภาพรวมจำนวน 1 แผ่น ภาพวาดซุ้มประตูทางเข้าอนุสรณ์รัฐธรรมนูญที่มีข้อความเหนือซุ้มว่า “รมณียสถาน” จำนวน 1 แผ่น และภาพจารึกแต่ละด้านของอนุสาวรีย์จำนวน 4 แผ่น
เมื่อพิจารณาภาพวาดอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี ถือได้ว่ามีรูปแบบสถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดสมุทรสาคร ที่ประกอบพิธีเปิดในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2478 โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีต ที่ยังคงแบบอย่างสถาปัตยกรรมไทยจารีตเอาไว้ แต่ตัดทอนรายละเอียดของลวดลายไทยเหลือเพียงเส้นกรอบเรขาคณิตที่เรียบง่าย[8] กล่าวคือ อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดสมุทรสาครเป็นบุษบกคอนกรีตประดิษฐานพานแว่นฟ้าและรัฐธรรมนูญ บริเวณฐานมีแผ่นจารึกข้อความทั้งสี่ด้าน มีเสา 6 ต้นแสดงหลัก 6 ประการของคณะราษฎรรอบตัวอนุสาวรีย์ และมีปืนใหญ่ 1 กระบอกบริเวณด้านหน้า มีความเป็นไปได้ว่าอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญที่จังหวัดสมุทรสาครน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลวงเดิมบางบริบาล ที่เคยรับราชการเป็นนายอำเภอเมืองสมุทรสาครตั้งแต่ พ.ศ. 2476-2479 มาใช้เป็นต้นแบบในการก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจันทบุรี อันทำให้อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีมีลักษณะคล้ายคลึงกับจังหวัดสมุทรสาครอย่างชัดเจน แตกต่างที่จังหวัดจันทบุรีนั้นเสาหลัก 6 ประการของคณะราษฎรถูกแทนที่ด้วยปืนใหญ่ 4 กระบอกแทน
ส่วนภาพจารึกของอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีแต่ละด้านนั้น ด้านแรก เป็นข้อความเกี่ยวกับมูลเหตุและเหตุผลในการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ โดยเรียงข้อความในรูปแบบพานพุ่ม ด้านบนของพานพุ่มมีพระปรมาภิไธยของรัชกาลที่ 7 และมีเทพีโปรยดอกไม้อยู่ 2 ฝั่ง ข้อความของจารึกกล่าวถึงคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองและวางหลักหกประการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และได้รับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 นำไปสู่การตั้งสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการราษฎร จากนั้นรัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ดังนั้นคณะข้าราชการ ทหาร พลเรือน พ่อค้า ประชาชนจังหวัดจันทบุรี จึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์จัดสร้างอนุสาวรีย์นี้ไว้[9]
ด้านที่สอง เป็นจารึกหลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยมีภาพประกอบ 6 ภาพที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลัก 6 ประการ และมีตราสมาคมคณะราษฎรอยู่กึ่งกลางจารึกด้านบน ด้านที่สาม เป็นจารึกรูปพานรัฐธรรมนูญพร้อมกับบทบัญญัติบางมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ได้แก่ มาตรา 1 มาตรา 3 มาตรา 13 มาตรา 20 และมาตรา 58 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยประเทศสยามเป็นราชอาณาจักรแบ่งแยกมิได้ องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้แทนของปวงชนชาวสยาม และการพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลจะต้องดำเนินตามกฎหมายและในนามพระมหากษัตริย์ ส่วนด้านสุดท้าย เป็นจารึกโคลงสยามมานุสติ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 และด้านบนของจารึกมีพระปรมาภิไธยของรัชกาลที่ 6
เมื่อพิจารณารูปแบบสถาปัตยกรรมและจารึก 4 ด้านของอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี แสดงให้เห็นว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้ต้องการนำเสนอความทรงจำเกี่ยวกับการประนีประนอมของคณะราษฎรกับรัชกาลที่ 7 ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนนำไปสู่การพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร การนำหลัก 6 ประการของคณะราษฎรมาเป็นหลักในการบริหารประเทศ รวมถึงเน้นย้ำถึงความสามัคคีสมานฉันท์ของประชาชนในประเทศสยาม
สำหรับบัญชีรายนามผู้บริจาคเงินสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรี มีจำนวนทั้งสิ้น 317 รายชื่อ มียอดบริจาครวม 820 บาท 30 สตางค์ รายนามผู้บริจาคล้วนมีภูมิลำเนาหรือมีหน้าที่การงานในจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ดังปรากฏชื่ออำเภอหลังนามผู้บริจาค และมีการเรียงลำดับรายนามจากผู้บริจาคเงินมากสุดไปน้อยสุด โดยรายนามแรกคือ หลวงเดิมบางบริบาล บริจาคเงิน 218 บาท 32 สตางค์ และรายนามสุดท้ายเป็นกลุ่มผู้บริจาคเงินต่ำกว่าสลึง 190 ราย รวมเป็นเงิน 17 บาท 99 สตางค์
จากบัญชีรายนามนี้สะท้อนเครือข่ายความร่วมมือร่วมใจของพลเมืองจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ที่ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของรัฐธรรมนูญ รวมถึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบอบใหม่ของจังหวัดจันทบุรีผ่านการสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญแห่งนี้ จากรายนามนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มบุคคลที่ประกอบอาชีพต่างๆ อย่างหลากหลายของผู้บริจาคเงินทั้งหมดซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 9 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มนักการเมืองระดับจังหวัดและท้องถิ่น อาทิ หลวงนรินทร์ประสาทเวชช์(ส.ส.จันทบุรี) และม.ล.เสริมสิงห์ ปราโมทย์ (เทศมนตรีเทศบาลเมืองจันทบุรี)
- กลุ่มข้าราชการฝ่ายปกครอง อาทิ ขุนประสงค์สุขการี (ข้าหลวงประจำจังหวัดจันทบุรี) หลวงเดิมบางบริบาล (ปลัดจังหวัดจันทบุรี) ขุนประจญพาลปลาต (นายอำเภอแหลมสิงห์) ขุนภูมิประศาสน์ (นายอำเภอท่าใหม่) และขุนบรรณการ (นายอำเภอขลุง)
- กลุ่มข้าราชการตุลาการ อาทิ หลวงวรสารพิจิตร์ หลวงบริหารวินิจฉัยกิจ และคณะข้าราชการศาลจังหวัดจันทบุรี
- กลุ่มข้าราชการครู ธรรมการ และนักเรียน อาทิ คณะครูและนักเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ คณะธรรมการอำเภอและครูประชาบาลอำเภอมะขาม คณะครูและนักเรียนโรงเรียนในเขตเทศบาล คณะครูอำเภอแหลมสิงห์ คณะโรงเรียนประชาบาลอำเภอขลุง และคณะโรงเรียนประชาบาลตะปอน
- กลุ่มข้าราชการตำรวจ-ทหาร อาทิ คณะตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี คณะตำรวจภูธรจังหวัดระยอง คณะตำรวจภูธรจังหวัดตราด คณะตำรวจภูธรอำเภอเขาสมิง คณะตำรวจภูธรกิ่งกำพุช คณะตำรวจภูธรกิ่งคลองใหญ่ พ.ต.หลวงกล้าผจญศึก ร.อ.ขุนเจริญโยธาพิทักษ์ และ ร.อ.ขุนจารุโยธิน
- ข้าราชการเกษตราธิการ อาทิ หลวงมัศยจิตรการ (ข้าราชการกรมประมง) หลวงวิบูลวันกิจ (ข้าราชการกรมป่าไม้) และคณะข้าราชการกองป่าไม้ภาคจันทบุรี
- กลุ่มคหบดีและพ่อค้า อาทิ หลวงราชไมตรี นายซองกุ่ย สีบุญเรือง เถ้าแก่ล็อก และนายบุ้นตง
- บาทหลวงในจังหวัดจันทบุรี อาทิ บาทหลวงซีมอน เจ้าอาวาสวัดจันทบุรี บาดหลวงบนิฟาส และบาทหลวงเกลแมนต์
- กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้รับทราบรายงานการก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนแล้ว ทางกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือขอบคุณในกุศลสาธารณประโยชน์ และมอบหมายให้สำนักงานโฆษณาการประกาศข่าวการก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญแห่งนี้ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน รวมถึงจัดทำเครื่องหมายเงินขนาดใหญ่จำนวน 1 ชิ้น มอบให้คณะกรมการจังหวัดจันทบุรีเป็นที่ระลึก[10]
ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์กับอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีอย่างไร แต่ผู้เขียนสันนิษฐานว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในเขตเมืองจันทบุรี เนื่องจากอยู่ใกล้กับสถานที่ราชการและสโมสรข้าราชการประจำจังหวัด รวมถึงอาจเป็นพื้นที่หนึ่งในการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญของจังหวัดจันทบุรี เช่นเดียวกับอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญแห่งอื่นๆ ของประเทศไทยในยุคสมัยคณะราษฎร
แม้ว่าคณะราษฎรจะสิ้นสุดอำนาจในช่วงหลังการรัฐประหาร 2490 และพลังอนุรักษนิยมขึ้นมามีอำนาจแทนที่ จนเริ่มเกิดความพยายามในการลดทอนความหมายและคุณค่าของระบอบรัฐธรรมนูญสมัยคณะราษฎร กระทั่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรื้อถอน เคลื่อนย้าย หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญหลายแห่งในประเทศไทย[11] ส่วนอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีในช่วงทศวรรษ 2490 นั้น หน่วยงานราชการยังคงให้ความสำคัญกับอนุสาวรีย์แห่งนี้ในฐานะ 1 ใน 3 อนุสาวรีย์ของจังหวัดจันทบุรี ดังปรากฏจากเอกสารการสำรวจและดูแลรักษาอนุสาวรีย์ต่างๆ ของจังหวัดจันทบุรีในปี พ.ศ. 2494 ระบุว่าอนุสรณ์รัฐธรรมนูญอยู่ในความดูแลของสโมสรจังหวัดจันทบุรี โดยอาศัยแรงงานนักโทษถางหญ้าและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ[12]
อนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีน่าจะอยู่คู่กับประชาชนชาวจันทบุรีจนถึงช่วงปลายทศวรรษ 2500 ดังปรากฏให้เห็นจากภาพถ่ายของประชาชนที่ถ่ายรูปคู่กับอนุสาวรีย์แห่งนี้ รวมถึงภาพอนุสาวรีย์แห่งนี้ในหนังสือที่ระลึกสมาคมชาวจันทบุรีในปี พ.ศ. 2507[13] หลังจากนั้นภาพของอนุสรณ์รัฐธรรมนูญจังหวัดจันทบุรีแทบจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย อันสัมพันธ์กับการรื้อถอนอนุสาวรีย์แห่งนี้เพื่อก่อสร้างอาคารหอประชุมทองใหญ่อนุสสร (ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งของสมาคมกีฬาจังหวัดจันทบุรี) ดังนั้นอนุสรณ์สถานแห่งการรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองและระบอบรัฐธรรมนูญในสมัยคณะราษฎร ที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวจันทบุรี จึงหลงเหลือเพียงภาพถ่ายเก่าและความทรงจำไปตลอดกาล
บรรณานุกรม :
เว็บไซต์
- ชาตรี ประกิตนนทการ. พระพรหมพิจิตร กับงานสถาปัตยกรรมไทยใหม่ในระบอบประชาธิปไตย. (18 มิถุนายน 2566).
หนังสือ
- ศรัญญู เทพสงเคราะห์. ราษฎรธิปไตย : การเมือง อำนาจ และทรงจำของ (คณะ)ราษฎร. กรุงเทพฯ: มติชน, 2562
- สมาคมชาวจันทบุรี. ชุมนุมชาวจันทบุรี 2507. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิทยาลัยเทคนิค, 2507.
- หลวงเดิมบางบริบาล. เรื่องโลกและธรรม. พระนคร: โรงพิมพ์การศาสนา กรมการศาสนา, 2496.
- หลวงเดิมบางบริบาล. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงเดิมบางบริบาล (นายเดิม กุณฑลบุตร). ม.ป.ท.: ม.ป.พ., 2530.
เอกสารหอจดหมายเหตุ
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ มท.5.3/54 ข้าราชการพ่อค้าและราษฎรบริจาคทรัพย์สร้างอนุสสรณ์รัฐธรรมนูญ ณ สนามหญ้าหน้าสมาคมคณะรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2480).
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี จบ 1.1.1.11/3 การก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2480 (20 มกราคม 2480).
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี จบ 1.2.2/117 เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบและดูแลรักษาอนุสาวรีย์ต่าง ๆ (16 กรกฎาคม 2488 – 27 พฤศจิกายน 2494).
[1] ดูบทความ “มองสำนึกพลเมืองยุคคณะราษฎรผ่านอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในอีสาน,” ใน ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ราษฎรธิปไตย : การเมือง อำนาจ และทรงจำของ(คณะ)ราษฎร (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562), น. 25-86.
[2] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ มท.5.3/54 ข้าราชการพ่อค้าและราษฎรบริจาคทรัพย์สร้างอนุสสรณ์รัฐธรรมนูญ ณ สนามหญ้าหน้าสมาคมคณะรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2480).
[3] หลวงเดิมบางบริบาล, อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงเดิมบางบริบาล (นายเดิม กุณฑลบุตร) (ม.ป.ท.: ม.ป.พ., 2530), น. (1)-(12). (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงเดิมบางบริบาล ณ วัดป่าคลองกุ้ง อ.เมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2530)
[4] หลวงเดิมบางบริบาล, เรื่องโลกและธรรม (พระนคร: โรงพิมพ์การศาสนา กรมการศาสนา, 2496), น. 32-35, 41-43.
[5] “ประกาศชักชวน,” ใน หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี จบ 1.1.1.11/3 การก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2480 (20 มกราคม 2480).
[6] เรื่องเดียวกัน.
[7] เรื่องเดียวกัน.
[8] ชาตรี ประกิตนนทการ, พระพรหมพิจิตร กับงานสถาปัตยกรรมไทยใหม่ในระบอบประชาธิปไตย (18 มิถุนายน 2566).
[9] หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี จบ.1.1.1.11/3 การก่อสร้างอนุสรณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2480 (20 มกราคม 2480).
[10] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ มท.5.3/54 ข้าราชการพ่อค้าและราษฎรบริจาคทรัพย์สร้างอนุสสรณ์รัฐธรรมนูญ ณ สนามหญ้าหน้าสมาคมคณะรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2480).
[11] “มองสำนึกพลเมืองยุคคณะราษฎรผ่านอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญในอีสาน,” ใน ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ราษฎรธิปไตย : การเมือง อำนาจ และทรงจำของ (คณะ)ราษฎร, น. 70-75.
[12] อนุสาวรีย์ 3 แห่งของจังหวัดจันทบุรี ได้แก่ พระเจดีย์เขาแหลมสิงห์ พระเจดีย์น้ำตกพลิ้ว และอนุสรณ์รัฐธรรมนูญ ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี จบ 1.2.2/117 เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบและดูแลรักษาอนุสาวรีย์ต่างๆ (16 กรกฎาคม 2488 – 27 พฤศจิกายน 2494)
[13] สมาคมชาวจันทบุรี, ชุมนุมชาวจันทบุรี 2507 (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิทยาลัยเทคนิค, 2507).