นายปรีดี พนมยงค์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2481 – 2484) โดยตั้งปณิธานที่จะใช้เครื่องมือทางการคลังสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติ สร้างความเป็นธรรมและความสุขสมบูรณ์แก่ราษฎร โดยแถลงต่อรัฐสภาว่าจะปรับปรุงระบบการเก็บภาษีให้เป็นธรรมแก่สังคม และได้บรรลุภารกิจในด้านการจัดเก็บภาษีอากรที่สำคัญ ได้แก่
1) ช่วยเหลือราษฎรที่ต้องแยกรับภาษีที่ไม่เป็นธรรม ด้วยการยกเลิกเงินภาษีรัชชูปการ และอากรค่านา (เงินส่วย) ซึ่งชาวนาต้องเสียแก่เจ้าศักดินา เป็นต้น
2) จัดระบบเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตย โดยสถาปนา “ประมวลรัษฎากร” (Revenue Code) เป็นแบบฉบับครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งรวมบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรทางตรง
3) ออกพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นภาษีก้าวหน้า กล่าวคือ ผู้ใดมีรายได้มากก็เสียภาษีมาก หากมีรายได้น้อยก็เสียภาษีน้อย และผู้ใดบริโภคเครื่องบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีพก็ต้องเสียภาษีอากรมากตามลำดับ เมื่อได้ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งระบบการเงินของประเทศก็มีความมั่นคงด้วยทุนสำรองเงินตราอันประกอบด้วยทองคำและเงินตราต่างประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2483 หรือต่อมารู้จักกันในนาม “ธนาคารแห่งประเทศไทย” เพื่อทำหน้าที่เป็นธนาคารชาติของรัฐโดยสมบูรณ์
ในปี 2481 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยน “ปีงบประมาณ” ใหม่ จากเดิมที่เริ่มต้นเดือนเมษายน-สิ้นเดือนมีนาคมปีถัดไป เป็นเริ่มเดือนตุลาคม-สิ้นเดือนกันยายนปีถัดไป (ซึ่งเป็นแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน)
“รัฐบาลจะได้เปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ให้ถูกต้องตามฤดูกาล” ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้พิจารณาตัวอย่างจากประเทศอื่นๆ กว่า 20 ประเทศ
20 กว่าประเทศนั้น ไม่ได้กำหนดเวลางบประมาณตามปฏิทินหลวงของเขา แต่กำหนดตามฤดูและภูมิประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ปฏิทินหลวงเริ่มต้นเดือนมกราคม แต่ปีงบประมาณเริ่มในเดือนเมษายน เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิเขาเพิ่งเริ่มทำงานใหม่
นายปรีดี พนมยงค์ ชี้แจงเรื่องนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2481 พอสรุปได้ว่า
“…การที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนปีงบประมาณใหม่…คำนึงถึงดินฟ้าอากาศของประเทศสยาม…การงานของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่จะทำได้ภายนอกสถานที่ เช่นงานโยธาต่างๆ นั้น ก็มักจะทำได้ในระหว่างฤดูแล้ง และฤดูแล้งนี้ก็เป็นฤดูที่ติดต่อกันระหว่างเดือนธันวาคมถึงมิถุนายน
…เดือนมกราคม ธันวาคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม เจ้าหน้าที่ก็จะต้องคอยเป็นห่วงงบประมาณ…เตรียมการทำงบประมาณ ถ้าหากว่าเราได้เปลี่ยนฤดูงบประมาณเช่นนี้แล้ว เราก็จะทำการงานภายนอกสถานที่ได้ เพราะไม่ต้องเกี่ยวข้องหรือเป็นห่วงถึงงบประมาณ
อีกประการหนึ่ง…ปีตามปฏิทินหลวงได้เสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 31 มีนาคม…ถ้าหากว่างบประมาณเป็นไปตามเดิม [1 เมษายน- 31 มีนาคม] แล้ว งบประมาณก็ใช้วันที่ 1 เมษายน กว่ากระทรวงการคลังจะได้สั่งเสียไปยังเจ้าหน้าที่ต่างๆ และเดือนเมษายนก็เป็นเดือนที่หยุดราชการด้วย งบประมาณที่จะได้รับในจังหวัดต่างๆ ก็จะตกไปถึงในเดือนมิถุนายน หรือพฤษภาคม ก็เริ่มฤดูฝน ทำอะไรไม่ได้…
อีกอย่างหนึ่ง…รัฐบาลต้องการจะให้หนักไปในทางปฏิบัติ…จะต้องให้เจ้าหน้าที่ของเราออกไปควบคุมดูแลกิจการนอกสถานที่ให้มากยิ่งขึ้น…ฤดูที่สะดวกก็คือฤดูแล้ง เพื่อให้เห็นของจริงว่าเขาทำงานประการใด แต่ก็ต้องมาพะวงกับเรื่องงบประมาณ พอถึงฝนมาก็เป็นฤดูที่เราว่าง นี่ก็ไม่ตามฤดูกาลอีก
ประการต่อไป การที่จะคำนวณรายได้รายจ่ายของงบประมาณ…เราจะคำนวณกันได้ ก็โดยอาศัยหลักใหญ่ ซึ่งในปีหนึ่งพลเมืองส่วนมาก ซึ่งเป็นกสิกรได้ทำมาค้าขึ้นได้เพียงใด ในการที่เราจะรู้ได้ก็ต้องให้เสร็จฤดูกาลจริงๆ หมายความว่าให้เสร็จฤดูเก็บเกี่ยว”
ที่ประชุมฯ ได้รับหลักการและอนุมัติให้ใช้เป็นกฎหมายได้ “ปีงบประมาณ” แบบใหม่ คือ 1 ตุลาคม-30 กันยายน ซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จึงเริ่มใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2482
หมายเหตุ :
- คงอักขรวิธีสะกดตามเอกสารชั้นต้น
ภาพประกอบ :
- สถาบันปรีดี พนมยงค์ และคลังสารสนเทศบัญญัติ
บรรณานุกรม
หลักฐานชั้นต้น :
- สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3/2481 (สามัญ) สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พุทธศักราช 2481 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม.