
นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในเครื่องแบบชุดพันตรีแห่งกองทัพบกอังกฤษ
๒. ความมุ่งหมายร่วมกันของเสรีไทยในอังกฤษ
เหล่าเสรีไทยในอังกฤษทั้งกว่า ๕๐ คนนี้อาจจะอาสาสมัครเข้าเป็นเสรีไทยด้วยเหตุต่าง ๆ กัน ได้เคยมีการถกกันถึงเรื่องนี้ในระหว่างที่สมัครเข้ามาใหม่ ๆ และระหว่างที่เดินทางหรือพักแรมในที่ต่าง ๆ บางคนก็ว่าสมัครเพื่อกู้ชาติ บางคนก็ว่าเพื่อเสรีภาพและความชอบธรรมแห่งชีวิต บางคนก็พูดไม่ออก นอกจากจะเห็นเป็นหน้าที่ บางคนปรารภว่าบิดามารดารีบส่งไปศึกษาที่อังกฤษ เพราะใกล้จะถึงกำหนดเกณฑ์ทหารที่เมืองไทย และบิดามารดากลัวลำบาก แต่แล้วก็ยังไปสมัครเป็นทหาร ได้รับความลำบากยิ่งกว่าถูกเกณฑ์ที่เมืองไทยเป็นหลายเท่า อย่างไรก็ตาม พอจะพูดได้ว่าความมุ่งหมายร่วมกันของพวกเราจะได้ระบุไว้เด่นชัดดังต่อไปนี้
(๑) พวกเราเข้าเป็นทหารอังกฤษมิใช่เพื่อรับใช้ชาติอังกฤษ แต่ต้องการรับใช้ชาติไทยโดยอาศัยอังกฤษร่วมมือ
(๒) คณะของเรามิต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศไทยและไม่ยอมเป็นเครื่องมือในการเมืองของพรรคใด ผู้ใดที่เป็นเสรีไทยภายในประเทศเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น คณะของเราจะร่วมด้วยทั้งนั้น และเมื่อเลิกสงครามแล้วคณะเสรีไทยอังกฤษก็จะสลายตัวไป
(๓) คณะเสรีไทยจะไม่ถือโอกาสแอบอ้างผลความดีใด ๆ มาเรียกร้องแสวงประโยชน์ส่วนตัวในด้านลาภยศหรือด้านอื่นใด
(๔) คณะเสรีไทยอังกฤษได้แสดงให้ทางการอังกฤษเห็นแจ้งชัดแต่เริ่มแรกว่าคณะของเราต้องการกระทำการใด ๆ ในระหว่างสงครามในลักษณะทหาร กล่าวคืออยู่ในเครื่องแบบและยศทหาร แม้ว่าจะเป็นพลทหารก็ยินยอม ทั้งนี้หมายความว่าไม่ยอมเป็นเครื่องมือในลักษณะจารชน ถ้าจะต้องปฏิบัติราชการลับก็ทำในฐานเป็นทหาร
ในทางปฏิบัตินั้น ทหารเสรีไทยเริ่มเข้าเป็นทหารฐานะพลทหารตั้งแต่ ๗ สิงหาคม จนกระทั่งได้เดินทางถึงประเทศอินเดีย จนแยกย้ายกันไปฝึกบ้าง ปฏิบัติงานบ้าง ส่วนใหญ่ได้รับยศเป็นร้อยตรีเมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๘๖ กองทหารพวกเรามีลักษณะพิเศษอยู่ คือ เป็นผู้ที่มีวิทยฐานะสูงกว่าหน่วยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยการโยธา (Pioneer Corps) หรือหน่วยอื่นที่เราเข้าร่วมด้วยในจำนวน ๓๖ คน (ไม่นับ ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท เพราะท่านยังมิได้เข้าร่วมกับหน่วยของเรา) มีปริญญาและประกาศนียบัตรรวมกันประมาณ ๓๐ ปริญญา ที่เกือบได้ปริญญาเพราะกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้ายก็หลายคน ฉะนั้นผู้บังคับบัญชาฝ่ายอังกฤษจึงได้ให้เสรีภาพแก่พวกเราในการปกครองกันเองอยู่เสมอ ทั้งนี้ภายใต้กรอบวินัยทั่วไปของกองทัพอังกฤษ การปกครองกันเองนี้หมายความว่า พวกเราทหารเสรีไทยมีการเลือกตั้งหัวหน้าและผู้แทนกันเองทุกครั้งที่มีการย้ายไปประจำค่ายใหม่ และผู้บังคับบัญชาในกองทัพอังกฤษก็ยินยอมรับรองหัวหน้าที่เราเลือกตั้งขึ้นนั้นว่าเป็นผู้แทนของเราโดยชอบธรรม เมื่อพวกเราเป็นพลทหาร หัวหน้าที่เราเลือกตั้งขึ้นก็มักได้รับยศโดยอัตโนมัติให้เป็นสิบตรีชั่วคราว เฉพาะถิ่น กิตติมศักดิ์ (Local, Temporary, Unpaid, Lance-Corporal) ซึ่งเป็นยศเรียกยืดยาว มีความสำคัญเฉพาะตัวน้อยแต่มีความสำคัญสูงในด้านระบอบประชาธิปไตยภายในวงการของเราและในด้านความนิยมรับรองของกองทัพอังกฤษ

พลทหารเสรีไทยฝึกเบื้องต้น ที่ค่ายทหารธอร์นตัน
ที่มา: กบฏกู้ชาติ โดยทศ พันธุมเสน
การที่อังกฤษรับพวกเราเข้าเป็นทหารใน Pioneer Corps หรือหน่วยการโยธานั้นเข้าใจว่าจะเป็นการทดลองดูใจของพวกเราว่ามีความมั่นคงเพียงใด เพราะหน่วยการโยธาดังกล่าว เป็นหน่วยที่ถือกันว่าไม่สู้จะมีเกียรติ ชนชาติศัตรู ถ้าจะสมัครเป็นทหาร ก็ให้เข้าหน่วยนี้ ถ้าเป็นคนอังกฤษก็ต้องเป็นกรรมกรที่ไม่มีคุณวุฒิหรือไม่มีความชำนาญในการใด ๆ[1] มีคติประจำหน่วยว่า “Labor Omnia Vincit” แปลว่า “งานหนัก (งานโยธา) ย่อมชนะได้ทุกอย่าง” คนอังกฤษนั้นถ้าเป็นช่างก็เข้าหน่วยทหารช่าง ถ้าเป็นหมอก็เข้าหน่วยทหารแพทย์ หรือมีความรู้หรือพื้นเพสูงก็เข้าหน่วยทหารปืนใหญ่ รถเกราะหรือทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นต้น หน่วยการโยธามีหน้าที่การโยธาสมชื่อ ทำหน้าที่ขุดมันฝรั่ง ล้างส้วม ทำความสะอาดโรงอาหารหรือที่พัก หรือรักษาการณ์เป็นยาม เป็นต้น หน้าที่เหล่านี้พวกเราเคยทำกันมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าเดิมเป็นคุณหลวงหรือนักการทูต เป็นหม่อมเจ้าเชื้อพระวงศ์หรือบุตรเสนาบดี อธิบดีมาแต่ก่อน และพวกเรายังได้แต่งบทประพันธ์ไว้เป็นที่ระลึก พรรณนาความไว้ ดั่งจะขอคัดมาบางตอน
“ ...โอ้เต็นท์หรูเคยอยู่ต้องจู่จาก ต้องจำพรากมาอยู่ตึกพิลึกยิ่ง[2]
นอนกับดินกินกับคู่ดูเพราพริ้ง ต้องมากลิ้งบนเตียงเยี่ยงนารี
น้ำล้างชามเคยเย็นเป็นมันฝา น้ําล้างหน้าเย็นชื่นเคยรื่นรี่
ต้องมาใช้น้ำอุ่นฉุนเต็มที่ แล้วอย่างนี้หรือสะอาดอนาถใจ
กินอาหารจานสนิมชิมชูรส กินไม่หมดก็มีผู้คอยดูให้
พาไปเลี้ยงเกลี้ยงชามงามกระไร แล้วเดี๋ยวนี้จะมีใครมาตรวจตรา
แต่เคราะห์ดีมีวิชาทำ “ฟาตีก” ได้หัดหลีกหลบตัวเหล่าหัวหน้า
สิบโท “มิลล์” ชำนาญการโยธา ถือคทาไม้กวาดใหญ่หาไพร่พล
ขัดพื้นเรือนเพื่อนให้ถูดูสะอาด ส้วมก็กวาดพังทลายไปหลายหน
โต๊ะม้านั่งยังได้ขัดหัดเล่ห์กล น้ำลูบไล้ให้พ้นไปวัน ๆ
งานเฝ้ายามตามไฟได้ฝึกฝน ตวาดคนหวั่นกลัวจนตัวสั่น
เวรกลางคืนปืนกับหอกออกประจัญ เวรกลางวันถือสง่าคทาพลอง
บางเวลาพากันขุดมันเทศ พลางร่ายเวทด่าฝรั่งกันดังก้อง
ขุดขนไปด่าไปในทำนอง พวกนายกองชอบใจเพราะไม่รู้… ”
หน่วยทหารเสรีไทยฝึกและปฏิบัติงานอยู่ในอังกฤษตั้งแต่ ๗ สิงหาคม ๒๔๘๕ จนถึงกลางเดือนมกราคม ๒๔๘๖ จึงได้เดินทางจากอังกฤษรอนแรมอ้อมทวีปแอฟริกาไปยังอินเดีย ถึงอินเดียคือที่บอมเบย์ เมื่อปลายเดือนเมษายน ๒๔๘๖ นับตั้งแต่นั้นมา ๓๖ สหายของเราก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามที่ทางการอังกฤษจะต้องการ ประวัติการเป็นทหารของพวกเราทั้ง ๓๖ คน ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เท่าที่พวกเราได้มีชีวิตร่วมกันตลอดเวลา ได้มีคุณบุญพบ ภมรสิงห์ เขียนไว้ค่อนข้างละเอียดในหนังสือ ศิลปินไทยในยุโรป (บริษัทนิพนธ์ จำกัด ๒๕๐๕) ตั้งแต่บทที่ ๗ จนถึงบทที่ ๑๒ ใคร่จะเชิญท่านผู้อ่านที่สนใจหาอ่าน
ในการที่คณะทหารเสรีไทยอังกฤษแยกย้ายกันไปปฏิบัติงานนั้น มีบางกลุ่มย้ายไปเดลฮีเพื่อปฏิบัติงานด้านวิทยุกระจายเสียงบ้าง ด้านการทำแผนที่บ้าง บางกลุ่มก็ถูกเรียกไปปฏิบัติงานทางการาจี (กลุ่มของคุณบุญพบ-ดูได้ในหนังสือที่กล่าวข้างต้น) บางกลุ่มก็ถูกเรียกไปปฏิบัติและฝึกงานราชการลับ แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดซึ่งข้าพเจ้าอยู่ด้วย ถูกส่งไปฝึกการรบกองโจรที่ค่ายแห่งหนึ่งนอกเมืองปูนา ฝรั่งเรียกกลุ่มเราว่า “ช้างเผือก” (White Elephants) ที่ตั้งค่ายฝึกนั้นอยู่ริมทะเลสาบ ชื่อตำบลนั้นแปลเป็นไทยว่า “รังรัก” ต่อมาพวกเราจึงเข้าใจเรื่องดียิ่งขึ้น ปรากฏว่ากลุ่มของข้าพเจ้านี้สังกัดอยู่ในแผนกประเทศไทยของกองกำลัง ๑๓๖ (Force 136) แห่งหน่วยบริหารงานพิเศษ (Special Operations Executive = S.O.E.) ในกระทรวงการสงครามเศรษฐกิจ (Ministry of Economic Warfare) ท่านผู้อ่านที่ทราบเรื่องของ O.S.S. ในสหรัฐอเมริกา ดีกว่าเรื่องของอังกฤษ พอจะเทียบ S.O.E. ได้คล้ายคลึงกับ O.S.S.[3]
หมายเหตุ
- บทความชิ้นนี้มีการปรับปรุงชื่อโดยกองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์จาก “ทหารชั่วคราว” เป็น “บันทึกปฏิบัติงานใต้ดินเสรีไทย” พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทหารชั่วคราว (ตอนที่ 2)”
เอกสารอ้างอิงจาก
- ป๋วย อึ๊งภากรณ์, “ทหารชั่วคราว” ใน บันทึกปฏิบัติงานใต้ดินของอดีตเสรีไทย พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2543), หน้า 29-32.
[1] ในตอนท้ายสงครามโลก หน่วยการโยธานี้ได้รับยกย่องขึ้น โดยมีการยกฐานะขึ้นเป็น “Royal Pioneer Corps”
[2] พวกเราเพิ่งย้ายค่ายจาก “เดนบี” เวลส์เหนือ ซึ่งเรานอนในเต็นท์บ้าง นอนที่โรงรถบ้าง ไปอยู่ที่แบร็ดฟอร์ดในยอร์กเชียร์ และได้อยู่ตึกที่เคยเป็นโรงเรียนมัธยมในยามสงบ
[3] เมื่อเร็ว ๆ นี้ ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้มีหนังสือเรื่องบทบาทของ S.O.E. ในการดำเนินงานใต้ดินในฝรั่งเศส ระหว่างสงครามออกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นทางการแล้ว