ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ปรีดี พนมยงค์ กับ ชาวนาอยุธยา และพิธีเปิด “การทำนา ๒ ครั้งต่อปี” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕

18
กันยายน
2568

 

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, พระยาพหลพลพยุหเสนา และ นายเทียน พุฒซ้อน ผู้ชนะการประกวดพันธุ์ข้าวในงานประกวดพันธุ์ข้าวที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี  พ.ศ. 2477 
ที่มา : สมุดภาพนนทบุรี 
 

 

(๑) บทนำและความสำคัญ

หากเดินทางผ่านท้องที่อำเภอรอบนอกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาช่วงฤดูทำนา จะเห็นภาพทิวทัศน์ท้องทุ่งเขียวขจีสวยงามอยู่หลายแห่ง อยุธยาอาจได้ชื่อเป็นเมืองประวัติศาสตร์ อดีตราชธานีของสยามประเทศ แต่สภาพทางกายภาพที่เราจะพบเห็นได้มาก เมื่อออกมานอกย่านเมืองเก่าที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา (อยุธยาไม่มีอำเภอเมือง) มีอยู่ ๒ อย่างที่เป็นฉากทิวทัศน์ (Scenery) ก็คือ “นิคมอุตสาหกรรม” กับ “ทุ่งนาเกษตรกรรม”   

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการเกษตรกรรมทำนา ประชาชนชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลายท้องที่ ไม่ว่าจะเป็นย่านบางบาล เสนา ผักไห่ บางซ้าย บางไทร ลาดบัวหลวง บางปะหัน นครหลวง มหาราช ภาชี วังน้อย และบางปะอิน ยังคงประกอบอาชีพเป็นชาวนา แม้ว่าปัจจุบันราคาข้าวที่ตกต่ำจะทำให้ผู้ประกอบอาชีพนี้มีจำนวนลดน้อยถอยลงกว่าแต่ก่อนมาก หลายครอบครัวเมื่อบุตรหลานเติบใหญ่ก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ไม่ได้กลับมาบ้านมาสืบทอดอาชีพเก่าแก่นี้ หรือหากกลับ ที่นาก็อาจถูกแปลงเป็นรีสอร์ท ไม่ก็คาเฟ่ แต่โดยรวมขึ้นชื่อเรื่องการทำนาแล้ว อยุธยายังคงเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีประชาชนประกอบอาชีพนี้กันมากเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศ

อำเภอที่มีชื่อเสียงด้านนี้มากคือ “อำเภอเสนา” ที่มาของชื่อนี้ (เสนา) ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งขุนนาง ไม่เกี่ยวกับออกญาวิไชยเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) อัครมหาเสนาบดีสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ดังที่มีผู้พยายามจะผูกโยงแต่อย่างใด ศูนย์กลางของย่านแต่เดิมของบริเวณนี้มีชื่อว่า “สีกุก” เป็นสถานที่ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับกรุงศรีอยุธยา ตอนสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นที่ตั้งทัพและเป็นที่ที่มังมหานรธา แม่ทัพใหญ่ของพม่าท่านหนึ่ง เมื่อเดินทัพมาถึงแล้วเกิดล้มป่วยและเสียชีวิตลง

นอกจากออกญาวิไชยเยนทร์ ผู้ที่ถูกนำเอาไปโยงเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นจึงคือ “มังมหานรธา” ซึ่งนับว่าน่าสนใจ เพราะปกติ “วีรบุรษทางวัฒนธรรม” ของย่านอยุธยากรุงเก่า มักจะเป็นคนกรุงศรีฯ (ที่คนรุ่นหลังมักยกให้เป็น “คนดี” และ “ไทยแท้ ๆ”) มีความเชื่อว่าเจดีย์เก่าที่วัดสีกุกเป็นที่ฝังศพแม่ทัพพม่าผู้นี้ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์โบราณคดีบอกมาหลายปีแล้วว่า เป็นเจดีย์แบบอยุธยาไม่ใช่แบบพม่า และมีอายุตกในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ แต่เช่นเดียวกับอีกหลายกรณีที่ความรู้ทางวิชาการไม่เป็นที่ยอมรับเชื่อถือ ผู้คนมักจะเชื่อ “สายมู”

บริเวณย่านที่เป็นอำเภอเสนา ก่อนขยายเป็นตลาดใหญ่ของฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมคือ “บ้านแพน” เป็นชุมชนลาวที่มีพื้นเพสืบมาจากคนลาวที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาหลังศึกเจ้าอะนุวงในสมัยรัชกาลที่ ๓ บริเวณนี้เป็นตลาดที่เริ่มมีความสำคัญเมื่อมีการตัดถนนสายอยุธยา-สุพรรณบุรี (ที่อำเภอบางปลาม้า) คำว่า “เสนา” ที่มากลายเป็นชื่ออำเภอไปนั้น มีอีกมุมเล่ากันว่ามาจาก “คนหัวเส” หมายถึงคนฉลาด และ “นา” ก็คือที่นา “ฉลาด” ในที่นี้หมายถึงฉลาดในการทำนา เพราะที่อื่นทำนากันได้เพียง ๑ ครั้ง/ปี แต่ที่นี่ทำได้ปีละ ๒ ครั้ง บางปี ๓ ครั้ง แบบนี้แล้วจะไม่ให้คนอื่นเขายกย่องว่า ชำนาญ เชี่ยวชาญ หรือฉลาดในการทำนาได้อย่างไร 

แต่อย่างไรก็ตาม การทำนานั้นก็มีปัจจัยเกี่ยวข้องที่ไม่ใช่แค่ความฉลาดหรือชำนาญของคนในแต่ละพื้นที่เท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นอีก เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ น้ำท่า ที่สำคัญแรงจูงใจจากราคาข้าวในท้องตลาด ซึ่งถูกกระตุ้นได้จากการส่งเสริมในรูปนโยบายรัฐ และคนเสนาก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะอำเภอเสนา หากแต่อำเภออื่นในพระนครศรีอยุธยา รวมถึงบางจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง ก็มีการทำนากันปีหนึ่งๆ มากกว่า ๑ ครั้งเหมือนกัน ขึ้นกับสภาพน้ำท่าและดินฟ้าอากาศ ตลอดจนระบบชลประทานว่าจะเอื้ออำนวยให้มากน้อยเพียงใด

อนึ่ง การทำนามากกว่า ๑ ครั้ง หรือ ๒ ครั้ง/ปี ในมิติทางประวัติศาสตร์ มีความเชื่อในท้องถิ่นว่า เป็นสิ่งที่ชาวพระนครศรีอยุธยาทำกันสืบมาได้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่จากการศึกษาของผู้เขียนพบว่า แต่เดิมคนอยุธยาไม่ได้ทำนา ๒ ครั้ง/ปี นิยมทำปีละ ๑ ครั้งเหมือนเช่นที่ภาคอื่นเขาทำกัน อีกทั้งการทำนาในสมัยอยุธยากับสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยังมีความแตกต่างกันอย่างสำคัญ (จะอภิปรายชี้ให้เห็นในลำดับถัดไป)

เนื่องจากในเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (หจช.) หมวดเอกสารกระทรวงมหาดไทย (หจช. มท.) มีแฟ้มหนึ่งเป็นเอกสารลายลักษณ์อักษรที่ระบุชัดว่า การทำนา ๒ ครั้งในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้เพิ่งเริ่มทำกันใน พ.ศ. ๒๔๘๕ มานี้เอง ไม่ได้เป็นประเพณีการทำนาที่สืบทอดต่อเนื่องยาวนานมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาดังที่มีความเชื่อกันในท้องถิ่นแต่อย่างใด และบุคคลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องตามที่มีหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ “ปรีดี พนมยงค์” เมื่อครั้งสมัยดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์

(๒) คนอยุธยากรุงเก่าแต่เดิมเป็นชาวนาแบบ “พาร์ทไทม์”

จากหลักฐานบันทึกบาทหลวงฝรั่งเศสระบุว่า ชาวอยุธยามักมีความชำนาญ ๒ อย่าง ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก คือ การจับปลากับการค้าขาย ไม่ได้มีการทำนาเป็น “สกิล” หลักแต่อย่างใด เพราะปลามีอยู่มากตามแม่น้ำลำคลอง จับหาได้ง่าย และเนื่องจากอยุธยาเป็นเมืองตั้งอยู่ในทำเลที่มีการคมนาคมสะดวก จึงเป็นเมืองท่าการค้า มีพ่อค้าทั้งในและนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เดินทางไปมาค้าขายอยู่ตลอด คนอยุธยาจึงมีอาชีพหลักเป็นพ่อค้าแม่ค้า และค้าขายเป็นตั้งแต่เด็ก[1]

แน่นอนว่าอยุธยามีการปลูกข้าว และส่งออกข้าวอยู่ด้วย แต่ไม่มากเหมือนอย่างสมัยธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ การปลูกข้าวของคนอยุธยาเป็นลักษณะ “นาหว่าน” คนทำนาจะออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวทิ้งไว้ยังทุ่งนอกเมือง แล้วปล่อยไว้ เมื่อถึงเวลาก็ค่อยพายเรือออกไปเก็บเกี่ยวและขนนำเข้ามาในเมือง ทำเช่นนี้กันทั้งมูลนายและบ่าวไพร่

มูลนายมีสิ่งที่เรียกว่า “ที่นาหลวง” เดิมอยู่ที่ทุ่งแก้วทุ่งขวัญ ทางตอนเหนือของเกาะเมืองอยุธยา ริมคลองสระบัวตอนบน มีป้อมที่ข้าวจากที่นาหลวงจะถูกลำเลียงเข้ามาส่งยังพระบรมมหาราชวังเป็นประจำที่เรียกว่า “ป้อมประตูข้าวเปลือก” (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่วัดราชประดิษฐาน) ที่มีคำเรียกในพระราชพิธีว่า “แรกนาขวัญ” นั้นคำว่า “นาขวัญ” สำหรับอยุธยา หมายถึงที่นาหลวงที่ทุ่งขวัญ เป็นการทำพิธีบนผืนดินที่จะทำนากันจริง ๆ ไม่ใช่เพียงพระราชพิธีในท้องสนามหลวงเหมือนอย่างในสมัยหลัง 

ต่อมาราวรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา เมื่อมีนโยบายเทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาอยุธยา ก็เกิดมีชุมชนผู้คนตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยแถบตอนเหนือริมคลองสระบัวกันมากขึ้น การทำนาบริเวณนี้ไม่สะดวกเหมือนดังแต่ก่อน สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงให้ย้ายที่นาหลวงไปยังบริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา แถวย่านทุ่งพระอุทัย (ปัจจุบันคือบริเวณอำเภออุทัย) แล้วลำเลียงข้าวเข้าสู่ตัวเมืองมาตามเส้นทางคลองที่เรียกว่า “คลองข้าวสาร” ตัดกับ “คลองข้าวเม่า” ศูนย์กลางของย่านนี้เดิมคือวัดโกโรโกโส (เดิมชื่อวัดกุสุธาตุ) แต่เช่นเดียวกับย่านเสนาหรือย่านอื่น ๆ ตัวอำเภอไปตั้งอยู่ริมถนนที่ตัดใหม่  

คนอยุธยากรุงเก่าแต่เดิมไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ชิดติดที่นา เพราะเป็นนาข้าวที่ไม่ต้องดูแล แค่หว่านทิ้งไว้ รอบนอกเป็นพื้นที่ราบแผ่กว้าง ถ้าไม่ใช่ที่ดอนแล้ว ในช่วงฤดูน้ำหลากจะอยู่ไม่ได้ ที่นาก็ยังไม่มีการแบ่งเป็นตารางอย่างที่เรียกกัน “คันแท” (คำภาษาลาว ภาษาไทยใช้ “คันนา”) ส่วนใหญ่ไม่มีการไถเตรียมดินอีกด้วย เพราะชาวนาอยุธยาสมัยนั้นไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน ใช้วิธีจดจำกันคร่าว ๆ ว่าใครไปหว่านไว้ที่ใด ก็ไปเก็บเกี่ยวผลผลิตเอาจากที่นั้น นาชนิดนี้บางทีเรียกว่า “นาเมือง” หรือ “นาทุ่ง” พืชผลอย่างอื่นก็ปลูกด้วยวิธีนี้เช่นกัน การไม่นิยมมีกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนหนึ่งเพราะถือว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็น “เจ้าแผ่นดิน” อีกส่วนหนึ่งก็เพราะหากมีที่ดินมาก ก็จะต้องเสียส่วยสาอากรมากเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นปัญหาในการควบคุมดูแล หากไม่ใช่เจ้านายหรือขุนนางใหญ่แล้ว การมีที่ดินเยอะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี     

ลักษณะเช่นนี้ คริส เบเคอร์ (Chris Baker) ผู้ศึกษาระบบการทำนาแบบดั้งเดิมสมัยอยุธยา จึงได้ข้อสรุปว่า คนอยุธยาเป็นชาวนากันแบบ “พาร์ทไทม์” คือไม่ได้มีอาชีพหลักเป็นเกษตรกรชาวนา อาชีพหลักจะเป็นชาวประมงน้ำจืด (จับปลา) กับเป็นพ่อค้าแม่ค้ากันเสียมากกว่า และส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตกันแบบ “สังคมเมือง” (Urban society) ไม่ใช่ “สังคมเกษตร” (Agricultural society) เพิ่งจะเป็นสังคมเกษตรกันในช่วงหลังคือในสมัยต้นรัตนโกสินทร์แล้ว[2]

การเพาะปลูกข้าวแบบดั้งเดิมแบบนี้ของอยุธยา ข้อดีคือไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาและกำลังแรงงานในการเพาะปลูก แต่ปัญหาคือได้ข้าวไม่มาก เป็นการปลูกแค่พอกินและส่งออกบ้างเล็กน้อย สินค้าส่งออกของอยุธยาสมัยนั้นคือ “ของป่า” เป็นหลัก และของป่าแม้เป็นของหายาก อยุธยาไม่มีเขตป่าเขา แต่อยุธยาได้สินค้าชนิดนี้มามากจากหัวเมืองผ่านระบบส่วยบรรณาการ คือบังคับเรียกเก็บเอาจากหัวเมืองที่มีป่าเขา โดยเจ้าเมืองแต่ละเมืองจะเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาไพร่ทาสให้ไปเก็บหาของป่ามาให้แก่ตน จากนั้นเจ้าเมืองก็จะต้องนำส่งเข้ามาให้แก่พระคลังสินค้าที่เมืองหลวงคือกรุงศรีอยุธยา แล้วพระคลังสินค้าก็จะนำเอา “สินค้าส่วย” เหล่านั้นไปบรรทุกใส่เรือส่งออกไปขายต่างประเทศ  

ภายหลังเมื่อเกิดมีนโยบายผูกขาด มีกฎหมายห้ามไม่ให้พ่อค้าต่างชาติซื้อสินค้าของป่าจากผู้อื่น ให้ซื้อได้แต่เฉพาะจากพระคลังสินค้าเท่านั้น ก็สะดวกทั้งผู้ค้าและผู้ขาย เพราะผู้ค้าไม่ต้องเผชิญความยากลำบากในการไปติดต่อหาซื้อสินค้าจากชาวพื้นเมือง ขณะเดียวกันผู้ขายก็สามารถตัดปัญหาคู่แข่งไปได้ทั้งหมด ที่สำคัญนโยบายนี้ทางการยังสามารถตั้งราคาได้ตามที่ต้องการอีกด้วย ทำให้การค้าเป็นระบบเศรษฐกิจหลักที่ทำรายได้ให้แก่ชนชั้นนำมาก มากกว่าการผลิตทางการเกษตร แต่สภาพเช่นนี้ก็เปลี่ยนไปในสมัยรัตนโกสินทร์

(๓) “คนลาว” กับนวัตกรรมการทำนาแบบใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์

ระบบการทำนาของสยามมามีจุดเปลี่ยนอย่างสำคัญ เมื่อสงครามระหว่างกรุงเทพฯ กับเวียงจันในสมัยรัชกาลที่ ๓ สิ้นสุดลงโดยฝ่ายเจ้าอะนุวงถูกปราบปราม เมืองเวียงจันถูกเผาวอดวาย ตามมาด้วยการกวาดต้อนคนลาวจำนวนมหาศาลจากล้านซ้างเข้ามาสยาม สนองนโยบายการเติมเต็มกำลังคนให้แก่บ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อชดเชยกับกำลังคนที่สูญเสียไปในช่วงก่อนหน้าทั้งจากการถูกพม่ากวาดต้อนไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ กับความเสียหายจากโรคอหิวาต์ระบาดในสมัยรัชกาลที่ ๒ ที่มีผู้คนเสียชีวิตไปเป็นอันมาก

หัวเมืองสำคัญในช่วงนั้นที่มีการกวาดต้อนคนลาวเข้ามาอยู่ใหม่ในภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี, ลพบุรี, สุพรรณบุรี, พนัสนิคม, นครไชยศรี, เพชรบุรี และพระนครศรีอยุธยา ในอยุธยาคนลาวได้รับพระบรมราชานุญาตให้ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยตามบริเวณสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก อยู่กันมากในอำเภอนครหลวงและบางปะหัน ต่อมาขยายบ้านเรือนมายังฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยที่ย่านบางบาล เสนา ผักไห่ บางไทร และบางซ้าย

คนลาวมีความชำนาญในการเพาะปลูกข้าว เทคนิควิธีการปลูกข้าวอย่างที่เคยทำแล้วได้ผลในแถบลุ่มแม่น้ำโขงนั้น ปรากฏว่าเมื่อนำมาใช้กับที่ดินในเขตที่ราบภาคกลางก็ได้ผลมาก จากเดิมในแถบลุ่มแม่น้ำโขง การเพาะปลูกบนพื้นที่น้อย แต่คนมาก จึงต้องใช้วิธีการปลูกที่จะให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีขั้นตอนและวิธีการบำรุงเพาะเลี้ยงข้าวให้อยู่กับน้ำดูดซึมแร่ธาตุได้เต็มที่ ไม่ได้ปลูกแบบหว่านทิ้งไว้แบบคนภาคกลางรุ่นสมัยอยุธยา[3]

รูปแบบการทำนาหลักที่คนลาวริเริ่มนำมาเอามาใช้ก็คือการสร้าง “คันแทนา” คือการทำคันดินแบ่งเป็นตาราง ๆ สำหรับกักเก็บน้ำให้หล่อเลี้ยงต้นข้าว และเป็นนาปักดำ ไม่ใช่นาหว่าน วิธีนี้ทำให้ได้ข้าวเมล็ดใหญ่ขึ้น กินอิ่มขึ้น ไม่เม็ดเล็กป้อมเหมือนแต่ก่อน ต่อมาวิธีการปลูกข้าวแบบลาวนี้ได้แพร่หลายไปยังที่นาของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นอย่างรวดเร็ว คนมอญ จีน เขมร มลายู ที่ทำการเพาะปลูกข้าวในภาคกลางมาแต่เดิม ก็นิยมนำเอาวิธีการปลูกข้าวแบบนาปักดำของคนลาวไปใช้ เพราะใช้พื้นที่น้อยแต่ได้ข้าวมาก

ไม่กี่สิบปีหลังจากการกวาดต้อนคนลาวเข้ามา พื้นที่ภาคกลางส่วนใหญ่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นผืนนากว้าง และนั่นก็ส่งผลโดยตรงต่อการเป็นรัฐค้าข้าวของสยาม ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สร้างความมั่งคั่งรุ่งเรือง ยิ่งเมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ประสบปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของการค้าข้าวสยาม แต่ละปีบรรทุกใส่ลำเรือสำเภาส่งออกไปขายคราวละมากๆ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักแทนที่ของป่าในสมัยอยุธยา

แค่นั้นไม่พอ ลุถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อชาติตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วมักจะมีนโยบายบังคับให้คนพื้นเมืองเพาะปลูกแต่เฉพาะพืชเศรษฐกิจที่ทำกำไร เช่น กาแฟ, ชา, ฝ้าย, อ้อย (สำหรับไปทำน้ำตาล) ทำให้ประเทศอาณานิคมเหล่านี้ประสบปัญหาขาดแคลนข้าวตามมา แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาไม่มีศักยภาพที่จะสร้างระบบเพาะปลูกที่ได้ข้าวมากเหมือนอย่างระบบไพร่แบบเก่าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อีกทั้งบรรดาเจ้าอาณานิคมตะวันตกยังไม่ต้องการใช้ระบบเก่าในการผลิตภายใน จึงต้องสั่งนำเข้าข้าวจากสยาม และการที่สยามยังผลิตข้าวได้มากตามระบบเพาะปลูกแบบพื้นเมือง ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อระบบอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องยึดครองเอาไปเปลี่ยนระบบผลิตอาหาร การปล่อยให้เป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวให้แก่พวกเขาจะเป็นประโยชน์มากกว่า

ในแง่นี้ชาวนาผู้ปลูกข้าวต่างหากล่ะที่ทำให้สยามไม่ตกเป็นเมืองขึ้น เพราะทำให้เกิดความจำเป็นที่จะไม่ถูกยึดครองไปเป็นอาณานิคม แต่ทั้งนี้ก็มีการมองกันว่า สยามเป็นกึ่งอาณานิคม หรือเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ จากการที่ต้องทำสนธิสัญญาเบาริงในสมัยรัชกาลที่ ๔ เนื้อหาของสนธิสัญญานี้ก็คือการบังคับซื้อข้าวจากสยามนั่นเอง ในทางกลับกัน หากสยามไม่ได้มีการพัฒนาเทคนิควิธีการ (หรือจะเรียกว่า “นวัตกรรม” ก็ได้) ที่ทำให้การเพาะปลูกข้าวได้ผลมากมาตั้งแต่หลังการกวาดต้อนคนลาวเข้ามาแล้ว ก็ยากที่สยามจะเป็นรัฐส่งออกข้าวสำคัญโดดเด่นได้ในเวลาต่อมา 

(๔) “ชาวนาอยุธยา” ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชสยาม       

เมื่อข้าวเป็นการผลิตที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นหลักแทนที่ “ของป่า” แล้ว ความจำเป็นของการปรับปรุงระบบชลประทานก็เกิดตามมา เจคอบ โฮมัน วาน เดอ ไฮเด (Jacob Homan van der Heide) วิศวกรชาวดัตช์ที่รัฐบาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าจ้างมาปรับปรุงระบบชลประทานสยาม ได้มีรายงาน[4] แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ไว้มาก เพราะการขุดคลองในสยามเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า การคมนาคม การป้องกันข้าศึกศัตรู เป็นต้น ไม่ได้ขุดขึ้นเพื่อนำน้ำมาใช้ในระบบเกษตรกรรม คลองที่ขุดส่วนใหญ่ยังเป็นคลองขวางทางน้ำ ไม่ขุดไปทางทิศตะวันออก ก็ขุดกันไปทางทิศตะวันตก ทำให้เมื่อเวลาน้ำท่วมจะท่วมขังเป็นเวลานาน เพราะคลองขวางทางน้ำธรรมชาติของแม่น้ำในสยามที่ไหลจากทางทิศเหนือลงมาออกทะเลที่อยู่ทางตอนใต้

แต่ทว่าข้อเสนอของไฮเดที่ให้เปลี่ยนจากการขุดคลองมาเป็นการสร้างเขื่อน แทนที่จะส่งผลดีต่อวิถีชาวนาและการเกษตร เขื่อนกลับเป็นตัวแปรในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขนานใหญ่ เพราะเมื่อชนชั้นนำสยามเห็นด้วยกับไฮเดและนำเอาแนวคิดข้อเสนอของไฮเดมาปรับใช้แล้ว พวกเขาทำเกินกว่าที่ไฮเดเคยเสนอไว้ เขื่อนกลายเป็นอุปสรรคขวางทางน้ำธรรมชาติยิ่งกว่าที่คลองขุดเคยทำในอดีต เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากข้อเสนอของไฮเด ไฮเดเสนอเขื่อนก็จริง แต่ “เขื่อน” ของไฮเดเป็นเขื่อนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกักเก็บน้ำไว้ให้ชาวนา และเป็นเขื่อนที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่อย่างที่สร้างทำกันภายหลัง คำว่า “เขื่อน” ของไฮเดมีความหมายเท่ากับ “ฝายกักเก็บน้ำ” ธรรมดา และการที่กรมชลประทานไปอ้างอิงไฮเดกับผลงานของเขาจึงผิดฝาผิดตัว ไฮเดไม่ใช่ “อธิบดีกรมชลประทานคนแรก” เพราะกรมนี้ก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ ๗ โดยปรับปรุงมาจาก “กรมคลอง” เดิม ขณะที่ไฮเดออกจากสยามไปตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ ๕   

นอกจากระบบการชลประทาน ที่เกิดความจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงสนับสนุนเศรษฐกิจข้าว ยังได้แก่ การคมนาคมขนส่ง (Logistic) จากเดิมที่ใช้การขนส่งทางแม่น้ำลำคลองเป็นหลัก ก็เริ่มมาสู่ยุคขนส่งข้าวทางบกคือ “ถนน” ทางเกวียนเริ่มถูกปรับปรุงเป็นถนนหนทาง เพราะการขนส่งทางแม่น้ำลำคลองทำได้สะดวกแค่เฉพาะลำน้ำสายหลักอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำป่าสัก ซึ่งมีเส้นทางไหลจากเหนือลงใต้ และมีเส้นทางคลองเชื่อมไปยังกรุงเทพฯ เส้นเหนือยังต้องผ่านอยุธยา ทำให้อยุธยาเป็นแหล่งรับซื้อข้าว เกิดการก่อตั้งโรงสีตามริมฝั่งแม่น้ำสายหลักสำคัญต่างๆ (ปัจจุบันโรงสีเหล่านี้ร้างกันไปมาก รอวันให้กรมศิลปากรเห็นคุณค่าและขึ้นทะเบียนเป็น “โบราณสถานสำคัญของชาติ” เพราะเรียนรู้ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสังคมได้มากกว่าเรื่องวัด ๆ วัง ๆ ที่หมกมุ่นกันอยู่ในปัจจุบัน) 

เมื่อข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ที่นาก็มีราคาแพงขึ้น รวมถึงสัตว์ที่ใช้ในการทำนาอย่างควาย ก็กลายเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” มีราคาซื้อขายแพงขึ้นตามท้องตลาด เดวิด บรูซ จอห์นสตัน (David Bruce Johnston)[5] นักมานุษยวิทยาประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาสภาพสังคมชาวนาอยุธยา มีสายตาเฉียบคมมองเห็นประเด็นเล็กๆ แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ อย่างเรื่องที่เมื่อควายกลายเป็นสัตว์มีค่า ก็เกิด “โจรปล้นควาย” เป็น “โจรเสือ” รูปแบบแรกของภาคกลางและในอยุธยา การค้าควายยังเป็นสิ่งเชื่อมต่อกันข้ามภูมิภาค ชาวอีสานที่มีการเลี้ยงควายไว้มาก สามารถนำควายลงมาขายให้แก่ชาวนาอยุธยาและภาคกลางได้ที่นครราชสีมาและสระบุรี เป็นที่มาของ “นายฮ้อย” พ่อค้าควายชาวอีสาน

ต่อมาเมื่อ “ควายเหล็ก” คือรถแทรกเตอร์ การค้าควายถึงได้ซบเซาเบาบางลง และน่าสังเกตว่า การซื้อ “ควายเหล็ก” มาแจกจ่ายแก่ชาวนาที่เป็นนโยบายของคณะราษฎร ที่จะเห็นได้จาก “สมุดปกเหลือง” หรือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” นั้น นับเป็นสิ่งสะท้อนว่า ปรีดี พนมยงค์ ผู้เขียนเค้าโครงการเศรษฐกิจ มีความเข้าใจในวิถีชาวนาเป็นอย่างดี เพราะเป็นสิ่งที่ชาวนาอยุธยาเองก็เคยเรียกร้องต้องการมาก่อน เพราะ “ควายเหล็ก” มีราคาแพงแต่ก็ช่วยขจัดปัญหา “โจรปล้นควาย” ที่แพร่หลายมากในชนบท “ควายเหล็ก” ไม่ต้องการการเลี้ยงดูและต้องแบ่งพื้นที่จำนวนหนึ่งไว้สำหรับเป็นที่เลี้ยงเหมือนควายที่เป็นสัตว์เลี้ยง

ที่สำคัญควายเหล็กยังไม่ทำให้ชาวนาภาคกลางต้องยอมถูกกดราคาจากพ่อค้าควาย (นายฮ้อย) จากอีสาน แต่เข้าใจได้ เพราะการต้อนลำเลียงฝูงควายจำนวนมากเดินทางไกลข้ามภูมิภาคจากอีสานมาขายให้แก่ชาวนาภาคกลาง เป็นเรื่องยากลำบากสาหัส ไม่ใช่ใครก็ทำได้ นายฮ้อยเลยกลายเป็นบุคคลพิเศษมีทั้งเรื่องชั้นเชิงฝีไม้ลายมือในการต่อสู้ ตีรันฟันแทง เวทมนต์คาถาอาคม ตลอดจนเรื่องของ “บารมี” คือการได้ความยอมรับนับถือจากชาวนาในฐานะ “เจ้าพ่อ” หรือ “หัวหน้านักเลงโต” เพราะในระหว่างทางต้อนควายมาขายให้แก่ชาวนาภาคกลางนั้น นายฮ้อยจะต้องเดินทางผ่านพยันตรายต่าง ๆ โดยเฉพาะอันตรายจากเหล่า “โจรปล้นควาย” ที่มีตามรายทาง เมื่อถึงช่วงก่อนหน้าทำนา พวกเขาก็จะไปดักรอขบวนควายของนายฮ้อยจากอีสาน เพราะฉะนั้นการปล้นชิงเข่นฆ่า อาชญากรรมต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นเป็นปกติ ไม่ใช่สังคมชนบทสวยหรูอยู่กันแบบครอบครัวและพอเพียงแต่อย่างใด และนี่คือสภาพสังคมชาวนาในอยุธยาและภาคกลาง ก่อนหน้าการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕      

(๕) รัฐบาลคณะราษฎรมีนโยบายส่งเสริมให้ชาวนาภาคกลางทำนา ๒ ครั้ง/ปี

เดิมชาวนาอยุธยาและภาคกลางทำนา ๑ ครั้ง/ปี มาเป็นเวลาช้านาน (ไม่มีใครรู้ว่านานแค่ไหน อาจถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา) เมื่อเกิดการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ รัฐบาลคณะราษฎรได้มีนโยบายส่งเสริมให้ชาวนาภาคกลางทำนา ๒ ครั้ง/ปี นโยบายในส่วนนี้ของรัฐบาลคณะราษฎร แม้จะปรากฏเป็นจริงในอีก ๑๐ ปีหลังการอภิวัฒน์ แต่ก็ต้องพิจารณาย้อนกลับไปที่ช่วงปีแรกของการอภิวัฒน์ เพราะในหลักคณะราษฎร ๖ ข้อนั้น ข้อ ๓ เป็นหลักว่าด้วยการเศรษฐกิจ ได้ประกาศไว้ใน “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ ๑”[6] ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ มีความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า :

 

“จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

 

แต่ในขณะเดียวกัน ภาคเกษตรกรรมการทำนาในทศวรรษ ๒๔๗๐ กลับอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ดังจะเห็นได้จาก “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ของปรีดี พนมยงค์[7] ได้กล่าวถึง “ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจในปัจจุบัน” และ “ความแร้นแค้นของราษฎร” ดังนี้ :

 

“ผู้ที่มีจิตเป็นมนุษย์ประกอบด้วยเมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว เมื่อเห็นสภาพชาวนาในชนบทก็ดี เห็นคนยากจนอนาถาในพระนครก็ดี ก็จะปรากฏความสมเพชเวทนาขึ้นในทันใด ท่านคงจะเห็นว่าอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สถานที่อยู่ ฯลฯ อันเป็นปัจจัยแห่งการดำรงชีวิตของบุคคลเหล่านี้แร้นแค้นปานใด แม้วันนี้มีอาหารรับประทานพรุ่งนี้และวันต่อไปจะยังคงมีหรือขาดแคลนก็ยัง ทราบไม่ได้ อนาคตย่อมไม่แน่วแน่เมื่อท่านปลงสังขารต่อไปว่าชีวิตของเรานี้ย่อมชรา ย่อมเจ็บป่วย ก็แหละเมื่อบุคคลเข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะยังคงมีอาหารรับประทานอีกหรือ เพราะแม้แต่กำลังวังชาจะแข็งแรงก็ยังขาดแคลนอยู่แล้ว”

 

ถึงแม้ว่าใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ปรีดี พนมยงค์จะยังไม่ได้เสนอเรื่องการทำนา ๒ ครั้ง/ปี แต่ในนั้นก็ได้หยิบยกเอาปัญหา “แรงงานเสียไปโดยมิได้ใช้ให้เต็มที่” คิดเป็นตัวเลขเฉลี่ยราว ๔๐ เปอร์เซ็นต์ เช่นที่กล่าวถึงว่า :

 

“จะเห็นได้ว่าชาวนาซึ่งเป็นพลเมืองส่วนมากของประเทศสยาม ทำนาปีหนึ่งคนหนึ่งไม่เกิน ๖ เดือน (รวมทั้งไถ หว่าน เกี่ยว ฯลฯ) ยังมีเวลาเหลืออีก ๖ เดือน ซึ่งต้องสูญสิ้นไป ถ้าหากเวลาที่เหลืออีก ๖ เดือนนี้ราษฎรมีทางใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางการประกอบเศรษฐกิจได้แล้ว ความสมบูรณ์ของราษฎรก็ย่อมเพิ่มขึ้นได้”

 

ตรงนี้อาจจะเกี่ยวกับ “มรดกทางวัฒนธรรม” ที่สืบเนื่องมาจากยุคเจ้าขุนมูลนาย ที่แรงงานชายฉกรรจ์ถูกเกณฑ์ไปรับใช้มูลนาย สร้างสิ่งต่างๆ ให้แก่ทางการ หรือเป็นกำลังคนในภาวะศึกสงคราม แต่เมื่อระบบนี้ถูกยกเลิกไป ๖ เดือนที่เหลือจึงเหมือนเป็นช่วงว่างงาน ประกอบกับสภาพดินฟ้าอากาศเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำนาแต่ก่อนอย่างมาก หากฝนทิ้งช่วงไม่ตกต้องตามฤดูกาล ก็ทำนาไม่ได้ผล จึงต้องเน้นทำกันในช่วงที่ไม่ขาดฝน แต่สำหรับภาคกลางที่เป็นที่ราบลุ่ม แต่ละปีฝนไม่ตก แต่มีน้ำจากน้ำท่วมหรือน้ำหลากประจำปีมาก อีกทั้งการพัฒนาระบบชลประทานสมัยใหม่ ทำให้การทำนา ๒ ครั้ง/ปีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

แต่ที่ผ่านมาไม่ได้รับการส่งเสริม เพราะทางการต้องการแรงงานไพร่ราษฎรไปใช้ในกิจการอย่างอื่น จึงให้ทำนาเพียง ๑ ครั้ง/ปี ที่เหลือไปเข้าเกณฑ์ทำงานรับใช้มูลนาย ประเด็นนี้ที่จริงก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ในหมู่เจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นพระราชโอรส ดังจะเห็นได้จากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของพระองค์ดิลกนพรัฐ เรื่อง “เกษตรกรรมในสยาม” เสนอต่อมหาวิทยาลัยทือบิงเงน (Universität Tübingen) ประเทศเยอรมนี เมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ. ๒๔๕๐) ตรงกับสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ไว้เช่นกัน[8]

 

พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางไปร่วมงานประกวดพันธุ์ข้าว  
โดยมีการแต่งกายอย่างชาวนาและเกี่ยวข้าวจริงที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี  พ.ศ. 2477 
ที่มา : สมุดภาพนนทบุรี

 

การจัดงานประกวดพันธุ์ข้าวที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นการจัดงานเพื่อสนับสนุนชาวนาและชี้ให้เห็นความสำคัญของภาคเกษตรกรรม ทั้งในด้านแรงงานและการผลิตเพาะปลูกพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยในงานนี้คณะราษฎร มีพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และปรีดี พนมยงค์ สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปร่วมในพิธี มีการแต่งกายอย่างชาวนาและเกี่ยวข้าวจริงในที่นาตำบลบางบัวทอง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี[9]

ประกอบกับเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐบาลยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เกิดหวั่นเกรงผลกระทบ (ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น) จากสงครามประการหนึ่งก็คือวิกฤติการขาดแคลนอาหาร จึงเริ่มรณรงค์ขอให้ราษฎรทำนา ๒ ครั้ง/ปี แต่ไม่ได้ผลมากนัก เพราะขัดกับวิถีความเป็นอยู่มาแต่ดั้งเดิม แต่นั่นไม่ใช่สำหรับในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นจังหวัดที่ได้ชื่อว่ากระตือรือร้นกับระบอบใหม่ค่อนข้างมาก

อีกทั้งอยุธยายังถือเป็น “เมืองทดลอง” การปกครองระบอบใหม่ หลายสิ่งอย่างรัฐบาลคณะราษฎรได้ให้ทดลองทำจากในจังหวัดนี้ก่อนจะแพร่หลายไปสู่จังหวัดอื่น ทั้งนี้โดยยุคสมัยนั้นจะทำอะไรสำคัญๆ ก็ต้องประกาศเชิญชวนในรูปพิธีกรรม การรณรงค์เชิญชวนให้ราษฎรทำนา ๒ ครั้ง/ปี ก็เช่นกัน จึงเป็นที่มาของพิธีเปิดการทำนา ๒ ครั้ง/ปีที่ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๕

(๖) จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับการเชิญปรีดีไปเป็นประธานเปิดการทำนา ๒ ครั้ง

เมื่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตกลงขานรับนโยบายของรัฐบาลคณะราษฎร ในการที่จะส่งเสริมให้ราษฎรในจังหวัดทำนา ๒ ครั้ง/ปี จึงได้มีการจัดงานรณรงค์โดยให้เตรียมที่นาแปลงหนึ่งในตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับเป็นที่นาตัวอย่างแก่ราษฎรว่า การทำนา ๒ ครั้ง/ปีนั้นสามารถจะเป็นไปได้

การณ์นี้ที่ประชุมคณะกรรมการจังหวัดได้เห็นชอบว่าควรเชิญบุคคลสำคัญระดับประเทศมาเป็นพิธีเปิดงาน และบุคคลสำคัญดังกล่าวที่ได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาครั้งนั้นก็คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือปรีดี พนมยงค์ ชาวพระนครศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

หลวงประสิทธิ์บุรีรักษ์ (ประสิทธ์ สุปิยังตุ) ข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ เรื่องขอเชิญผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมาเป็นประธานเปิดการทำนา ๒ ครั้ง เป็นปฐมฤกษ์ ในพระนครศรีอยุธยา[10] มีใจความดังนี้ :

 

“คณะกรรมการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีความเห็นร่วมกันมานานแล้วที่จะส่งเสริมในด้านเศรษฐกิจให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีข้าวจำหน่ายของชาวนา ควรได้ปริมาณสูงขึ้น เพราะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ควรเรียกได้ว่าเป็นอู่ข้าวของประเทศไทยมานานแล้ว ได้ปรึกษามีความเห็นร่วมกันกับคณะกรรมการอำเภอที่จะทวีในการในการกสิกรรมให้สูงขึ้นด้วยมีการทำนาปีละ ๒ ครั้ง ทั้งประกอบด้วยสถานะการณ์ของประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามก็ยิ่งมีความปรารถนาเป็นอันมากที่จะให้ประชาชนมีงานทำอย่างเต็มมือไม่หยุดนิ่ง

จึงได้กำหนดเริ่มที่จะทำนาปีละ ๒ ครั้ง ขึ้นในอำเภอต่างๆ บางท้องที่เป็นตัวอย่างนำ และโดยฉะเพาะที่จะเปิดการทำนาเป็นปฐมฤกษ์ คือ ที่ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร ณ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ส่วนตำบลและอำเภออื่นก็ได้เตรียมพร้อมที่จะดำเนินการต่อไปด้วยแล้ว

คณะกรรมการจังหวัดมีความปรารถนาเพื่อให้เป็นพิธีการสำคัญสมกับการที่จะขยายการกสิกรรมส่วนใหญ่ มีการทำนาปีละ ๒ ครั้ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้บรรลุผลอันงดงามเป็นที่นิยมของประชาชนอันแท้จริงและแผ่ขยายก้าวหน้าเป็นลำดับสืบไป จึงขอความกรุณาเชิญผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปเป็นประธานในพิธีการทำนานี้เป็นปฐมฤกษ์ และเพื่อความสมบูรณ์อันยิ่งใหญ่ของชาวนา เป็นส่วนสำคัญของประเทศชาติต่อไป และคณะกรรมการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กราบเรียน ฯพณฯ นายปรีดี พนมยงค์ ไว้แล้ว ได้รับความกรุณาตอบว่าเมื่อได้รับเชิญก็พร้อมที่จะไปร่วมได้ด้วยความยินดี”

 

พ.ต.ช่วง เชวงศักดิสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเวลานั้น ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เพื่อนำเรียนให้นายกรัฐมนตรีคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับทราบ

นายทวี บุญยเกตุ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ตอบกลับมา ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ (ตอบวันเดียว อย่างไว) ระบุว่า :

 

“โดยบัญชานายกรัฐมนตรี (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้พิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องประการใด จึงเรียนมาเพื่อทราบ ส่วนการเชิญเข้าใจว่ากระทรวงมหาดไทยจะได้เชิญไปโดยตรง”

 

ในวันเดียวกันนั้น (วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕) พ.ต.ช่วง เชวงศักดิสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือถึงปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีใจความระบุว่า :

 

“ด้วยได้รับหนังสือข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า คณะกรรมการจังหวัดได้มีความเห็นร่วมกันในอันที่จะให้มีการทำนาปีละ ๒ ครั้ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจะได้ทำพิธีเปิดการทำนาเป็นปฐมฤกษ์ ณ ตำบลบางไทร กำหนดวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ในการนี้มีความประสงค์จะเชิญผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปเป็นประธานในพิธีนี้ และว่าได้กราบเรียน ฯพณฯ ท่านไว้แล้ว ได้รับตอบว่า เมื่อได้รับเชิญก็พร้อมที่จะไปร่วมงานด้วยความยินดี ดั่งมีความแจ้งตามสำเนาหนังสือข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้กราบเรียนมาพร้อมหนังสือนี้

เรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้นำเสนอ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบแล้ว มีบัญชาว่า ไม่มีการขัดข้องประการใด ฉะนั้น จึ่งขอประทานกราบเรียนมาเพื่อขอเชิญ ฯพณฯ ท่านได้โปรดไปเป็นประธานในพิธีนี้ตามความประสงค์ของคณะกรรมการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่อไป”

 

ปรีดี พนมยงค์ ตอบหนังสือจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จาก “บ้านป้อมเพ็ชรนิคม” ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ ระบุว่า :

 

“หนังสือลงวันที่ ๔ เดือนนี้ ว่าได้รับหนังสือจากข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอเชิญข้าพเจ้าไปเป็นประธานในพิธีเปิดการทำนาเป็นปฐมฤกษ์ ณ ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร กำหนดวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา นั้น ได้รับทราบแล้ว

เนื่องจากในเช้าวันที่ ๖ เดือนนี้ ข้าพเจ้าต้องติดราชการประชุมคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงมีความเสียดายที่ไม่สามารถจะมาร่วมในงานพิธีนี้ได้ ข้าพเจ้าได้มีโทรเลขแจ้งข้อขัดข้องตรงไปยังข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้ทราบด้วยแล้ว”

 

เป็นอันว่าปรีดี ไม่ได้ไปเป็นประธานเปิด เนื่องด้วยสถานการณ์สงครามที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์มีหน้าที่จะต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ อย่างไรก็ตาม นโยบายการทำนา ๒ ครั้งก็ได้รับการตอบรับจากราษฎรชาวนาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างดี

(๗) บทสรุปและส่งท้าย

ถึงแม้ว่าปรีดี พนมยงค์ จะไม่ได้เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดการทำนา ๒ ครั้ง/ปี ที่อยุธยา ดังประสงค์ของคณะกรรมการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เอกสารเกี่ยวข้องกับการเชิญปรีดีไปอยุธยาด้วยเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ถือเป็นหลักฐานสำคัญว่าการทำนา ๒ ครั้งของคนอยุธยาเริ่มใน พ.ศ. ๒๔๘๕ ไม่ได้มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลกรุงศรีอยุธยาหรือสมัยอื่นใดดังที่มีความเชื่อกัน   

ที่ปรีดีระบุในจดหมายตอบว่า “มีความเสียดายที่ไม่สามารถจะมาร่วมในงานพิธีนี้ได้” น่าจะไม่ใช่แค่การตอบแบบพอเป็นพิธี เพราะเรื่องนี้ที่จริงจะเห็นได้ตั้งแต่จากเนื้อหาบางตอนใน “สมุดปกเหลือง” หรือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” แล้วว่า ปรีดีให้ความสำคัญแก่การเกษตรกรรมมาก สภาพชีวิตชาวนาเป็นเหตุผลสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในงานพิธีอื่นที่คล้ายคลึงอย่างเช่น งานประกวดพันธุ์ข้าวที่บางบัวทอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗

ถึงแม้ว่าการประกวดพันธุ์ข้าวที่บางบัวทองและพิธีเปิดการทำนา ๒ ครั้ง/ปีที่บางไทร จะเป็นเพียงการ “พีอาร์” เชิญชวนให้ราษฎรเห็นความสำคัญของการผลิตข้าว แต่เป็นการ “พีอาร์” ที่ได้ผลเป็นรูปธรรมเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัด เมื่อนำเอาเหตุการณ์ในช่วงหลังไปเทียบเคียงกับเนื้อความในเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์

ดังนั้นก็เชื่อแน่ได้ว่า หากไม่ติดประชุมการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว เราคงจะได้เห็นภาพหรือมีรูปถ่ายเก่าเป็นรูปปรีดีแต่งกายชุดชาวนาในงานพิธีเปิดการทำนา ๒ ครั้ง/ปีที่บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๔๘๕ นอกเหนือจากที่มีรูปดังกล่าวนี้ที่งานประกวดพันธุ์ข้าวที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. ๒๔๗๗  

นอกจากนี้การทำนา ๒ ครั้ง/ปี ยังถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของวิถีชาวนาอยุธยาและภาคกลาง ซึ่งพาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น เช่น ระบบชลประทาน การคมนาคมขนส่ง (Logistic) การส่งออก ตามมาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ความสนใจที่จะเพิ่มปริมาณอาหารให้เพียงพอตลอดจนการป้องกันวิกฤติความขาดแคลนที่คาดว่าจะเกิดตามมาจากภัยสงคราม มีอันสิ้นสุดลง ชาวนาหลายพื้นที่เลิกทำนา ๒ ครั้ง/ปี มีบางพื้นที่เท่านั้นที่ยังคงทำ ๒ ปี/ครั้ง และพวกหนึ่งที่ยังคงทำ ๒ ปี/ครั้ง ก็คือ “ชาวนาอยุธยา” นั่นเอง...    

 

เชิงอรรถ

[1] รายละเอียดเรื่องนี้ผู้เขียนเคยศึกษาไว้ใน กำพล จำปาพันธ์. อยุธยา ประวัติศาสตร์สังคมจากข้าวปลา หยูกยา ตำรา Sex. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๖๓), บทที่ ๔.

[2] Chris Baker. “Early modern Siam as an Urban Society” in Pasuk Pongpaichit and Chris Baker. [ed.]. Essays on Thailand’s Economy and Society for Professor Chatthip Nartsupha at 72. [Bangkok: Sangsan books, 2013], pp. 51-66.

[3] อันนี้คือข้อค้นพบหนึ่งของผู้เขียนจากการศึกษาทำดุษฎีนิพนธ์ ขอให้ดู กำพล จำปาพันธ์. “ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของ “เมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันออก” พุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๔”  วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๓.

[4] Jacob Homan Van Der Heide. General Report on Irrigation and Drainage in the Lower Menam Valley (Engineer of the Waterstaat of Netherlands India, temporarily placed at the disposal of the Siamese Government, Bangkok: 24 January 1903). Bangkok, Thailand: Ministry of Agriculture Kingdom of Siam, 1903.

[5] เดวิด บรูซ จอห์นสตัน (David Bruce Johnston). สังคมชนบทและภาคเศรษฐกิจข้าวของไทย พ.ศ.2423-2473 (Rural Society and the Rice Economy in Thailand, 1880-1930). แปลโดย พรภิรมย์ เอี่ยมธรรม และคณะ, กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2530.

[6] ฉบับเผยแพร่ออนไลน์ดู “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ ๑” https://pridi.or.th/th/libraries/1583202126 (ไม่ระบุวันเดือนปี).

[7] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์). เค้าโครงการเศรษฐกิจ. กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, ๒๕๔๒; ฉบับเผยแพร่ออนไลน์ดู ปรีดี พนมยงค์. “ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ” https://pridi.or.th/th/libraries/1583466113 (ไม่ระบุวันเดือนปี).

[8] พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ. เกษตรกรรมในสยาม: บทวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม. แปลโดย ไพรวัลย์ โลโท, เชียงใหม่: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๕.

[9] ดูรายละเอียดใน อาชญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ. “ปรีดี พนมยงค์ กับ การประกวดพันธุ์ข้าวที่บางบัวทอง พ.ศ.๒๔๗๗” https://pridi.or.th/th/content/2022/05/1093 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕).

[10] หจช. มท. ๒.๒.๓/๘๔ เรื่องข้าหลวงฯ พระนครศรีอยุธยา ขอเชิญผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ไปเป็นประธานเกิดการทำนา ๒ ครั้ง เป็นปฐมฤกษ์ในพระนครศรีอยุธยา (พ.ศ.๒๔๘๕).