Focus
- บทความนี้เสนอบทบาทและผลงานของสตรีในขบวนการเสรีไทยจำนวน 7 ท่าน ซึ่งเป็นภริยาของสมาชิกเสรีไทยคนสำคัญในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยข้อมูลและผลงานของสตรีในขบวนการเสรีไทยมีบันทึกไว้ค่อนข้างน้อยและไม่ค่อยปรากฏในหลักฐานชั้นต้นเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานของสมาชิกเสรีไทยที่เป็นผู้ชายในขบวนการ
- สตรีที่มีบทบาทในขบวนการเสรีไทย ได้แก่ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ใช้ไหวพริบเชื่อมโยงข้อมูลจากข่าวกอสซิปในแวดวงสังคม จนสามารถช่วยนายปรีดี พนมยงค์ (หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศ) ในการค้นหาข้อมูลที่อยู่ของพันตรีแอนดรูว์ กิลคริสต์ ซึ่งนำไปสู่ความเชื่อมั่นของกองกำลัง 136 (Force 136) ในขบวนการใต้ดิน(เสรี)ไทย, ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา (ภรรยาของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช) สร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านงานเลี้ยงและกิจกรรมสังคมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตาชาวโลก, คุณหญิงเฉลิม สุวรรณชีพ (ภรรยาของพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ) ช่วยทำกับข้าวเลี้ยงสารวัตรทหารและฝ่ายอเมริกันในค่ายฝึกการรบกองโจร และเป็นแม่งานควบคุมการบรรทุกและการเก็บรักษาอาวุธอเมริกัน
- เจ้าสิริบังอร ณ จัมปาศักดิ์ ภูริพัฒน์ (ภรรยานายทองอินทร์ ภูริพัฒน์) และอรอินทร์ (ลูกสาว) ที่ช่วยดูแลจัดการประสานงานภายในบ้านซึ่งเป็นสถานีวิทยุลับเสรีไทยที่ร้อยเอก การุณ เก่งระดมยิง เสรีไทยสายอเมริกา เป็นผู้ควบคุม, นางอรุณี ศุกระจันทร์ (ภรรยาของนาวาอากาศโท น้อย ศุกระจันทร์) ได้ดูแลซุกซ่อน ร.อ.สวัสดิ์ ศรีศุข สายลับเสรีไทยสายอังกฤษจนการรับส่งวิทยุเป็นไปด้วยความเรียบร้อย, นางปราย ลิมปะพันธุ์ (ภรรยาของนายเพ่ง ลิมปะพันธุ์) ได้ใช้พื้นที่ไร่ฝ้ายของตนเก็บอาวุธของฝ่ายเสรีไทย และนางสาวจำปี สารีวงศ์ เป็นพลพรรคหญิงเสรีไทยที่เขาจำศีลที่บางครั้งเคยบอกทางพาเชลยหนีไต่เชือกขึ้นเครื่องบินสัมพันธมิตรสำเร็จ
สังเขปประวัติสตรีในขบวนการเสรีไทย
เรื่องราวของประวัติศาสตร์สงครามมหาเอเชียบูรพาและขบวนการเสรีไทยมักจะถูกนำเสนอโดยมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาผู้นำและผู้ปฏิบัติงานในการต่อสู้มักจะเป็นผู้ชายตั้งแต่หัวหน้าขบวนการ ผู้นำประเทศ รัฐมนตรี นักการเมือง ข้าราชการพลเรือน พลพรรค ตำรวจ ทหาร ครูประชาบาล รถไฟ การทาง ชาวนาและชาวไร่ด้วยการแบ่งหน้าที่ในสังคมในยุคนั้น
ในขณะที่บทบาทของผู้หญิงจะไม่ค่อยปรากฏในประวัติศาสตร์ของขบวนการเสรีไทย เพราะไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักโดยตรงแต่หากจะกล่าวว่า สตรีไทยในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่มีบทบาทใด ๆ ในภารกิจเสรีไทยก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่ภารกิจของสตรีในขบวนการเสรีไทยอาจจะไม่ใช่ภารกิจหลักในการต่อสู้ทางการเมือง การข่าว การทหาร การทูต และการสื่อสารดังเช่นบุรุษ
ส่วนหน้าที่หลักของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วช่วงก่อนทศวรรษ ๒๕๑๐ (ปลาย 1960s) คือการเป็นแม่บ้าน ที่ต้องดูแลงานบ้านงานเรือน งานครัว การเลี้ยงลูก การดูแลค่าใช้จ่ายและสมบัติ การจับจ่ายในบ้าน และการดูแลบริวารในบ้าน (สำหรับบ้านขนาดใหญ่) ในหลายครอบครัวมีแม่หรือภรรยาทำงานเป็นแม่ค้า เป็นชาวนาชาวไร่ ซึ่งในมุมหนึ่งอาจเป็นการจำกัดบทบาทของผู้หญิงให้เป็นเพียงแม่บ้าน ไม่ให้มีบทบาทใดในสังคม แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเป็นการมอบความเป็นใหญ่ในบ้าน ชุมชน และย่านตลาด การค้าขายให้แก่ภรรยา
นอกจากนี้ในยามสงครามมหาเอเชียบูรพายังนำมาสู่คำถามที่ว่าแล้ว “สตรี” ในขบวนการเสรีไทยทำอะไร หรือมีส่วนช่วยเหลืองานส่วนรวมภายในขบวนการอย่างไร ณ เวลานั้น โดยปรากฏบางส่วนเสี้ยวของผลงานจากชีวิตของสตรีทั้ง ๗ ท่าน ดังต่อไปนี้
๑. ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ : ใช้ข่าวกอสซิปช่วยนายปรีดี พนมยงค์ไขรหัสวิทยุของอังกฤษ

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
ที่มา : สถาบันปรีดี พนมยงค์
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาของนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศ และในปี ๒๕๖๘ นี้ยังเป็นวาระ ๑๑๓ ปี ชาตกาล ของท่านผู้หญิงพูนศุข ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะภริยาผู้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาติและประชาธิปไตย เคียงข้างนายปรีดีตลอดทุกช่วงเวลาแห่งชีวิตคู่ แม้จะต้องเผชิญภัยพาลแทบเอาชีวิตไม่รอดในหลายครั้ง ชีวประวัติดังกล่าวนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้รักชาติและรักประชาธิปไตยกันเป็นอย่างดี
แต่น้อยคนที่จะรับรู้ว่า ท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขข้อความวิทยุใต้ดินของขบวนการเสรีไทยด้วย “ข่าวกอสซิป” ในแวดวงสังคมที่มักร่ำลือกันในหมู่สตรี
ในทางกลับกัน หากท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ได้ล่วงรู้ข่าวกอสซิปนี้แล้ว การไขรหัสวิทยุอาจไม่สำเร็จ และงานเชื่อมต่อเสรีไทยในประเทศกับฐานทัพที่อังกฤษอาจล้มเหลวไปแล้ว
เหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ (ค.ศ. 1944) หลังจากที่ชุดปฏิบัติการเสรีไทยสายอังกฤษแอพริเอชั่น (Operation Appreciation) นำโดยร้อยตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้กระโดดร่มลงแผ่นดินไทยที่จังหวัดชัยนาท แล้วถูกข้าราชการในท้องถิ่นจับกุมส่งไปที่ห้องขังกองตำรวจสันติบาล ปทุมวัน กรุงเทพ
แม้ว่านายป๋วยและเพื่อนร่วมชุดแอพริเอชั่นนี้จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากตำรวจไทย และคุ้มครองให้พ้นจากการควบคุมของฝ่ายญี่ปุ่น ทว่าได้ถูกยึดวิทยุรับส่ง ทั้งยังถูกสอบสวนร่วมกันกับฝ่ายไทย-ญี่ปุ่น โดยต้องรอเวลาจนถึงประมาณเดือนสิงหาคม – กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๗ (ค.ศ. 1944) ให้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ้นจากอำนาจ แล้วบุคคลสำคัญเช่น พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทยภายใต้ผู้สำเร็จราชการ คือนายปรีดีอย่างเต็มตัว จึงได้มีตำรวจช่วยชุดปฏิบัติการแอพริเอชั่นภายใต้นายป๋วยให้เข้าพบนายปรีดี หัวหน้าใหญ่เสรีไทยในประเทศผู้ใช้รหัส “รู้ธ” จนสำเร็จ และส่งวิทยุกลับไปที่ กองกำลัง ๑๓๖ (Force 136) ในอินเดียโดย ได้รับอนุญาตให้ใช้รายงานทางวิทยุจากห้องขังตำรวจสันติบาลไปยังฐานทัพอังกฤษเพื่อประสานรายละเอียดปฏิบัติการต่อไป

ร้อยตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในวัยหนุ่มเสรีไทย
ที่มา : สถาบันปรีดี พนมยงค์
อย่างไรก็ตาม กลับปรากฏว่าทางหน่วยเหนือของ Force 136 ไม่เชื่อรายงานจากนายป๋วย เพราะเชื่อว่านายป๋วยอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพญี่ปุ่นในไทย โดยทางฝ่ายไทยอาจส่งตัวนายป๋วยและชุดเสรีไทยให้ญี่ปุ่น แล้วอาจถูกทหารญี่ปุ่นจับทรมานจนยอมร่วมมือด้วย ดังนั้นตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนกันยายนจึงนับว่ายาวนานมากพอที่ทหารญี่ปุ่นจะดำเนินการกับชุดปฏิบัติการของนายป๋วย ทั้งนี้สภาพการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับยุโรปภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนี ส่งผลให้ทาง Force 136 จึงต้องคิดคำถามทดสอบที่ญี่ปุ่นและนายป๋วยไม่เคยล่วงรู้เพื่อให้นายป๋วยตอบซึ่งต้องหาคำตอบจากนายปรีดี

พันตรี แอนดรูว กิลคริสต์ ทหารชั่วคราว แผนกประเทศสยาม Force 136
ที่มา : กรุงเทพฯ ลับสุดยอด ปฏิบัติการเสรีไทยสายอังกฤษ. โดย เซอร์แอนดรูว์ กิลคริสต์, แปลโดย ดุสิต บุญธรรม, ศยาม, ๒๕๖๐
ขณะที่ฝ่าย พันตรี แอนดรูว กิลคริสต์ (Andrew Gilchrist) ประจำแผนกประเทศสยาม ภายใต้กองกำลัง ๑๓๖ (Force 136) ซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่สถานอัครราชทูตอังกฤษในประเทศไทย ได้คิดโจทย์ทดสอบว่า ให้ค้นหาที่อยู่ของเขาที่สก็อตแลนด์ แล้วส่งคำตอบทางวิทยุกลับมา เมื่อนายปรีดีรับข้อความนี้จากชุดของนายป๋วย ปรากฏว่าปรีดีตอบโจทย์นี้ไม่ได้ และนึกไม่ออกว่าจะหาคำตอบนี้จากผู้ใด ถึงกับเครียดและเผลอระเบิดอารมณ์กับท่านผู้หญิงพูนศุข แต่นายปรีดีได้รีบกล่าวขอโทษภรรยาตนพร้อมกับเล่าโจทย์ปริศนาซึ่งเป็นที่มาความเครียด
ต่อมาท่านผู้หญิงพูนศุขก็สามารถไขปริศนานี้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเคยล่วงรู้ “ข่าวกอสซิป” ในวงสังคมว่านายกิลคริสต์ผู้นี้เป็นอดีตคนรักของหม่อมราชวงศ์ จิรี วรวรรณ ธิดาของหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ที่ปรึกษาในรัฐบาลคณะราษฎร
เนื่องจากกิลคริสต์เคยสอนท่านผู้หญิงพูนศุขให้เต้นรำออกงานสังคมของนายปรีดีพร้อมกับบรรดาภรรยาทูต ซึ่งในวงสอนเต้นรำนี้มีเรื่อง “เมาท์ซุบซิบ” หลายเรื่อง รวมทั้งข่าวกอสซิปว่า นายกิลคริสต์เริ่มพูดคุยคบหากับ ม.ร.ว. จิรี แต่ภายหลังเลิกรากันไป ดังนี้ ท่านผู้หญิงพูนศุขจึงแจ้งแก่นายปรีดีให้ขอที่อยู่ในสก็อตแลนด์ของนายกิลคริสต์ โดยให้นายดิเรก ชัยนามไปพบ ม.ร.ว. จิรี เพื่อขอที่อยู่ของบ้านในสก็อตแลนด์ของนายกิลคริสต์ เมื่อได้นายปรีดีได้รับที่อยู่ดังกล่าวมาแล้วจึงให้ตำรวจส่งข้อมูลนี้แก่ชุดเสรีไทยที่อยู่ในห้องขังสันติบาล
นายป๋วยจึงรายงานวิทยุจากห้องขังในกองตำรวจสันติบาลเพื่อแจ้งที่อยู่ของนายกิลคริสต์ในสก็อตแลนด์ไปยังกองกำลัง ๑๓๖ (Force 136) ในอินเดีย ทำให้กองบัญชาการสัมพันธมิตรเชื่อถือข่าวสารจากสถานีวิทยุลับในไทย ว่าเป็นข่าวจริง ที่ปลอดภัยจากการรบกวนของกองทัพญี่ปุ่น แล้วยอมรับว่าในประเทศไทยมีขบวนการใต้ดินที่เข้มแข็งน่าเชื่อถือนำโดยนายปรีดี พนมยงค์ และด้วยการสนับสนุนจากอธิบดีกรมตำรวจไทย จึงทำให้ฝ่ายอังกฤษยอมที่จะส่งเสรีไทยสายอังกฤษอีกหลายชุดเข้ามาปฏิบัติงานแทรกซึมในดินแดนไทยจนสามารถขยายค่ายพลพรรเสรีไทยได้นับหมื่นแห่ง รวมทั้งวางเครือข่ายกสนสืบข่าวกองทัพญี่ปุ่นได้ทั่วประเทศไทย
ทั้งนี้กลับมีข้อน่าสงสัยว่า หากท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ได้เข้าสังคม จนล่วงรู้ “ข่าวกอสซิป” เรื่องราวสัมพันธ์รักกิลคริสต์กับหม่อมราชวงศ์หญิงไทยที่ได้กลายเป็นอดีตดังกล่าวแล้ว ท่านผู้หญิงพูนศุขอาจจะไขโจทย์ทดสอบชุดปฏิบัติการเสรีไทยไม่ได้ และอาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอังกฤษจนทำให้เสรีไทยไม่อาจขยายงานได้
๒. ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา : คุณนายเสรีไทย ผู้รับใช้ชาติด้วยงานสังคม
ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา เป็นภรรยาของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตอัครราชทูตไทย และหัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา มีชาติกำเนิดในตระกูลสาลิคุปต์ ตระกูลผู้ดีย่านคลองบางหลวง กรุงธนบุรี ต่อมาบิดาและมารดาได้ถวายตัวให้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา จึงได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมสำคัญจากราชสำนัก เช่น การขับท่องบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖ พระราชประเพณี รวมทั้งธรรมเนียมการเลี้ยงโต๊ะแบบฝรั่ง ควบคู่กับการเรียนวิชาการที่โรงเรียนราชินี หลังจากนั้นไม่นานได้สมรสกับ ม.ร.ว. เสนีย์ นิติศาสตร์บัณฑิตหนุ่มจากอังกฤษ

ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และครอบครัว
ที่มา: ตำนานเสรีไทย โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, ๒๕๔๗
ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๘/ค.ศ. 1941-1945) หลังจากที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ท่านประกาศต่อสู้กองทหารญี่ปุ่นในนามปวงชนชาวไทยในอเมริกาไม่ยอมรับการตัดสินใจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นอกจากการจัดตั้งกองทหารเสรีไทย งานแปลข่าว งานกระจายเสียงแล้ว
ในยามสงคราม นางอุศนา ปราโมช (ยุคนั้นยังไม่ได้รับคำนำหน้าชื่อ) หรือ “มาดามปราโมช” มักเป็นเจ้าภาพนำภริยาและบุตรสาวเจ้าหน้าที่ทูต เช่น นางเทียบ กุญชร ณ อยุธยา (ภรรยาพันโท หม่อมหลวงขาบ กุญชร ทูตทหาร) นางชุบ จินตกานนท์ (ภรรยานายอนันต์ จินตกานนท์ เลขานุการสถานทูตไทย) นางสาวอินทิรา อินทรทูต รวมทั้งบรรดานักเรียนนอกผู้หญิงบางราย เป็นต้น จัดงานเลี้ยงสร้างสัมพันธ์กับคณะทูตนานาชาติสัมพันธมิตร ซึ่งบรรดาท่านเหล่านี้สามารถจัดงานเลี้ยง ที่ต้องพิถีพิถันด้านการจัดสำรับอาหาร การจัดโต๊ะและเก้าอี้ การตกต่างสถานที่ได้อย่างไม่สิ้นเปลือง หากยังสมเกียรติและฐานะของคณะทูตได้อย่างน่าสนใจ จนได้รับการยกย่องในหนังสือพิมพ์หลายฉบับในนครหลวงวอชิงตัน ดีซี. อยู่เสมอ ที่สำคัญได้ช่วยงานองค์กร USO หน่วยต้อนรับทหารอเมริกันซึ่งกลับจากแนวหน้า ซึ่งบรรดาภรรยาคณะทูตชาติสัมพันธมิตรต่าง ๆ และผู้หญิงสังคมอเมริกันชั้นสูงร่วมกันจัดนั้น นางอุศนาก็ได้ชักชวนสตรีไทยในอเมริกาจัดทำอาหารว่าง เครื่องดื่ม นับพันนับหมื่นชุดต้อนรับทหาร และร่วมเต้นกับทหารอเมริกันเหล่านี้
การร่วมงานสังคม งานเลี้ยง เพื่อกระชับสัมพันธ์ไทยกับชาติสัมพันธมิตร แม้จะดูเป็นเพียงงานรื่นเริงสนุกสนาน หรืองานหรูหราฟุ่มเฟือยไร้ประโยชน์ แต่ในด้านพิธีการทูตนับว่ามีความหมายสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ชาติผู้ดำเนินงานสังคมได้อยู่ในการรับรู้ จนนำไปสู่การยอมรับจากชาติที่ตนต้องการสร้างสัมพันธ์

ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา กับ นางสาวจินตนา นาควัชระ ในงานเลี้ยงรับรองนายทหารสัมพันธมิตรครั้งหนึ่ง
ที่มา: ตำนานเสรีไทย โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว ๒๕๔๗
นอกจากในงานเลี้ยงแล้ว นางอุศนา ปราโมชฯ มักได้รับเชิญไปบรรยายเล่าเรื่องราวประเทศไทยอยู่หลายครั้ง ในงานแสดงศิลปกรรมคุณอุศนาก็ได้เข้าชมรวมทั้งสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปกรรมได้อย่างไม่เก้อเขิน ด้วยพื้นฐานที่นางอุศนาเป็นประติมากรเคยส่งผลงานจัดแสดงมาก่อน
จากการเข้าร่วมงานสังคมกับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ ได้สร้างภาพจำที่ดีให้แก่ประเทศไทย จนทำให้นานาชาติสัมพันธมิตรเกิดความเห็นใจประเทศไทย ที่มีความตั้งใจต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาติ ไม่ต่างจากอีกหลายประเทศที่กำลังดำเนินขบวนการต่อต้านฝ่ายอักษะผู้รุกราน แม้รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐก็ตาม
๓. คุณหญิงเฉลิม สุวรรณชีพ : “คุณแม่” ของพลพรรคสารวัตรทหาร
เฉลิม - สังวรทั้ง สองศรี
สองภรรยา - สามี ร่วมไร้
ร่วมทุกข์ ร่วมสุขชี วิตร่วม กันนา
กอบก่อตนเองได้ เกิดด้วยคุณธรรม
พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ
คุณหญิงเฉลิม สุวรรณชีพ ผู้นี้เป็นภรรยาของ พลเรือตรีสังวร สุวรรณชีพ (หลวงสังวรยุทธกิจ) สารวัตรใหญ่ทหารและหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายอารักขา คุณหญิงเฉลิมผู้นี้มีภูมิหลังจากสกุลกัลยาณมิตร เมื่อวัยเยาว์บิดามารดาได้ฝากไปอาศัยในรั้ววัง จึงได้รับการอบรมกิริยามารยาทและขนบธรรมเนียมราชสำนัก รวมทั้งงานแม่บ้านปฏิบัติดูแลครอบครัว ต่อมาจึงได้สมรสกับนายทหารเรือหนุ่ม สังวร สุวรรณชีพ เฉลิมจึงได้ทำหน้าที่คุณแม่และแม่บ้าน ตามแบบฉบับสตรีไทยในยุคสมัยนั้น ในเวลาต่อมาสังวรได้ร่วมการปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1932) แล้วเติบโตในหน้าที่ราชการเลื่อนยศเป็นพลเรือตรี เฉลิมซึ่งได้เลื่อนเป็นคุณหญิงเฉลิมยังได้ทำธุรกิจไปด้วยเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ตั้งร้านค้าและโรงงานผลิตยาเส้นสำเร็จรูปจำหน่าย และตั้งร้านค้าสิ่งทอที่อาคาร ๗ ถนนราชดำเนินกลาง ถึงกับมีรายได้มากกว่าท่านนายพลเรือตรีสังวรผู้เป็นสามี

พลเรือตรี สังวร - คุณหญิงเฉลิม สุวรรณชีพ
ที่มา : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) ท.ช., ป.ม. ณ เมรุวัดธาตุทอง ถนนสุขุมวิท วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖
เมื่อประเทศชาติเข้าสู่ช่วงวิกฤติปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา พลเรือตรีสังวร สุวรรณชีพ (หลวงสังวรยุทธกิจ) สารวัตรใหญ่ทหารและหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายอารักขา โดยภารกิจด้านหนึ่งคือการฝึกการรบกองโจรแก่นักเรียนนายทหารสารวัตร (รับสมัครจากนิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ผู้สำเร็จหลักสูตรยุวชนนายทหาร) และนักเรียนนายสิบสารวัตรทหาร (รับสมัครจากนักเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ และนักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ฯ ผู้สำเร็จหลักสูตรยุวชนนายสิบ) รับการฝึกจากเสรีไทยสายอเมริกาและนายทหารอเมริกัน ที่สวนลดาวัลย์ จังหวัดชลบุรี ใกล้วัดเขาบางทราย โดยได้ส่งอาวุธอเมริกันลงสนามรับร่ม เพื่อให้นักเรียนที่สำเร็จการฝึกเหล่านี้ ทำหน้าที่ผู้บังคับหน่วยย่อยพลพรรคจังหวัดต่าง ๆ ระดับหมวดและหมู่ รวมทั้งเป็นกองพันหนุนในพระนคร
คุณหญิงเฉลิมได้พาญาติมิตรติดตามคุณหลวงสังวรยุทธกิจ ผู้เป็นสามีในทุกหนแห่ง ช่วยทำกับข้าวเลี้ยงสารวัตรทหารและฝ่ายอเมริกันในค่ายฝึกอย่างเต็มที่ และเป็นแม่งานควบคุมการบรรทุกและการเก็บรักษาอาวุธอเมริกัน แม้ในสถานการณ์อันตรายหลังสงคราม เมื่อเกิดเหตุจลาจลเยาวราช โดยพลพรรคกองโจรจีนก่อเหตุ ซึ่งกองโรงเรียนนายทหารสารวัตร และกองโรงเรียนนายสิบสารวัตรทหารได้รับคำสั่งสมทบกองทหารตำรวจไทยร่วมปราบปราม คุณหญิงเฉลิมยังได้ทำข้าวต้มแจกทหารตำรวจไทย รวมทั้งสารวัตรทหารทั้งหลาย จึงเป็นที่ซาบซึ้งแก่บรรดานักเรียนนายทหารสารวัตร ตลอดจนนักเรียนนายสิบสารวัตรทหาร ถึงกับเอ่ยเรียกคุณหญิงเฉลิมว่า “คุณแม่” แม้เสรีไทยสลายตัว แต่บรรดาอดีตนักเรียนสารวัตรทหารยังได้รวมตัวเป็นประจำ ยังต้องเชิญป๋า พล.ร.ต. สังวร และคุณแม่คุณหญิงเฉลิมร่วมด้วยเสมอ และทั้งสองยังคอยติดตาม ช่วยเหลือ สอบถามความเป็นไปในชีวิตของอดีตนักเรียนสารวัตรทหารเหล่านี้
๔. สิริบังอร-อรอินทร์ ภูริพัฒน์ : สองแม่ลูก เสาหลักของบ้านยามวิกฤติชาติ
เจ้าสิริบังอร ณ จัมปาศักดิ์ ภูริพัฒน์ เป็นภรรยาของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ รัฐมนตรี ผู้แทนราษฎร และหัวหน้าเสรีไทยจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งสองมีบุตรสาวคนโตคือนางสาวอรอินทร์ ภูริพัฒน์ เมื่อเข้าสู่ปีสุดท้ายของสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) นายทองอินทร์เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนี้มาได้ ๑๒ ปีแล้ว มีบทบาทและผลงานในระดับชาติและท้องถิ่น เจ้าสิริบังอรจึงมีบทบาทในจังหวัดมากขึ้น และมีบารมีเดิมจากเชื้อสายเจ้าราชวงศ์ลาวสายนครจำปาศักดิ์ ได้รับการอบรมพื้นฐานจนทำงานบ้านได้ดีเยี่ยม ทั้งทำอาหารได้อร่อยหลายรูปแบบ มีฝีมือทอผ้ายกทอง ถักโครเช จัดพานบายศรี มีภาระหน้าที่ทั้งการดูแลภายในบ้าน บริวาร รวมทั้งกิจการโรงเรียนศรีทองวิทยา และโรงเรียนวิไลวัฒนา ซึ่งนายทองอินทร์ได้ริเริ่มกิจการ นอกจากนี้ยังเป็นอุปัฏฐากวัดทุ่งศรีเมือง ซึ่งเป็นวัดหลักของจังหวัดอุบลราชธานี

ครอบครัวนายทองอินทร์-เจ้าสิริบังอร ภูริพัฒน์
ที่มา: เอกสารโสตทัศนจดหมายเหตุ ชุด ส.ส. ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
ในปีเดียวกันนี้นางสาวอรอินทร์ลูกสาวคนโตของ ส.ส.ทองอินทร์และเจ้าสิริบังอร อายุเข้า ๑๖ ปีแล้ว เรียนจบชั้นมัธยม ๖ (ในยุคที่มัธยมปลายปีสุดท้ายคือมัธยม ๘) เรียนหนังสือเก่ง เริ่มช่วยงานสำคัญภายในบ้าน
และในปีสุดท้ายของสงครามนี้เอง ที่ขบวนการเสรีไทยได้ขยายงานมาที่จังหวัดอุบลราชธานี ภายใต้การนำของนายทองอินทร์ ด้วยความร่วมมือจากข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ครู และนักเรียน ร่วมกับเสรีไทยจากอเมริกา ในระยะนี้สองแม่ลูกเจ้าสิริบังอร และนางสาวอรอินทร์ได้รับมอบภารกิจการดูแลจัดการภายในบ้าน ซึ่งได้กลายเป็นสถานีวิทยุลับเสรีไทย ร้อยเอก การุณ เก่งระดมยิง เสรีไทยสายอเมริกา เป็นผู้ควบคุมวิทยุลับนี้ เพื่อส่งข่าวทหารญี่ปุ่นและประสานการขอสนับสนุนอาวุธฝึกพลพรรคอุบล จนเกิดค่ายพลพรรคสำคัญ ทั้งที่บ้านขาม บ้างม่วงสามสิบ และบ้านพนา ฯลฯ
ในการนี้นอกจากสิริบังอรและอรอินทร์จะได้ช่วยเหลือให้ที่พักหลบซ่อนตัวแก่การุณแล้ว ยังได้ช่วยเข้ารหัสวิทยุ ในระยะต่อมาได้มีนักเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชบางส่วน ได้มาทำหน้าที่ช่วยเหลืองานวิทยุลับนี้ด้วย นอกจากนี้สิริบังอรยังได้มีหน้าที่ประสานงานเสรีไทยระหว่างนายทองอินทร์กับข้าราชการฝ่ายบ้านเมือง เช่น ข้าหลวงประจำจังหวัด ปลัดจังหวัด และฝ่ายตำรวจอยู่เสมอ จนเกิดหน่วยเสรีไทยในเมือง
ดังนั้นเจ้าสิริบังอรและนางสาวอรอินทร์จึงได้ร่วมเสี่ยงตายไม่ต่างกับนายทองอินทร์ผู้นำเสรีไทย ผู้เป็นสามีและพ่อของทั้งสอง ในการต่อสู้เพื่อรับใช้ชาติไทยท่ามกลางกองทหารญี่ปุ่น ซึ่งพร้อมจะต่อสู้ ณ ที่มั่นสุดท้ายจังหวัดอุบลราชธานี จนสุดท้ายสันติภาพและเอกราชกลับคืนสู่ประเทศไทย
อย่างไรก็ตามจากการที่นายทองอินทร์และครอบครัวได้รับใช้ชาติคราวสงครามมหาเอเชียบูรพา มีผลให้ขาดรายได้ในครอบครัวภูริพัฒน์ไปมาก เพราะนายทองอินทร์ต้องงดอาชีพทนาย ในขณะที่โรงเรียนของทองอินทร์ทั้งสองแห่ง คือโรงเรียนศรีทองวิทยา และโรงเรียนวิไลวัฒนาก็ต้องหยุดการเรียนการสอนเพราะสงคราม มีเพียงเงินเดือนของนายทองอินทร์เลี้ยงครอบครัว
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ (ค.ศ. 1949) ภายหลังจากที่นายทองอินทร์ได้ถูกสังหารโหด ด้วยน้ำมือตำรวจไทย ในกรณีฆาตกรรมสี่อดีตรัฐมนตรี แม้ทั้งเจ้าสิริบังอรและนางสาวอรอินทร์จะต้องเศร้าโศกอยู่ในห้วงทุกข์เพียงใด อีกทั้งรายได้ครอบครัวในยุคนั้นมีที่มาเดียว คือ เงินเดือนทองอินทร์ แต่ทั้งสองต้องรวมความเข้มแข็ง กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวและบริวารในบ้านในทันที ไม่สามารถเศร้าโศกได้นาน สิริบังอรต้องอาศัยอยู่กับลูก ๆ อีกแปดคน ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ ดูแลบ้าน สั่งสอนอบรม รื้อฟื้นกิจการทำมาหาเลี้ยงชีพ ขายที่ดินมรดก ในขณะที่อรอินทร์ต้องฟื้นฟูดูแลโรงเรียนศรีทองวิทยา และโรงเรียนวิไลวัฒนาที่อุบลราชธานีภายหลังสงคราม หลังจากหยุดการเรียนการสอนระหว่างสงคราม จนรายได้ฟื้นตัวกลับมาสู่ครอบครัว สามารถส่งเสียลูกหลานจนสำเร็จการศึกษา และประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคน
ภายหลังเจ้าสิริบังอร ณ จัมปาศักดิ์ ภูริพัฒน์ได้ใช้ชีวิตทำงานสาธารณประโยชน์ โดยเฉพาะในระดับจังหวัด เช่น เป็นอุบาสิกาอุปัฏฐากวัดทุ่งศรีเมือง งานสมาคมสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน ร่วมตั้งศูนย์มะเร็งเขต สมาชิกอาสากาชาด ฯลฯ จนกระทั่งได้เป็น “แม่ดีเด่นแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. 1989)
ในขณะที่อรอินทร์ หรือภายหลังคือ นางอรอินทร์ สิงหนายก (ภูริพัฒน์) ได้สืบทอดกิจการโรงเรียนของครอบครัว และได้เคยรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรอุบลราชธานี ๑ สมัย
๕. นางอรุณี ศุกระจันทร์ : เมื่อคุณนายผู้กองบิน มีน้องชายอุปโลกน์
บุคคลผู้นี้เป็นภรรยาของ นาวาอากาศโท น้อย ศุกระจันทร์ ผู้บังคับกองบินน้อยที่ ๕ หรือกองบินน้อยผสมปักษ์ใต้ (สนาม) แห่งกองทัพอากาศไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกองบินนี้ได้เคยต่อสู้อย่างกล้าหาญ เข้มแข็ง ต้านทานกรมทหารราบญี่ปุ่น ซึ่งยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ (ค.ศ. 1941)

ภาพหมู่ผู้นำเสรีไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แถวหน้าจากซ้าย นายอุดม บุณยประสพ ข้าหลวงประจำจังหวัด, พันตรี วิค วีมส์ นายทหารอังกฤษจาก Force 136, พันตำรวจตรี อวบ บุญญะชลิโต ผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดแถวหลังจากซ้ายนาวาอากาศโท น้อย ศุกระจันทร์ ผู้บังคับกองบินน้อยที่ ๕, ร้อยเอก สวัสดิ์ ศรีสุข เสรีไทยสายอังกฤษ จาก Force 136
ที่มา : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลอากาศจัตวา ดร. สวัสดิ์ ศรีสุข ณ เมรุวัดธาตุทอง เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
ต่อมาในปีสุดท้ายของสงคราม พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) กองบินแห่งนี้ได้เข้าร่วมกับหน่วยพลพรรคเสรีไทยประจวบคีรีขันธ์ นำโดยข้าหลวงประจำจังหวัดและฝ่ายตำรวจภูธรจังหวัด ร่วมกับ ร้อยเอกสวัสดิ์ ศรีศุข (รหัส Raven) นายทหารเสรีไทยสายอังกฤษ สังกัดกองกำลัง ๑๓๖ (Force 136) จากปฏิบัติการสควาลิด (Operation Squalid) ซึ่งได้มาซ่อนตัวที่บ้านพักผู้บังการคับกองบินตั้งสถานีวิทยุลับ เพื่อส่งข่าวกองพลญี่ปุ่นในจังหวัด และประสานการร้องขออาวุธจาก Force 136 จัดตั้งหน่วยพลพรรคด้านประจวบคีรีขันธ์นี้

เรืออากาศเอก น้อย - นางอรุณี ศุกระจันทร์ ในงานมงคลสมรส พ.ศ. ๒๔๘๑
ที่มา : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลอากาศตรีน้อย ศุกระจันทร์ ป.ม., ท.ช. ณ ฌาปนสถานกองทัพอากาศ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร วันพุธที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๘
ในการตั้งสถานีวิทยุลับบ้านผู้บังคับกองบินนี้ ร.อ.สวัสดิ์ ศรีศุขได้ใช้ชื่อแฝง “นายสมาน สงวนขันธ์” สมมติบทบาทเป็น “น้องชาย” นางอรุณี ศุกระจันทร์ ภรรยาของผู้บังคับกองบิน โดยนางอรุณีได้ตกลงรับรู้กับสามีของเธอ จึงได้ดูแลซุกซ่อน ร.อ.สวัสดิ์ หรือนายสมานน้องชายอุปโลกน์ของเธอเป็นอย่างดี จนการรับส่งวิทยุเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับอาวุธเป็นจำนวนมาก จนขยายงานพลพรรคประจวบหลายร้อยนาย ทั้งตำรวจ ทหารอากาศ และพลเรือน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นไม่อาจตรวจจับสัญญาณได้ ต่อมาได้มีนายทหารอังกฤษลักลอบมาสมทบเพิ่มเติมที่กองบินแห่งนี้ด้วย ซึ่งเป็นภาระของอรุณีที่จะช่วยเหลือดูแลฝรั่งเหล่านี้ จน ร.อ.สวัสดิ์ หรือพลอากาศจัตวา ดร.สวัสดิ์ ศรีศุขในเวลาต่อมา ได้ยังระลึกถึงพระคุณของ “พี่น้อย” พลอากาศตรี น้อย และ “พี่อิ่ม” นางอรุณี ศุกระจันทร์ ที่ได้ช่วยรักษาชีวิตของเขาจนรอดตายในที่สุด
๖. นางปราย ลิมปะพันธุ์ : นายแม่แห่งสวรรคโลก เมื่อต้องต้อนรับทหารญี่ปุ่นอย่างไม่คาดฝัน
นางปรายผู้นี้เป็นภรรยาของนายเพ่ง ลิมปะพันธุ์ (ขุนเพ่งจีนานุเคราะห์) นายกเทศมนตรีเมืองสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยผู้กว้างขวาง และหัวหน้าค่ายเสรีไทยสวรรคโลก ซึ่งได้จัดตั้งค่ายฝึกพลพรรคที่มาจากจังหวัดสุโขทัยและพิษณุโลก ภายใต้บังคับนายพึ่ง ศรีจันทร์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ รับการสนับสนุนจากเสรีไทยสายอเมริกาด้านอาวุธ การสื่อสาร และการฝึก ค่ายตั้งที่บ้านเปยเลิ้ง และบ้านใหม่ไทยชนะศึก
ทั้งนายเพ่งและนางปราย ลิมปะพันธุ์ต่างมีพื้นจากตระกูลคหบดี ทั้งสกุล “ลิมปะพันธุ์” ที่เป็นเชื้อสายจีน และสกุล “แสนโกศิก” ของนางปราย ทำการค้าขายหลากหลายกิจการ ทั้งร้านค้า การค้าไม้ การปล่อยเงินกู้ การทำไร่ฝ้าย แตงโมและแตงไทยในถิ่นอำเภอสวรรคโลกและจังหวัดสุโขทัย นายเพ่งมีพื้นฐานการศึกษาชั้นสูง ระดับชั้นมัธยม ๘ โรงเรียนราชวิทยาลัย ต่อมาเมื่อนายเพ่งได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี นางปรายจึงต้องมีบทบาทดูแลธุรกิจของครอบครัวเป็นหลัก ในขณะที่สามีต้องรับภารกิจใหญ่ในการดูแลบ้านเมือง

ภาพครอบครัว นายเพ่ง-นางปราย ลิมปะพันธุ์
ที่มา : วิถีชีวิตและสงครามมหาเอเชียบูรพา
โดย นายเพ่ง ลิมปะพันธุ์
ต่อมาเมื่อเข้าสู่สงคราม นายเพ่ง ลิมปะพันธุ์ ได้ตั้งค่ายพลพรรคเสรีไทย จึงได้อาศัยไร่ฝ้ายของตน (ซึ่งตั้งไม่ห่างจากค่ายเสรีไทยที่เปยเลิ้ง) เป็นคลังเก็บอาวุธแห่งหนึ่ง ฝ่ายกองทหารญี่ปุ่นสืบข่าวระแคะระคาย จึงได้ไปเยี่ยมนายเพ่งที่ไร่ฝ้ายเพื่อสืบหาหลักฐานการข่าว โดยอ้างว่าจะขอเยี่ยมคำนับนายกเทศมนตรี (ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นถือว่าตำแหน่งนี้มีสถานะสูงสุดในท้องถิ่น ยิ่งกว่านายอำเภอและตำรวจ) เมื่อไปถึงไร่ฝ้ายแห่งนี้คณะนายทหารญี่ปุ่นได้พบนางปรายซึ่งกำลังควบคุมคนงานในไร่ นางปรายจึงได้ต้อนรับคณะนายทหารญี่ปุ่นอย่างดี รวบรวมความกล้าทำใจดีสู้เสือเมื่อทหารญี่ปุ่นเคาะลังไม้ฉำฉาเก็บอาวุธอเมริกันในโรงเรือน เหมือนค้นหาบางสิ่งต้องสงสัย ด้วยไหวพริบจึงให้คนงานในไร่ผ่าแตงโมและแตงไทยเลี้ยงทหารญี่ปุ่นทั่วกัน แล้วชวนสนทนากับทหารญี่ปุ่นเรื่องอื่น จนคณะนายทหารญี่ปุ่นลากลับไป
๗. นางสาวจำปี สารีวงศ์ หญิงสาวผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเชลย สู่คู่รักพลพรรคคาร์ไบน์
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๒ (ค.ศ. 2019) ผู้เขียนได้เคยไปพูดคุยกับคุณยายจำปี สารีวงษ์ อายุ ๙๔ โยมผ้าขาวอยู่ประจำวัดเขาจำศีล ในอดีตเคยเป็นพลพรรคหญิงเสรีไทยเขาจำศีล อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นเพเดิมเป็นชาวบ้านทำนาทำไร่ คุณยายจำปี สารีวงศ์ผู้นี้ ในวัยสาวปี พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) เธอมีอายุได้ราว ๒๐ ปี
สมัยสงครามจำปีเข้าไปเที่ยวตัวเมืองกาญจนบุรีกับเพื่อน เห็นความโหดร้ายทารุณของทหารญี่ปุ่นต่อเชลยฝรั่งจึงพยายามหาทางช่วยเชลยเสมอ เช่นให้อาหารขนม บางครั้งเคยบอกทางพาเชลยหนีไต่เชือกขึ้นเครื่องบินสัมพันธมิตร หลายครั้งที่จำปีได้กระทำต่อหน้าทหารญี่ปุ่น แต่อาศัยจังหวะชุลมุนที่ทหารญี่ปุ่นไม่อาจสังเกตเห็นได้ เช่นยายมีผ้าคลุมติดตัว ยายก็หอบผ้าคลุมตัวเชลย พาหนีจากสะพาน ไปตำบลที่ปลอดภัย (เล่าว่าจุดนั้นมีเครื่องบินมารับตัว)

คุณยายจำปี สารีวงศ์ ผ้าขาววัดเขาจำศีล อดีตที่ตั้งค่ายเสรีไทยกาญจนบุรี ในบั้นปลายชีวิต
(ภาพส่วนบุคคลของผู้เขียน)
เมื่อมีการตั้งค่ายพลพรรคเสรีไทยในจังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้การนำของพันตำรวจโท ขุนพิชัยมนตรี (ชื่น มนตริวัต) รักษาราชการข้าหลวงประจำจังหวัด และผู้กำกับการตำรวจภูธรสนามจังหวัด นางสาวจำปีก็เข้าสมัครประจำค่ายเขาจำศีลทันที มีหน้าที่จัดเตรียมเสบียงอาหารให้แก่พลพรรคนับร้อย บางครั้งได้ช่วยพลพรรคชายลำเลียงอาวุธ ด้วยมีคนชิดใกล้เป็นพลพรรคเสรีไทยในค่ายแห่งนี้ ได้แก่ญาติผู้พี่เป็นพลพรรคสายครูประชาบาลและมีคนรักของเธอซึ่งเป็นพลพรรคสายตำรวจ
พลพรรคเสรีไทยที่เป็นนายตำรวจหนุ่มคนรักจะคอยมาสอนนางสาวจำปียิงปืนคาร์ไบน์ (M1 Carbine) ที่รับมาจากสหรัฐอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง เพราะก่อนสงครามนางสาวจำปีชอบการยิงปืนอยู่แล้วนับว่าเป็นคู่รักที่สานสัมพันธ์กันด้วยกระบอกปืน โดยยามว่างของคู่หนุ่มสาวนี้จะพากันไปยิงแย้มาฝูงหนึ่ง และล่าสัตว์อื่น ๆ เพื่อนำมาเป็นอาหารเลี้ยงพลพรรคด้วยปืนคาร์ไบน์คู่ใจ
แต่แล้วหลังสงครามยุติไม่นานก็มีเหตุให้ทั้งคู่ต้องแคล้วกันไป นางสาวจำปีจึงยังครองความโสดมาตลอดชีวิต และใช้ชีวิตวัยชรานุ่งขาวปฏิบัติธรรมอาศัยอยู่ที่วัดเขาจำศีล อดีตที่ตั้งค่ายเสรีไทยจนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๓ (ค.ศ. 2020)
จากบทบาทสตรีแต่ละท่านในขบวนการเสรีไทย "รับใช้ชาติ" ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพานั้น ทำให้พบว่าสตรีเหล่านี้มีสถานะหลากหลาย ทั้งนายแม่ คุณนาย แม่บ้าน แม่ค้า หรือสาวชาวนาไร่ทั่วไป ซึ่งจากสถานะต่าง ๆ ดังกล่าว สตรีมักมีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือสามีในการดูแลบ้าน ลูกหลาน และบริวาร หรือเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของสามี การค้าขาย การเข้าสังคมในหมู่ภรรยา ไปจนถึงการทำนาทำไร่ เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สงครามมหาเอเชียบูรพา สตรีเหล่านี้จึงได้อาศัยสถานะและบทบาทอันหลากหลาย ในการรับใช้ประเทศชาติ บทบาทสตรีบางท่าน มีผลให้การประสานงานสัมพันธมิตรมีผลสำเร็จ บางท่านสามารถช่วยให้พรางปฏิบัติการเสรีไทยจากสายตาญี่ปุ่น หลายท่านเป็นคุณนายดูแลหลังบ้าน ซึ่งกลายเป็นศูนย์บัญชาการและการสื่อสารทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เป็นแม่ครัวพยาบาลผู้น้อย และแม้กระทั่งได้ร่วมจับอาวุธเป็นพลพรรคเสรีไทย
แม้บทบาทดังกล่าว จะไม่ใช่ภารกิจหลักเสรีไทยทั้งการเมือง การทูต และการทหาร แต่นับว่ามีความสำคัญไม่น้อย ซึ่งหากขาดไปภารกิจหลักทั้งปวงอาจล้มเหลวได้
บรรณานุกรม :
หนังสือ
- เซอร์แอนดรูว์ กิลคริสต์, ลับสุดยอด ปฏิบัติการเสรีไทยสายอังกฤษ แปลโดย ดุสิต บุญธรรม, กรุงเทพฯ ศยาม, ๒๕๖๐
- จากวันนั้นถึงวันนี้, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร ณ เมรุวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร, วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๕.
- เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว., ชีวลิขิต, อนุสรณ์ในงานเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ, วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐.
- วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ตำนานเสรีไทย (กรุงเทพฯ: แสงดาว, ๒๕๔๗)
- อัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์, บุคคลที่น่ารู้จัก (กรุงเทพฯ: บริษัทเดนซ่าอุตสาหกรรม, ๒๕๑๖)
- อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) ท.ช., ป.ม. ณ เมรุวัดธาตุทอง ถนนสุขุมวิท, วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖.
- สวัสดิ์ ศรีศุข, เล่าเรื่อง ปฏิบัติการเสรีไทย, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลอากาศจัตวา ดร.สวัสดิ์ ศรีศุข ณ เมรุวัดธาตุทอง กรุงเทพฯ, วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒.
- เพ่ง ลิมปะพันธุ์, วิถีชีวิตและสงครามมหาเอเชียบูรพา ใน หนังสือที่ระลึกสำหรับญาติ กัลยาณมิตร และผู้สนใจ ในโอกาสครบ ๖ รอบ ๗๒ ปี ของนายสุวุฒิ ลิมปะพันธุ์, ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔.
- อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงเฉลิม สุวรรณชีพ จ.จ. ณ เมรุวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร, วันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒.
- อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าสิริบังอร ณ จัมปาศักดิ์ ภูริพัฒน์ ณ เมรุวัดทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี, วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๖.
วิทยานิพนธ์
- พีรยา คูวัฒนะศิริ. แนวคิดและบทบาททางการเมืองของทองอินทร์ ภูริพัฒน์.บัณฑิตวิทยาลัย อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๓.
สัมภาษณ์
- นางสาวจำปี สารีวงษ์ อายุ ๙๔ ปี วัดเขาจำศีล อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี, สัมภาษณ์ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒.
- เสรีไทย
- วันใหม่ นิยม
- ปรีดี พนมยงค์
- พูนศุข พนมยงค์
- ป๋วย อึ๊งภากรณ์
- จอมพล ป. พิบูลสงคราม
- พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส
- ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา
- คุณหญิงเฉลิม สุวรรณชีพ
- สิริบังอร ภูริพัฒน์
- อรอินทร์ ภูริพัฒน์
- นางอรุณี ศุกระจันทร์
- นางปราย ลิมปะพันธุ์
- นางสาวจำปี สารีวงศ์
- กองกำลัง ๑๓๖
- สงครามมหาเอเชียบูรพา