ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

PRIDI Interview:  พยานประวัติศาสตร์: กรณีสวรรคตและผลกระทบต่อครอบครัว ชิต-ชูเชื้อ สิงหเสนี

9
มิถุนายน
2568

 


วรรษธาร กิตติภิญโญ กังวาฬ พุทธิวนิช  และ สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

 

"ประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่วิชาหรือทฤษฎี แต่มันคือความรู้สึกของคนจริง ๆ"

— คำให้การจากทายาทรุ่นหลานของครอบครัว ชิต-ชูเชื้อ  สิงหเสนี

 

เป็นเวลากว่า 79 ปีแล้วที่กรณีสวรรคตในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ได้อุบัติขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ซึ่งความจริงยังไม่ได้ปรากฏกระจ่างชัดแต่อย่างใด หากแต่มีผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้อย่างกว้างขวาง ไปจนถึงการใช้เหตุการณ์นี้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ดังที่เห็นได้ชัดเจนคือการรัฐประหาร 8 พฤษจิกายน 2490 และการประหารชีวิตจำเลยในกรณีนี้ทั้ง 3 คือชิต สิงหเสนี บุศย์ ปัทมศริน และเฉลียว ปทุมรส ที่สุพจน์ ด่านตระกูลเรียกว่า “สามจำเลย...ผู้บริสุทธิ์”

เหตุการณ์ในคราวนั้นจึงสร้างบาดแผลกับครอบครัวผู้ประสบกับความอยุติธรรมอย่างลึกซึ้ง ในวาระนี้ กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ จึงขอถ่ายทอดเรื่องราวจาก “พยานประวัติศาสตร์” ด้วยการพูดคุยกับทายาทรุ่นหลานของ คุณตาชิต คุณยายหนู ชูเชื้อ สิงหเสนี ได้แก่ สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ และ วรรษธาร กิตติภิญโญ (ซึ่งต่อจากนี้จะใช้ชื่อว่าคุณอิ๋งและคุณอ้อม) ถึงเรื่องราวตั้งแต่ความเป็นมาของครอบครัว จุดพลิกผันจากกรณีสวรรคต เรื่องในบ้าน ความทรงจำ และเหตุการณ์ที่คนในครอบครัวได้รับจากกรณีนี้

 


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8

 


ชิต สิงหเสนี
ที่มา: อนุสรณ์งานศพ ชิต สิงหเสนี ณ เมรุวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส

 

ตระกูลสิงหเสนี: จากพราหมณ์ข้ามทะเลสู่ราชสำนักสยาม

“(สกุล) สิงหเสนีรับใช้พระราชบัลลังก์และแผ่นดินมาตั้งแต่พระเจ้าปราสาททอง เป็นพราหมณ์ที่เข้ามาจากอินเดียชื่อ “พราหมณ์ศิริวัฒนา” สมัยนั้นถ้าเป็นพรามณ์ข้ามทะเลมาก็ไม่สามารถกลับได้ หรือกลับไปก็จะกลายเป็นคนนอก (outcast) เพราะว่าพราหมณ์เขาห้ามข้ามมหาสมุทร หรือน้ำเค็ม”

คุณอิ๋งเริ่มเปิดฉากเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยเริ่มจากการไล่เรียงความเป็นมาของสายสกุลนายชิต

สายสกุล “สิงหเสนี” มีรากเหง้ามาจากพราหมณ์อินเดียชื่อ “ศิริวัฒนา” ซึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาเข้าสู่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเจ้าปราสาททอง ด้วยบทบาทพราหมณ์หลวงผู้ประกอบพระราชพิธี ก่อนที่ลูกหลานในหลายรุ่นต่อมาจะรับราชการในฝ่ายการทหารและการทูต มีบทบาทเคียงข้างพระมหากษัตริย์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทย เช่น

เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ในสงครามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ และมีบทบาทสำคัญในสงครามญวน-สยาม

 


เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม

 

พระยาอนุชิตชาญไชย (สาย สิงหเสนี) อดีตองคมนตรี รัฐมนตรี และสมุหพระตำรวจในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้เป็นบิดาของ พระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) และ นายชิต สิงหเสนี

 


พระตำรวจเอก นายพลตรี พระยาอนุชิตชาญไชย (สาย สิงหเสนี) บิดาของ นายชิต สิงหเสนี
ที่มา: อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายสมุน สิงหเสนี ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2518

 

พระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อดีตอัครราชทูตประจำ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม และอดีตอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมรสกับคุณหญิงเนื่อง ผู้ให้การอุปการะครอบครัวของนายชิต สิงหเสนีในเวลาต่อมา

 


พระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี)
ที่มา: National Photo Company Collection - Library of Congress

 

นอกจากนี้พระองค์หนึ่งซึ่งถือเป็นเขยของสกุลสิงหเสนีจากการสมรสกับ  หม่อมเสมอ บุตรีของพระยาบุรีวราษฐ์ กับ คุณหญิงเนื่อง คือ

พันโท หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (ท่านชิ้น) ข้าราชการทหารผู้ใกล้ชิดนายปรีดี พนมยงค์ มีบทบาทสำคัญในขบวนการเสรีไทย และเป็นหนึ่งในพยานร่วมยุคเหตุการณ์สวรรคต ร.8 ที่ได้รับการบันทึกอยู๋ในส่วนหนึ่งของ “จดหมายร้อยหน้า” 

 


หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน ทหารหนุ่มที่ลพบุรี

 

ชิต สิงหเสนี: จากมหาดเล็กผู้จงรักภักดี สู่จำเลยกรณีสวรรคต

 


ชิต สิงหเสนี
ที่มา: 101world

 

จากที่ได้เรียงคนสำคัญไปของสายสกุลสิงหเสนีไปแล้ว คุณอิ๋งได้ยังได้อธิบายถึงความเป็นมาของ “คุณตาชิต” ของเธอ โดยเธอเล่าว่า

“คุณตาชิต สิงหเสนี เป็นสายลูกเมียน้อยของคุณพ่อของยายดิฉัน พระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) ซึ่งเป็นพี่ชายคนละแม่ของตาชิต”

ซึ่งคุณอิ๋งได้เน้นย้ำถึงการใช้คำว่า “เมียหลวง-เมียน้อย” ว่าไม่ควรไปเทียบกับเรื่องราวในละครน้ำเน่าเมียน้อยเมียหลวงทะเลาะกัน ซึ่งสังคมไทยเดิมจริง ๆ สายเมียหลวงต้องดูแลสายเมียน้อย แสดงถึงความเป็นสังคม “ผัวเดียวหลายเมีย”  (polygamy) และการอุปถัมภ์ในระบบเครือญาติในอดีตของไทย ซึ่งคุณอิ๋งอธิบายต่อว่าสายต่าง ๆ ของคนในสกุลสิงหเสนีในสาแหรกของเธอมีแบบแผนการรับราชการ ดังนี้

“สายเมียหลวงสิงหเสนีก็จะเป็นนักการทูตหรือทหาร เช่น กรมพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นต้น ได้รับใช้ราชบัลลังก์มาตลอด ส่วนสายเมียน้อยก็จะเป็นมหาดเล็ก เช่น คุณชิต สิงหเสนี เป็นต้น”

 


ชิต สิงหเสนี ในชุดมหาดเล็ก
ที่มา: 101world

 

แต่สุดท้ายเส้นทางชีวิตของคุณตาชิต สิงหเสนี ก็ต้องสะดุดหยุดลง เมื่อเกิดกรณีสวรรคตในรัชกาลที่ 8 ขึ้น และเขาเองก็ตกเป็นหนึ่งในจำเลยอย่างไม่เป็นธรรมในกรณีนี้ ซึ่งภาระอันหนักอึ้งก็ถูกส่งต่อมาสู่ภรรยา และครอบครัว ดังที่คุณอิ๋งจะได้เล่าต่อไป

 

“ยายหนู” ชูเชื้อ สิงหเสนี ภรรยาหม้ายของนายชิต

 


“ยายหนู” ชูเชื้อ สิงหเสนี, คุณตาชิต สิงหเสนี และครอบครัว
ที่มา: 101world

 

"เราต้องทนอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้มาตลอด แม้แต่ในโรงเรียน เรายังเห็นชื่อคุณตาชิตอยู่บนกระดานดำ แล้วตัวเราก็ชาไปหมด" คุณอิ๋งกล่าว เธอคือลูกหลานใกล้ชิดที่เติบโตมาในครอบครัวที่ถูกตีตรา ถูกสงสัย และถูกสังคมตัดสินจากคดีที่ไม่เคยได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง

กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ถูกใช้ในทางการเมือง และทำลายครอบครัวหลายครอบครัว หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของคุณชูเชื้อ สิงหเสนี ภรรยาของตาชิต หรือ "ยายหนู" ตามที่คุณอิ๋งเรียกด้วยความรัก ยายหนูต้องเลี้ยงดูลูกทั้ง 7 คนเพียงลำพัง ภายหลังสามีถูกประหารชีวิต

 


ภาพเขียน “ยายหนู” โดย "อิ๋ง" สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์
ที่มา: อนุสรณ์งานศพ นางชูเชื้อ (วลี) สิงหเสนี

 

หลังเหตุการณ์ปี 2489 ญาติหลายคนไม่กล้ารับคุณชูเชื้อเข้าบ้าน คุณหญิงเนื่อง สิงหเสนี จึงรับเธอไว้และให้มาอยู่ที่บ้านสุขุมวิท ขณะที่หม่อมเสมอ สวัสดิวัตน ก็ให้คุณชูเชื้อทำงานเป็นเลขาฯ ส่วนตัว ทำให้เธอมีรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัวคือลูก ๆ ทั้ง 7 คน คุณอิ๋งยังยังได้เล่าเรื่องราวของลูกสาวนายชิต สิงหเสนีคือ “พี่แมว” ที่ต้องทนกับความชอกช้ำกับบาดแผลในอดีตนี้

 


หม่อมเสมอ สวัสดิวัฒน​ และ ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน
ที่มา: 101world

 

"วันเผาพี่แมว พี่คนโตที่ทำงานสถานทูต ยิงตัวตาย เพราะถูกตราหน้าว่าพ่อเป็นคนฆ่าในหลวง ….ยายหนูร้องไห้แทบกระโจนเข้ากองเพลิง ร้องไห้จนตัวสั่น กระแทกหน้าเข้ากับเชิงตะกอน" คุณสมานรัชฎ์เล่าถึงบาดแผลที่ไม่เคยสมานในครอบครัว

คุณวรรษธาร กิตติภิญโญ หรือ คุณอ้อม ผู้เป็นหลานตา-ยาย สายตรงก็ได้รับรู้ความเจ็บปวดนี้เช่นกัน โดยเธอเล่าความเป็นไปของครอบครัวเธอหลังการประหารชีวิต และอนาคตของการรื้อฟื้นคดีนี้ว่า

“คุณชูเชื้อ สิงหเสนี มีลูก 7 คน แต่งงานคนเดียว จากการไปเจอพ่อ เพราะว่าพ่อรับใช้ท่านชิ้น (พันโท หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน) อยู่ที่สวนเสมา การรื้อฟื้นคดีดีกว่าไม่ได้ทำ ผลสุดท้ายออกมาอย่างไรแต่อย่างน้อยขอให้เราได้ทำ ตอนนี้มีรุ่นหลานแล้ว เราจะให้เขาอยู่กับประวัติศาสตร์อันนี้ต่อไปหรือ อย่างน้อยในอนาคตถ้าหลานเราได้รู้ว่า ป้าเขาได้เคยพยายามต่อสู้ในเรื่องนี้”

 


ร่างผู้ต้องโทษประหารชีวิตถูกขนย้ายออกจากเรือนจำ

 

“เมื่อเกิดเรื่องกรณีสวรรคต รัชกาลที่ 8  คุณเชื้อไปหาญาติคนไหนเขาก็ไล่ จนได้คุณหญิงเนื่อง เมตตาให้มาอยู่ที่บ้านสุขุมวิท ถ้าไม่มีคุณหญิงเนื่องเราก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน และหม่อมเสมอ ก็ให้คุณชูเชื้อทำงานกับท่าน เป็นเหมือนเลขาของหม่อมเสมอ จึงมีรายได้มาเลี้ยงดูลูก”

“(คุณชูเชื้อ) คงไม่อยากให้ลูกหลานมาฝังใจกับความรู้ที่เขารับไว้ ทุกวันนี้แม่ติดเตียงแต่เวลาบอกว่าวันนี้อ้อมมีคุยกับพี่กังวาฬ (พุทธิวนิช)  หรือพี่อิ๋ง เขาจะร้องไห้ ซึ่งเขาถูกเจาะคอไม่สามารถพูดได้ แต่เขารับรู้ทุกอย่างที่เวลาไปเล่าให้ฟัง”

 


นางชูเชื้อ สิงหเสนี ภรรยา และบุตรสาวของนายชิต สิงหเสนี
เมื่อทราบข่าวว่านายชิต สิงหเสนีถูกประหารชีวิตไปแล้ว

 

“การใส่ความคุณชิต คุณชูเชื้อก็รู้สึก รวมถึงป้าหมอด ป้ามด หรือแม่ก็รู้สึกกันหมด แต่ว่าเราอยู่ในสถานะที่เราพูดได้เหรอ เราอะไรได้หรือ เมื่อ พ.ศ. 2521 จะเผาคุณตาชิต มีตำรวจสันติบาลเต็มวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร) ตอนนั้นยายหนูและพ่อ ไปเอาโลงออกมาจากโกดัง ซึ่งตอนนั้นมีแต่เสียงกระดูกอยู่ในโลง ก็จะเอามาสวดที่ศาลา สันติบาลตำรวจเต็มวัดไปหมดเลย วันเผาตำรวจก็เต็มวัดไปหมดเลย หรือจะแจกหนังสืออะไรสันติบาลก็เข้ามาดู”

 


อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นายชิต สิงหเสนี ณ เมรุวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กรุงเทพมหานคร วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2521
ที่มา: หนังสืออนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นายชิต สิงหเสนี

 

ยายหนูก็คิดอยู่ว่าจะเผาหรือไม่เผาดี ถ้าไม่เผาแล้วจะเก็บไปเรื่อย ๆ เหรอ ก็(เผา)ให้จบไป”

คุณอ้อมเล่าประวัติศาสตร์ในบ้านด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

“พยานประวัติศาสตร์” กับการรื้อฟื้นคดีเพื่อความเป็นธรรม

ในช่วงท้ายคุณอิ๋งได้กล่าวถึงการมีหน้าที่เป็น “พยานประวัติศาสตร์” และการรื้อฟื้นคดีสวรรคตร่วมกับคุณกังวาฬ พุทธิวนิช ความว่า

 


‘CSI กรณีสวรรคต’ ตราบาปแห่งอยุติธรรมที่ต้องชำระล้างจากแผ่นดินไทย ภาพยนตร์โดย อิ๋ง กาญจนะวณิชย์ จากการบรรยายเชิงนิติวิทยาศาสตร์ของ กังวาฬ พุทธิวนิช

 

“จุดเริ่มต้นมาจากตอนแรกที่ไปฟังเลคเชอร์ของคุณกังวาฬ ที่บ้านอาจารย์ท่านหนึ่งที่ฝั่งธนบุรี แล้วก็ตรงกับที่เราคิด เหมือนตอนที่คุยกับอาจารย์ศุขปรีดา พนมยงค์ พูดถึงการเป็นพยานประวัติศาสตร์ เรื่องทูตทหารเรือ กัปตันเดนนิส ที่พาอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ลี้ภัยจากสถานทูตอังกฤษ เพราะฉะนั้น เราจึงล้อมรอบด้วยผู้ที่ยืนกรานต่อข้อเท็จจริง เช่น ท่านชิ้น แต่ท่านก็ถูกกล่าวหาสารพัด เป็น การเป็นพยานประวัติศาสตร์จะต้องรับผลกระทบเยอะ เพราะว่าผู้ที่เราต้องการจะเขียนประวัติศาสตร์คนเดียว”

 


นายปรีดี ขณะลี้ภัยไปสิงคโปร์ (พ.ศ. 2490)

 

ในส่วนนี้หากให้ขยายความเรื่องผลกระทบต่อนายปรีดี พนมยงค์ในการลี้ภัยการเมือง นายปรีดีได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เผชิญร่วมกับนาวาเอก สแตรทฟอร์ด เดนิส ความว่า

 

“ข้าพเจ้าพร้อมด้วยเพื่อน ได้ไปพบนาวาเอก สแตรทฟอร์ด เดนิส ซึ่งเคยร่วมต่อสู้ระหว่างสงครามภายใต้การนำของลอร์ด เมานท์แบทเตน และขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ เพื่อขอให้ติดต่อกับทูตอังกฤษ แจ้งให้ทราบถึงความประสงค์ของข้าพเจ้าในการเดินทางไปสิงคโปร์ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง นาวาเอก เดนิส และนาวาเอก การ์เดส ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรืออเมริกัน ได้ช่วยกันนำข้าพเจ้าออกจากท่าเรือกรุงเทพฯ จนกระทั่งออกไปยังทะเลลึกโดยเรือยนต์ของการ์เดส ซึ่งนำโดยการ์เดสเองพร้อมด้วยภรรยาและน้องภรรยา ต่อมาเราก็ลงเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์ กัปตันเรือบรรทุกน้ำมันและเจ้าหน้าที่ประจำเรือได้ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น และอำนวยความสะดวกอย่างดียิ่ง”

-ปรีดี พนมยงค์ จากหนังสือ  ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน

 

จึงทำให้เห็นว่า กรณีสวรรคตถูกทำให้เป็นเรื่องการเมือง และทำให้หลายคนพลอยได้รับผลกระทบอย่างไม่ยุติธรรมดังที่คุณอิ๋งยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า

“(จึง)จะต้องสร้างเรื่องให้สังคมเชื่อขึ้นมา หลักฐานที่เข้าใจง่ายอีกเรื่อง คือ ท่านชิ้นเป็นทูตสหประชาชาติของอาจารย์ปรีดีหลังสงคราม ตอนนั้นอยู่ที่ทะเลสาบ success ยังไม่มีตึกสหประชาชาติกลางนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อไปอ่านบันทึกท่านและดูจดหมายของท่านเขียนถึงภรรยาว่า เขาตื่นเต้นกันอย่างไร พูดถึงอาจารย์ปรีดีอย่างไร และเขาคุยกันอะไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น กรณีสวรรคต รัชกาลที่ 8 ก่อนหน้านั้นไม่ได้เป็นประเด็น และไม่มีความสงสัยทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นอุบัติเหตุกับเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้น คุณชิตก็ก็บอกจะให้ฉันพูดยังไง ก็ไม่มีใครเข้าไปจริง ๆ จะให้โกหกหรืออย่างไร”

สุดท้ายคุณสมานรัชฎ์ย้ำว่า กรณีสวรรคตไม่ใช่แค่ประเด็นทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็น “คำสาป” ที่ยังครอบงำสังคมไทยอยู่จนทุกวันนี้ "มันไม่ใช่แค่คุณตาชิต หรืออาจารย์ปรีดี แต่มันทำให้คนดี ๆ ที่เคยเป็นเสรีไทย ไม่กล้ากลับมาทำงานให้บ้านเมืองอีกเลย"

เธอกล่าวทิ้งท้ายด้วยความหนักแน่นว่า  “แล้วถ้าเรายังไม่พูดถึงความจริง หรือยังไม่แก้ไขคำสาป ก็จะไม่พ้นจากวังวนนี้”

 


“ยายหนู” ชูเชื้อ สิงหเสนี
ที่มา: อนุสรณ์งานศพ นางชูเชื้อ (วลี) สิงหเสนี