ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

“บันทึกปฏิบัติงานใต้ดินเสรีไทย” พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทหารชั่วคราว (ตอนที่1)

22
มีนาคม
2568

พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (เข้ม เย็นยิ่ง) เสรีไทยสายอังกฤษ
ที่มา: หนังสือบันทึกปฏิบัติงานใต้ดินของอดีตเสรีไทย และ หนังสือเสรีไทยจากอังกฤษ, เซอร์แอนดรูว์ กิลคริสต์ แปลโดย ดุสิต บุญธรรม, สำนักพิมพ์สันติภาพ, พิมครั้งแรก เมษายน ๒๕๑๗

 

 

๑. การรวบรวมก่อตั้งคณะเสรีไทยในอังกฤษ

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ข้าพเจ้าเป็นทหารชั่วคราวตั้งแต่สิงหาคม ๒๔๘๕ จนถึง มกราคม ๒๔๘๙ การสมัครเข้าเป็นทหารครั้งนั้นมีลักษณะผิดธรรมดาอยู่หลายประการ กล่าวคือ เพื่อนฝูงข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเป็นคนไทย ยึดถือสัญชาติไทย แต่สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ และสวมเครื่องแบบทหารอังกฤษ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในเวลานั้นเป็นเวลาสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่นรุกรานเข้ามาในประเทศไทย จนกระทั่งรัฐบาลไทยต้องทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น บรรดาคนไทยที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น รัฐบาลไทยเรียกตัวให้กลับ แต่มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมกลับ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะขู่เข็ญว่า ผู้ที่ไม่กลับประเทศไทยตามคำสั่งนั้นจะถูกถอนสัญชาติ ผู้ที่ไม่ยอมกลับประเทศไทยเหล่านั้นเรียกตนเองว่าเสรีไทย และยังดื้อถือสัญชาติไทยอยู่ต่อไป (ข้าพเจ้าจึงใช้คำว่า “ยึดถือสัญชาติไทย” ในตอนต้น)

ทางสหรัฐอเมริกาเผอิญท่านอัครราชทูต ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านเป็นหัวหน้าเสรีไทย และสามารถเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผลสำเร็จ เพื่อให้สหรัฐฯ รับนับถือคณะเสรีไทยและกองทหารเสรีไทยในสหรัฐฯ เหล่าทหารไทยในสหรัฐฯ จึงสามารถรวบรวมกันเป็นปึกแผ่น ได้ใช้เครื่องแบบทหารไทย และมีผู้บังคับบัญชาไทย เป็นหน่วยไทยค่อนข้างแท้ ส่วนในสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น ปราศจากผู้ใหญ่ที่พอจะก่อตั้งรวบรวมกันได้อย่างที่สหรัฐฯ ท่านอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางกลับประเทศไทยตามคำสั่งรัฐบาล พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ซึ่งประทับอยู่ในอังกฤษก็ทรงปฏิเสธคำเชิญให้เป็นหัวหน้า โดยรับสั่งว่าไม่ทรงประสงค์จะเกี่ยวกับการเมืองและทรงปฏิบัติราชการในกองรักษาดินแดนของอังกฤษอยู่แล้ว ส่วนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาล ที่ ๗ และ ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน พระเชษฐาสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งประทับอยู่ในอังกฤษในขณะนั้น ทรงสนพระทัยที่จะร่วมงานเสรีไทยด้วย แต่บรรดาคนไทยเห็นว่าจะทูลเชิญเป็นหัวหน้าเสรีไทยย่อมอาจจะเกิดความเข้าใจผิดในด้านการเมืองภายในของคนไทยได้ ฉะนั้นสรุปว่าคณะเสรีไทยในอังกฤษไม่มีหัวหน้าเป็นหลักฐานอย่างในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นเมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นทหาร จึงต้องเข้าเป็นทหารในเครื่องแบบและในกองทัพอังกฤษ และเนื่องด้วยคนไทยในอังกฤษนั้น รัฐบาลอังกฤษถือว่าเป็นชนชาติศัตรู (enemy aliens) เมื่อเข้าเป็นทหารในกองทัพอังกฤษจึงต้องเข้าอยู่ในหน่วยที่เรียกว่า “Pioneer Corps” (หน่วยการโยธา) แบบชนชาติศัตรูอื่น ๆ (เยอรมัน ออสเตรียน อิตาเลียน ฯลฯ)

เรื่องของ Pioneer Corps และเรื่องในชีวิตทหาร ข้าพเจ้าขอยกไว้ก่อนจะกล่าวในตอนต่อไป ในขั้นนี้ใคร่ทวนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนเริ่มต้นตั้งเสรีไทยในอังกฤษเพื่อให้บทความนี้สมบูรณ์พอสมควร

ในระหว่างสงครามโลกตอนต้นก่อนการประกาศสงครามที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย แต่เป็นระยะที่อังกฤษทำสงครามกับเยอรมนีแล้ว คนไทยในอังกฤษนับเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ถึงกับเป็นชนชาติศัตรู จึงมีต้องถูกกักกัน เพียงแต่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายที่อยู่บางประการ ข้าราชการสถานทูตได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นในข้อจำกัด ต่อมาเมื่อประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ คนไทยตกอยู่ในฐานะชนชาติศัตรู ข้าราชการสถานทูตและคนไทยต่างได้รับการปฏิบัติให้อยู่ในข้อบังคับเข้มงวดยิ่งขึ้น แต่ไม่ถึงกับถูกกักกัน นอกจากข้าราชการสถานทูตในระยะใกล้จะถูกส่งตัวกลับ มีข้อจำกัดกักกันบ้าง นักเรียนไทยโดยทั่วไปได้รับยกเว้นไม่ต้องกักกัน แต่มีข้อห้ามมิให้ออกนอกที่อยู่ในเวลาวิกาล ข้าราชการสถานทูตยังพอมีเงินใช้อยู่บ้าง เพราะเป็นเรื่องถ้อยทีปฏิบัติระหว่างข้าราชการอังกฤษในไทยกับข้าราชการไทยในอังกฤษ แต่นักเรียนไทยในอังกฤษนั้นถูกตัดเงินที่เคยได้รับจากประเทศไทย ต้องอาศัยเงินรายได้ของตนเองในอังกฤษ บางคนที่ได้รับทุนเล่าเรียนของอังกฤษอยู่ก็ไม่ลำบากนัก แต่นักเรียนไทยส่วนมากต้องไปทำนาหรือทำงานในโรงงานเพื่อจะได้มีเงินใช้สำหรับเลี้ยงอาตมาไปวันหนึ่ง ๆ

นักเรียนไทยในขณะนั้น กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ ที่มีมากอยู่สักหน่อยก็มีเคมบริดจ์ ซึ่งมีทั้งนักเรียนเคมบริดจ์แท้ เช่น นายเสนาะ ตันบุญยืน นายเสนาะ นิลกําแหง ม.ล. จิรายุ นพวงศ์ นายยิ้มยล แต้สุจิ ม.จ. ภีศเดช รัชนี กับนักเรียนอพยพไปอาศัยเคมบริดจ์ เช่น นักเรียนเศรษฐศาสตร์จากลอนดอน (รวมทั้ง - ข้าพเจ้า) และนักเรียนแพทย์บางคน ฉะนั้น เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ หลังจากที่ได้ทำสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่นแล้ว การเคลื่อนไหวทางด้านนักเรียนจึงเกิดขึ้นที่เคมบริดจ์เป็นแหล่งแรก

นักเรียนไทยในเคมบริดจ์ก็เหมือนกับคนไทยทั่ว ๆ ไป มีความคิดและความรู้สึกต่าง ๆ กันไปแต่ละคน แต่ก็เหมือนกับคนไทยอื่น ๆ อีกในแง่ที่เป็นห่วงใยในอิสรภาพอธิปไตยของประเทศ เมื่อญี่ปุ่นยกทัพขึ้นดินแดนไทย เราก็ภาวนาขอให้มีช่องทางอย่างใดให้ญี่ปุ่นออกไปเสีย ครั้นรัฐบาลไทยก้าวล้ำเข้าไปอีกขั้นหนึ่งโดยทำสัญญาร่วมกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร เราก็ยิ่งเกิดความพรั่นพรึงว่า เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและไทยก็ร่วมแพ้ด้วย เห็นที่หายนะจะเกิดแก่ชาติเราเป็นแน่ ถ้าหากว่าคนไทยทุกคนเชื่อผู้นำและทำอะไรตามผู้นำไปหมด ฉะนั้นเมื่อมีคำสั่งให้เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทยในการแลกเปลี่ยนเชลยศึก จึงเป็นวาระที่พวกเราจะต้องเลือกทางเดิน จะเดินทางกลับบ้านหรือจะอยู่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่อนาคตของประเทศชาติ

ก่อนหน้านั้น ผู้ที่รู้สึกว่าเดือดร้อนใจในเรื่องนี้มากที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าทราบคือ นายเสนาะ ตันบุญยืน รองลงมาคงจะเป็นนายเสนาะ นิลกำแหง และนายสว่าง สามโกเศศ เพราะสามสหายนี้เป็นผู้ที่ได้เริ่มวิ่งเต้นหาผู้นั้นผู้นี้จะให้มาเป็นหัวหน้าเสรีไทยในอังกฤษ นายเสนาะ ตันบุญยืน เป็นคนหูตาไว ส่งข่าวต่าง ๆ ให้เราทราบ และพวกเรามักจะประชุมคุยกันที่ห้องพักเสนาะ ต้นบุญยืนบ่อย ๆ เสนาะ ต้นบุญยืน ได้เขียนจดหมายถึง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เล่าเหตุการณ์ทางอังกฤษให้ทราบ และขอเชิญให้ ม.ร.ว. เสนีย์ เดินทางข้ามไปที่อังกฤษ เพื่อรับเอานักเรียนไทยที่อาสาสมัครเข้าในขบวนการเสรีไทยที่ท่านได้จัดตั้งขึ้นในสหรัฐฯ ม.ร.ว.เสนีย์ตอบมาว่า ท่านไม่สามารถเดินทางจากสหรัฐฯ มาได้ เพราะท่านก็กำลังมีภาระเต็มมือแต่ท่านจะส่งผู้แทนที่เหมาะสมมาดำเนินการตามความประสงค์ของพวกเราทางอังกฤษ ต่อมาในไม่ช้า (แต่ขณะที่พวกเรารอกันอยู่นั้นรู้สึกว่านานเหลือเกิน) ผู้แทนที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ส่งมาดำเนินการทางอังกฤษก็มาถึงคือ นายมณี สาณะเสน คณะเสรีไทยในแคมบริดจ์ได้ประชุมกันและลงมติให้นายเสนาะ ตันบุญยืน กับข้าพเจ้าเป็นผู้ติดต่อกับนายมณี สาณะเสน ที่ลอนดอน ขณะนั้นล่วงเข้ามาในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ๒๔๘๕ แล้ว

นายมณี สาณะเสน ผู้นี้ พวกเราไม่เคยรู้จักมาแต่ก่อน เคยแต่ทราบกิตติศัพท์ว่า เป็นคนไทยที่ทำงานที่สันนิบาตชาติ (League of Nations) มาเป็นเวลานาน ต่อมาเมื่อวิสาสะคุ้นเคยกันแล้วจึงทราบว่านายมณีเริ่มเดินทางไปอังกฤษตั้งแต่อายุน้อย ขณะนั้นบิดานายมณีเป็นอัครราชทูตอยู่ ณ กรุงลอนดอน ครั้นสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมแล้ว นายมณีได้ศึกษากฎหมายอยู่ในประเทศอังกฤษจนสำเร็จแล้วก็เริ่มเข้าทำงานในสันนิบาตชาติที่สวิตเซอร์แลนด์ตลอดมา ครั้นเกิดสงครามในยุโรปครั้งที่สอง ผู้ใหญ่ทางกรุงเทพฯ ได้ชักชวนให้กลับมารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ กำลังเดินทางกลับผ่านสหรัฐอเมริกาก็เผอิญมีข้อขัดข้องในการเดินทาง เพราะเป็นยามสงครามกระทรวงการต่างประเทศจึงมีคำสั่งให้ช่วยราชการอยู่ในสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันอยู่ตลอดมา เนื่องจากนายมณีเป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ในราชการอังกฤษอยู่มากทั้งทางพลเรือนและทหาร ม.ร.ว. เสนีย์จึงมอบหมายให้นายมณีเดินทางมาช่วยรวบรวมคณะเสรีไทยในอังกฤษ (นายมณีผู้นี้เมื่อเลิกสงครามโลกแล้วได้กลับเข้าทำงานในองค์การสหประชาชาติต่อจนครบเกษียณอายุ บัดนี้ยังคงพำนักอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์)

นายมณีได้เริ่มเปิดสำนักงานขึ้นที่โรงแรมบราวน์ ในกรุงลอนดอน และได้เริ่มติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอังกฤษ เพื่อให้รัฐบาลอังกฤษรับรองคณะเสรีไทยในอังกฤษทำนองเดียวกันกับในสหรัฐฯ แต่รัฐบาลอังกฤษขัดข้องอยู่ตลอดมาจนกระทั่งในวาระสุดท้าย เมื่อได้ทราบแน่วแน่ว่าคณะเสรีไทยในอังกฤษนี้มีจำนวน มากกว่า ๔๐ คน และแต่ละคนมีเจตนาที่จะไม่ยอมกลับประเทศไทยจนกว่าจะเสร็จศึก กับเจตนาจะรับใช้ประเทศไทย ด้วยการอาสาสมัครในกองทัพอังกฤษโดยไม่เลือกงาน รัฐบาลอังกฤษจึงได้เริ่มรับรองคณะเสรีไทยอังกฤษภายใต้การนำของนายมณี สาณะเสนโดยระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่รับรองนี้มิใช่เป็นการรับรองเป็นรัฐบาลนอกประเทศ

ในด้านการติดต่อกับคนไทย นายมณีได้พึ่งพวกเราเป็นแกนสำคัญ กล่าวคือตั้งแต่วาระที่คณะนักเรียนไทยในเคมบริดจ์ได้เริ่มติดต่อกับ ม.ร.ว. เสนีย์นั้น นายเสนาะ ตันบุญยืน ได้เริ่มทำหนังสือเวียนถึงนักเรียนไทยและคนไทยทุกคนรวมทั้งข้าราชการสถานทูตด้วยเป็นประจำ เพื่อส่งข่าวให้ทราบว่าจะมีการจัดตั้งเสรีไทยขึ้นในอังกฤษ และแจ้งให้ทราบเป็นระยะถึงความคืบหน้าในการติดต่อกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ในขณะเดียวกัน ถ้ามีข่าวจากประเทศไทยมาทางวิทยุที่รับได้ ก็คัดมาแจ้งให้ทราบด้วย ฉะนั้นเมื่อนายมณีมาตั้งสำนักงานขึ้นที่ลอนดอน นายเสนาะ และข้าพเจ้าก็ได้ทำหนังสือเวียนต่อเนื่องจากที่เคยทำมานั้นเผยแพร่กิจการของนายมณีต่อไป ท้ายที่สุด เมื่อจะเรียกอาสาสมัครได้เพราะทางราชการอังกฤษตกลงแล้ว เราก็ได้มีหนังสือไปเชิญให้สมัครกันมาเป็นทางการ แต่ถือเป็นความลับให้แต่ละคน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกลับประเทศไทยโดยเรือแลกเปลี่ยนเชลยนั้น นำความลับกลับไปบอกทางกรุงเทพฯ ในหนังสือที่เชิญให้สมัครนั้นพวกเราได้พยายามชี้แจงให้ทราบว่าเป็นการสมัครใจจริง ๆ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญเพราะเรือแลกเปลี่ยนเชลยก็ใกล้จะออกเดินทางไปประเทศไทยแล้ว เพื่อนสนิทของเราบางคนจำเป็นจะต้องกลับมากรุงเทพฯ ด้วยเหตุส่วนตัวก็มีเป็นอันมากและบางคนภายหลังก็ได้ร่วมงานในขบวนการเสรีไทยที่กรุงเทพฯ (เช่น นายมาลา บุณยประภัสสร)

ผู้สมัครเข้าเป็นเสรีไทยเป็นทางการเริ่มทยอยกันยื่นใบสมัครจนเรารวบรวมจำนวนได้กว่า ๕๐ คน นับตั้งแต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และผู้ติดตามพระองค์ท่าน จนถึงนักเรียนทุนส่วนตัวที่ส่วนมากเราไม่เคยพบเห็น เช่น นายบุญพบ ภมรสิงห์ (เขียนประวัติไว้ละเอียดในหนังสือ ศิลปินไทยในยุโรป บริษัทนิพนธ์ จำกัด ๒๕๐๕) และมีข้าราชการสถานทูตด้วยที่เป็นผู้ใหญ่ขนาดเลขานุการเอกหรือเทียบเท่าก็หลายคน

วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๘๕ เป็นวันที่คณะเสรีไทยอังกฤษได้รับเรียกให้เข้าสมัครเป็นทหารในกองทัพอังกฤษเป็นทางการ คณะอาสาสมัครได้ไปตรวจร่างกายตามระเบียบของอังกฤษ บางคนที่มีโรคประจําตัว ตรวจร่างกายไม่ได้จึงไม่ได้เข้าเป็นทหาร นอกจากนั้นยังมีอยู่อีกจำนวนหนึ่งซึ่งได้รับการยกเว้นมิต้องเข้าเป็นทหารด้วยเหตุนานาประการ เพื่อประโยชน์ของอนุชนต่อไป ขอคัดเอารายชื่อบรรดาเสรีไทยมารวบรวมไว้ ณ ที่นี้ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เป็นทหารแต่ปฏิบัติการช่วยเหลือในด้านอื่นกับกลุ่มที่เป็นทหาร ดั่งนี้

 


เสรีไทยสายอังกฤษในเรือขณะเดินทาง
ที่มา: อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายสมจิตร ยศสุนทร

 

(ก) เสรีไทยอังกฤษที่มิได้เป็นทหาร

๑. สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี

๒. ม.จ. หญิง ผ่องผสมณี สวัสดิวัตน (จักรพันธ์)

๓. นายมณี สาณะเสน

๔. นายเสนาะ ต้นบุญยืน

๕. หลวงจำนงดิฐการ

๖. นายยิ้ม พึ่งพระคุณ

๗. นายสมบูรณ์ ปาลเสถียร

๘. นายพร้อม วัชระคุปต์

๙. นายเกษม ผลาชีวะ

๑๐. นายเต็กลิ้ม คุณวิศาล

๑๑. นายจำนง สุ่มสวัสดิ์

๑๒. นายสมาน มันตราภรณ์

๑๓. นายเกษม ล่ำซำ

๑๔. นายวรี วีรางกูร

๑๕. น.ส.สุภาพ รักตประจิต (ยศสุนทร)

๑๖. น.ส.บุบผา แต่สุจิ (บุรี)

๑๗. น.ส.อนงค์ แต้สุจิ

(ต่อมา น.ส.สุภาพ รักตประจิต ได้รับคัดเลือกส่งไปอินเดีย เพื่อช่วยในด้านวิทยุกระจายเสียง) เลข ๕ ถึง ๗ เป็นข้าราชการสถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน

 

(ข) เสรีไทยที่เป็นทหาร

๑. หลวงอาจพิศาลกิจ

๒. หลวงภัทรวาที

๓. นายกลิ่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา

๔. นายประเสริฐ ปทุมมานนท์ (เป๋า)

๕. ม.จ. การวิก จักรพันธ์ (รัศมี)

๖. ม.จ. กอกษัตริย์ สวัสดิวัตน

๗. ม.จ. ภีศเดช รัชนี (มั่น)

๔. ม.จ. จิรีดนัย กิติยากร (รี)

๙. ม.ร.ว. กิตินัดดา กิติยากร

๑๐. ม.ล. จิรายุ นพวงศ์

๑๑. นายสวัสดิ์ ศรีสุข (Raven)

๑๒. นายจุ๊นเคง(พัฒพงศ์) รินทกุล (พงษ์)

๑๓. นายประทาน เปรมกมล (แดง)

๑๔. นายป่วย อึ๊งภากรณ์ (เข้ม)

๑๕. นายเปรม บุรี (ดี)

๑๖. นายรุจิต บุรี (ขำ)

๑๗. นายสำราญ วรรณพฤกษ์ (เค็ง)

๑๘. นายธนา โปษยานนท์ (กร)

๑๙. นายกฤษณ์ โตษยานนท์ (คง)

๒๐. นายเสนาะ นิลกำแหง (จิ๋ว)

๒๑. นายประโพธ เปาโรหิต (นุ่น)

๒๒. นายเทพ เสมถิติ (หนู)

๒๓. นายกำแหง พลางกูร (หลอ)

๒๔. นายอรุณ สุรเทศน์ (ไก่ฟ้า)

๒๕. นายยิ้มยล แต่สุจิ

๒๖. นายบุญพบ ภมรสิงห์

๒๗. นายบุญเลิศ เกษมสุวรรณ

๒๘. นายโต บุนนาค

๒๙. นายปัทม์ ปัทมสถาน (นา)

๓๐. นายบุญส่ง พึ่งสุนทร (ชัย)

๓๑. นายทศ พันธุมเสน (บุญ)

๓๒. นายวัฒนา ชิตวารี (ท้วม)

๓๓. นายประพฤทธ์ ณ นคร (เล็ก)

๓๔. นายประจิตร กังศานนท์ (ยศสุนทร) (แก่)

๓๕. นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร

๓๖. นายสว่าง สามโกเศศ

๓๗. ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (อรุณ)

เลข ๑ ถึง ๔ เป็นข้าราชการสถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน

เลข ๘ เข้าเป็นทหารทีหลัง หลังจากวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๘๕

เลข ๓๗ รัฐบาลอังกฤษรับเป็นนายทหารต่างหาก

 

หมายเหตุ

  • บทความชิ้นนี้มีการปรับปรุงชื่อโดยกองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์จาก “ทหารชั่วคราว” เป็น “ “บันทึกปฏิบัติงานใต้ดินเสรีไทย” พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทหารชั่วคราว (ตอนที่ 1)”

เอกสารอ้างอิงจาก

  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, 2543, เรื่อง “ทหารชั่วคราว”, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, หน้า 21-28.