ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

สภาเดียว: หลักประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์ กับวิกฤตศรัทธาวุฒิสภาไทยในปัจจุบัน

10
พฤษภาคม
2568

วิกฤตศรัทธาต่อวุฒิสภาไทยได้สร้างแรงกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกสมาชิกวุฒิสภาหลายรายในข้อหาทุจริตการได้มาซึ่งตำแหน่ง เปิดโปงโครงสร้างของวุฒิสภาซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน หากแต่มาจากกลุ่มผู้มีอำนาจที่สืบทอดอำนาจจากรัฐประหาร คสช. ผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงบั่นทอนความน่าเชื่อถือของกลไกรัฐสภา แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากอยู่ในระบบการเมืองไทย ซึ่งขัดแย้งอย่างชัดเจนกับหลักประชาธิปไตยที่นายปรีดี พนมยงค์ เคยวางรากฐานไว้ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ของไทย

วุฒิสภาชุดปัจจุบันแม้จะมาจากกระบวนการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่กำลังเผชิญข้อกังขาร้ายแรงว่า มีการฮั้วกันเลือกตั้ง โดยขบวนการที่จัดวางผู้สมัครและล็อกผลโหวตแบบปิดล้อม ซึ่งขัดกับหลักการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสของระบอบประชาธิปไตย เมื่อสภาที่ควรเป็นหลักประกันประชาธิปไตย กลับกลายเป็นเครือข่ายผลประโยชน์ที่แต่งตั้งกันเองโดยไม่ผ่านประชาชน วิกฤตนี้จึงไม่ใช่เรื่องของบุคคล แต่คือปัญหาเชิงโครงสร้าง

หากย้อนกลับไปดูข้อเสนอของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยเสนอไว้ชัดเจนว่า ประเทศไทยควรมี “สภาเดียว” ที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งของราษฎรทั้งสิ้น ไม่ใช่ระบบสองสภาที่เปิดช่องให้อำนาจแฝงเข้ามาครอบงำเสียงประชาชน

ปรีดี พนมยงค์ กับหลักการ “สภาเดียว” ที่ยึดโยงกับราษฎร

สำหรับนายปรีดี พนมยงค์ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไม่ใช่เพียงการโค่นล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นการโอนอำนาจอธิปไตยจากกษัตริย์มาสู่ประชาชน ด้วยสัญญาทางการเมืองที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” โดยมีเป้าหมายชัดเจนให้ผู้แทนราษฎรมาจาก “การเลือกตั้ง”ของประชาชนทั้งสิ้น และมีสภาเดียวที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติเพื่อประโยชน์ของประชาชน

ท่านยืนยันมาตลอดว่า การมีวุฒิสภาหรือสภาสูงซึ่งมาจากการแต่งตั้ง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย หากมีวุฒิสภาจำเป็นจริง ก็ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่เช่นนั้น สมาชิกวุฒิสภาย่อมไม่ใช่ผู้แทนของประชาชน แต่เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจอื่น

การโต้แย้ง “ข้ออ้าง” ดั้งเดิมเพื่อมีวุฒิสภา

นายปรีดีได้วิพากษ์เหตุผลของผู้สนับสนุนการมีวุฒิสภาไว้ชัดเจน เช่น อ้างว่าสภาสูงมีสมาชิกอาวุโสกว่า รอบคอบกว่า ซึ่งปรีดีชี้ว่าไม่เป็นความจริง เพราะในทางปฏิบัติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนก็มีอายุสูงกว่าวุฒิสมาชิก อีกทั้งระบบพิจารณากฎหมาย 3 วาระ ก็สามารถออกแบบให้มีเวลาตรึกตรองรอบคอบได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอีกสภาหนึ่งมาทำหน้าที่ยับยั้ง

ท่านยังยกตัวอย่างต่างประเทศ เช่น เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ที่แม้จะมี 2 สภา แต่สมาชิกสภาสูงก็มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนทั้งสิ้น ไม่ใช่การแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารหรือกลุ่มอำนาจพิเศษ

ความเป็นมาแห่ง “สภาเดียว” ในรัฐธรรมนูญไทย

รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ปี 2475 และฉบับถาวรในวันที่ 10 ธันวาคมปีเดียวกัน ต่างยึดหลักการมี “สภาเดียว” ซึ่งเป็นผลจากฉันทามติของคณะราษฎรร่วมกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็น “สังคมสัญญา” ที่ถ่ายโอนอำนาจจากพระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชน และสถาปนาสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาเดียวที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ

ในเวลาต่อมา แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 ที่บัญญัติให้มีพฤฒสภา (วุฒิสภา) เพิ่มขึ้น แต่นายปรีดีก็ระบุชัดว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการมีสองสภาโดยหลักการ แต่ยอมรับเพราะเป็นฉันทามติของรัฐสภาในเวลานั้น ทั้งนี้ สมาชิกพฤฒสภาก็ยังมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยราษฎร ไม่ใช่จากการแต่งตั้ง

รัฐธรรมนูญ 2560 กับวุฒิสภาแต่งตั้ง: ขัดแย้งกับประชาธิปไตย

รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเกิดจากคณะรัฐประหาร คสช. ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา 250 คน มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. โดยไม่มีการเลือกตั้งจากประชาชน และมอบอำนาจให้วุฒิสภาร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญในการแต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระและตุลาการ

วุฒิสภาชุดนี้ไม่เพียงไม่มีที่มายึดโยงกับประชาชน แต่ยังกลายเป็นกลไกที่สืบทอดอำนาจของเผด็จการรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังขัดขวางการเปลี่ยนผ่านของระบอบการเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ ด้วยการใช้เสียงโหวตของสมาชิกที่ไม่ได้ผ่านการคัดเลือกจากราษฎรเลยแม้แต่คนเดียว

เมื่อวุฒิสภาถูกตั้งข้อกล่าวหาทุจริต: วิกฤตศรัทธาที่ปรีดีเคยเตือน

กรณีดีเอสไอออกหมายเรียกสมาชิกวุฒิสภาในข้อหาทุจริตการได้มาซึ่งตำแหน่ง มิใช่เพียงเรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นหลักฐานชัดเจนของความล้มเหลวในระบบที่ออกแบบมาเพื่อรวมศูนย์อำนาจ ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม และไม่สามารถตรวจสอบได้

เมื่อผู้ที่มีอำนาจกลั่นกรองกฎหมายและคัดสรรองค์กรอิสระถูกกล่าวหาว่าทุจริตตั้งแต่ต้นทาง ย่อมทำให้ทั้งระบบขาดความชอบธรรม และนี่คือสิ่งที่นายปรีดีเคยเตือนเสมอว่า ระบอบประชาธิปไตยจะไม่เกิดขึ้นเลย หากผู้ใช้อำนาจอธิปไตยไม่ใช่ผู้ที่ประชาชนเลือกมา

ข้อเสนอ: คืนสู่สภาเดียว เพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยที่แท้จริง

ในฐานะที่ปรีดี พนมยงค์ คือผู้วางรากฐานประชาธิปไตยสมัยใหม่ของไทย ข้อเสนอของเขาจึงยังทรงพลังอย่างยิ่งในวันนี้ คือ “ประเทศไทยควรมีสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียว” และหากจำเป็นต้องมีวุฒิสภา ก็ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยราษฎร

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะยุติระบบสภาสูงที่ไร้ความรับผิดชอบต่อประชาชน เลิกโครงสร้างที่แต่งตั้งกันเองแบบปิด และหันกลับไปยึดหลักที่ว่า “ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ” และร่วมกันผลักดัน “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ที่มี “สภาเดียว” เป็นกลไกแทนเจตจำนงของปวงชน

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: