ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ
(2475-2564)
ที่มา : วิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ
ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นหนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งเป็นช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่มีคดีจำนวนมากเข้าสู่ศาลเพราะมีการ
โต้แย้งว่าบทบัญญัติกฎหมายที่ได้แก้ไขให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจบทบาทและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
ในฐานะนักกฎหมายมหาชน และความเป็นครูกฎหมาย ดร.อิสสระ ได้อธิบายหลักกฎหมาย และสอดแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์โลก ลงในคำวินิจฉัยส่วนตน ทำให้คำวินิจฉัยส่วนตนยังเป็นกรณีศึกษาการใช้และตีความกฎหมายให้กับผู้ศึกษากฎหมาย
การอ่านคำวินิจฉัยของท่าน จึงไม่ใช่แค่การย้อนมองคดีในอดีต แต่ยังเป็นการทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ และวิธีตีความกฎหมาย ที่ให้แง่คิดในปัจจุบัน โดยเฉพาะการทำหน้าที่ตุลาการที่ยึดมั่นในหลักการรัฐธรรมนูญ ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ในปี 2545 ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญว่า :
ศาลรัฐธรรมนูญจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเพื่อให้รัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์และองค์กรใดๆ จะละเมิดไม่ได้ รวมถึงเพื่อให้เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการรับรองสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยรัฐธรรมนูญจะต้องให้องค์กรทั้งหลายเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
(สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์สยามรัฐ , 2 มกราคม 2545)
ศาลรัฐธรรมนูญต้องธำรงความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ
(วิสัยทัศน์ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, /2545)
หลักการพื้นฐานสำคัญของรัฐธรรมนูญที่ปรากฎในคำวินิจฉัยส่วนตน
1. การตีความกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะเรื่อง ดังนั้น การตีความบทบัญญัติใดๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องตีความอย่างเคร่งครัด ต้องไม่ตีความไปในทางที่ขยายอำนาจของศาลออกไปจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการเพิ่มอำนาจศาลทำให้กลายเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติเสียเอง ซึ่งขัดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ และมีหลายคำวินิจฉัยส่วนตนที่ยกคำร้องหรือจำหน่ายคำร้องเนื่องจากไม่อยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
2. ขอบเขตอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในระบอบรัฐสภา
รัฐสภาจะตรากฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารตราพระราชกฤษฎีกา ในเรื่องใดๆ โดยไม่กำหนดหลักการของกฎหมายหรือกรอบในการตรากฎหมายนั้นมิได้ เพราะเป็นการโอนอำนาจอธิปไตยที่ปวงชนมอบให้รัฐสภาเป็นผู้ใช้ไปให้ฝ่ายบริหารใช้แทน เป็นการขัดกับเจตนารมณ์ปวงชน
ดร.อิสสระ ยังเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์กฎหมายโลก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 แม้รัฐสภาจะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่โดยพฤตินัยอำนาจรัฐสภาไม่มีขอบเขต ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่างๆ ในภาคพื้นทวีปยุโรปได้จำกัดอำนาจรัฐสภาในการตรากฎหมายและจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น นับแต่นั้นมา ความสูงสุดของรัฐสภาจึงเป็นความสูงสุดภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ดังนั้น ในระบอบรัฐสภาสมัยใหม่ รัฐสภาจึงไม่อาจตรากฎหมายในเรื่องที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจขององค์กรอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายบริหารได้ แต่นอกเหนือจากเรื่องที่รัฐธรรมนูญสงวนไว้เป็นอำนาจขององค์กรอื่น รัฐสภาจะตรากฎหมายในเรื่องใดๆ ก็ได้ แล้วแต่รัฐสภาจะเห็นสมควร
3. หลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย : การไม่อยู่ใต้อาณัติใดๆ ของรัฐสภา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 หลังอังกฤษก่อตั้งระบบรัฐสภาแล้ว รุสโซ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน โดยประชาชนแต่ละคนเป็นเจ้าของคนละส่วน ดังนั้น ภารกิจที่สมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นภารกิจที่อยู่ภายใต้อาณัติ ไม่แตกต่างจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายใต้กฎหมายเอกชน ผู้ได้รับการเลือกตั้งต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เลือกตั้ง
ฌ็อง-ฌัก รุสโซ ผู้เขียนหนังสือ "สัญญาประชาคม" (The Social Contract)
โดยชี้ว่าอำนาจอธิปไตย” (Sovereignty) คืออำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองต้องอยู่ในมือของ “ประชาชนทั้งปวง”
ที่มา : Wikipedia
ต่อมา หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1789 สภารัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเห็นว่าภารกิจที่สมาชิกรัฐสภาได้รับเป็นภารกิจแห่งการเป็นผู้แทน ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่ผู้แทนของคณะผู้เลือกตั้ง แต่เป็นผู้แทนของประชาชนทั้งประเทศ นับแต่นั้นมาจึงถือว่าความเป็นอิสระในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากประชาชาติ และการไม่อยู่ภายใต้อาณัติใดๆ ของสมาชิกรัฐสภา เป็นหลักการพื้นฐานแห่งระบอบประชาธิปไตย
หลักการนี้สะท้อนอยู่ในคำวินิจฉัยส่วนตน 1/2542 ที่มีมติของพรรคให้ลบชื่อผู้ร้องออกจากทะเบียนสมาชิกพรรค เพราะเหตุผู้ร้องในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรค จึงเป็นมติที่ขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
4. หลักการตีความบทบัญญัติของกฎหมาย
ตามหลักกฎหมายมหาชน การตีความบทบัญญัติของกฎหมายต้องตีความตามถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ โดยเคร่งครัด เว้นแต่ในกรณีที่ถ้อยคำของบทบัญญัติใดไม่ชัดเจน หรือไม่ชัดจะต้องตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ตามหลักกฎหมายทั่วไป การตีความบทบัญญัติใดๆ ของรัฐธรรมนูญ จะต้องตีความไปในทางที่สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ในมาตราต่างๆ โดยเฉพาะหลักการพื้นฐานในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นมูลฐานของบุคคล เว้นแต่บทบัญญัตินั้นๆ จะมีข้อความหรือถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัตินั้นเป็นบทที่ยกเว้นหลักการดังกล่าว
การอ่านคำวินิจฉัยส่วนตนของ ดร.อิสสระ ในหลายๆ คดี เป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นการตีความกฎหมายในหลายมิติ ทั้งตามถ้อยคำ เจตนารมณ์ของกฎหมายและของสภาร่างรัฐธรรมนูญ การเชื่อมโยงกับบทบัญญัติอื่นอย่างเป็นระบบ และการนำหลักกฎหมายทั่วไปมาปรับใช้กับคดี
ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนที่หยิบยกมาจากคำวินิจฉัยส่วนตนของ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ซึ่งยังมีหลักการอื่นๆ และ ที่สอดแทรกทั้งเหตุผลทางกฎหมายและเกร็ดประวัติศาสตร์สำคัญ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ คำวินิจฉัยส่วนตน – dr-isra.com
กรณีศึกษาคำวินิจฉัยส่วนตนในคดีจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
คำวินิจฉัยส่วนตนที่ 10/2544 เป็นกรณีศึกษาของการตีความกฎหมายในหลายมิติ ทั้งตามถ้อยคำ เจตนารมณ์ของกฎหมาย การเชื่อมโยงกับบทบัญญัติอื่นอย่างเป็นระบบ และการนำหลักกฎหมายทั่วไปมาปรับใช้กับคดี
การตีความคำว่า “จงใจ” นอกจากจะมีการตีความตามถ้อยคำแล้ว ยังตีความตามเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ในมาตรา 291-295 เพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อให้ทราบว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือไม่ และเป็นไปตามหลักกฎหมายที่ว่า หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลเป็นของคู่กัน นอกจากนี้บทบัญญัติโทษเป็นบทบัญญัติที่กำจัดสิทธิในทางการเมืองอันเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชน ซึ่งรุนแรงกว่าการ “จำกัดสิทธิ” การใช้บทบัญญัติมาตรานี้จึงต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรมและเจตนารมณ์แห่งบทบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้ คำว่าจงใจ จึงมิใช่เจตนาธรรมดา หากแต่ต้องมีเจตนาพิเศษที่เป็นมูลเหตุให้นำไปสู่การถอดถอนผู้หนึ่งผู้ใดจากตำแหน่งทางการเมือง การจะพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ใดจงใจหรือไม่ จึงต้องมีความชัดแจ้ง โดยมีหลักเกณฑ์ว่าเป็นการกระทำของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรงเพื่อให้ได้ประโยชน์หรือเตรียมเพื่อจะให้ได้รับประโยชน์อันมิชอบ
การตีความเชิงระบบ การเชื่อมโยงมาตราต่างๆ ของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตที่เกี่ยวข้อง และการอ้างอิงกฎหมายอื่น ได้แก่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องการโอนหุ้นบริษัืจำกัด และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เรื่องการโอนลอย มาปรับใช้กับข้อเท็จจริงในเรื่องการถือหุ้นของผู้ใกล้ชิดเป็นการถือโดยผู้ถูกร้องหรือไม่
การปรับใช้หลักกฎหมายทั่วไป “หลักสุจริต” ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทำการโดยสุจริต ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นชัดแจ้งว่าผู้ถูกร้องจงใจยื่นบัญชีฯด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือจงใจปกปิดข้อเท็จจริงทีควรแจ้งให้ทราบ