ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

PRIDI's Law Lecture : การรักษาความสงบเรียบร้อยในทางอรรถคดี

13
กันยายน
2566

Focus

  • การรักษาความสงบเรียบร้อยในทางอรรถคดีเป็นภารกิจของฝ่ายปกครองที่ต้องการความยุติธรรมของตำรวจในการดำเนินงานต่อผู้กระทำผิดทางอาชญาให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย โดยต้องกระทำดังต่อไปนี้ (1) สืบสวน (2) ไต่สวน (3) การจับกุม (4) การคุมขัง (5) การตรวจค้น (6) การยึดวัตถุพยาน (7) การอายัด (8) การตราสิน (9) การชันสูตรทรัพย์ (10) การชันสูตรชัณสูตร์บาดแผลและชันสูตรพลิกศพ และ (11) การเนรเทศและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

 

หมายเหตุกองบรรณาธิการ : คำชี้แจงของนายปรีดี พนมยงค์ ในการจัดพิมพ์คำอธิบายกฎหมายปกครอง

เนื่องจาก คำอธิบายกฎหมายปกครองของข้าพเจ้าเป็นคำสอนของข้าพเจ้าในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ฉะนั้นจึงมีข้อความที่พ้นสมัยแล้วหลายประการที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพสังคมภายหลัง พ.ศ. 2475 แต่ก็อาจมีหลักการสำคัญที่เป็นแนวประชาธิปไตยที่คุณพัฒน์เลื่อมใส

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายกฎหมายปกครองของข้าพเจ้านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์แห่งการอภิวัฒน์เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ คือใน พ.ศ. 2474 เป็นปีที่ใกล้กับวาระที่จะทำการอภิวัฒน์ดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงยุติธรรมให้เป็นผู้สอนกฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นวิชาใหม่เพิ่งใส่ไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนกฎหมาย ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสนั้นทำการสอนเพื่อปลุกจิตสำนึกนักศึกษาในสมัยนั้นให้สนใจในแนวทางประชาธิปไตย และในทางเศรษฐกิจซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของสังคม ส่วนกฎหมายเป็นแค่โครงร่างเบื้องบนของสังคมเท่านั้น

“คำปรารภ” ที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2513 เพื่อพิมพ์ใน คำอธิบายกฎหมายปกครอง (พิมพ์ในโอกาสพระราชทานเพลิงศพ พลตำรวจตรี พัฒน์ นีลวัฒนานนท์, 2513)

 

การรักษาความสงบเรียบร้อยในทางอรรถคดี หรือเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Police Judiciaire แปลตามตัวว่า ตำรวจยุติธรรมนั้น เป็นการกระทำเพื่อนำตัวผู้ที่กระทำผิดทางอาชญาให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย ซึ่งต่างกับการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยตรง และที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น การนี้ในประเทศสยามถือว่า เป็นกิจการสำคัญอันหนึ่งของฝ่ายปกครอง

เมื่อมีบุคคลได้กระทำความผิดในทางอาชญาเกิดขึ้น ทางฝ่ายปกครองมีกิจที่จะต้องกระทำดังต่อไปนี้
 

  1. สืบสวน คือการสืบสวนให้ทราบว่า บุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดและมีหลักฐานพยานอย่างไร ขอให้ดูหนังสือว่าด้วยหลักการสืบสวนคดีอาชญาของพระยามานวราชเสวี
     
  2. ไต่สวน คือการจดบันทึกถ้อยคำของผู้ซึ่งหาว่ากระทำความผิดและหลักฐานพยานในคดีนั้น อันเกี่ยวแก่วิธีพิจารณาความอาชญาในชั้นต้น ผู้ที่มีอำนาจไต่สวนนี้คือ ฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง ทางฝ่ายตุลาการให้ดูคำอธิบายวิธีพิจารณาความอาชญาซึ่งเกี่ยวกับศาลซึ่งมีอำนาจไต่สวน แต่ฝ่ายปกครองนั้นมีกรมการอำเภอ ให้ดูพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 101 และตำรวจให้เทียบดูพระราชบัญญัติเพิ่มเติมวิธีพิจารณาอาชญา ร.ศ. 120 และ พ.ศ. 2471 กับประกาศเลิกกองอัยการนครบาล พ.ศ. 2472 การไต่สวนของฝ่ายปกครองยังไม่สำเร็จเด็ดขาดที่เดียว ศาลไม่เชื่อตามคำไต่สวนนั้นเสมอไป ให้ดูตัวอย่างคดีในกรุงเทพฯ ที่แม้ฝ่ายปกครองจะไต่สวนแล้วคดีนั้นก็ต้องนำมาสู่ศาลโปลิศสภาให้ไต่สวนอีก
     
  3. การจับกุม คือการใช้อำนาจกระทำให้ผู้ต้องจับเข้าอยู่ภายใต้ความบังคับของผู้จับโดยอำนาจกฎหมาย บุคคลผู้มีอำนาจจับให้ดูพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความอาชญา พ.ศ. 2472 และดูในเรื่องระเบียบแห่งการปกครอง ลักษณะที่ว่าด้วยอำนาจบริหารหรือธุรการตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
     
  4. การคุมขัง คือการกักตัวจำเลยไว้ เพื่อที่จะดำเนินตามวิธีพิจารณา ความอาชญาต่อไป แต่ฝ่ายปกครองจะยอมให้มีประกันก็ได้ ให้ดูกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ มาตรา 101 ข้อ 5 และดูข้อบังคับอัยการร พ.ศ. 2465 ข้อ 9
     
  5. การตรวจค้น คือการค้นเคหะสถานบ้านเรือนหีบห่อหรือตัวบุคคล เพื่อหาตัวผู้กระทำผิด หรือหลักฐานพยานในคดี ให้ดูพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความอาชญา พ.ศ. 2472
     
  6. การยึดวัตถุพยาน คือการยึดวัตถุอันเป็นหลักฐานพยานแห่งคดี ให้ดูพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 101 ข้อ 4 และ 28 ข้อ 3 และดูพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความอาชญา พ.ศ. 2471 มาตรา 3
     
  7. การอายัด คือการมอบหมายตัวคน หรือสิ่งของไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อจะจัดการฟ้องร้องว่ากล่าวต่อไป ให้ดูพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 106 และดูกฎหมายโปลิศ ข้อ 53 และลักษณะตุลาการ มาตรา 29
     
  8. การตราสิน คือการแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อทำบันทึกเป็นหลักฐานตามคำขอร้องของเจ้าทรัพย์ ในเมื่อเกิดเหตุเสียทรัพย์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เช่นถูกโจรภัยเป็นต้น ให้ดูลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 104
     
  9. ชันสูตรทรัพย์ คือเจ้าหน้าที่จดบันทึกส่วนของทรัพย์ที่ได้เสียหาย แต่ซาของทรัพย์ยังเหลืออยู่
     
  10. ชันสูตรบาดแผลและชันสูตรพลิกศพ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 103 มีความว่า เมื่อมีเหตุผู้คนถูกกระทำร้ายตายลงในท้องที่อำเภอใดก็ดี ฟกช้ำหรือมีบาดแผลสาหัสเจ็บป่วยก็ดี ผู้ที่ถูกทำร้ายฟกช้ำหรือมีบาดแผลมาขอให้ชันสูตรก็ดี เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอที่จะตรวจชันสูตรหรือพลิกศพตามพระราชบัญญัติ และจดคำให้การพร้อมด้วยพยานและทำหนังสือเพื่อพิสูจน์ไว้เป็นหลักฐาน

    การชันสูตรศพนั้น อาจจะเป็นได้ทั้งในกรณีที่มีการฆาตกรรม และในกรณีที่ไม่มีการฆาตกรรม เช่นการชันสูตรพลิกศพที่ตายด้วยภยันตรายอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่การฆาตกรรม ซึ่งรัฐบาลได้ปฏิบัติในการชันสูตร เช่นในเรื่องไฟไหม้ตายเป็นต้น

    แต่ในเรื่องฆาตกรรมนั้น ให้ดูพระราชบัญญัติชัณสูตร์พลิกศพ พ.ศ. 2457 ซึ่งได้แบ่งฆาตกรรมไว้เป็น 2 ชนิดคือ

    10.1 ฆาตกรรมอันเป็นวิสามัญ คือผู้ตายๆ ด้วยเจ้าพนักงานฆ่าตายในเวลาทำการตามหน้าที่

    10.2 ฆาตกรรมอันเป็นสามัญ เมื่อผู้ตายๆ ด้วยผู้อื่นซึ่งมิใช่เป็นข้าราชการหรือเจ้าพนักงาน หรือแม้จะตายโดยเจ้าพนักงานกระทำให้ตาย แต่ไม่เกี่ยวแก่กระทำตามหน้าที่ ก็ถือว่าเป็นการฆาตกรรมอย่างสามัญ

    อนึ่งฆาตกรรมตามพระราชบัญญัตินั้น มาตรา 3 มีความว่า การตายจะเป็นด้วยฆ่าตนเองก็ดี หรือผู้อื่นฆ่าให้ตายก็ดี กิริยาอย่างนี้เรียกว่าฆาตกรรม
     
  11. การเนรเทศและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ให้ดูในบทที่ 1 ตอนที่ 9 ว่าด้วยการควบคุมคนต่างด้าวข้างต้น

 

ที่มา : ปรีดี พนมยงค์. “การรักษาความสงบเรียบร้อยในทางอรรถคดี,” ใน คำอธิบายกฎหมายปกครอง (พระนคร: สำนักงานทนายพิมลธรรม, ม.ป.ป.). น. 171-174 (โดยปรับอักขระส่วนใหญ่ให้เป็นปัจจุบัน).