ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

พระเจ้าช้างเผือก ตอนที่ 8 : สงคราม !

9
พฤศจิกายน
2568

“...เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรักษาเกียรติยศเอาไว้ ขอให้พี่น้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เราจะโจมตีกรุงอโยธยา”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

ภายในพระตำหนักส่วนพระองค์ของพระเจ้าหงสา พระองค์กำลังทรงพระสำราญในการหยอกล้อกับเหล่าสาวงาม นางหนึ่งในจำนวนนั้นวิ่งไปปิดประตูห้อง พระเจ้าหงสาทรงได้รับการปรนเปรอด้วยน้ำจัณฑ์มากมาย ชีวิตการพักผ่อนส่วนพระองค์ผ่านพ้นไปเป็นช่วง ๆ อย่างเต็มไปด้วยความสุข

ทหารองครักษ์ผละจากประตูที่ปิดอย่างเงียบเสียง ด้วยสายตาอันทะเล้น เขาเดินไปสมทบกับพรรคพวกที่เฉลียงซึ่งไกลออกไป

“พระองค์ท่านทรงกำลังมีความสุขว่ะ”

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เจ้าชายบุเรงและอัครมหาเสนาบดี ได้เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ทั้งสองสนทนากันอย่างรวดเร็วพลางเดินตรงไปยังประตูห้องส่วนพระองค์ของพระเจ้าหงสา แต่ประตูปิดอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องถามว่าเพราะเหตุไร เสียงเพลงพร้อมเสียงหัวเราะแปลก ๆ และคำพูดที่ได้ยินได้ฟังจนชินหูเล็ดลอดออกมาถึงนอกห้อง

ทั้งสองมองดูซึ่งกันและกัน อัครมหาเสนาบดีเอามือเกาหู เพราะเขาทราบดีว่า พระเจ้าหงสาไม่โปรดที่จะให้ใครเข้าไปรบกวนในยามที่พระองค์กำลังมีความสุขส่วนพระองค์ภายในห้อง แต่เจ้าชายบุเรงมีความเกรงกลัวน้อยกว่า

มีรอยแตกอยู่ที่บานประตู เจ้าชายบุเรงพยายามแนบหูเข้าฟังดูแต่ไม่ได้ผลเท่าใดนัก จึงพยายามแง้มประตูออกเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบที่สุด เจ้าชายบุเรงย่อตัวลงมองเข้าไปในห้อง ได้ยินเสียงหัวเราะระริกระรี้และเสียงกระซิบที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ในเวลานั้น อัครมหาเสนาบดีไม่สามารถสะกดความอยากรู้อยากเห็นของตนต่อไปได้ เขาสะกิดเจ้าชายบุเรงเพื่อจะแอบดูบ้าง แต่เจ้าชายบุเรงซึ่งนัยน์ตากำลังแนบอยู่ตรงช่องประตูที่เปิดแง้ม ไม่นำพาแต่อย่างใด ถึงแม้จะถูกอัครมหาเสนาบดีผลักรุนแรงขึ้นก็ตาม จนกระทั่งในที่สุดคนทั้งสองเสียหลักกลิ้งไปนอนแผ่อยู่ในห้องต่อเบื้องพระพักตร์ เพราะบานประตูทานน้ำหนักไม่อยู่

ความเงียบอันพรั่นพรึงก็อุบัติขึ้น พระเจ้าหงสาทรงตะโกนลั่น

“เจ้าต้องการอะไรวะ”

สิ่งที่ผู้โชคร้ายทั้งสองคนต้องการมากที่สุดในเวลานี้คือ การหนีออกไปให้ไกลแสนไกล และไม่ต้องการสร้างความหายนะให้กับตนด้วยการเข้ามาในห้องส่วนพระองค์ในสภาวะเช่นนี้

แต่งานจำต้องเป็นงาน

อัครมหาเสนาบดีกราบทูลตะกุกตะกัก

“เจ้าชายบุเรง ทรงกลับมาจากกรุงอโยธยาแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าฯ เห็นแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าฯ หรอก ว่าอย่างไรบุเรง”

เจ้าชายบุเรงประคับประคองสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงถวายบังคมพระเจ้าหงสาพลางทูลว่า

“หม่อมฉันเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากกรุงอโยธยา เพื่อนำข่าวดีมากราบทูลฝ่าพระบาทว่า กษัตริย์จักราปฏิเสธข้อเสนอของฝ่าพระบาท พ่ะย่ะค่ะ”

 

“หม่อมฉันเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากกรุงอโยธยา เพื่อนำข่าวดีมากราบทูลฝ่าพระบาทว่า กษัตริย์จักราปฏิเสธข้อเสนอของฝ่าพระบาท พ่ะย่ะค่ะ”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

พระพักตร์ของพระเจ้าหงสาดูสดชื่นขึ้น

“ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไร ไปเตรียมไพร่พลให้พร้อม” พระเจ้าหงสาทรงชี้ไปที่เหล่าเสนาบดี “สำหรับเจ้าจงบุกโจมตีด้วยกองทัพของเจ้าทันที เพื่อเตรียมเปิดทางให้ข้าไว้ล่วงหน้า”

อัครมหาเสนาบดีโค้งรับคำบัญชาอย่างสอพลอ

“ข้าพระพุทธเจ้าจะเคลื่อนทัพในค่ำวันนี้เลย และภายในวันพรุ่งนี้หัวเมืองชายแดนจะอยู่ในกำมือของเรา พ่ะย่ะค่ะ”

“ดีแล้ว” พระเจ้าหงสาตรัส

พระเจ้าหงสาทรงหยุดคิดชั่วขณะ อาจจะต้องเตรียมแผนการณ์ที่เหมาะสมไว้บ้าง เพื่อหาเสียงสนับสนุนจากประชาราษฎร์ของพระองค์ในการทำสงคราม จึงทรงเสริมว่า

“ข้าว่า เราควรจะป่าวประกาศสาเหตุของการไปทำสงครามครั้งนี้ให้ประชาราษฎร์ของข้ารู้ไว้ด้วย จริงไหม”

ในระหว่างมีคำสั่งให้ราษฎรมาชุมนุมกัน ณ บริเวณลานหน้าพระราชวังนั้นเอง พระเจ้าหงสาดูจะกลายเป็นเหยื่อแห่งความสับสนทางจิตใจ สิ่งนี้เป็นไปตามเทวประสงค์ที่พระองค์หยิบยื่นความตายให้แก่มนุษย์ที่จะทรงทำลายล้าง หรือว่าเป็นสัญลักษณ์ของภารกิจแห่งสวรรค์ของผู้พิชิต ?

แต่พระเจ้าหงสามิได้เป็นบุคคลประเภทที่ทรงชอบถามคำถามกับตนเอง พระองค์ทรงมีบัญชาให้ตีฆ้องเรียกชุมนุมบรรดาประชาราษฎร์ทั่วพระนครที่บริเวณหน้าพระราชวัง

ผู้กระจายข่าวต่างวิ่งไปทั่วทุกสารทิศในพระนคร เสียงฆ้องก้องกังวานไปในอากาศราวเสียงปืน หากอยู่ไกลฟังดูคล้ายกับเสียงสัญญาณบอกเหตุอันตรายที่แผ่ขยายความกังวล ความวิตกไปทั่วในหัวใจของสตรีเพศ ที่พร้อมที่จะระลึกถึงลางร้ายเก่าๆ ขึ้นมา

พระเจ้าหงสาทรงมีพระทัยร้อนรน

พระองค์ทรงฟังเสียงป่าวประกาศและในเวลาไม่นาน เสียงของฝูงชนที่มาชุมนุม

รอบๆ พระราชวังก็ดังเซ็งแซ่ขึ้นเป็นลำดับ ด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความวิตกกังวลในยามที่สบตากัน ราษฎรต่างหวาดเกรงว่ายังจะมีหายนภัยอันใดอีกที่จะมาเยือนบ้านเมืองหงสา ซึ่งเท่าที่เป็นอยู่นี้ชีวิตก็ไม่เคยรู้รสแห่งความสุขเลย ทั้งนี้เพียงเพื่อสนองการทำตามอำเภอใจที่มีราคาสูง ?

และแล้วเวลาก็มาถึง

พระเจ้าหงสาเสด็จไปยังพระระเบียงซึ่งหันไปสู่ลานกว้างที่ฝูงชนมายืนรอ

ทรงทอดพระเนตรไปโดยรอบ บรรดาเสนาบดียืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ปราศจากความกระตือรือร้น เพราะต่างก็ทราบดีว่า พสกนิกรของพระเจ้าหงสามุ่งหวังสันติภาพที่ถาวรเหนือสิ่งอื่นใด และไม่ต้องการจะยึดครองประเทศอื่น

สมุหราชมณเฑียรเคาะพื้นด้วยคทา ๓ หน

“ทุกคนโปรดเงียบ ต่อไปนี้ เจ้าเหนือหัวจะมีพระกระแส”

จากนั้นพระเจ้าหงสาทรงกล่าวว่า

“พี่น้องประชาราษฎร์ทั้งหลาย บัดนี้เป็นที่ทราบกันว่ากษัตริย์กรุงอโยธยาได้ปฏิเสธข้อเสนอที่เอื้อต่อสันติภาพของข้าฯ ดังนั้น เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรักษาเกียรติยศเอาไว้ ขอให้พี่น้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เราจะโจมตีกรุงอโยธยา”

ความเงียบปกคลุมลานหน้าพระราชวัง ฝูงชนคงนิ่งเงียบเต็มไปด้วยความหวั่นวิตกและกังวลไม่มีเสียงเปล่งร้องไชโยให้กับกระแสพระดำรัสแต่อย่างใด ต่างหันไปมองหน้าซึ่งกันและกัน เพื่อดูความรู้สึกของตนที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของคนข้างๆ

มีแต่ชายสูงอายุผู้หนึ่ง ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้กับพระระเบียงที่ประทับด้วยนัยน์ตาที่ฉายความตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยว

“ขอเดชะฯ พสกนิกร ต่างเหนื่อยล้าจากการทำสงครามไปทั่วทุกคน ในชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าได้ถูกสั่งให้ไปทำสงครามมากกว่าสิบหน และครั้งนี้เพื่อช้างเผือกเพียงเชือกเดียว ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเชื่อมั่นเหลือเกินว่า สิ่งที่พระองค์มีพระประสงค์ให้พวกข้าพระพุทธเจ้าไปตายเพื่อให้ได้มานั้น ย่อมสามารถได้มาด้วยวิธีการเจรจาโดยสันติ พ่ะย่ะค่ะ”

 

“ขอเดชะฯ พสกนิกร ต่างเหนื่อยล้าจากการทำสงครามไปทั่วทุกคน ในชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าได้ถูกสั่งให้ไปทำสงครามมากกว่าสิบหน และครั้งนี้เพื่อช้างเผือกเพียงเชือกเดียว…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

คำกล่าวของชายชราจบลงท่ามกลางความเงียบส่อลางไม่ดีว่าจะเกิดพายุใหญ่

พระพักตร์อันโกรธเกรี้ยวของพระเจ้าหงสาแสดงความฉุนโกรธท่วมท้น พระพิโรธครอบงำ ประดุจไฟอันเผาผลาญได้กระตุ้นสัญชาตญาณ ซึ่งบงการพระนิสัยอันโหดร้าย

พระเจ้าหงสาไม่อาจจะควบคุมพระอารมณ์ต่อไปได้ ทรงหมดสิ้นความเคารพต่อชีวิตของมนุษย์อีกต่อไป พระองค์กวาดพระเนตรที่กระหายเลือดไปรอบๆ ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบหอกของทหารองครักษ์ข้าง ๆ พุ่งออกไปด้วยความชำนาญ หอกพุ่งลอยตรงไปราวกับฟ้าแลบ ทะลุเสื้อผ้า ทิ่มผ่านเนื้อหนังมังสาและปักหัวใจของชายชรา ซึ่งโดยมิได้ทันถอนใจก็ล้มลงถึงแก่ความตายในทันที นี่คือการตอบแทนการทำสงครามทั้งสิบหนเพื่อพระเจ้าแผ่นดินของตน…

 

…ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบหอกของทหารองครักษ์ข้าง ๆ พุ่งออกไปด้วยความชำนาญ หอกพุ่งลอยตรงไปราวกับฟ้าแลบ ทะลุเสื้อผ้า ทิ่มผ่านเนื้อหนังมังสาและปักหัวใจของชายชรา ซึ่งโดยมิได้ทันถอนใจก็ล้มลงถึงแก่ความตายในทันที…
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

นี่อาจจะเป็นชัยชนะครั้งแรกในสงครามนี้ของพระเจ้าหงสา แต่มิได้ทรงมีชัยชนะเหนือพระองค์เอง ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้อย่างแน่นอน

พระเจ้าหงสาทรงยืนอยู่กับที่พลางทรงยกพระหัตถ์ขึ้นในอากัปกิริยาที่ดูน่าสะพรึงกลัว

“คำสั่งของข้า คือ กฎหมายสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด”

พสกนิกรเข้าใจในความหมายนั้น ต่างพากันทยอยกลับไปบ้านเรือนของตนในเมืองอย่างช้า ๆ ความใกล้ชิดกับผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความเดือดร้อนและการไร้ความปลอดภัย ความสุขเป็นตรีคูณของบุคคลอยู่ที่การไม่มีใครรู้จักและปลีกตัวอยู่แต่ในความสงบ แต่ความสุขเป็นร้อยเท่าของบุคคลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบ้านเมืองตนมีสันติภาพอย่างแท้จริง สันติภาพที่ค้ำประกันโดยสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของผู้ปกครอง มิใช่การยอมแพ้อย่างขลาดเขลาและไร้เกียรติ หากเป็นสันติภาพและรางวัลของสันติภาพซึ่งมีค่าสุดประมาณ เสียงเรียกร้องของทหารสื่อสารออกระดมคนเพื่อทำสงครามดังขึ้นทั่วไป รีบเข้า อย่ามัวง่วงเหงาหาวนอน วิ่งไป…รวมกันที่โน่น…ที่นี่

สงคราม……….

 

หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • ปรีดี พนมยงค์, สงคราม ! , พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๔๒-๔๖.

 

อ่านนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก" ในรูปแบบ E-Book ได้ที่นี่

สั่งซื้อนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant" ได้ที่นี่