หนังสือ “โมฆสงคราม : 80 ปี สันติภาพไทย ยุทธศาสตร์เอกราช สันติภาพเชิงรุก และบทเรียนเพื่ออนาคต” จัดพิมพ์ครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปี เนื่องในวาระครบรอบ 80 ปี วันสันติภาพไทย
คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าวันที่ 16 สิงหาคม มีความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงเรียกว่าเป็นวันสันติภาพไทย เหตุที่วันสันติภาพถูกกลบให้ลบเลือนเช่นนี้ คงมีหลายเหตุผล เหตุผลหนึ่งก็คือ วันสำคัญนี้แสดงถึงบทบาทของรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ ที่ได้ช่วยกอบกู้ประเทศไทยไม่ให้อยู่ในฐานะผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ที่ไม่ชอบอาจารย์ปรีดีคงมีหลายกลุ่ม เช่น
1) กลุ่มที่ชอบระบอบกษัตริย์ เลยพลอยไม่ชอบอาจารย์ปรีดีซึ่งเป็นผู้นำที่คงเส้นคงวาในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
2) กลุ่มทหารที่เป็นส่วนหนึ่งของคณะราษฎร ที่ถูกลดทอนบทบาทเมื่อฝ่ายอักษะแพ้สงคราม และต่อมาได้ฟื้นคืนอำนาจโดยโค่นล้มฝ่ายอาจารย์ปรีดี ด้วยการรัฐประหารปี 2490
3) กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เล่นการเมืองโดยเริ่มด้วยการใส่ร้ายอาจารย์ปรีดีในกรณีสวรรคต และสร้างความบาดหมางทางการเมืองต่อเนื่องมาจนบัดนี้
ในวันที่ 16 สิงหาคม 2568 สถาบันปรีดีฯ ได้จัดให้มีการอภิปรายที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อรำลึกถึงการประกาศสันติภาพเมื่อ 80 ปีก่อน ซึ่งมีผลทำให้การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาของรัฐบาลไทยก่อนหน้านั้นเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันต่อประชาชนชาวไทย ผมไปในงานที่จัดโดยสถาบันปรีดีฯ ดังกล่าว และได้รับหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง มีชื่อว่า “โมฆสงคราม : 80 ปี สันติภาพไทย ยุทธศาสตร์เอกราช สันติภาพเชิงรุก และบทเรียนเพื่ออนาคต” ซึ่งจะขอนำมาอ้างอิงต่อไปในการเขียนบทความนี้
หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2558 ในชื่อ “เสรีไทยกับโมฆสงคราม” ก่อนที่จะนำมาตีพิมพ์ครั้งที่สองในปีนี้ ในบทบรรณาธิการเมื่อตีพิมพ์ครั้งแรก สันติสุข โสภณสิริ เขียนว่า ทัศนะต่อการประกาศให้สงครามเป็นโมฆะ มีอยู่อย่างน้อยสามทัศนะคือ
1) ทัศนะของฝ่ายที่เห็นด้วยกับอาจารย์ปรีดีว่า การประกาศสันติภาพที่กระทำในพระปรมาภิไธย มีผลในทางประวัติศาสตร์ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ช่วยให้ประเทศไทยไม่ตกเป็นผู้แพ้สงครามเหมือนประเทศอักษะอื่น ๆ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี
2) ทัศนะของฝ่ายนิยมทหารที่เห็นใจฝ่ายจอมพล ป. และพยายามด้อยค่าปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทย ตลอดจนการประกาศสันติภาพ โดยให้เหตุผลว่า ปฏิบัติการดังกล่าวไม่มีผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานภาพของไทยในสายตาของสัมพันธมิตร เพราะสหรัฐอเมริกาและจีนถือว่าไทยถูกญี่ปุ่นยึดครองจึงไม่เป็นคู่สงคราม ส่วนอังกฤษถือว่าการประกาศสงครามสมบูรณ์แล้ว เป็นโมฆะไม่ได้ ทำได้เพียงผ่อนผัน
3) กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เห็นโอกาสลงเล่นการเมือง และเห็นฝ่ายนิยมปรีดีเป็นคู่แข่งขัน แม้หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ที่เป็นผู้นำเสรีไทยสายอเมริกา ก็อดแขวะไม่ได้ โดยพูดว่า “ฝรั่งมันก็หัวเราะเอา โมฆะอะไร ไอ้ดัทช์คนหนึ่งมันถูกเอาไปขัง ... เหลือแต่กระดูก ... มันบอกว่า แล้วยังไงละ โมฆะแล้วเนื้อผมได้คืนไหม”
บทที่ 1 ของหนังสือ “โมฆสงคราม” กล่าวถึง “นโยบายสันติภาพของรัฐบาลซึ่งนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี” ในสมัยนั้น อาจารย์ปรีดีได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งประกาศคำขวัญว่า “สยามต้องการเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับชาติอื่นใด” โดยอ้างหลักธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งตรงกับศาสนาคริสต์ด้วยว่า “อย่าทำแก่ผู้อื่นในสิ่งที่ตนไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำแก่ตน” เมื่อเราไม่ประสงค์ให้ชาติอื่นรุกรานก็ไม่รุกรานชาติอื่น เมื่อเราไม่ประสงค์ให้ชาติอื่นแทรกแซงในกิจการภายใน เราก็ไม่แทรกแซงในกิจการภายในของชาติอื่น วิเทโศบายนี้สำเร็จได้ด้วยการรักษาดุลแห่งอำนาจระหว่างประเทศไว้ โดยไม่ลำเอียงหนักไปทางชาติหนึ่งชาติใด
บทที่ 2 ของหนังสือกล่าวถึง “นโยบายสันติภาพระหว่าง 3 เดือนแรกของรัฐบาลที่หลวงพิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี” ในเดือนธันวาคม 2481 ว่ารัฐบาลยังคงซื่อสัตย์ต่ออุดมคติที่คณะราษฎรได้ตกลงกันมา อาทิ หลวงพิบูลยังคงยศนายพันเอก เพราะเห็นว่าประเทศไทยควรมีทหารเพียงเท่าที่จะป้องกันรักษาเขตแดนของเรา โดยไม่มีความประสงค์แผ่อาณาเขตด้วยการรุกราน แต่มีผู้หนุนหลังหลวงพิบูลฯ ว่า ถ้าตรึงยศไว้เป็นเพียงพันเอกอย่างพระยาพหลฯ นายทหารชั้นรองลงไปก็จะต้องติดตันอยู่ในยศที่ต่ำกว่า หลวงพิบูลฯ “เสียแค่นไม่ได้” จึงได้เป็นพลตรี (บรรณาธิการเขียนหมายเหตุว่า “เสียแค่นไม่ได้” หมายถึงทนการคะยั้นคะยอไม่ได้ - ผู้เขียน)
ส่วนบทที่ 3 มีชื่อว่า “การหนุนให้หลวงพิบูลฯเอาอย่างฮิตเลอร์และให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย” และบทที่ 4 มีชื่อว่า “สงครามอินโดจีนโดยไม่มีประกาศสงคราม” เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2483 (ค.ศ. 1940) กองทัพเยอรมันยึดกรุงปารีสได้ รัฐบาลฝรั่งเศสลงนามในสัญญาสงบศึก ยอมให้เยอรมันยึดครองส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสย้ายไปอยู่ที่เมืองวิชี ในเอเชียอาคเนย์ ญี่ปุ่นควบคุมเมืองท่าและเมืองสำคัญหลายแห่งในอินโดจีน รัฐบาลไทยเรียกร้องให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนที่เป็นมณฑลบูรพาเดิม และดินแดนบางส่วนบริเวณฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ไทย แต่ฝรั่งเศสได้ตอบปฏิเสธ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2483 กองทัพไทยเปิดฉากการรบโดยรุกเข้าไปในดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศส ต่อมาญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย จึงมีการตกลงหยุดรบตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2484 และมีพิธีลงนามสงบศึกบนเรือรบญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2484
ต่อจากนั้น รัฐบาลไทยได้ลงนามในอนุสัญญาสันติภาพกับฝรั่งเศสที่กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2484 โดยไทยได้ดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวา จำปาศักดิ์ตรงข้ามปากเซ ศรีโสภณและพระตะบองจดฝั่งทะเลสาบ แต่เสียมราฐและนครวัดยังเป็นของฝรั่งเศส
ในบทที่ 5 “ภายหลังสงบศึกอินโดจีน” เสนาบดีสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองผู้หนึ่งเขียนชมเชยหลวงพิบูลฯ ว่า เป็นผู้กู้ชาติเสมอด้วยพระเจ้าตากสิน คณะผู้สำเร็จราชการฯ จึงเลื่อนยศหลวงพิบูลฯ จากนายพลตรีเป็นจอมพล โดยมีหลวงอดุลเดชจรัสรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่หลวงพิบูลฯ บอกว่าไม่ต้องการยศนั้น คณะผู้สำเร็จราชการฯ ได้นัดให้หลวงพิบูลฯ ไปรับคทาจอมพล ก็ไม่ยอมไป อีกหลายเดือนต่อมา พระองค์เจ้าอาทิตย์ ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการฯ จึงทรงให้คนนำคทาไปมอบให้เอง ต่อมาจอมพล ป. ได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และนอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมด้วย
ผมอยู่ในฝ่ายที่เห็นด้วยกับอาจารย์ปรีดี ผมเชื่อว่าอาจารย์ปรีดีอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในท่ามกลางความตึงเครียดก่อนเกิดสงครามโลกและความรุนแรงระหว่างสงคราม อาจารย์ปรีดีในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ปี 2482 – 2483 ได้เสนอทางเลือกสำหรับประเทศเล็กว่าควรวางตัวเป็นกลาง โดยได้ผลักดันให้มีกฎหมายว่าด้วยความเป็นกลางในปี 2482 นอกจากนี้ ยังได้เขียนนวนิยายเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อ “The King of the White Elephant” เพื่อเตือนให้ผู้คนตระหนักถึงมหาสงครามที่ใกล้เข้ามา
พระเอกของเรื่องคือพระเจ้าจักราผู้ต้องตัดสินใจว่าจะทำสงครามกับพระเจ้าหงสา ดี หรือยอมมอบช้างเผือกให้ตามที่ขอมา ดี พระเจ้าจักราเลือกทำสงครามที่จำกัดวงความรุนแรงเพื่อลดความสูญเสีย ตามคติที่ว่า “เรามิได้ต่อสู้กับประชาชน แต่เราต่อสู้กับการรุกราน” ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายได้สันติภาพกลับคืนมา หลังชัยชนะของพระเจ้าจักราในการทำยุทธหัตถี นวนิยายเรื่องนี้ต่อมาทำเป็นภาพยนตร์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เพื่อหวังให้ทันเผยแพร่ไปยังแวดวงระหว่างประเทศ และทันเสนอต่อผู้มีอำนาจในประเทศว่า สงครามกำลังมาเยือน และเราจำเป็นที่ต้องเลือกเส้นทางของเรา
ญี่ปุ่นได้ยาตราทัพเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2484 ขบวนการเสรีไทยจึงได้เริ่มก่อตัวขึ้นเพื่อเป็นหลักในการต่อสู้กับการรุกรานนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่สำคัญคือด้วยสันติวิธีหรือวิธีการทูต และด้วยยุทธวิธีโดยการเตรียมกองกำลังในประเทศเพื่อสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรและต่อต้านญี่ปุ่น ทั้งนี้ เพื่อให้ชาติไทยได้คงมีเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนที่สมบูรณ์ จนกระทั่งได้ทำให้สัมพันธมิตรรับรองว่า การประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาเป็นโมฆะ อันนำไปสู่การที่ประเทศไทยได้เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาติเอกราชทั้งหลายในปี 2489
หลังจากที่รัฐบาลเซ็นสัญญายอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้ไม่กี่วัน รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มเจรจาขอกู้เงินจากไทยเป็นงวดแรก อาจารย์ปรีดีในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลญี่ปุ่นคงไม่กู้เพียงแค่นี้ คงขอกู้อีกเรื่อย ๆ ตามความจำเป็นทางการทหารของเขา ทำให้เราต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ แต่นายกรัฐมนตรียืนยันให้กู้ และให้พิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็น ต่อมาไม่นานค่าครองชีพก็สูงขึ้น ถึงปลายสงครามราคาสินค้าและบริการได้เพิ่มสูงขึ้น จนเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ
บทที่ 9 “ญี่ปุ่นละเมิดข้อตกลง ข้าพเจ้าถูกผลักให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” อาจารย์ปรีดีได้รับแต่งตั้งเป็นคนที่สามในคณะผู้สำเร็จราชการฯ แต่ต่อมาคนที่สอง (พล.อ. พิชเยนทรโยธิน) เสียชีวิต ส่วนประธาน (พระองค์เจ้าอาทิตย์ ทิพอาภา) ทรงลาออกก่อนสิ้นสุดสงครามดังจะกล่าวต่อไป สุดท้ายเหลืออาจารย์ปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการฯ คนเดียว ที่ประกาศสันติภาพพร้อมทั้งประกาศให้การประกาศสงครามก่อนหน้านั้นเป็นโมฆะ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488
ในหนังสือ “โมฆสงคราม” อาจารย์ปรีดีเขียนว่า “ข้าพเจ้ายอมรับตำแหน่งนี้ ... เห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่มีงานที่ต้องทำมาก เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าใช้เวลาเตรียมเพื่อต่อสู้ฝ่ายญี่ปุ่น” อันที่จริง คณะผู้สำเร็จราชการฯ ไม่มีอำนาจบริหารก็จริง แต่การปฏิบัติราชการแทนพระองค์นั้นสำคัญ เพราะทำการในฐานะประมุขของประเทศ พระบรมราชโองการของผู้สำเร็จราชการฯ ย่อมมีผลผูกพันในประเทศ และเป็นที่ยอมรับในบรรดามิตรประเทศ จึงนับเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่อาจารย์ปรีดีถูกผลักออกจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
เหตุบังเอิญที่สำคัญประการหนึ่งคือ จอมพล ป. รีบเร่งการประกาศสงคราม เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 ขณะที่อาจารย์ปรีดีเปิดเครื่องรับวิทยุฟัง ณ บ้านพักคุ้มขุนแผน พระนครศรีอยุธยา วิทยุแจ้งข่าวสำคัญว่า “วันนี้เวลาเที่ยง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อาทิตย์ทิพอาภา, พิชเยนทรโยธิน, ปรีดี พนมยงค์ อ้างเหตุว่า ฝ่ายอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รุกรานประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ส่งเครื่องบินลอบเข้ามาทิ้งระเบิดบ้านเรือนของราษฎร นับได้ว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและมนุษยธรรม … จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศทราบทั่วกันว่า ได้มีสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยฝ่ายหนึ่งกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีจอมพล ป. เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ”
อาจารย์ปรีดีเขียนว่า “ข้าพเจ้ามิได้รู้เห็นด้วยกับการประกาศสงครามนั้น และมิได้ลงนาม” ทราบต่อมาจากคำให้การของพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาว่า พระองค์ถูกขู่ให้ลงนาม อย่างไรก็ดี การที่อาจารย์ปรีดีไม่ได้ลงนาม จึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้ทำให้การประกาศสงครามนั้นเป็นโมฆะ
ในบทที่ 13 “ปฏิบัติการทางทหารในเชียงตุงกับเมืองพานและชายแดนจีน” อาจารย์ปรีดีเขียนว่า “นอกจากการปฏิบัติการทางการเมืองอันเป็นปฏิปักษ์อย่างแรงต่อสัมพันธมิตร ... ประกอบด้วยการกระจายเสียงประณามฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างหนัก รัฐบาลสมัยนั้นได้ปฏิบัติทางทหาร โดยส่งกองทัพรุกเข้าไปในเชียงตุงกับเมืองพานแห่งแคว้นฉาน อันเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษ ซึ่งเป็นเป้าหมายอันหนึ่งตามคติของประมุขรัฐบาลไทย ในการรวบรวมชนเชื้อชาติไทยเพื่อสถาปนามหาอาณาจักรไทย การกระทำเช่นนี้ทำให้ รัฐเมืองพาน ซึ่งทหารไทยยึดครองไว้นั้น รวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย”
ในบทที่ 14 “รัฐบาลไทยครอบครอง 4 รัฐมลายา” อาจารย์ปรีดีเขียนว่า “โตโจนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้มากรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2486 ทำคำแถลงร่วมกันกับจอมพล ป. ยอมให้ 4 รัฐมลายา คือ ปลิศ, ไทรบุรี, กลันตัน, และตรังกานู อีกทั้งยอมรับรองให้รัฐเชียงตุง ซึ่งทหารไทยยึดครองไว้นั้น รวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย
ขบวนการเสรีไทยต้องทำงานอย่างหนัก โดยใช้วิธีการทูตในการติดต่อเพื่อยืนยันว่า ราษฎรไทยส่วนใหญ่อยู่กับฝ่ายสัมพันธมิตร อาจารย์ปรีดีใช้ชื่อรหัสว่า “รู้ธ” ในการติดต่อกับสัมพันธมิตรในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ตัวอย่างของการติดต่อดังกล่าวมีเช่น การส่งนายจำกัด พลางกูร และนายสงวน ตุลารักษ์ไปติดต่อกับรัฐบาลจีน, การติดต่อกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท ที่เป็นเสรีไทยสายอังกฤษ, การติดต่อกับทหารเสรีไทยสายอังกฤษที่เดินทางมาอินเดีย โดยที่ทหารบางคน เช่น ร.ต. ป๋วย อี้งภากรณ์ ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยอย่างลับ ๆ, การติดต่อกับเสรีไทยสายอเมริกา ซึ่งมีหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชเป็นหัวหน้าสาย
ขบวนการเสรีไทยไม่ใช้แต่เพียงวิถีทางการทูต ยังดำเนินการในทางการกระทำอีกอย่างน้อยสองเรื่องคือ 1) การจัดตั้งกองบัญชาการให้เป็นศูนย์กลางการประสานงาน, การจัดวางระบบงาน, และการสร้างวินัยและสมรรถภาพอันจำเป็นต่องานที่เสี่ยงภัยในยามศึกสงคราม โดยผู้นำขบวนการเสรีไทยมีการจัดประชุมปรึกษาหารือกันที่ทำเนียบท่าช้างบ่อยครั้ง 2) การจัดให้มีกองกำลังพร้อมอาวุธ ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากฝ่ายทหาร โดยเฉพาะทหารเรือ และตำรวจ นอกจากนี้ยังมีการลักลอบขนอาวุธเข้ามา เช่นโดยเครื่องบินอังกฤษขนอาวุธยุทธภัณฑ์มาลงที่สนามบินลับแห่งหนึ่งที่จังหวัดเลย การจัดตั้งกองกำลังของเสรีไทยได้แบ่งเป็นสาย ๆ เช่นสายอีสานมีนายเตียง ศิริขันธ์เป็นผู้นำ สายประจวบคีรีขันธ์มีนายชาญ บุนนาค เป็นผู้นำ เป็นต้น โดยกองกำลังเสรีไทยที่พร้อมสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรหากต้องสู้รบกับญี่ปุ่นมีประมาณ 80,000 คน โดยแต่ละสายได้แสดงตนและส่งตัวแทนมาสวนสนามที่ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2488
ประมาณเดือนเศษหลังการประกาศสันติภาพ ขบวนการเสรีไทยได้สลายตัวเมื่อวันที่ 25 กันยายน นั่นเอง รู้ธได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันนั้นว่า “การกระทำคราวนี้มิได้ก่อตั้งเป็นคณะหรือพรรคการเมือง แต่เป็นการร่วมงานกันประกอบกิจเพื่อให้ชาติกลับสู่สถานะก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 (วันที่กองทัพญี่ปุ่นยาตราเข้าประเทศไทย - ผู้เขียน) ... ผู้ที่ได้ร่วมงานกับข้าพเจ้าคราวนี้ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ชาติ มิได้ถือว่าเป็นผู้กู้ชาติ การกู้ชาติเป็นการกระทำของคนไทยทั้งปวง ... ฉะนั้น ผู้ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องขอขอบคุณอย่างสูงยิ่งก่อนอื่น ก็คือคนไทยทั้งปวงนี้ ... ข้าพเจ้าขอขอบใจหม่อมราชวงศ์เสนีย์ปราโมช, ขอบใจคนไทยในสหรัฐอเมริกา, คนไทยในอังกฤษ, คนไทยในประเทศจีน ... ขอขอบใจหัวหน้าในกองบัญชาการ คือ นายทวี บุณยเกตุ, นายพลตำรวจเอกอดุล อดุลเดชจรัส, พลเรือตรีสังวร สุวรรณชีพ, นายดิเรก ชัยนาม, พลโทสินาด สินาดโยธารักษ์, นาวาเอกหลวงศุภชลาสัย”
มีเรื่องเล่าอยู่ว่าผู้นำเสรีไทยบางคนมีปณิธานว่าจะไม่ใช้การเป็นสมาชิกเสรีไทยเพื่อแสวงหาตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชวนอาจารย์ป๋วยร่วมรัฐบาล จึงได้รับคำปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยอ้างปณิธานข้างต้น
ขอลงท้ายบทความนี้โดยนำบางส่วนของคำให้การของพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ที่ให้การต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2488 ที่แสดงถึงความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ในสมัยที่จอมพล ป. มีอำนาจสูงสุด (ดู https://pridi.or.th/th/content/2021/11/883) ดังนี้
“... ในระยะก่อนญี่ปุ่นรุกรานเมืองไทยก็ดี ในขณะที่ญี่ปุ่นได้มารุกรานก็ดี ข้าพเจ้าทราบว่าบรรดาข้าราชการประชาชนชาวไทยเกือบทั้งหมดนิยมชมชอบฝ่ายอังกฤษและอเมริกา ... ได้ทราบข่าวว่า รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำสัญญาร่วมรับร่วมรุกกับญี่ปุ่น และได้มีพิธีสัตยาบันกันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
... ในราวเดือนมกราคม ปี 2485 ขุนนิรันดรชัย ราชเลขานุการในพระองค์ได้มาพูดในที่ประชุมคณะผู้สำเร็จราชการว่า ในวันสองวันนี้รัฐบาลจะประกาศสงครามกับอังกฤษ - อเมริกา ผู้สำเร็จฯ ออกความเห็นว่า เราควรรักษาฐานะของเราไว้อย่างเดนมาร์ก ขุนนิรันดรชัยได้แจ้งให้ ... ทราบว่าเป็นการจำเป็น หากเราไม่ประกาศสงครามแล้ว ญี่ปุ่นจะปลดอาวุธทหารไทยในขั้นแรก และต่อไปเราอาจเสียเอกราช
คณะผู้สำเร็จฯ ได้สั่งขุนนิรันดรชัยให้ไปบอกนายกรัฐมนตรีว่า จะหาทางออกทางอื่นได้ไหม ... เพราะเห็นว่าเราเป็นประเทศเล็ก ไม่ควรจะไปยุ่งกับกิจการของมหาประเทศ การสงครามก็ไม่รู้ว่าใครจะแพ้จะชนะ ... ขุนนิรันดรชัยได้กลับมาบอกว่า เป็นการจำเป็น ไม่มีทางอื่นที่จะทำได้ ... และในการนี้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ … ต่อมาสัก 2 - 3 วัน ขุนนิรันดรชัยได้นำคำประกาศสงครามมาให้ข้าพเจ้าเซ็น ... คำประกาศสงครามนี้ ทางรัฐบาลได้ประกาศเปิดเผยในเวลาเที่ยงวันของวันที่ข้าพเจ้าลงนามนั้นเอง ... ในคำประกาศของรัฐบาลนั้นมีชื่อผู้สำเร็จราชการครบคณะทั้ง 3 คน คือมีชื่อนายปรีดี พนมยงค์อยู่ด้วย ต้นฉะบับคำประกาศสงครามนั้น ตั้งแต่ข้าพเจ้าลงนามไปแล้วจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นเลย ... ที่ขุนนิรันดรฯ มาบอกว่า ถ้าไม่ประกาศสงคราม ญี่ปุ่นจะปลดอาวุธและอาจเสียเอกราชนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรมาแสดง
... ในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงครามรับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น เคยลาออกหลายครั้ง ... แต่ไม่ได้ออกจริง หนังสือใบลาก็ไม่ได้ถอนไป เรื่องนี้ไม่ได้เปิดเผยให้คนภายนอกทราบ ครั้งที่สองได้ยื่นใบลาออกไปในปี พ.ศ. 2486 คณะผู้สำเร็จราชการได้อนุมัติให้ลาออกได้ตามประสงค์ และได้แจ้งให้ประธานสภาทราบแล้ว เพื่อให้ไปซาวเสียงสมาชิกในสภาว่าจะเลือกใครเป็นนายกต่อไป... ในตอนกลางคืนวันนั้นวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยก็ได้ประกาศการลาออกของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
... เวลาประมาณ 4 - 5 ทุ่ม ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากพลตรีไชย ประทีปเสน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเอง ... ให้หม่อมกอบแก้วไปพูดแทน ... พลตรีไชยฯ ให้ทูลว่า เรื่องนายกลาออกนั้น ทางฝ่ายทหารญี่ปุ่น นายพล ยามาดา ต้องการทราบว่า เมื่อให้นายกลาออกแล้ว จะตั้งใครเป็นนายกแทน พลตรีไชยฯ บอก ... เป็นทำนองว่า การตั้งคนอื่นนอกจากจอมพล ป. พิบูลสงครามแล้วจะเกิดการยุ่งกันใหญ่ ญี่ปุ่นอาจเอาเรื่องถึงบ้านเมืองฉิบหาย ต่อมาสักครู่ใหญ่ ๆ คนเฝ้าโทรศัพท์มาบอกว่า ขุนปลดปรปักษ์ ต้องการจะพูดโทรศัพท์กับข้าพเจ้าให้จงได้
... แล้วข้าพเจ้าก็โทรศัพท์เรียนเรื่องที่พลตรีไชยฯ และขุนปลดฯ โทรศัพท์มานั้นให้ท่านปรีดีทราบ ... เรียนว่าข้าพเจ้ารู้สึกว่าจะอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย โดยรู้วิธีการของพวกนี้อยู่แล้ว เกรงว่าจะนำทหารมารังแกหรือบังคับ และได้เรียนท่านไปว่า ... ผู้สำเร็จราชการควรจะอยู่รวมกัน และประสงค์จะไปพักอยู่ด้วย ท่านปรีดีฯ ตอบว่าไม่ขัดข้อง ข้าพเจ้าก็เลยพักอยู่ที่ทำเนียบท่านปรีดีฯ (เพราะมีทหารเรือมาคุมเชิงอยู่ทางฝั่งแม่น้ำ - ผู้เขียน) ... เรื่องก็ดำเนินไปตามที่ปรากฏในรายงานประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องนั้นแล้ว โดยจอมพล ป. พิบูลสงครามยังถือว่าเป็นนายกฯ และดำรงตำแหน่งต่อมา
ต่อมา ... มีคำสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดบรรจุข้าพเจ้ากับท่านปรีดี พนมยงค์เข้าไปประจำในกองบัญชาการทหารสูงสุด ข้าพเจ้าเองถูกบรรจุในตำแหน่งที่ปรึกษา ... ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเนื่องจากเหตุการลาออกแล้วไม่ออกอย่างหนึ่ง กับเรื่องคัดค้านพระราชกฤษฎีกามอบอำนาจผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกอย่างหนึ่ง
... การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล ป. พิบูลสงครามครั้งหลังสุดท้ายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2487 ... ข้าพเจ้าได้พบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ข้าพเจ้าจึงได้ถามว่าคราวนี้ลาออกกันจริง ๆ ไม่ตุกติกเหมือนคราวก่อนนะ จอมพล ป. พิบูลสงครามตอบว่าสำหรับตัวเขาเองนั้นเขายินดีลาออก
เมื่อประธานสภาได้ไปดำเนินการตามนั้นแล้ว ก็มาพบและรายงานว่าสภาเห็นควรจะให้นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี คณะผู้สำเร็จฯ จึงได้เชิญนายควงฯ มาพบ เมื่อนายควงฯ มาแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามนายควงฯ ว่าจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไหม นายควงฯ ตอบว่ารับ
... ต่อนั้นมาข้าพเจ้าจึงไปที่สวนจิตร์ละดา พบและพูดกับจอมพล ป.ฯ ซึ่งขณะที่พูดนั้น มีผู้อยู่ร่วม คือ 1) ขุนศรีศรากร 2) นายดิเรก ชัยนามและภรรยา ... จอมพล ป.ฯ ว่า เมื่อสภาอยากบ้าอย่างนี้ ก็ช่วยไม่ได้ และเมื่อข้าพเจ้าเซ็นแต่งตั้งนายควงฯ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบการนองเลือดและอาจจะถึงเสียเอกราชซึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ขายชาติ ... ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจลาออกเพราะข้าพเจ้าได้ถูกกดขี่ข่มเหงมาทำนองนี้หลายครั้งแล้ว ข้าพเจ้าสารภาพว่าข้าพเจ้ากลัว เพราะข้าพเจ้าตัวคนเดียวไม่มีพวกพ้อง
... การใช้อำนาจกองทัพมาขู่ข้าพเจ้านี้ใช้บ่อยเหลือเกิน เช่น เมื่อคราวจะให้พระยาพหลฯ ออกจากนายกรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้งหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนั้น ก็มีหลวงพรหมโยธี ขุนนิรันดรชัย ขุนปลดปรปักษ์ หลวงสังวรยุทธกิจ หลวงกาจสงคราม นายอุทัย แสงมณี ไปหาข้าพเจ้าในเวลาค่ำคืน หลวงพรหมฯ เป็นคนพูดว่า ถ้าไม่เอาพระยาพหลฯ ออกเพื่อตั้งหลวงพิบูลฯ เป็นนายกแล้ว จะเกิดยุ่งกันใหญ่อาจถึงกูเดตา”
ในตอนต้นของบทความ ผมได้อ้างความเห็นของสันติสุขว่า มีคนสามกลุ่มที่ต่อสู้กันทางการเมืองมาโดยตลอดหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยกลุ่มแรกนิยมประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กลุ่มที่สองนิยมทหารและการทำกูเดตา (เป็นคำภาษาฝรั่งเศสแปลว่ารัฐประหาร) และกลุ่มที่สามเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมฝ่ายพลเรือน กลุ่มแรกมีความชอบธรรมแต่ขาดอำนาจ กลุ่มที่สองมีอำนาจแต่ขาดชอบธรรม กลุ่มที่สามมักเลือกร่วมรัฐบาล แต่ก็เก่งเมื่อเป็นฝ่ายค้าน สถานการณ์การเมืองได้เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ โดยกลุ่มแรกถูกลิดรอนสิทธิและอำนาจบ่อยครั้ง มาบัดนี้ ความขัดแย้งพาประเทศมาติดกับดักของรัฐธรรมนูญที่แก้ไม่ได้ แถมกลุ่มที่สามเล่นเกมยึดวุฒิสภาด้วยแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นฉากทัศน์ของการก้าวพ้นความขัดแย้งหลัก ๆ ทางการเมืองที่ดำรงมาเกือบเก้าสิบปีแล้ว
หวังว่าบทความที่เล่าประวัติศาสตร์การเมืองโดยสังเขปบทนี้ จะช่วยเปิดพื้นที่ทางความคิดและช่วยให้เกิดการประนีประนอมมากขึ้นบ้าง ระหว่างสามกลุ่มที่อุปโลกน์ขึ้นในที่นี้ เพียงเพื่อให้พอเห็นโครงสร้างอำนาจที่ดำรงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย