Focus
- บทความประวัติศาสตร์ชิ้นนี้วิเคราะห์นักกฎหมายโรมันและนักกฎหมายฝรั่งเศสที่ ปรีดี พนมยงค์ อ้างถึงในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขา เพื่อทำความเข้าใจรากฐานทางความคิดที่หล่อหลอมมุมมองของปรีดีต่อกฎหมายหุ้นส่วนบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของกฎหมายฝรั่งเศสที่มีรากฐานจากกฎหมายโรมัน

อาจฟังคล้ายๆบทเพลงอันลือลั่นของ สุรพล สมบัติเจริญ อย่าง “สิบหกปีแห่งความหลัง”ก็ว่าได้ หากจะบอกเล่าถึงการที่ผมได้ทำความรู้จักและสัมผัสกับวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของ นายปรีดี พนมยงค์ เพราะนับตั้งแต่ผมเข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2551 ภารกิจหนึ่งที่เพียรพยายามอยู่เสมอคือการมุมานะอ่านวิทยานิพนธ์ซึ่ง นายปรีดี เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสให้เข้าใจกระจ่าง ทว่าสารภาพตามตรงเลย จนกระทั่งปัจจุบัน วิทยานิพนธ์เล่มดังกล่าวก็ยังคงเป็นของยากสำหรับผม อุปสรรคย่อมมิแคล้วด้านภาษา เนื่องจากผมมิเคยได้เรียนภาษาฝรั่งเศสในตอนที่ยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยม
กระนั้น ด้วยความอุตสาหะกว่าสิบหกปีล่วงมานี้ อย่างน้อยที่สุด ผมก็ขยันอ่านและทดลองถอดรหัสข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ นายปรีดี มาได้บ้างพอสมควร โดยเฉพาะการเอ่ยอ้างพาดพิงถึงนักกฎหมายโรมันคนสำคัญหลายราย ซึ่งจุดประกายให้ผมตามไปศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของนักกฎหมายเหล่านั้นเพิ่มเติม จึงใคร่จะขอนำเสนอสู่สายตาคุณผู้อ่านให้เหมาะเจาะกับวาระครบรอบ 125 ปีชาตกาลของผู้เขียนวิทยานิพนธ์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568
เป็นที่ทราบกันว่า นายปรีดี ได้สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกของรัฐเป็นดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย หรือ Docteur en Droit ณ มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1927 โดยเขานำเสนอวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Do sort des Sociétés de Personnes en cas des Décès d’un Associé (Etude de droit français et de droit comparé) ซึ่งเป็นงานที่ศึกษาถึงสถานะของห้างหุ้นส่วนในกรณีผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย โดยอาศัยการศึกษากฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ
ย้อนกาลเวลาไปในปี พ.ศ. 2463 นายปรีดี ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนกระทรวงยุติธรรมไปเรียนวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส เดินทางถึงประเทศฝรั่งเศสวันที่ 25 กันยายน พุทธศักราช 2463 เขาเดินทางถึงมาร์กเซยย์ เมืองท่าทางใต้เมื่อวันที่ 25 กันยายนปีนั้น พักที่นั่น 1 วัน ก่อนจะโดยสารรถไฟไปยังปารีสเพื่อรายงานตัวกับท่านเอกอัครราชทูต อยู่กรุงปารีส 15 วัน เพื่อตระเตรียมเรื่องการเรียน จากนั้นเดินทางสู่เมืองก็อง จังหวัดกาลวาโดส แคว้นนอร์มังดี ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส แล้วเข้าศึกษาวิชาความรู้ทั่วไปที่วิทยาลัยก็อง (Lycée de Caen) ต่อมาจึงสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายระดับเบื้องต้นที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) กระทั่งสอบไล่ได้บาเชอลิเอร์ (Bachelier en Droit) และสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น ลิซองซิเอ กฎหมาย (Licencié en droit) จึงเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยปารีส ไม่เพียงสอบไล่ได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตของรัฐ (Docteur en droit) เท่านั้น แต่ยังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในทางเศรษฐกิจ (Diplŏme d’ Etude Superéures d’ Economie Politique)
การทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่ง กว่าจะฝ่าฟันมาได้ แต่นายปรีดีก็ทำสำเร็จ โดยเขียนคำอุทิศหรือกิติกรรมประกาศให้กับพ่อแม่และเลอเดอแกร์ (E.LADEKER) นักกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่รัฐบาลสยามเคยว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาศาลต่างประเทศกระทรวงยุติธรรม และเป็นอาจารย์คอยช่วยเหลือ นายปรีดี เสมอมา
ในวิทยานิพนธ์ของ นายปรีดี มุ่งเน้นความสนใจในรายละเอียดของกฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทพาณิชย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง สืบเนื่องจากวิถีทางเศรษฐกิจของโลกกำลังพัฒนาไปมากนับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา หุ้นส่วนบริษัทพาณิชย์จึงส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แม้วิทยานิพนธ์ของ นายปรีดี จะศึกษากฎหมายฝรั่งเศสที่กำกับใช้และควบคุมหุ้นส่วนบริษัทพาณิชย์ แต่กฎหมายนี้ก็ได้รับอิทธิพลมาจากกฎหมายโบราณอย่างกฎหมายโรมัน จึงจำเป็นจะต้องสืบสาวไปพิจารณากฎหมายเก่าด้วย อีกทั้ง นายปรีดี ยังตั้งคำถามอีกว่ากฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทพาณิชย์ที่ใช้กันในฝรั่งเศสนั้น สอดคล้องกับความต้องการของยุคสมัยหรือไม่
สำหรับกฎหมายข้อที่ นายปรีดี ให้สนใจเป็นพิเศษได้ถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศส มาตรา 1865 อนุมาตรา 8 ซึ่งระบุว่า “หุ้นส่วนบริษัทย่อมเลิกกันเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตายลง” และความที่กฎหมายข้างต้น มีรากฐานมาจากกฎหมายโรมัน นายปรีดี จึงต้องเอ่ยอ้างถึงนักกฎหมายโรมันหลายราย ดังที่ผมจะอธิบายต่อไปนี้

อัลเปียน (Ulpian)
นักกฎหมายโรมันคนแรกที่ นายปรีดี กล่าวถึงคือ อัลเปียน (Ulpian) หรือ โดมิชิอุส อุลปิอานุส (Domitius Ulpianus) ผู้เป็นปราชญ์สมัยโรมันยุคคลาสสิคและมีชีวิตอยู่ประมาณปี ค.ศ. 170 – 228 ถิ่นกำเนิดของเขาคือเมืองไทร์ (Tyre) ซึ่งยุคนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน แต่ปัจจุบันเป็นพื้นที่่หนึ่งในประเทศเลบานอน
อัลเปียน ย้ายไปยังกรุงโรมอันเป็นที่ซึ่งเขาได้ครองบทบาททางการเมืองหลายตำแหน่ง อีกทั้งยังเคยผ่านมรสุมทางการเมือง จนถูกเนรเทศออกจากกรุงโรมแต่เขาก็สามารถกลับมาครองบทบาทสำคัญได้อีกครั้งดังในรัชสมัยของจักรพรรดิ มาร์คุส เอาเรลิลุส เซซารูส อเล็กซานเดอร์ (M. Aurelius Severus Alexander) เขามีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชากองพันรักษาพระองค์เลยทีเดียว ทั้งยังมีวิลล่าหรูหราไว้สำหรับพำนักพักพิง แต่นั่นก็เป็นช่วงบั้นปลายของชีวิต เพราะต่อมา อัลเปียน ต้องเผชิญจุดจบด้วยการถูกทหารของตนเองสังหารในระหว่างเหตุการณ์จลาจลเมื่อปี ค.ศ. 228
ส่วนความสามารถทางด้านกฎหมายอันเฉียบแหลม อัลเปียน ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลทั้ง 5 คนแห่งจักรวรรดิโรมันในยุคนั้นอันประกอบไปด้วย อัลเปียน , ปาปินิอานุส, ไกยุส, เปาลุส และ โมเดสติน
ความที่ อัลเปียน เป็นนักกฎหมายผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของจักรพรรดิ เขาจึงผลักดันให้เกิดแนวความคิดทางกฎหมายดังสุภาษิตโรมันที่กล่าวว่า “quod principi placuit legis habet vigorem” หรือ “สิ่งที่องค์จักรพรรดิทรงตราขึ้น ย่อมมีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติ”
อย่างไรก็ดี แนวคิดที่ทรงพลังของ อัลเปียน คือแนวคิดว่าด้วยสิทธิเป็นเรื่องของกฎหมายเอกชน แม้เดิมทีในประวัติศาสตร์กฎหมายโรมันจะมีการแบ่งแยกกฎหมายออกเป็นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนแล้วก็ตาม แต่ อัลเปียน คือผู้บ่งชี้ให้ชัดเจนว่า “กฎหมายใดเกี่ยวข้องกับกิจการส่วนรวมของโรมันกฎหมายนั้นเป็นกฎหมายมหาชน กฎหมายใดเกี่ยวข้องกับกิจการของเอกชนคนหนึ่งคนให้แล้ว กฎหมายนั้นเป็นกฎหมายเอกชน” (publicum ius est guod ad statum rei Romanae spectut, privatum guof ad singulorum utiltaem)
อัลเปียน สร้างผลงานทางด้านกฎหมายเอาไว้มากมาย คำอธิบายของเขาโดดเด่น และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล คำกล่าวหนึ่งของ อัลเปียน ที่ทำให้เขาได้รับการจดจำจนกลายเป็นอมตะบุคคล ถึงจะได้แก่ถ้อยคำที่ว่า "Juris praecepta sunt haec: honeste vivere, alterum non laedere, suum cuique tribuere” หรือ “หลักพื้นฐานของกฎหมายคือ การใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ ไม่ทำร้ายผู้อื่น ให้แต่ละคนเป็นของตนเอง”
ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ นายปรีดี ได้กล่าวถึงแนวคิดของ อัลเปียน ที่กล่าวไว้ว่า “หุ้นส่วนบริษัทย่อมเลิกกันด้วยเหตุที่เกี่ยวแก่ตัวบุคคลของผู้เป็นหุ้นส่วน”

โมเดสติน (Modestin)
นักกฎหมายโรมันอีกคนที่ นายปรีดี กล่าวพาดพิงถึงคือ โมเดสติน (Modestin) หรือ เฮเรนนิอุส โมเดสตินัส (Herennius Modestinus) เขาหนึ่งในห้านักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลแห่งจักรวรรดิโรมันเช่นกัน ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของ อัลเปียน
โมเดสติน เป็นชาวพื้นเมืองในเมืองที่พูดภาษากรีกทางภาคตะวันออกของจักรวรรดิโรมัน กระนั้น โมเดสติน ถือเป็นนักกฎหมายคนสุดท้ายในยุคคลาสสิกของกฎหมายโรมัน และก็เป็นนักกฎหมายโรมันคนเดียวที่งานของเขาบางส่วนเป็นภาษากรีก ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ นายปรีดี ได้กล่าวถึงงานของ โมเดสติน ที่กล่าวไว้ว่า “ผู้เป็นหุ้นส่วนเลิกจากกันเนื่องจากตาย”
นายปรีดี ยังกล่าวถึงนักกฎหมายโรมันอีกคนนามว่า ปอล (Pual) ซึ่งกล่าวไว้ว่า หุ้นส่วนบริษัทเลิกจากกันเนื่องจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตาย ถึงแม้ว่าสัญญาเข้าหุ้นส่วนเกิดจากความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน และถึงแม้ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหลายคนยังมีชีวิตอยู่
นายปรีดี ยังกล่าวอีกถึงกฎที่ว่า “หุ้นส่วนบริษัทย่อมเลิกกันเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตายลง” ในฐานะเป็นข้อยกเว้นต่อหลักการที่ว่าคนเราทำสัญญากันก็เพื่อตัวเองและทายาท ซึ่งในตามประมวลกฎหมายจัสติเนียนอันเป็นกฎหมายของโรมันที่ จักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) มีพระราชโองการให้รวบรวมและเผยแพร่ตั้งแต่ ค.ศ. 529 ถึง ค.ศ. 534 มีลักษณะประชุมกฎหมายแพ่งนั้น ได้ให้เหตุผลของข้อยกเว้นว่า “เพราะหุ้นส่วนบริษัทเป็นสัญญาซึ่งกระทำระหว่างบุคคลบางคนซึ่งเลือกเฟ้นที่จะเป็นหุ้นส่วน”
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากที่กรุงโรม คุณสมบัติของบุคคลถือเป็นมูลเหตุจูงใจหลักในการที่ผู้เป็นหุ้นส่วนจะมารวมกันเป็นหุ้นส่วนบริษัท เพราะเมื่อชาวโรมันมีความประสงค์ที่จะร่วมหุ้นกัน ก็จะยึดถือมิตรภาพความไว้วางใจซึ่งกันและกัน หรือคุณสมบัติส่วนบุคคลอื่นๆในลักษณะนี้เป็นพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้ จึงสมควรแล้วที่หุ้นส่วนบริษัทจะเลิกกันเนื่องจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดตายลง
อย่างไรก็ดี นายปรีดี มองว่ากฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทของฝรั่งเศสนั้น มีความแตกต่างจากกฎหมายโรมัน เพราะกฎหมายฝรั่งเศสยุคนั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
- เป็นหุ้นส่วนบริษัทในทางแพ่ง
- หุ้นส่วนบริษัทในทางพาณิชย์
หุ้นส่วนบริษัทในทางแพ่ง มีลักษณะตรงกับหุ้นส่วนบริษัทในกฎหมายโรมัน เนื่องจากถือหลักคุณสมบัติของบุคคลเป็นสำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งหุ้นส่วนบริษัทในทางแพ่งเรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า “Sociétés de Personnes” โดยตามหลักแล้วหุ้นนี้ไม่สามารถสละหรือโอนได้ เนื่องจากเราไม่สามารถเปลี่ยนตัวบุคคลผุ้เป็นหุ้นส่วนได้โดยที่การกระทำเช่นนี้ไม่มีผลต่อสัญญาเข้าหุ้นส่วนบริษัท
ความที่ประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศสมีรากฐานมาจากหลักกฎหมายโรมัน จึงไม่แปลกที่ นายปรีดี จะกล่าวถึงนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสผู้นำหลักกฎหมายโรมันมาใส่ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง นั่นคือ โรแบรต์ โจเซฟ โปติเยร์ (Robert Joseph Pothier)

โรแบรต์ โจเซฟ โปติเยร์ (Robert Joseph Pothier)
ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ได้รับอิทธิพลมาจากกฎหมายจัสติเนียนของโรมัน ซึ่ง โปติเยร์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อตัวบท อย่างไรก็ดี ในการร่างประมวลกฎหมายฝรั่งเศสได้มีความพยายามที่จะตัดทอนหลักกฎหมายเดิมและแทนที่หลักกฎหมายใหม่โดยเรียบเรียงเนื้อหาในตัวบทเน้นการใช้ภาษาสั้นกระชับเข้าใจง่าย สมผสานแนวคิดกฎหมายโรมันเข้ากับกฎหมายจารีตดั้งเดิมของฝรั่งเศสอย่างลงตัว และแสดงถึงหลักเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ อันเป็นเจตนารมณ์มาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส
โปติเยร์ ยังมีบทบาทในการร่างประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายลักษณะหนี้และสัญญา จึงกล่าวได้ว่ากฎหมายแพ่งของฝรั่งเศสตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางความคิดของเขา
นโปเลียน เป็นบุคคลหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส แม้เขาจะไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ก็เล็งเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งเป็นหนทางที่ทำให้เจตนารมณ์แห่งการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายสำคัญทางการเมืองดังที่เขาตั้งใจไว้ และกล่าวว่า
“ชัยชนะซึ่งข้าพเจ้าได้มีเหนือการศึกสงคราม 40 ครั้งนั้น มิใช่เกียรติศักดิ์ อันแท้จริงของข้าพเจ้า . . . เพราะเหตุว่า ยุทธการวอเตอร์ลูเพียงครั้งเดียวได้ลบล้างชัยชำนะทั้งหลายของข้าพเจ้าจนหมดสิ้น . . . แต่ทว่าสิ่งซึ่งจะคงอยู่ชั่วดินฟ้าไม่มีอะไรมาลบล้างได้นั้นก็คือ ประมวลกฎหมายแพ่งของข้าพเจ้า . . .”
นายปรีดี เคยกล่าวถึงไว้ในบทความของเขา ขณะที่รับราชการที่โรงเรียนกฎหมายเช่นกัน
โปติเยร์ มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดของผู้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อ นายปรีดี จะศึกษาถึงข้อกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเอ่ยถึงนักกฎหมายฝรั่งเศสผู้นี้ด้วย
จะเห็นว่า วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง Do sort des Sociétés de Personnes en cas des Décès d’un Associé (Etude de droit français et de droit comparé) ของ นายปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวถึงนักกฎหมายคนสำคัญของโลกตะวันตก โดยเฉพาะนักกฎหมายโรมัน
ดังนั้น การเพียรพยายามอ่านงานชิ้นนี้ของ นายปรีดี จึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ทางด้านกฎหมายให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ :
คงอักขรและการสะกดตามหลักฐานชั้นต้น และต้นฉบับของนักเขียน
เอกสารอ้างอิง:
- ประชุม โฉมฉาย.หลักกฎหมายโรมันเบื้องต้น.กรุงเทพฯ : คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2555.
- BANOMYONG, Pridi. Do sort des Sociétés de Personnes en cas des Décès d’un Associé (Etude de droit français et de droit comparé). Paris: Librairie de Jurisprudence Ancienne et moderne, 1927.
- Stein, Peter. Roman Law in European History. The United Kingdom: Cambridge University Press, 1999.